Movie Review : The Irishman คนใหญ่ไอริช

ต้องเรียกได้ว่าเป็นหนังฟอร์มยักษ์ ที่กล้ามาลงใน แพลตฟอร์ม Netflix เลยทีเดียว สำหรับ The Irishman คนใหญ่ไอริช ที่ลงทุนด้วยการสร้างกว่า 150 ล้านเหรียญ ซึ่งต้องบอกว่า เป็นลำดับต้น ๆ ของการลงทุนในหนังเรื่องเดียวของ Netflix เลยก็ว่าได้

เรื่องราวของนักฆ่านามว่า “แฟรงค์ ชีแรน” (โรเบิร์ต เดอ นิโร) ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุฆาตกรรมของผู้นำสหภาพแรงงานชาวอเมริกัน “จิมมี่ ฮอฟฟา” ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความเป็น สกอร์เซซี่ เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันจะต้องมีอะไรลึกลับซับซ้อนให้เราได้ลุ้นระทึกกันยิ่งกว่านั้นอย่างแน่นอน

และหลังจากข่าวดังดราม่าในวงการหนัง Hollywood คำพูดอันร้อนแรงจากการไปวิจารณ์หนังมาร์เวลว่าเป็นเพียงแค่สวนสนุกไม่ใช่ภาพยนตร์ จาก มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) ผู้กำกับชื่อดัง ทำให้เขากลายเป็นศัตรูแห่งยุคสมัยของหนังซูเปอร์ฮีโรมาร์เวลที่ทำรายได้ถล่มทลายในปัจจุบันเลยก็ว่าได้

The Irishman เล่าเรื่องราวในชั่วระยะเวลาร่วม 50 ปีในชีวิตของ แฟรงค์ ชีแรน (Robert De Niro) จากคนขับรถบรรทุกส่งขาหลังวัวไปทำสเต๊ก สู่วงการมาเฟียด้วยการชักชวนของ รัสเซล บัฟฟาลิโน (Joe Pesci) ที่เป็นคนสำคัญที่ทำให้แฟรงค์เปลี่ยนตัวเองมาเป็นนักฆ่าเพื่อเลี้ยงชีพในฐานะมือปืน ก่อนเขาจะได้เลื่อนขั้นไปเป็นผู้ติดตามของ จิมมี ฮอฟฟา (Al Pacino) เจ้าพ่อแห่งสหภาพแรงงานที่นำลาภยศชื่อเสียงมาให้แฟรงค์ได้สัมผัส แต่ในวงการสีเทา ที่เป็นเรื่องธรรมดาของประเทศอเมริกาในขณะนั้น

การได้นักแสดงระดับตำนานทั้งสามอย่าง Robert De Niro , Joe Pesci และ Al Pacino จากหนังในตำนานอย่าง The GodFather นั้นทำให้หนังเรื่องนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับคอนักวิจารณ์ รวมถึงคอหนังสไตล์ฮาร์ดคอร์ ที่จะได้เสพการแสดงของนักแสดงระดับตำนานทั้งสามคน

ต้องบอกว่าหนังถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ของสังคมอเมริกาสมัยนั้นได้อย่างดี ผ่านเรื่องราวใหญ่ ๆ อย่างการบุกคิวบาที่ล้มเหลว การลอบสังหารประธานาธิบดี John F Kennedy ซึ่งมีการนำมาผูกเรื่องราวกับสังคมมาเฟียในอเมริกาในขณะนั้น ที่นำโดย จิมมี่ ฮอฟฟา

การแสดงขั้นเทพ ของนักแสดงทั้งสาม นั้นเหมือนการมา รียูเนี่ยน กัน อีกครั้ง แม้จะดูเหมือนเป็นการแสดงง่าย ๆ แต่ทั้งสามได้ถ่ายทอดความเป็นมาเฟีย ของสังคมในยุคนั้นได่้อย่างดีเยี่ยม

แต่การดำเนินเรื่องที่ยืดยาวเกินไปนั้น ก็ทำให้หลาย ๆคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ถึงกับหลับได้เลยหากไม่โฟกัสกับหนังให้ดี เพราะความถึง กว่า 3 ชั่วโมง ตัวละครที่อัดแน่นตลอดเรื่อง ทำให้เราหลุดโฟกัสได้ หากไม่ตั้งใจดูหนังเรื่องนี้

แน่นอน แม้ทั้ง 3 จะแก่ลงไปตามกาลเวลา แต่ผลงานการแสดงก็ยังมีคุณภาพดังเดิม แต่ถ้าจะให้เทียบกับหนังระดับตำนานยุคก่อนที่พวกเขาเคยเล่นกัน อย่าง The GodFather ที่เป็นผลงานสุดคลาสสิกของ Al Pacino นั้นก็ต้องบอกว่าเรื่องนี้ยังห่างชั้นอยู่มาก เพราะมันหนังคนละยุค และ เป็นช่วงพีคของเหล่านักแสดง ซึ่งต่างจากหนังเรื่องนี้ ที่แต่ละคนอยู่ในวัยชรากันหมดแล้ว ทำให้พลังที่ออกมามันไม่มากเท่าตอนพวกเขายังสด ใหม่ ในยุคก่อน

เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ หากต้องการดู ก็ต้องดูโฟกัสเรื่องราวให้ดี ๆ เพราะอาจจะทำให้คุณหลับได้ ด้วยความยืดยาวของหนัง และ เป็นหนังที่ทำจากเรื่องจริง ที่มันไม่สามารถแก้ไขบทให้สนุกได้เท่าที่ควร มันเลยทำให้หลายคนมองว่าเป็นหนังที่น่าเบื่อเสียด้วยซ้ำ แต่ยังไงก็ควรอุดหนุนผลงานของสุดยอดนักแสดงทั้ง 3 ที่มีโอกาสน้อยที่จะได้โคจรมาเจอกันเหมือนใน The Irishman คนใหญ่ไอริช นั่นเองครับ