“A long time ago in a galaxy far, far away” น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นประโยคเปิดเรื่องประโยคนี้บนจอภาพยนตร์กับตอนจบของทุกเรื่องราวที่ยาวนานมากว่า 42 ปี
ย้อนไปราว 20 กว่าปีก่อน ภาพยนตร์แนวขับยานอวกาศต่อสู้อะไรแบบนี้ ผมไม่ชอบเอามากๆ เริ่มจากคำว่าเกลียดเลยก็ได้ และในคืนหนึ่ง เมื่อบิ๊กซีนีม่าทางช่อง7สี ได้นำไตรภาคเก่า 4 5 6 กลับมาฉายอีกครั้ง ซึ่งสมัยนั้นผมและหลายๆท่านในที่นี้คงยังไม่เกิดและไม่ทันได้ดูบนจนเงินเป็นแน่แท้ เมื่อได้มีโอกาสรับชมผ่านจอแก้ว จิตใจด้านมืดก็ถูกเปิดออก และได้รับท่าน Lord Vader มาสถิตอยู่กับตัวเองนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เหมือนในหลายๆภาพยนตร์ที่เนื้อหาคือการต่อสู้กันของความดีความชั่ว จะ The Matrix The Dark knight และเช่นเดียวกันกับ Star Wars ในทุกๆตอน มันคือการขับเคี่ยวกันของฝ่ายดี ฝ่ายร้าย ผลัดกันขึ้นเป็นใหญ่ เป็นปกติวิสัยเฉกเช่นกันกับโลกแห่งความเป็นจริงที่เราอาศัยอยู่ การต่อสู้กันของ Jedi และ Sith ที่มีกันมาอย่างยาวนานไม่เคยจบสิ้น และในภาพยนตร์ตลอด 42 ปีที่ผ่านมา ที่โฟกัสหลักอยู่ที่คนในสายเลือด Skywalker เด็กน้อยวัยใสผู้มีความมุ่งมั่น ผู้มีพลังแฝง ผู้มีความรัก ผู้กลัวการสูญเสีย การผันตัวสู่ด้านมืด ความยิ่งใหญ่ในการเป็นผู้นำของจักรววรรดิ และจบชีวิตตัวเองลงด้วยเหตุผลเดียวกันกับเมื่อตอนที่เค้าเข้าสู่ด้านมืด “การไม่ยอมเสียสูญเสียคนรัก” และนี่คือประเด็นที่ถูกหยิบยกมานำเสนอในไตรภาคสุดท้าย ตั้งแต่ “The Force Awaken” “The Last Jedi” และ “The Rise of Skywalker” นั่นคือ เบื้องลึกในจิตใจในมนุษย์เรานั้นไม่มีใครดำสุด ขาวสุด เราต่างก็มีทั้งดำและขาวในตัวกันทุกคน
“The Force Awaken” เปิดตัวมาด้วยความสดใหม่ในการนำเสนอความคลุมเคลือของ Rey และ Ben ความลับของทั้งสองคนที่อาจมีบางอย่างเชื่อมโยงกัน “The Last Jedi” ได้ขยายความลับตรงนี้ออกไปให้ชัดเจนขึ้น และได้ปลดปล่อยเรื่องราวของ Star Wars ให้หลุดจากการยืดติดต่างๆที่ผ่านมา
“The Rise of Skywalker” เปิดเรื่องมาแบบฉับไว เล่าเรื่องกันแบบไม่ท้าวความใดๆมาก อย่าคิดหาเหตุผลใดๆ ว่าทำไม อะไร เนื้อเรื่องดำเนินไปหลักๆเลยคือตัว Rey ที่มีการก้าวกระโดดทางด้านพลังไปเยอะมากๆ ในทุกๆฉากที่โผล่มาใช้พลัง Rey ดูเหมือนจะเหนือกว่า Jedi ทุกคนที่เราเคยเห็น เราจะได้เห็นความสับสนในตัว Rey ความใจร้อนของเธอ ยิ่งเธอรู้ว่าเธอกำลังเข้าใกล้จุดหมาย เธอก็จะมุทะลุไปเต็มที่ ในทุกๆฉากนั้นค่อยๆนำไปสู่การเฉลยปริศนาอะไรหลายๆอย่างที่เราสงสัยตั้งแต่ “The Force Awaken” นั่นคือตัว Rey เมื่อได้รับคำเฉลย หนังก็เร่งให้เราเข้าสู่ตอนจบเพื่อปิดทุกอย่างของเรื่องราวทั้งหมดลงอย่างสนิท ย้ำว่าสนิท จริงๆ
ผมไม่สามารถพูดอะไรได้มากในส่วนของเนื้อหา แต่ที่บอกได้คือ นี่คือภาคที่ทำมาเพื่อสนองความต้องการของสาวก Star Wars เหล่าแฟนเดนตายทั้งหลายแบบ 99 % ถ้าคุณเป็นดูหนังจริงจัง เอาสาระ เอาเหตุและผล เอาบทดีๆเข้มๆ มีการลำดับร้อยเรียงอย่างมีตรรกะ คุณไม่คุ้มแน่กับเงินที่จ่ายไป แต่ถ้าคุณคือแฟน Star Wars คุณดูทุกภาคแบบซ้ำภาคละเป็นสิบรอบ คุณจะอินกับ “The Rise of Skywalker” มากๆ นี่เป็นภาคแรกในตลอดทุกภาคที่ผ่านมาที่ผมอ่านประโยคเปิดเรื่องทัน และเข้าใจเรื่องราวบทนำทั้งหมดก่อนเริ่มเรื่องจริงๆ ผมอินกับการก้าวกระโดดของพลังของทั้ง Rey และ Ben คุณไม่ต้องเอาไปเทียบกับ Jedi ที่ผ่านมาในตลอด 42 ปีนี้ เพราะนี่คือเหล่าคนที่ใช้ Force ที่แตกต่างจากที่ผ่านมา
Rey และ Ben ไม่ใช่คู่ต่างขั้ว แต่คือคนที่ต่างเข้าใจกันและกัน ทั้งสองคนคือตัวแทนสีเทาของ Force ผมแอบหวังให้สองคนนี้ครองจักรวาลจริงๆนะ เพราะดันเผลอมโนไปไกลว่า หลายๆภาพที่ตัวหนังพยายามนำเสนอเปรียบเทียบ Rey ใช้ lightsaber สีน้ำเงิน Ben ใช้ lightsaber สีแดง สองสีนี้ผสมกัน ได้สีม่วง และสีม่วงก็เป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่และมีอำนาจ ความลึกลับ หรือแม้แต่ความรุนแรงก็ได้ ถ้าได้ครองจักรวาลนี่คงแบบ ไร้ผู้เทียมทานอ่ะ