ใครจะเชื่อว่าโลกของเราจะเปลี่ยนไปขนาดนี้ จากที่เคยเห็นแต่รถน้ำมันวิ่งกันเกลื่อนถนน วันนี้เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคของรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว และบริษัทที่สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือ Tesla
แต่เส้นทางของ Tesla ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ Elon Musk เคยบอกว่าตอนเริ่มต้น Tesla กับ SolarCity เขาคิดว่าทั้งสองบริษัทจะไม่รอดแน่ ๆ โดยเฉพาะ Tesla ที่มีโอกาสรอดแค่ 10% เท่านั้น
ย้อนกลับไปปี 2003 ที่ Silicon Valley มีวิศวกรสองคนคือ Martin Eberhard และ Marc Tarpenning ปลุกปั้น Tesla ขึ้นมา พวกเขาตั้งชื่อบริษัทตามนักประดิษฐ์ระดับตำนาน Nikola Tesla โดยใช้ชื่อว่า Tesla Motors
แรงบันดาลใจของพวกเขาเกิดขึ้นหลังจากที่ General Motors เรียกคืน EV1 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่ผลิตจำนวนมากในยุคใหม่ ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าทำไม GM ถึงทำแบบนั้น บางคนว่าเพราะยอดขายต่ำ บางคนว่าต้นทุนแพงเกิน หรือบางทีอาจเป็นเพราะแรงกดดันจากพี่ใหญ่ในวงการน้ำมันและก๊าซ สุดท้าย รถพวกนี้ก็ถูกทำลายจนมลายหายไปหมดสิ้น
Elon เข้ามาเกี่ยวข้องกับ Tesla ตอนที่บริษัทกำลังต้องการเงินทุน หลังจากที่เขาทำเงินได้มากโขจากการที่บริษัท x dot com ของเขาควบรวมกับคู่แข่งจนกลายเป็น PayPal และถูก eBay ซื้อไปในปี 2002 ด้วยเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์ และ Elon ก็ได้เงินจากการขายกิจการครั้งนี้ราว ๆ 180 ล้านดอลลาร์
แทนที่จะนั่งนับเงินสบายๆ Elon กลับเอาเงินทั้งหมดไปลงทุนในธุรกิจใหม่ เขาอัดฉีดเงิน 100 ล้านดอลลาร์เข้า SpaceX, 10 ล้านดอลลาร์เข้า SolarCity และอีก 70 ล้านดอลลาร์เข้า Tesla รวมถึงเงินก้อนแรก 6.5 ล้านดอลลาร์ พร้อมกับการขึ้นเป็นประธานบอร์ด
ปี 2006 เป็นจุดพีคของ Tesla เมื่อ Roadster เปิดตัวอย่างเป็นทางการ: รถยนต์ไฟฟ้าสุดหรูที่ทั้งสวยและแรงโครตเทพ แต่กลับมีปัญหาเละเทะเรื่องคุณภาพและการผลิต จนท้ายที่สุด Eberhard ก็โดนถีบออกจากตำแหน่ง CEO ก่อนที่ Roadster จะเข้าสู่การผลิตในปี 2008
Tesla กำลังจะหมดเงินทุนรอน บริษัทตั้งงบไว้ 25 ล้านดอลลาร์สำหรับพัฒนา Roadster แต่สุดท้ายต้องควักเงินมากกว่านั้นถึงห้าเท่า พอถึงฤดูใบไม้ร่วงปี 2008 Tesla เหลือเงินแค่ 9 ล้านดอลลาร์ เรียกได้ว่าร่อยหรอแบบสุดๆ
ช่วงนั้นวุ่นวายมาก CEO เข้าออกหลายคน สุดท้าย Elon ก็ต้องเข้ามาจัดการเอง เขาเจอกับคำถามใหญ่ “จะปล่อยให้ Tesla ตาย หรือจะสู้ต่อแม้จะเจ็บปวดรวดร้าวแค่ไหนก็ตาม?”
ปี 2008 เป็นปีที่โหดเหี้ยมที่สุดในชีวิตของ Elon เมื่อทุกอย่างพังพินาศในเวลาเดียวกัน Lehman Brothers ธนาคารยักษ์ใหญ่ของอเมริกาล้มละลาย ทำให้เศรษฐกิจโลกดิ่งลงเหว ขณะเดียวกัน SpaceX ก็เกือบจบเห่หลังจากปล่อยจรวดล้มเหลว 3 ครั้ง และชีวิตส่วนตัวก็แตกหักกับ Justine ภรรยาของเขา
Elon ฝ่าฝันต่อสู้อย่างหนักเพื่อช่วย Tesla เขาลดพนักงานลง 25% และขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ให้ช่วยจ่ายเงินเดือนพนักงาน แต่พอถึงเดือนธันวาคม 2008 Tesla ก็เกือบล้มละลาย
แต่ด้วยความไม่ยอมแพ้ Elon รวบรวมเงิน 20 ล้านดอลลาร์จากทุกที่ที่ทำได้ รวมถึงเงินที่ได้จากการขายหุ้นในบริษัท Everdream ของลูกพี่ที่ Dell ซื้อไปก่อนหน้านั้น และในที่สุด Tesla ก็ระดมทุนได้ 40 ล้านดอลลาร์ในคืนคริสต์มาสอีฟ มันเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของวันสุดท้ายที่ยังพอมีโอกาสรอดพอดีเป๊ะ
Ashlee Vance ผู้เขียนชีวประวัติของ Elon บันทึกบทสนทนาระหว่างมื้อค่ำที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเขา Elon บอกว่า “ผมจะใช้เงินดอลลาร์สุดท้ายกับบริษัทพวกนี้ ถ้าต้องย้ายไปอยู่ห้องใต้ดินบ้านพ่อแม่ Justine ก็จะทำ”
Tesla รอดมาได้อย่างหวุดหวิดในปี 2008 แต่ก็ยังต้องการเงินเพิ่ม จนกระทั่งเดือนพฤษภาคม 2009 เมื่อ Daimler ผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันได้เข้ามาลงทุน 15 ล้านดอลลาร์โดยถือหุ้น 10% Daimler กับ Tesla ร่วมชายคากันพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ บริษัทยังได้เงินกู้ 465 ล้านดอลลาร์จากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่กำลังสนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีสะอาด
ปีถัดมา Tesla เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ราคาหุ้นละ 17 ดอลลาร์ แม้จะมีปัญหากับ Roadster แต่ Tesla ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้าสามารถเทพและเร็วได้ในคันเดียวกัน แต่ราคาที่แพงกว่า 100,000 ดอลลาร์ทำให้คนทั่วไปได้แต่ชายตามอง
ปี 2012 Tesla สร้างความฮือฮาให้วงการด้วยการเปิดตัว Model S รถซีดานที่วิ่งได้ไกลกว่า 300 ไมล์ต่อการชาร์จ และราคาถูกกว่า Roadster แม้จะยังแพงอยู่ดี Model S ทำให้ชื่อเสียงของ Tesla ดังกระฉูดไปทั่วโลก
แต่ปัญหาของ Tesla ยังไม่จบ บริษัทเกือบล้มอีกครั้งในปี 2013 ลูกค้าที่วางมัดจำ Model S ไว้ 5,000 ดอลลาร์เริ่มลังเลใจที่จะซื้อ มีคนบ่นเรื่องภายในรถ ปัญหาจุกจิก รุ่นแรกๆ ไม่มีเซ็นเซอร์จอดรถและระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ควรมีในรถหรู และกังวลว่าราคาขายต่อจะลดฮวบ
Elon จัดหนักด้วยการเปลี่ยนพนักงาน Tesla ทุกคนให้เป็นพนักงานขาย พวกเขาโทรหาทุกคนที่วางมัดจำเพื่อโน้มน้าวใจ เขายังได้ติดต่อไปที่ Larry Page ซีอีโอของ Google ให้ช่วยซื้อ Tesla ถ้าเกิดอะไรขึ้น และปิดโรงงานเงียบๆ เมื่อออร์เดอร์น้อย โดยอ้างว่าปิดซ่อมบำรุง
กลยุทธ์นี้เริ่มเข้ารูปเข้ารอย วันที่ 8 พฤษภาคม 2013 Tesla ทำให้ Wall Street ตะลึงด้วยการทำกำไรครั้งแรกในฐานะบริษัทมหาชน ได้กำไร 11 ล้านดอลลาร์จากยอดขาย 562 ล้านดอลลาร์ หลังส่งมอบ Model S 4,900 คันในไตรมาสแรก
ปี 2018 เผชิญกับความท้าทายอีกครั้งกับ Model 3 รถราคาเริ่มต้น 35,000 ดอลลาร์ ที่สมฉายาว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับคนทั่วไป ยอดจอง 115,000 คันใน 24 ชั่วโมงแรกพุ่งกระฉูดเกินคาด Elon บอกว่า “ฟังดูบ้าคลั่งไปหน่อย แต่ยอดจองมันโหดมาก”
แต่ความต้องการที่สูงลิ่วนี้หมายความว่าต้องผลิตให้ทัน Elon ยอมรับว่า “เราจะเข้าสู่นรกแห่งการผลิต” Tesla พยายามผลิตให้ได้ 5,000 คันต่อสัปดาห์ แต่สามเดือนแรกของปี 2018 ทำได้แค่ 9,800 คัน
Tesla ขาดทุน 1 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งแรกของปี 2019 Elon ถึงขั้นนอนในโรงงานเพราะไม่มีเวลากลับบ้าน และแทบจะทุกข์ทรมานมากกว่าพนักงานคนอื่น ๆ ในบริษัทซะอีก
แต่ Tesla ก็ผ่านพ้นมาได้อีกครั้ง ครึ่งหลังของปี 2019 ส่งมอบ Model 3 มากกว่า 92,000 คัน เพิ่มขึ้น 46% จากปีก่อนหน้า และ Model Y ก็มาเร็วกว่ากำหนด
มาถึงวันนี้ Tesla มีอนาคตที่สดใส ทั้งการขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ แบตเตอรี่ที่วิ่งได้แบบยาว ๆ และโครงการแท็กซี่ไร้คนขับ ราคาหุ้นพุ่งไปหลายร้อยดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่ออนาคตของบริษัท แม้จะผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาหลายครั้ง แต่ภายใต้การนำของ Musk ผู้ไม่เคยยอมแพ้ Tesla ก็ยังคงเดินหน้าต่อไป
“การรักษาบริษัทรถยนต์ให้อยู่รอดนั้นยากมาก” Musk กล่าว แต่ด้วยวิสัยทัศน์ ความทะเยอทะยาน และแรงขับเคลื่อนที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง Tesla ไม่เพียงแต่อยู่รอด แต่ยังกลายเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก และกำลังเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่อย่างแท้จริง