ทำไมสมองถึงเชื่อในสิ่งที่เห็น? กลลวงนักมายากล กับความจริงที่น่าทึ่งเบื้องหลังการหลอกสมองมนุษย์

Kyle Eschen นักมายากลผู้มากความสามารถ ได้นำพาผู้ชม TEDxVienna เข้าสู่โลกแห่งมายากลและจิตวิทยาการรับรู้อันน่าทึ่ง ผ่านการแสดงที่ผสมผสานระหว่างความบันเทิงและความลึกซึ้งทางวิชาการได้อย่างลงตัว

การแสดงของเขาไม่เพียงแต่สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ชม แต่ยังเผยให้เห็นถึงความเชื่อมโยงอันน่าสนใจระหว่างศิลปะการแสดงมายากลและกลไกการทำงานของสมองมนุษย์

Eschen เริ่มต้นการแสดงด้วยการแนะนำตัวอย่างเป็นกันเอง เล่าว่ามายากลเป็นงานอดิเรกที่เขาหลงใหลมาเป็นเวลาหลายปี ในขณะที่คนอื่นอาจเลือกสะสมแสตมป์ เล่นดนตรี เล่นกีฬา ฯลฯ แต่เขากลับหลงใหลในศิลปะแห่งการหลอกตา

การแสดงเริ่มต้นด้วยการใช้ผ้าเช็ดหน้าธรรมดา ที่เปลี่ยนจากผ้าไหมเป็นผ้าเรยอนผสม แม้จะเป็นมายากลเรียบง่าย แต่ก็แสดงให้เห็นถึงทักษะพื้นฐานของ sleight-of-hand หรือการใช้มือล่อตา ซึ่งเป็นเทคนิคที่ต้องอาศัยความชำนาญในการจัดการกับวัตถุขนาดเล็ก

Eschen เล่าถึงความเข้าใจผิดที่มักเกิดขึ้นเมื่อผู้คนแนะนำให้เขาพัฒนาไปสู่การแสดงที่ใหญ่โตกว่า ด้วยกล่องขนาดใหญ่และสัตว์ต่างๆ เขาเปรียบเทียบอย่างชาญฉลาดว่า นั่นเหมือนกับการบอกนักไวโอลินว่าถ้าฝึกฝนหนัก สักวันหนึ่งจะสามารถเล่นเชลโลได้ การเปรียบเทียบนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้คนมักไม่เข้าใจว่ามายากลแต่ละประเภทต้องการทักษะและความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับเครื่องดนตรีแต่ละชนิด

จิตวิทยาและมายากล

สิ่งที่ทำให้ Eschen หลงใหลในมายากลไม่ใช่เพียงการสร้างความประหลาดใจ แต่เป็นการศึกษาจิตวิทยาการรับรู้ของมนุษย์ เขาสนใจวิธีที่ผู้คนตีความโลกรอบตัว การหาความเชื่อมโยง และการสร้างข้อสรุป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาสนใจในจุดอ่อนของกระบวนการคิดที่ทำให้คนเราถูกชักนำให้หลงทางได้

การศึกษาด้านประสาทวิทยาศาสตร์พบว่า สมองมนุษย์มีกลไกการคัดกรองข้อมูลที่ซับซ้อน โดยจะเลือกรับรู้เฉพาะสิ่งที่คิดว่าสำคัญในขณะนั้น เพื่อประหยัดพลังงานในการประมวลผล นักมายากลจึงสามารถใช้ความรู้นี้ในการสร้างภาพลวงตาที่น่าทึ่ง

การแสดงสองชุด: การเปรียบเทียบที่น่าสนใจ

ในการแสดงครั้งนี้ Eschen นำเสนอมายากลสองชุดที่แตกต่างกัน ชุดแรกเป็นมายากลที่เขาเรียกว่า “แย่” จนนำความอับอายมาสู่ครอบครัว เป็นการแสดงที่ใช้ไม้สองท่อนที่มีเชือกแขวนอยู่ การแสดงนี้ดูเหมือนจะไม่มีจุดหมายที่ชัดเจน แม้จะจบลงด้วยการเชื่อมต่อของไม้ทั้งสองท่อนอย่างน่าประหลาดใจ

ระหว่างการแสดง เขาสอดแทรกอารมณ์ขันด้วยการเล่าถึงความคิดเห็นบน YouTube ที่มีคนท้วงว่ามุมที่เขาแยกไม้ไม่ใช่ 30 องศาแต่เป็น 45 องศา แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ในการแสดงที่เขาเรียกว่า “แย่” ก็ยังมีองค์ประกอบของการมีส่วนร่วมกับผู้ชม

มายากลชุดที่สองมีความน่าสนใจมากกว่า เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากการทดลองทางจิตวิทยาในปี ค.ศ. 1999 โดย Daniel Simons และ Christopher Jarvis การทดลองนี้ให้ผู้เข้าร่วมดูวิดีโอการเล่นบาสเกตบอลและนับจำนวนครั้งที่ลูกบอลถูกส่งระหว่างผู้เล่น

ระหว่างการทดลอง มีคนแต่งตัวเป็นกอริลลาเดินผ่านกลางวิดีโอ แต่ผู้เข้าร่วมการทดลองครึ่งหนึ่งไม่สังเกตเห็นกอริลลาเลย เพราะพวกเขาจดจ่ออยู่กับการนับลูกบอล ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “inattentional blindness” หรือการมองไม่เห็นเพราะไม่ได้ตั้งใจ

นักประสาทวิทยาศาสตร์อธิบายว่า inattentional blindness เป็นผลมาจากข้อจำกัดในการประมวลผลข้อมูลของสมอง เมื่อเราให้ความสนใจกับงานใดงานหนึ่งอย่างเข้มข้น สมองจะลดการรับรู้สิ่งเร้าอื่นๆ ลง แม้ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ในระยะการมองเห็นก็ตาม

Eschen นำหลักการนี้มาใช้ในมายากลชุดที่สอง โดยใช้ถ้วยและลูกบอลยางฟองน้ำสีแดง เขาทำให้ลูกบอลหายไปและปรากฏขึ้นใต้ถ้วยต่างๆ สร้างความประหลาดใจให้ผู้ชม แต่จุดที่น่าทึ่งที่สุดคือการเผยให้เห็นว่าใต้ถ้วยที่ถูกตรวจสอบอย่างละเอียดและไม่เคยหายไปจากสายตาผู้ชม มีมะนาวปรากฏขึ้นถึงสามลูก

ความน่าสนใจของมายากลชุดนี้ไม่ได้อยู่ที่วิธีการ แต่อยู่ที่การเข้าใจจิตวิทยาการรับรู้ของมนุษย์ ลูกบอลยางฟองน้ำทำหน้าที่เหมือนลูกบาสเกตบอลในการทดลองเรื่องกอริลลา คือดึงความสนใจของผู้ชมไปจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริง

การศึกษาด้านการรับรู้ทางสายตาแสดงให้เห็นว่า สมองมนุษย์มีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับวัตถุที่เคลื่อนไหวมากกว่าวัตถุที่อยู่นิ่ง และมักจะมองข้ามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ หรือไม่ได้อยู่ในจุดสนใจหลัก นักมายากลจึงใช้หลักการนี้ในการสร้างภาพลวงตา

บทสรุปและข้อคิด

Eschen ชี้ให้เห็นว่าแม้จะสามารถค้นหาวิธีทำมายากลได้ทาง Google แต่ความลับที่แท้จริงคือการที่มนุษย์มีจุดบอดในการรับรู้ที่กว้างใหญ่กว่าที่สัญชาตญาณบอก การแสดงของเขาไม่เพียงสร้างความบันเทิง แต่ยังให้ข้อคิดลึกซึ้งเกี่ยวกับการทำงานของจิตใจมนุษย์

ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ด้านการรับรู้ได้นำหลักการของมายากลมาประยุกต์ใช้ในการศึกษาการทำงานของสมอง โดยเฉพาะในด้านความสนใจและการรับรู้ การเข้าใจกลไกเหล่านี้ไม่เพียงช่วยพัฒนาศิลปะการแสดงมายากล แต่ยังมีประโยชน์ในการออกแบบระบบความปลอดภัย การพัฒนาส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ และการรักษาโรคทางระบบประสาท

การแสดงของ Kyle Eschen ที่ TEDxVienna จึงเป็นมากกว่าการแสดงมายากลทั่วไป แต่เป็นการผสมผสานระหว่างความบันเทิง วิทยาศาสตร์ และปรัชญา ที่ทำให้เราตระหนักว่า บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าเห็นอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด และสิ่งที่เราไม่ได้สังเกตอาจสำคัญกว่าที่เราคิด

References :
The art of cognitive blindspots | Kyle Eschen | TEDxVienna
https://youtu.be/OOG65rSM5fA?si=KZCbY3N6S5kFMIqH

ประวัติ TED กับสุดยอดแรงบันดาลใจและการเรียนรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด

TED เกิดขึ้นในปี 1984 จาก Richard Saul Wurman เกี่ยวกับการรวมพลังในศาสตร์ต่าง ๆ 3 สาขา ได้แก่ เทคโนโลยี ความบันเทิง และการออกแบบ โดยการประชุม TED ในครั้งแรกนั้น เขาและผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง Harry Marks ได้แสดงการสาธิเทคโนโลยีอย่าง Compact disc , e-book และการใช้เทคโนโลยี cutting-edge 3D graphics จากลูคัสฟิล์ม โดยในขณะที่นักคณิตศาสตร์อย่าง Benoit Mandelbrot แสดงให้เห็นถึงวิธีการทำแผนที่ชายฝั่งโดยใช้ทฤษฎีใหม่ของเขาอย่าง fractal geometry

แต่แม้ช่วงแรก ๆ นั้น จะเป็นองค์กรที่มีแต่ค่าใช้จ่าย ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 6 ปีก่อนที่ Wurman และ Marks จะพยายามอีกครั้ง ในปี 1990 ในขณะที่โลกพร้อมแล้วนั้น การประชุม TEDได้กลายเป็นงานประจำปีที่เมืองมอนเทอเรย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งสามารถดึงดูดผู้ชมที่เพิ่มมากขึ้นและมีอิทธิพลจากสาขาวิชาต่าง ๆ ที่มาจากความอยากรู้อยากเห็นและความใจกว้างของเหล่าผู้ที่มาพูด ซึ่งรวมถึงการค้นพบความลับที่น่าตื่นเต้นในหลาย ๆ เรื่องผ่านเวทีนี้ 

ในขณะเดียวกันบัญชีรายชื่อของผู้นำเสนอก็รวมไปถึงนักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา นักกดนตรีผู้นำทางธุรกิจและผู้นำศาสนาผู้ใจบุญและคนอื่น ๆ อีกมากมาย สำหรับผู้เข้าร่วมที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ

TED ได้กลายเป็นหนึ่งในไฮไลท์ทางด้านการแสดงออกทางปัญญาของปี และการที่ผู้ประกอบการสื่อ Chris Anderson ที่ได้พบกับ Wurman ในปี 2000 เพื่อหารือเกี่ยวกับอนาคตของการประชุม TED ซึ่งได้มีข้อตกลงเกิดขึ้นและในปี 2001 มูลนิธิ Sapling ที่ไม่แสวงหากำไรของ Anderson ได้รับ TED เข้ามาดูแล และ Anderson ก็กลายเป็นผู้ดูแลกิจการทั้งหมดของ TED ในที่สุด

Richard Saul Wurman ผู่ก่อตั้ง TED
Richard Saul Wurman ผู่ก่อตั้ง TED

ในการประชุมที่ไม่แสวงหาผลกำไร Anderson ยืนหยัดด้วยหลักการที่ทำให้ TED มีความยอดเยี่ยมที่สุด: ซึ่งรูปแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจ และด้วยปริมาณของเนื้อหาที่มีอยู่มากมาย รวมถึงความมุ่งมั่นที่จะค้นหาผู้คนที่น่าสนใจที่สุดบนโลก เพื่อมาพูดในเวทีนี้ ในไม่ช้ามันก็ชัดเจนว่าความคิดและแรงบันดาลใจที่สร้างขึ้นที่ TED นั้นน่าจะส่งผลดีออกไปได้ไกลเกินกว่า เพียงในเมืองของมอนเทอเรย์ อีกต่อไป

ดังนั้นปี 2001-2006 เราจึงได้เห็นการเพิ่มเติมที่สำคัญสามประการในตระกูล TED:

  • การประชุม TEDGlobal ที่จัดขึ้นในสถานที่ต่างๆทั่วโลก
  • รางวัล TED Prize ซึ่งให้รางวัลกับผู้ชนะ ที่ต้องการที่จะเปลี่ยนโลก
  • TED Talks ซีรีย์เสียงและวิดีโอซึ่งเป็นเนื้อหา TED ที่ดีที่สุดโดยปล่อยออกมาในโลกออนไลน์แบบฟรี

โดยตอนแรกของ TED Talks ถูกโพสต์ออนไลน์ในวันที่ 27 มิถุนายน 2006 เมื่อผ่านไปถึงเดือนกันยายนมีผู้คนเข้ามาชมมากกว่าหนึ่งล้านวิว TED Talks ได้รับความนิยมอย่างมากจนในปี 2007 เว็บไซต์ของ TED ได้เปิดตัวรูปแบบใหม่ ซึ่งทำให้ผู้ชมทั่วโลกสามารถเข้าถึงนักคิด ผู้นำและ ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่ขึ้นเวที ที่ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้

ในปี 2008 ได้เปิดตัวการ Broadcast รูปแบบใหม่ที่สร้างขึ้นโดย TED Talks โดยมีการเปิดตัว TEDActive ซึ่งเป็นการออกอากาศสดแบบคู่ขนานของการประชุม TED ในฤดูใบไม้ผลิซึ่งทำให้ผู้คนจำนวนมากสามารถเข้าร่วม join ได้ในราคาที่ถูกลง 

ในปี 2009 จำนวนการดู TED Talk ได้เพิ่มขึ้นเป็น 100 ล้านครั้ง และได้ทำให้มีการแจ้งเกิด Internet Heroes อย่าง Jill Bolte Taylor และ Sir Ken Robinson

ในปีเดียวกันนั้น โปรแกรม TED Fellows ได้เปิดตัวขึ้น เพื่อนำเสนอนวัตกรรมที่กำลังมาแรงจากทั่วโลกไปสู่การประชุมแบบฟรี ในปีเดียวกันนั้นก็ได้มีการสร้าง TEDx ซึ่งเป็นรูปแบบที่เปิดกว้างของ TED สำหรับกิจกรรมในท้องถิ่นที่จัดขึ้นได้อย่างอิสระ และในเวลาเดียวกันได้เริ่มโปรแกรม TED Translator เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ TED Talks เพื่อแปลเป็นภาษาต่าง ๆ กว่า 100 ภาษา

ในเดือนมีนาคม 2012 TED-Ed ได้เปิดตัวขึ้นเพื่อสร้างบทเรียนวิดีโอสั้น ๆ ที่มุ่งเป้าไปที่นักการศึกษา และในเดือนเมษายน 2012 ได้เปิดตัว TED Radio Hour ซึ่งเป็นหุ้นส่วนที่นำความคิดและเรื่องราวจาก TED Talks ไปยังผู้ฟังผ่านทางวิทยุสาธารณะ โครงการทั้งหมดเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างการเข้าถึงแนวคิดที่มากขึ้นและเป็นการเข้าถึงแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด

ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2012 TED Talks ได้ฉลองการเข้าดูวิดีโอถึงหนึ่งในพันล้านครั้ง ในขณะที่ TED Talks ได้รับการเฝ้าจับตามองจากทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยมีเหล่าผู้คนหน้าใหม่ที่มีการเข้าดูเฉลี่ยถึง 17 ครั้ง

มีคนชื่อดังมากมายขึ้นเวทีพูดเพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจ
มีคนชื่อดังมากมายขึ้นเวทีพูดเพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจ

การประชุมและกิจกรรมของ TED จะสร้างแรงบันดาลใจ และกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมประชุมรู้สึกตื่นเต้นกับองค์ความรู้ใหม่ ๆ ได้อยู่ตลอดเวลา และในปี 2014 การประชุม TED ประจำปีฉลองครบรอบ 30 ปี ในเมืองแวนคูเวอร์ประเทศแคนาดา สาระสำคัญของการประชุมครั้งสำคัญครั้งนั้นก็คือ: ซึ่งเป็นการกล่าวถึงบทบาทต่อไป ของ TED ซึ่ง เป็นภาพสะท้อนของการพัฒนาในรอบ 30 ปีที่ผ่านมารวมถึงการมองสิ่งที่อยู่ข้างหน้าในอนาคตนั่นเองครับ

References : https://www.ted.com
wikipedia.org