ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 13 : The Revenge of The Electric Car

ในช่วงกลางปี 2012 Tesla ทำให้เหล่าบริษัทคู่แข่งในอุตสาหกรรมยานยนต์ ต้องตกตะลึง เมื่อบริษัทสามารถส่งมอบรถยนต์ รุ่น Model S ซึ่งเป็นยานยนต์สุดหรูใช้พลังงานไฟฟ้าล้วน โดยที่การชาร์จ หนึ่งครั้งนั้นสามารถเดินทางได้ถึง 300 ไมล์ และสามารถที่จะทำความเร็วไปถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ ใน 4.2 วินาที และสามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุดถึง 7 คน และ ไร้ซึ่งเสียงรบกวน หน้าจอสัมผัสขนาด 17 นิ้ว พร้อมฟังก์ชันควบคุมมากมายในส่วนใหญ่ของรถ ซึ่งทุกอย่างนั้น Model S เหนือกว่ารถยนต์กลุ่มไฮเอนด์ส่วนใหญ่ ทั้งเรื่องของความเร็วในการขับขี่ จำนวนไมล์ต่อค่าใช้จ่ายเพราะไม่ต้องเติมน้ำมัน ความรู้สึกในการขับขี่ แม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างพื้นที่เก็บของ Model S ก็กินขาด

Model S ของ Tesla นั้นได้แสดงให้โลกเห็นถึงรถยนต์ต้นแบบแห่งประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงเรื่องของพลังงานไฟฟ้าที่ใช้เป็นพลังงานทดแทนน้ำมัน ที่กำลังจะหมดโลกในอีกไม่ช้า ซึ่งตัว Model S นั้น มีชิ้นส่วนที่ขยับไปมาแค่โหลเดียว ชุดแบตเตอรี่ส่งพลังงานไปยังมอเตอร์ขนาดเท่ากับผลแตงโมที่ใช้หมุนล้อในทันที่ มันเป็นกลไกง่าย ๆ แต่แฝงไปด้วยประสิทธิภาพที่ยิ่งใหญ่

Model S ของ Tesla ได้ฉีกกฏของการซื้อขายรถยนต์แบบเดิม ๆ ลูกค้าไม่ต้องไปที่ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ หรือ ศูนย์รถยนต์อีกต่อไป เพื่อไปต่อรองเรื่องต่าง ๆ กับเซลล์ผู้กระหายเงิน แต่ ลูกค้าของ Tesla สามารถที่จะสั่ง Model S ได้ผ่านร้านของ Tesla โดยตรงรวมถึงสามารถสั่งซื้อผ่าน Online เว๊บไซต์ ง่าย ๆ เพียงแค่ปลายนิ้วคลิก และสุดท้าย Tesla จะส่งรถไปถึงหาคุณถึงที่บ้านเอง

ปฏิวัติการซื้อรถยนต์ด้วยการสั่งซื้อผ่าน online
ปฏิวัติการซื้อรถยนต์ด้วยการสั่งซื้อผ่าน online

มันเป็นการปฏิวัตวงการรถยนต์ที่มีมากว่า 100 ปี แม้กระทั่งการดูแลรถยนต์ หากเกิดปัญหาข้อบกพร่องบางอย่าง วิศวกร Tesla สามารถเชื่อมต่อเข้าไปในรถผ่านการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแล้ว Download Software อัพเดตข้อบกพร่องให้ได้ทันที ราวกับมีพ่อมดในโลกเวทมนต์มาเสกให้ คงเป็นการเปรียบเทียบไม่เกินไปนัก

เรียกได้ว่าเจ้า Model S นั้นมันเปลี่ยนทุกอย่างของการคมนาคมไปอย่างสิ้นเชิง มันคือ คอมพิวเตอร์ติดล้อดี ๆ นี่เอง แม้ตอนแรกนั้น พวกบริษัทรถยนต์เก่าแก่ จะมอง Tesla เป็นเรื่องกระแสชั่วคราวที่ไม่นานจะตกไปเอง

แต่หลังจากรถยนต์ได้ส่งมอบไม่กี่เดือน ในเดือนพฤศจิกายนปี 2012 Model S ก็ได้รับตำแหน่งรถยนต์แห่งปีจากนิตยสาร MotorTrend ด้วยผลโหวตที่เป็นเอกฉันท์ครั้งแรก โดยสามารถเอาชนะ ปอร์เช่ BMW Lexus Subaru ซึ่งหลายเดือนต่อมา นิตยสาร ComsumerReport ให้คะแนนสูงสุดในประวัติศาสตร์กับ Model S นั่งคือ 99 เต็ม 100 พร้อมกับประกาศว่าเป็นรถยนต์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เคยมีมา

รถยนต์แห่งปีจากนิตยสาร Motor Trend
รถยนต์แห่งปีจากนิตยสาร Motor Trend

อเมริกาไม่ได้เห็นบริษัทรถยนต์ที่ประสบความสำเร็จมานานมากแล้ว ครั้งสุดท้ายน่าจะเป็น ไครสเลอร์ เมื่อปี 1925 ย้อนไปเกือบ 100 ปี มัสก์ก็ไม่เคยทำรถยนต์มาก่อน แต่เขามีความฝันที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ เพียงแค่หนึ่งปีหลังจากวางจำหน่าย Model S ก็สามารถสร้างกำไรได้เป็นกอบเป็นกำทันที

มัสก์ได้สร้างรถยนต์ในระดับเดียวกับที่ สตีฟ จ๊อบส์ สรรสร้าง iPhone ขึ้นมา และมันคล้าย ๆ กับที่ Blackberry , Nokia ต่างมอง iPhone ในช่วงแรกของการเปิดตัว เหล่าผู้บริหารของบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่  ทั้งจากอเมริกา ญี่ปุ่น หรือ เยอรมนี ก็เริ่มหันมามองว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร

แม้จะประสบกับปัญหามากมายในรถยนต์รุ่นแรกอย่าง โรดส์เตอร์ แต่มัสก์ก็พยายามดูแลลูกค้าเก่าอย่างดี แม้จะมีปัญหาเรื่องต้นทุนที่สูงกว่าที่คิดไว้มาก แต่ Tesla เองก็ต้องการพิสูจน์ว่าบริษัทสามารถสร้างรถให้สามารถทำกำไรได้ เพื่อให้เอื้อต่อการได้รับโอกาสในการกู้เงินจากรัฐบาล และมันได้ส่งผลต่อการสร้างรถยนต์รุ่นที่สองอย่าง Model S ซึ่งมัสก์นั้นสามารถอ่านใจลูกค้าของเขาได้ขาด พวกเขายังสนับสนุนมัสก์เต็มที่

Tesla นั้นสามารถดิ้นรน จนอยู่รอดได้ ตั้งแต่ปี 2008 ถึง 2012 นั้น Tesla ขาย โรดส์เตอร์ รถยนต์รุ่นแรกของบริษัทไปได้กว่า 2,500 คัน มันทำให้ฝันของมัสก์นั้นเป็นจริง มันเป็นข้อพิสูจน์ว่า รถยนต์ไฟฟ้านั้นสามารถที่จะขับให้สนุกได้ไม่ต่างจากเจ้าตลาดที่ทำกัน

ในที่สุด Tesla ก็ก้าวไปอีกขั้นได้สำเร็จ กลายเป็นบริษัทที่สามารถทำกำไรที่แท้จริงได้ มันไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันของมัสก์เพียงคนเดียวอีกต่อไป Tesla ได้เปิดขายหุ้นให้แก่สาธารณชนในวันที่ 29 มิถุนายนปี 2010 ซึ่งทำให้บริษัทสามารถระดมทุนได้ถึง 226 ล้านเหรียญ

Tesla เปิดขายหุ้นแก่สาธารณะชนได้สำเร็จ
Tesla เปิดขายหุ้นแก่สาธารณะชนได้สำเร็จ

ซึ่งการขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งนี้ของ Tesla นั้นกลายเป็นครั้งแรกของบริษัทผลิตรถยนต์ในประเทศอเมริกานับตั้งแต่ฟอร์ดเปิดขายเมื่อปี 1956 ซึ่งเมื่อเงินทุนหลั่งไหลเข้ามา มัสก์ก็เริ่มขยายทีมวิศวกรรม และเริ่มสร้างโรงงานเพิ่มเติมเพื่อให้ผลิตได้ในปริมาณที่มากขึ้น

เหล่าพนักงานของ Tesla นั้นต้องรับมือกับความต้องการที่สูงลิ่วของมัสก์ ซึ่งไม่ต่างจากเหล่าวิศวกรที่ร่วมชะตาเดียวกันที่ SpaceX บางครั้งพวกเขาถึงกับหัวปั่น มัสก์เคยนำรถ Model S ต้นแบบกลับไปที่บ้านในช่วงสุดสัปดาห์ แล้วกลับมาในวันจันทร์พร้อมขอให้เปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ราว 80 อย่าง เขาเก็บทุกรายละเอียดไว้ในหัว และจะไล่รายการรายสัปดาห์ว่าวิศวกรแก้อะไรไปบ้างแล้ว 

มันเป็นกฏแบบเดียวกันกับที่ SpaceX ทุกคนต้องทำตามที่มัสก์ขอ หากต้องการโต้เถียง ก็ต้องค้นคว้ามาอย่างดีพอ ว่าทำไมถึงทำมันไม่ได้ มัสก์ไม่ชอบคำว่าทำไม่ได้ เขาต้องการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้นำระดับโลกหลาย ๆ คนมีกัน แม้กระทั่ง สตีฟ จ๊อบส์เองก็ตาม ก็มีนิสัยคล้าย ๆ กันแบบนี้ การร่วมงานกับคนแบบนี้เป็นเรื่องยาก แต่เมื่อผลงานสำเร็จ มันก็มักจะเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่เสมอเช่นเดียวกัน

มัสก์นั้นสามารถคิดสิ่งที่ผู้บริโภคไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องการอะไรเหมือนที่สตีฟ จ๊อบส์ทำได้ ตัวอย่างเช่น เรื่องเบสิก อย่าง มือจับประตูหรือหน้าจอสัมผัสขนาดยักษ์ และมัสก์ยังสามารถที่จะคาดการณ์มุมมองร่วมในสินค้าและบริการทั้งหมดของ Tesla ได้

มัสก์นั้นสามารถที่จะจัดการทุกอย่างจากทัศนะแบบอุดมคติ เขามองว่าการออกแบบและตัวเลือกทางเทคโนโลยีทุกอย่างควรจะพุ่งเป้าไปที่การสร้างรถให้สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มัสก์จะชี้ขาดถึงขนาดที่ผู้ผลิตรถคู่แข่งไม่ทำกัน มันคอยผลักดันให้เขาและผู้คนรอบตัวที่ทำงานด้วยกับเขานั้นสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดได้ตลอดเวลา

แต่ มัสก์ กับ Tesla นั้นก็ต้องต่อเสื้อเพื่อความอยู่รอดอยู่แทบจะตลอดเวลา บริษัทสามารถผลิตรถเก๋งได้เพียงสัปดาห์ละสิบคันในตอนแรก แม้จะมีคำสั่งซื้ออีกหลายพันคันที่ต้องทำให้ลุล่วง 

ในปี 2012 นั้นมัสก์ก็ได้ทำเรื่องช็อก แม้สถานการณ์การเงินยังไม่ดีขึ้น โดยเขาตั้งใจที่จะสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จพลังงาน มัสก์ตั้งเป้าที่จะสร้างเครือข่ายชาร์จพลังงานทั่วโลกที่จะทำให้เจ้าของ Model S สามารถขับรถยาวบนไฮเวย์ได้และชาร์จพลังงานใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

ซุเปอร์ชาร์จที่มัสก์ หวังว่าจะกลายเป็นเครื่องข่ายชาร์จทั่วโลกให้กับ Tesla
ซุเปอร์ชาร์จที่มัสก์ หวังว่าจะกลายเป็นเครื่องข่ายชาร์จทั่วโลกให้กับ Tesla

มัสก์ยืนยันว่าอีกไม่นานเจ้าของ Tesla จะสามารถเดินทางทั่วสหรัฐได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเชื้อเพลงซักแดงเดียวเลยด้วยซ้ำ สถานีซูเปอร์ชาร์จ ที่ Tesla เรียกนั้น เป็นการลงทุนครั้งมโหฬารสำหรับบริษัทที่มีเงินเหลือเพียงน้อยนิด มีแต่คนหาว่าเขาเพี้ยนแบบสุด ๆ ในการทำเรื่องนี้

ซึ่งมันทำให้ในช่วงต้นปี 2013 นั้น Tesla กลับมาอยู่ในสถานะวิกฤติอีกครั้ง ถ้าบริษัทไม่สามารถเปลี่ยนยอดจองให้กลายเป็นยอดสั่งซื้อจริง ๆ ได้โดยเร็ว จะทำให้บริษัทสูญเงินไปเป็นจำนวนมาก

มัสก์ถึงขั้นประกาศกันราคาขายต่อ Model S ให้ลูกค้าด้วย ซึ่งมัสก์นั้นได้ค้ำประกัน คำสัญญาดังกล่าวด้วยเงินหลายพันล้านของตัวเขาเอง และได้วางแผนการป้องกันขั้นสูงสุดให้กับ Tesla เพื่อไม่ให้เกิดสิ่งที่เลวร้ายมากขึ้นไปกว่านี้

ช่วงเดือน เมษายนของปี 2013 มัสก์ได้ติดต่อเพื่อนสนิทของเขาอย่าง แลร์รี่ เพจ ที่ Google มัสก์นั้นกังวลกับสถานการณ์ของ Tesla ว่าจะอยู่รอดต่อไปได้อีกสองสามสัปดาห์ได้หรือไม่ การให้ Google เข้าซื้อ Tesla อาจจะเป็นทางเลือกสุดท้ายหากไม่สามารถกู้สถานการณ์ของ Tesla ได้จริง ๆ 

แต่ปาฏิหาริย์ มันก็เกิดขึ้นกับมัสก์อีกครั้ง เหล่าพนักงานขายของ Tesla สามารถทำยอดขายรถได้อย่างมหาศาล แม้ Tesla นั้นจะมีเงินสดในธนาคารเหลือเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์แล้วนั้น แต่ยังสามารถผลิตรถยนต์ออกไปมากพอในระยะเวลาเพียงแค่ 14 วัน

ซึ่งมันทำให้การเงินในไตรมาสแรกของปี 2013 พุ่งกระฉูดขึ้นทันที ในเดือนพฤษภาคม ปี 2013 นั้น Tesla สามารถประกาศกำไรก้อนแรกได้สำเร็จในฐานะบริษัทมหาชน ซึ่งสามารถทำกำไรได้ 11 ล้านเหรียญจากยอดขายกว่า 562 ล้านเหรียญ

โดยบริษัทสามารถส่งรถยนต์ Model S ออกไปได้กว่า 1,400 คัน ส่งผลให้หุ้นของ Tesla พุ่งขึ้นจาก 30 เหรียญไปแตะที่ 130 เหรียญ ทำให้ Tesla สามารถจ่ายเงินกู้คืนให้กับรัฐบาลได้สำเร็จ แถมยังเป็นการจ่ายก่อนกำหนด

Tesla Model S รถยนต์ที่มาพลิกสถานการณ์บริษัทได้สำเร็จ
Tesla Model S รถยนต์ที่มาพลิกสถานการณ์บริษัทได้สำเร็จ

สิ่งสำคัญที่ มัสก์ทำไปแต่ผู้ผลิตรถคู่แข่งพลาดหรือไม่ตั้งใจที่จะทำ ก็คือการเปลี่ยนให้ Tesla กลายเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ บริษัทไม่ได้แค่ขายรถให้ใครสักคนเท่านั้น แต่บริษัทกำลังขายภาพลักษณ์ ขายความรู้สึกที่ว่าพวกเขากำลังย่างเท้าเข้าสู่อนาคต เป็นความผูกพัน คล้าย ๆ กับที่ apple ทำกับ ทั้ง Mac , iPod หรือ แม้กระทั่ง iPhone แม้แต่คนไม่ศรัทธาจะเข้าสังกัด apple เต็มตัวก็ยังถูกถึงเข้าจักรวาลของพวกเขาเมื่อซื้อฮาร์ดแวร์ และ ดาวน์โหลดซอฟท์แวร์อย่าง iTunes

รูปแบบของ Tesla ไม่เพียงแค่ทำให้ ธุรกิจแนวคิดเดิม ๆ ของอุตสาหกรรมรถยนต์เปลี่ยนไปเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงออกว่ารถไฟฟ้าคือแนวคิดใหม่ของยานยนต์ด้วย อีกไม่นานบริษัทรถยนต์อื่น ๆ ล้วนจะต้องทำตามหลักการที่นำโดย Tesla

แม้หลายคน อาจจะเคยปรามาส มัสก์ว่าธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าคือโอกาสทางธุรกิจที่ห่วยแตกที่สุดของโลกใบนี้ เหล่านักลงทุนส่วนใหญ่ ต่างกระโจนหนี ในความคิดเพ้อฝันของมัสก์ โอกาสที่จะทำกำไรกับธุรกิจนี้มันมีน้อยมาก ๆ แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ Tesla แตกต่างจากคู่แข่งก็คือความมุ่งมั่นในการพุ่งชนวิสัยทัศน์ของตัวเองโดยไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไปเลย ซึ่งนั่นก็คือการทุ่มเทสุดตัวให้กับการทำตามมาตรฐานของมัสก์ เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของสิ่งที่เคยมีมานั่นเอง

–> อ่านตอนที่ 14 : A Burning Man

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ