Geek Story EP40 : Rise of South Korea ตอนที่ 2

จุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศเกาหลีใต้การผสานความร่วมมือระหว่าง รัฐบาล กับเหล่าธุรกิจยักษ์ใหญ่อย่าง แชโบลนั้น แม้ถ้ามองในปัจจุบันระบบแบบนี้อาจจะไม่เหมาะกับรูปแบบเศรษฐกิจในยุคใหม่ แต่ผลลัพธ์ของเกาหลีใต้นั้นมันทำให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

มันช่วยให้ประเทศหลุดพ้นจากความยากจนได้สำเร็จ ตัวเลขการส่งออกถีบตัวขึ้นสูงถึง 10,000 ล้านเหรียญ ในปี 1977 เป็นการเติบโตสูงถึง 100 เท่าหากเริ่มนับจากจุดเปลี่ยนครั้งครั้งสำคัญในปี 1964

มันยกระดับชาติจากประเทศยากจน ที่แทบจะแตกสลายให้มาลุกขึ้นยืนได้สำเร็จ และมันถึงเวลาแล้วที่เกาหลีใต้จะวิ่งแซงประเทศอื่น ๆ ได้เสียที แล้ว วิธีการใด ที่ทำให้ เกาหลีใต้สามารถเร่งสปีดแซงหน้าประเทศต่าง ๆ กลายมาเป็นประเทศมหาอำนาจได้อย่างในปัจจุบัน ติดตามรับฟังกันต่อได้เลยครับผม

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/2HiI2bw

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3kgIZj6

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/VKwK_i0MzY4

References : https://www.tharadhol.com/blog-series-rise-of-south-korea

South Korea ตอนที่ 5 : Defensive Nationalism

มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความบอบช้ำทางจิตใจของประชาชาวเกาหลี ที่ต้องกลายเป็นเครื่องมือของชาติที่แข็งแกร่งกว่า มาอย่างยาวนาน เพื่อเป็นการตอบโต้จากอดีตเจ้าอาณานิคมที่สำคัญอย่างญี่ปุ่น ที่พยายามล้างสมองชาวเกาหลีว่า ชาวเกาหลีนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์ญี่ปุ่น จึงได้มีการพัฒนาชุดความคิดในเรื่องชาตินิยม โดยจะมีการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ให้เชื่อว่าชาวเกาหลีนั้น สืบสายตระกูลเดียวกันกับบรรพบุรุษเกาหลีคนแรกเมื่อ 5,000 ปีก่อน 

และรัฐบาลทหารของนายพล ปาร์ค ก็ได้ย้ำแนวคิดชาตินิยม โดยมุ่งให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในประเทศ และเป็นหนึ่งเดียว เพื่อปลุกใจเหล่าประชาชนชาวเกาหลี ให้ทุ่มเทแรงกายรายใจทั้งหมด เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจเกาหลี และมันเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดในการหลุดพ้นจากอดีตอันขื่นขมที่ผ่านมา

ความสัมพันธ์ระหว่าง เกาหลี และ ญีปุ่่น มีมานาน ตั้งแต่สมัย โชกุน ที่มักจะแวะมารุกราน ฆ่าชีวิตชาวเกาหลีไปหลายแสนคน ในช่วงปี 1592-1598 ซึ่ง เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์ของชาวญี่ปุ่นที่มีต่อเกาหลี มีทั้งการสังหารหมู่ มีการสะสมหูกับจมูกที่ตัดมาจากศพของชาวเกาหลีเพื่อเป็นรางวัลจากสงคราม

ญี่ปุ่น รุกราน เกาหลีมาตลอดในประวัติศาสตร์
ญี่ปุ่น รุกราน เกาหลีมาตลอดในประวัติศาสตร์

และหลังจากนั้นในช่วงการยึดครองเกาหลีของญี่ปุ่นในปี 1910-1945 นั้น ก็เต็มไปด้วยความเหี้ยมโหดของทหารญี่ปุ่นไม่ต่างกัน กลุ่มชาวเกาหลีที่คิดต่อต้าน จะถูกนำไปทรมาน หรือประหารชีวิต มีการบังคับให้เปลี่ยนชื่อไปใช้ภาษาญี่ปุ่น และพูดภาษาญี่ปุ่นแทน ที่สำคัญ ผู้หญิงชาวเกาหลีจำนวนมากถูกบังคับให้ไปเป็นนางบำเรอกามของทหารญี่ปุ่นในช่วงยุคสงครามโลก มันได้ทำให้ชาวเกาหลี เคียดแค้น มาจวบจนถึงปัจจุบัน

แต่หลังจากจักรวรรดิ ญี่ปุ่นได้ล่มสลายลงไปหลังจบสงครามโลกครั้งที่สอง เหล่าผู้เคลื่อนไหวเพื่อเอกราชส่วนใหญ่ที่ได้ลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ ก็ได้เดินทางกลับมาเกาหลี แต่อนาคตของเกาหลีไม่ได้อยู่ในมือของคนเกาหลีอีกต่อไป

มันเป็นการต่อสู้กันระหว่างสหภาพโซเวียต กับ สหรัฐอเมริกา ฝ่ายคอมมิวนิสต์ กับ ฝ่ายประชาธิปไตย และสุดท้ายมันทำให้ประเทศถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งนึงเป็นคอมมิวนิสต์ ที่ปกครองโดย คิม อิลซอง โดยสหภาพโซเวียตหนุนหลังอยู่

คิม อิล ซอง ผู้ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ ที่โซเวียตหนุนหลังอยู่
คิม อิล ซอง ผู้ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ ที่โซเวียตหนุนหลังอยู่

ส่วนเกาหลีอีกฝั่งนั้น ปกครองโดย ซึงมัน รี ที่ได้รับความไว้วางใจจากกองทัพสหรัฐ เพราะตัวเขานั้นได้จบการศึกษาจากประเทศอเมริกา และนับถือศาสนาคริสต์ และอ้างว่า ยึดถือหลักการของประชาธิปไตย

มันเป็นความแตกแยกที่ไม่ได้สร้างโดยคนเกาหลี พวกเขาไม่สามารถกำหนดอนาคตตัวเองได้เลยด้วยซ้ำ การแบ่งแยกฝั่งเหนือ และ ใต้นั้น ถูกสถาปนาโดยชาติยักษ์ใหญ่อย่าง สหภาพโซเวียต และ สหรัฐอเมริกา

และสุดท้าย มันก็ได้ทำให้เกิดสงครามระหว่างชาวเกาหลีด้วยกันเองขึ้นในปี 1950 แม้ทางฝั่งใต้ เกือบจะถูกยึดได้เกือบทั้งหมดแล้วด้วยซ้ำ ตอนนั้น เกาหลีเหนือ ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตบุกมาจนเกาหลีใต้ แทบจะหายไปจากแผนที่แล้ว เหลือเพียงปราการด่านสุดท้าย บริเวณเมืองท่าทางตอนใต้ คือ ปูซาน 

สงครามระหว่างชาติเดียวกัน โดยมีชาติยักษ์ใหญ่ชักใยอยู่เบื้องหลัง
สงครามระหว่างชาติเดียวกัน โดยมีชาติยักษ์ใหญ่ชักใยอยู่เบื้องหลัง

และเป็น นายพลดักลาส แมคอาร์เธอร์ ที่มาเป็นฮีโร่ให้ชาวเกาหลีใต้ ในการยกพลขึ้นบก ที่เมือง อินชอน โดยร่วมมือกับ กองกำลังของสหประชาชาติ สามารถตีฝ่าวงล้อมกองทัพเกาหลีเหนือ ให้ถอยไปถึงชายแดนจีนได้สำเร็จ

และฝั่งเกาหลีใต้ ก็เกือบจะประกาศชัยชนะ ได้อยู่แล้ว แต่ ท่านประธานเหมา จาก จีนก็ได้ส่งกองกำลังมาช่วยเหลือเกาหลีเหนือ ทำให้กองกำลังของสหประชาชาติ ต้องถอยร่นลงมา ทำให้ไม่มีฝ่ายใดที่สามารถเอาชนะได้แบบเด็ดขาด  จึงทำให้ต้องมีการประกาศสงบศึก พร้อมกับการกำหนดเส้นแบ่งเขตแดนไว้ที่เส้นขนานที่ 38 จวบจนถึงปัจจุบัน

การแบ่งประเทศเช่นนี้ มันทำให้ เกิดความแตกแยกของความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว และ บรรดาเพื่อน ๆ มันได้สร้างความเจ็บปวดให้เกิดขึ้นกับชาวเกาหลีเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ ผู้ที่เคยอยู่ในสถานที่กั้นระหว่างเขตแดนของประเทศทั้งสอง เพราะความเป็นญาติมิตรกันนั้นยังอยู่ แต่ ไม่สามารถที่จะพบเจอกันได้เหมือนอยู่คนละประเทศ

และหลังจากสิ้นสุดสงครามระหว่างเกาหลีเหนือ และ เกาหลีใต้ ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดความรักชาติ ของผู้ชายชาวเกาหลีมาที่สุด คือการที่ต้องทนเห็นภาพทหารอเมริกัน อยู่กับผู้หญิงชาวเกาหลี ซึ่งตกเป็นเหยื่อของการล่าอาณานิคมทางเพศ

ทุกสิ่งเหล้านี้ ล้วนปลุกเร้าให้เกิดความเป็นชาตินิยมขึ้นในเกาหลี มันเริ่มตั้งแต่การเรียน ครูต่างพร่ำสอนนักเรียนให้เชื่อว่าคนเกาหลีสืบสายเลือดกันมากว่า 5,000 ปี เมื่อจบการศึกษาและได้ทำงาน พวกเขาต่างถูกรายล้อมไปด้วยการรณรงค์ ทั้งป้ายประกาศ สื่อต่าง ๆ ของประเทศ ให้ร่วมกันล้ม ประเทศญี่ปุ่นให้จงได้

นักเรียนเกาหลีใต้ถูกปลุกความเป็นชาตินิยมตั้งแต่เด็ก
นักเรียนเกาหลีใต้ถูกปลุกความเป็นชาตินิยมตั้งแต่เด็ก

ญี่ปุ่น ซึ่งเคยกดขี่ข่มเหง เกาหลี ทุกคนต้องช่วยกันทำให้ประเทศแข็งแกร่งด้วยการทำงานที่เพิ่มขึ้นมากกว่าชาวบ้าน ต้องทำงานให้ได้วันละ 12 ชม. ไม่หยุดแม้กระทั่งในวันเสาร์ มีการแต่งเพลงปลุกใจ แล้วปล่อยทางวิทยุ โดยเปิดเพลงเหล่านี้ซ้ำ ๆ ให้เป็นที่จดจำสำหรับประชาชนทุกคน

ท่านนายพล ปาร์ค นั้นก็ได้เป็นแบบอย่างที่ดี ในการแสดงความเป็นชาตินิยม ใครที่อุดหนุนสินค้าต่างชาติ นั้น จะกลายเป็นถูกมองว่าทรยศ ซึ่งมันได้ช่วยให้สนับสนุนนโยบายการบริโภคสินค้าในประเทศ ฝังความเป็นชาตินิยมแบบสุดโต่งไว้ในหัวของชาวเกาหลีใต้ และสร้างกำแพงป้องกัน โดยการ จัดเก็บภาษีนำเข้าแบบสูงมาก ๆ เพื่อให้ต่างชาติเข้ามาแข่งขันได้ยาก

และแม้เกาหลีใต้จะเป็นประเทศหนึ่งที่ประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ในปี 1997 เหมือนเช่นที่ประเทศไทยได้เจอ แต่ความเป็นชาตินิยมหนึ่งเดียวของเกาหลีนั้น ก็ทำให้เขาสามารถคลี่คลายปัญหาใหญ่นี้ได้ก่อนใครเพื่อน

การร่วมแรงร่วมใจกันแก้ปัญหา ทั้งรัฐบาลและผู้นำธุรกิจระดับสูง ออกมาเรียกร้องความรักชาติ และความสามัคคีจากประชาชน ตัวอย่างเช่น บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง ฮุนได ตั้งเวทีรวมพลหน้าสำนักงานใหญ่ เพื่อ ประกาศว่า ฮุนไดต้องชูธงสนับสนุนการอุทิศตัวเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของเกาหลี 

วิกฤติเศรษฐกิจเอเชีย ที่เกาหลีสามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยความสามัคคีของคนในชาติ
วิกฤติเศรษฐกิจเอเชีย ที่เกาหลีสามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยความสามัคคีของคนในชาติ

พนักงานของบริษัท ฮุนได นั้นถูกปลุกเร้าให้รู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้ทำงานเพียงเพื่อความสำเร็จของบริษัทเพียงเท่านั้น แต่กำลังกอบกู้ประเทศจากวิกฤติเศรษฐกิจไปด้วย 

กลุ่ม แชโบล ยักษ์ใหญ่ของเศรษฐกิจเกาหลี ร่วมรณรงค์ให้ประชาชนนั้น มาร่วมกันบริจาคทองคำเข้าคลังของประเทศ เพื่อช่วยเพิ่มทองคำสำรองของประเทศ และที่สำคัญมันยังช่วยสร้างขวัญกำลังใจที่สำคัญ มันเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจกัน ที่พาเกาหลีใต้ ผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจมาได้

ความเป็นชาตินิยม เพื่อปกป้องตนเองของเกาหลีใต้นั้น ถือเป็นเหมือนกาวเชื่อมสังคมให้มาสามัคคีกันได้อยู่เสมอ มันเป็นสิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่เกาหลีนั้นมาใช้ทุกครั้งที่บ้านเมืองเกิดรอยร้าวขึ้น 

ไม่ใช่ว่าชาวเกาหลีใต้นั้นจะสมานสามัคคีกันในทุกเรื่อง มันก็เหมือน ๆ กับทุกประเทศ ไมว่าจะเป็น เรื่องการแบ่งขั้วทางการเมือง การแบ่งตามภูมิภาค หรือ การแบ่งแยกที่มีช่องว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าของเกาหลี

แต่เมื่อประเทศกำลังประสบปัญหา หรือ มีภัยจากภายนอกเข้ามาคุกคาม ความสามัคคีเพื่อพิชิตเป้าหมาย การร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไขปัญหา ก็จะเกิดขึ้นได้อย่างเหลือเชื่อ และพาเกาหลีผ่านพ้นวิกฤตมาทุกครั้ง และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมเกาหลีถึงได้กลายเป็นชาติที่พัฒนาได้เร็วติดจรวดได้ถึงเพียงนี้

–> อ่านตอนที่ 6 : More Than K-Pop

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Foundation *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

South Korea ตอนที่ 2 : Fighting DNA

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของประเทศเกาหลี คือ จิตวิญญาณของนักสู้ ว่ากันว่า มีแต่เหล่านักสู้เท่านั้้นที่จะอยู่รอดในสังคมของประเทศเกาหลีใต้ได้ ทุกคนต่างต้องแข่งขันกัน ขับเคี่ยวกันในทุกเรื่องในชีวิต ตั้งแต่ การพยายามอย่างหนักในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย การหางาน การเลือกคู่ครอง ต้องเรียกได้ว่าคนเกาหลีนั้นจะต้องแข่งขันตั้งแต่วัยเด็ก และไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลยแม้จะเกษียณจากการทำงานไปแล้วก็ตาม

หลังจากสงครามเกาหลีจบสิ้น แม้มันจะไม่ได้เป็นการจบเลยเสียทีเดียว มันเป็นแค่การเจรจาสงบศึกชั่วคราวมาจวบจนถึงปัจจุบันเพียงเท่านั้น ด้วยความยากจนข้นแค้น เป็นชาติที่ถูกรุกราน และถูกโจมตีอยู่เสมอ มันบีบให้เกาหลีใต้ต้องคิดหาทางให้หลุดพ้นจากสถานภาพอันเลวร้ายนี้

ซึ่งทางออกเดียวที่มีคือ การทุ่มเทพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างเต็มที่เพื่อ จะได้ไปเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป

แม้ในปี 1945 มีประชากรชาวเกาหลีใต้เพียง 5% เท่านั้นที่ได้รับการศึกษาระดับมัธยม หรือ สูงกว่า แต่หลังจากที่นายพล ปาร์ค ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 1961 นั้น ประชาชนได้ถูกกระตุ้น ให้ทำงานอย่างหนัก และร่วมแรงแข็งขันกัน เพื่อพัฒนาชาติ และยกระดับให้เกาหลีใต้เหนือกว่าประเทศอื่นให้จงได้

ท่านประธานาธิบดี ปาร์ค ต้องการให้เกาหลีเติบโตให้เร็วที่สุด
ท่านประธานาธิบดี ปาร์ค ต้องการให้เกาหลีเติบโตให้เร็วที่สุด

ถึงขั้นที่ว่า มีการ รณรงค์ ให้ โค่นญี่ปุ่น โดยผ่านการพัฒนาอุตสาหกรรม มีการปลุกจิตวิญญาณนักสู้ของชาวเกาหลี มีการตั้งเป้าหมายของประเทศ ให้ทำลายสถิติการส่งออกผลิตภัณฑ์ ให้ได้ทุก ๆ ปี เพื่อให้เกาหลีใต้นั้น ก้าวสู่การพัฒนาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ มันเป็นการร่วมแรงร่วมใจของชาวเกาหลีทุกคน ไม่ว่าอุตสาหกรรม ยักษ์ใหญ่ แรงงาน หรือ เหล่าชนชั้น กลาง ทุกคนต่างร่วมใจกันพัฒนาให้เกาหลีใต้ ก้าวขึ้นไปเทียบเคียงกับยักษ์ใหญ่อย่างญี่ปุ่นให้ได้

เกาหลีต้องการโค่นญี่ปุ่นลงให้จงได้ ทั้งสองมีประวัติที่ไม่ลงรอยกันมานาน
เกาหลีต้องการโค่นญี่ปุ่นลงให้จงได้ ทั้งสองมีประวัติที่ไม่ลงรอยกันมานาน

ถึงขั้นที่ว่า คนเกาหลีนั้นถูกปลุกฝังตั้งแต่เยาว์วัย ว่า เมื่อเติบโตขึ้นนั้น เขาจะต้องเป็นเหมือนดั่งนักรบ นักรบในอุตสาหกรรม เด็ก ๆ ทุกคนมีหน้าที่ในการสร้างประวัติศาสตร์ในการฟื้นฟูชาติขึ้นมาใหม่ เหล่านักเรียนทุกคน ต้องขยันเรียนมากขึ้น มากกว่าชาติอื่น ๆ ที่เขาร่ำเรียนกัน เพราะเมื่อเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่แล้วนั้น เหล่าเด็ก ๆ เหล่านี้ จะต้องอุทิศกำลังทั้งชีวิต เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้น เป้าหมายใหญ่ของประเทศในตอนนั้นคือ การขยับตัวเลขการส่งออกของเกาหลีใต้ให้ไต่เต้าขึ้นไปอยู่อันดับต้น ๆ ของโลกให้จงได้

มันเป็นเพราะสถานะที่ไม่มั่นคงเลยของเกาหลี พวกเขาได้พลิกวิกฤตนี้ให้เป็นโอกาส พวกเขาต้องรีบสั่งสมอำนาจทางเศรษฐกิจโดยเร็วที่สุด ประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้เกิดมาพร้อมกับความยากจน ทรัพยากรก็น้อยนิด แถมยังมาถูกแบ่งแยกจากเขตอุตสาหกรรมที่มีอยู่เดิมในแถบทิศเหนือ ที่ตอนนี้กลายเป็นของเกาหลีเหนือเป็นที่เรียบร้อย

เกาหลีใต้ถูกโอบล้อมด้วยรัฐที่มีทั้งอำนาจและแข็งแกร่งกว่าในทุก อย่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจีน รัสเซีย หรือ ญี่ปุ่นก็ตาม เหล่าผู้นำจึงต้องพยายามทำทุกอย่าง ให้เกาหลีใต้มีความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจมากที่สุด และเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งการค้าขายนั้น ไม่ได้เพียงทำให้เกาหลีใต้มีความมั่งคั่งเพียงเท่านั้น แต่มันยังช่วยให้ประเทศอยู่อย่างปลอดภัยจากชาติมหาอำนาจรอบข้างด้วยอีกอย่างหนึ่ง

เกาหลีใต้ถูกโอบรอบด้วยชาติมหาอำนาจทั้ง จีน รัสเซีย ญี่ปุ่น รวมถึง เกาหลีเหนือที่มีความไม่แน่อน
เกาหลีใต้ถูกโอบรอบด้วยชาติมหาอำนาจทั้ง จีน รัสเซีย ญี่ปุ่น รวมถึง เกาหลีเหนือที่มีความไม่แน่อน

มีอุตสาหกรรมอย่างนึงที่น่าสนใจเป็นอย่างมากคือ อุตสาหกรรมการต่อเรือ ซึ่ง ในช่วงแรกนั้น เกาหลีใต้แทบจะไม่มีอุตสาหกรรมต่อเรืออยู่เลย แต่ท่านผู้นำอย่างปาร์ค นั้นต้องการให้เกาหลีใต้เป็นประเทศอุตสาหกรรมต่อเรืออันดับหนึ่งของโลก และพยายามหาช่องทางทุกวิถีทางให้ยุทธศาสตร์นี้เป็นจริงขึ้นมาได้ และเรื่องเหลือเชื่อก็คือ เป้าหมายนี้สำเร็จได้ในช่วงปี 1980 แต่เสียดายว่าในตอนนั้น ท่านนายพล ปาร์ค ได้เสียชีวิตไปเสียแล้ว ไม่ได้มาเห็นความฝันของท่าน เป็นจริงได้สำเร็จ

นโยบายที่สำคัญของการศึกษาของเกาหลีใต้ ก็คือ ความเสมอภาค รวมถึงสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม ซึ่งมันทำให้การแข่งขันเพื่อเข้าศึกษาในปริญญาตรีของเกาหลีใต้เป็นไปอย่างดุเดือด

งานราชการ งานกฏหมาย การแพทย์ และงานในบริษัทชั้นนำอย่างกลุ่ม แชโบล นั้น สามารถเปลี่ยนชีวิตเด็กคนนึงได้จากความยากจนข้นแค้น ให้กลายเป็นคนที่มีความมั่งคั่งได้ ซึ่งมันทำให้เกิดการแข่งขันอย่างรุนแรง ทุกคนต้องเป็นนักสู้ ต้องมีการทำสิ่งต่าง ๆ ให้เหนือกว่าผู้อื่นอยู่เสมอ ตั้งแต่แต่ที่โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งในที่ทำงานก็ตาม 

และมันได้ส่งผลรุ่นต่อรุ่น มายังลูกหลานของพวกเขาด้วย จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ รวมถึงการเอาชนะนั้น ทุกครอบครัวต้องต่อสู้กัน มันเลยได้นำพาเกาหลีใต้ ก้าวไกลมาได้จนถึงปัจจุบัน มันเหมือน DNA ของชาวเกาหลีใต้ ที่ถูกปลูกฝังมารุ่นต่อรุ่น ตั้งแต่ยุคหลังสงครามเกาหลีเลยก็ว่าได้

ซึ่งการศึกษาของเกาหลีนั้น มีการแข่งขันที่สูงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ เหล่าผู้ปกครองพร้อมที่จะทุ่มหมดหน้าตักให้ลูกหลานของตัวเองได้เรียนในโรงเรียนกวดวิชา หรือ ครูสอนพิเศษ

การแข่งขันด้านการเรียนในเกาหลีใต้ นั้นสูงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
การแข่งขันด้านการเรียนในเกาหลีใต้ นั้นสูงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ซึ่งนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 นั้น เหล่าเด็ก ๆ ในเกาหลีใต้จะใช้ช่วงเวลาในช่วงบ่ายและเย็นเรียนพิเศษในวิชาต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการที่ต้องทำการบ้านทั้งของโรงเรียน และ ที่มาจากการเรียนพิเศษด้วย และ มันเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากสำหรับบรรดาผู้ปกครองชาวเกาหลีใต้ ซึ่งสิ่งนี้ได้ส่งผลต่ออัตราการเกิดของเกาหลีใต้ที่ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ

และการที่ทุกคนต้องลงทุน และ ลงแรงอย่างหนักเพื่อให้ประสบความสำเร็จทางด้านการศึกษานี่เอง มันจึงส่งผลต่อการเรียนในระดับปริญญาตรี ซึ่งหากมีผลการเรียนที่ดีนั้น ก็จะเปิดโอกาสให้สามารถหางานที่ดีได้ แต่ ด้วยจำนวนงานนั้นมีอยู่อย่างจำกัด

มันทำให้วังวนแห่งการแข่งขันนี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก ต่างคนต่างถูกบีบให้สร้างความโดดเด่นขึ้นมาให้เหนือคนอื่น ซึ่งมันทำให้ในปัจจุบันนั้น ปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยชั้นน้ำของเกาหลีอย่าง มหาวิทยาลัยโซล นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป

มันทำให้ทุกคนต่างไขว่ขว้า โอกาสที่สูงขึ้นไปอีก โดยเฉพาะมหาลัยชั้นนำระดับท็อป ๆ ของโลก ตัวอย่างเช่นที่ มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด มีจำนวนนักศึกษาเกาหลีใต้สูงเป็นอันดับสามในบรรดานักศึกษาต่างชาติทั้งหมด ด้วยเหตุนี้เหล่าผู้ปกครองที่มีเงินมากพอ ก็จะพยายามส่งลูกหลานไปในประเทศชั้นนำในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ทั้งหมดก็เพื่อแต้มต่อในการสมัครงานของลูกหลานของพวกเขานั่นเอง

แม้ในระดับประเทศ เกาหลีใต้นั้น จะสั่งสมอำนาจทางเศรษฐกิจมาโดยตลอด คนเกาหลีใต้ถูกปลูกฝังให้มีความสำเร็จจากการศึกษาเป็นบันได้ขั้นแรก ซึ่ง แม้ในขณะที่ประเทศจะติดอันดับประเทศร่ำรวยแล้วในช่วงปี 1990 นั้น แต่จิตวิญญาณแห่งการแข่งขันมันก็ไม่ได้ลดลงเลย 

ต้องแข่งขันแม้กระทั่งตอนทำงาน ยิ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ยิ่งแข่งขันสูง
ต้องแข่งขันแม้กระทั่งตอนทำงาน ยิ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ยิ่งแข่งขันสูง

บริษัททั้งหลายโดยเฉพาะยักษ์ใหญ่อย่าง กลุ่ม แชโบล นั้น ก็ยังคงกระตุ้นให้พนักงานทำงานหามรุ่งหามค่ำต่อไป ทุก ๆ ปี พนักงานชาวเกาหลีนั้นทำงานโดยเฉลี่ย 2,193 ชั่วโมง ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่มประเทศ OECD แุถมบางครั้งยังต้องทำงานนอกเวลาแบบไม่จ่ายค่าแรงอีกด้วย

วงเวียนแห่งการแข่งขันของชาวเกาหลีนั้น ยังคงหมุนอย่างไม่หยุดหย่อน ทุก ๆ ปีจะมีบัณฑิตจบใหม่จำนวน 500,000 คน ในขณะที่บริษัทใหญ่ ๆ หน่วยงานรัฐ มีตำแหน่งรองรับเพียงแค่ 100,000 ตำแหน่งเท่านั้น และมันทำให้ อีก 400,000 คนนั้น ต้องทำงานกับบริษัทขนาดกลางหรือขนาดเล็กที่ไม่มีความมั่นคงแต่อย่างใด บริษัทขนาดเล็กเหล่านี้ ไม่สามารถที่จะต่อการกับบริษัทยักษ์ใหญ่ใน แชโบล ได้เลย 

ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล นั้นเป็นสิ่งที่เรียกว่า Fighting DNA ของชาวเกาหลี ที่มีมาตั้งแต่เยาว์วัย มันทำให้ชาติสามารถเจริญรุดหน้าไปได้ก็จริง แต่ก็มีการถกเถียง เรื่องของคุณภาพชีวิตของชาวเกาหลีที่ดูแย่ลงเรื่อย ๆ 

แม้ประเทศจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่คุณภาพชีวิต โดยเฉพาะเรื่องการทำงานนั้น ย่ำแย่สำหรับชาวเกาหลี
แม้ประเทศจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่คุณภาพชีวิต โดยเฉพาะเรื่องการทำงานนั้น ย่ำแย่สำหรับชาวเกาหลี

พวกเขาเริ่มที่จะตระหนักว่าการพักผ่อนไม่เพียงพอ และการทุ่มเทแรงกายอย่างไม่มีสิ้นสุดนั้น อาจจะเริ่มส่งผลให้การทำงานไม่มีประสิทธิภาพ มันทำให้เกิดความเครียดสูงในหมู่ชาวเกาหลี  และการแข่งขันนี้เอง ที่เป็นปัจจัยให้ประเทศนี้มีอัตรการฆ่าตัวตายที่สูงมาก

ซึ่ง ความเครียด การไร้ความสุขในการทำงาน คุณภาพชีวิต สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ อาจจะเป็นปัจจุัยที่คอยขัดขวางการเกิดขึ้นของนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของเกาหลีในอนาคต

ซึ่ง Fighting DNA นี่แหละเป็นปัจจัยสำคัญ และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ที่ทำให้เกาหลีใต้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งหมดนี้ ก็ต้องแลกมาด้วยผลเสียทางลบที่ คอยบั่นทอนอารมณ์ และจิตใจของผู้คนชาวเกาหลีเช่นเดียวกัน ซึ่งบางทีนั้น ตอนนี้ในวันที่เกาหลีใต้ได้กลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วสำเร็จ เป้าหมายหลายอย่างของพวกเขาก็ประสบความสำเร็จแล้วแทบจะทั้งสิ้น มันก็อาจจะถึงเวลาที่พวกเขาอาจจะต้องละทิ้งความทะเยอทะยานที่จะเป็นที่หนึ่งลงเสียบ้าง เพื่อแลกกับคุณภาพชีวิตของชาวเกาหลีที่ดีขึ้นกว่าเดิม

–> อ่านตอนที่ 3 : Trendy Korea

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Foundation *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

Blog Series : Rise of South Korea

มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเลยทีเดียวกับการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของประเทศเกาหลี ดินแดนที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษ เปลี่ยนจากประเทศที่แทบจะยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของโลกให้กลายมาเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เทียบกับ ญี่ปุ่น , ยุโรป หรือแม้กระทั่งประเทศยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกาได้อย่างไร?

เทคโนโลยีจากประเทศเกาหลีใต้ แรกซึมอยู่ในทุกผลิตภัณฑ์ ไล่ตั้งแต่ โทรศัพท์มือถือ ไปจนถึง เครื่องบิน หรือ เรือขนส่งขนาดยักษ์ ประเทศที่มีประชากรเพียง 50 ล้านคนแห่งนี้ บัดดนี้กำลังก้าวขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ มี GDP ต่อหัวสูงอันดับต้น ๆ ของโลก Blog Series ชุดนี้ จะพาไปทำความเข้าใจกับสิ่งต่าง ๆที่เกิดขึ้นกับประเทศเกาหลี ที่ใคร ๆ หลาย ๆ คนยังไม่รู้

ในขณะที่เทียบกับประเทศยักษ์ใหญ่ในเอเชียอย่าง สิงคโปร์ หรือ จีน ที่เป็นระบอบผสมผสานระหว่าง อำนาจนิยม (การควบคุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จจากรัฐบาล) และ ทุนนิยม แต่ เกาหลีใต้นั้น ไม่ได้ใส่ใจแค่เรื่องความมั่งคั่งร่ำรวยเพียงเท่านั้น แต่พวกเขายังยึดหลักประชาธิปไตย และสิทธิพลเมืองอีกด้วย ซึ่งเป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่จะสามารถก้าวมาได้ไกลถึงขนาดนี้

หนังสือ Korea The Imppossible Country
หนังสือ Korea The Imppossible Country โดย Daniel Tudor

โดยข้อมูลที่มาจะมาจาก 2 แหล่งหลักคือ Documentary ของ History Channel : South Korea : A Nation to Watch และ หนังสือ Korea The Imppossible Country โดย Daniel Tudor ที่แปลโดยคุณ ฐิติพงษ์ เหลืองอรุณเลิศ ฝากติดตามกันด้วยน้า

–> อ่านตอนที่ 1 : Foundation

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

หนังสือ Korea The Imppossible Country โดย Daniel Tudor

หนังสือ มหัศจรรย์เกาหลี : จากเถ้าถ่านสู่มหาอำนาจทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม
ผู้เขียน Daniel Tudor (แดเนียล ทิวดอร์)
ผู้แปล ฐิติพงษ์ เหลืองอรุณเลิศ

หนังสือ Samsung’s Way วิถีแห่งผู้ชนะ
ผู้เขียน John Hyungjin Moon (จอห์น ฮยองจิน มุน)
ผู้แปล ภัททิรา จิตต์เกษม

Documentary ของ History Channel : South Korea : A Nation to Watch

Netflix Documentary : Explained ( K- Pop )

en.wikipedia.org/wiki/South_Korea