Capitalism 5.0 ทุนนิยมยุคใหม่กับการเร่งอนาคตมนุษย์ให้เร็วกว่าที่เราจะสามารถจินตนาการได้

ต้องบอกว่า การขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้าผ่านเทคโนโลยีต่าง ๆ นั้น แม้นักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์เราขับเคลื่อนสู่อนาคต แต่ก็ต้องบอกว่า ไม่มีอะไรที่เร่งการพัฒนาเทคโนโลยีได้ดีไปกว่าเงินทุน

โครการระดมทุนครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นในปี 1997 เมื่อ Marillion วงดนตรีร็อกชาวอังกฤษระดมทุน 60,000 ดอลลาร์ ผ่านการบริจาคออนไลน์ เพื่อเป็นเงินทุนในการทัวร์ในสหรัฐอเมริกา

20 ปีต่อมา การระดมทุนนั้นเติบโตขึ้นอย่างมหาศาล ในปี 2015 มียอดการระดมทุนทั่วโลกรวม 34,000 ล้านดอลลาร์

ในขณะที่ Marillion ต้องคิดค้นกระบวนการทั้งหมดที่ใช้ในการขับเคลื่อนแคมเปญการระดมทุนของพวกเขา แต่ผู้ประกอบการปัจจุบันสามารถเลือกแพล็ตฟอร์ม crowd funding ที่แตกต่างกันถึง 600 แพล็ตฟอร์มเฉพาะแค่ในอเมริกาเหนือเท่านั้น

ตัวอย่าง Kickstarter ซึ่งเป็นหนึ่งในแพล็ตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้เปิดตัวโครงการกว่า 450,000 โครงการ โดยมีเงินทุนกว่า 4.4 พันล้านดอลลาร์ในแพล็ตฟอร์มดังกล่าว

ซึ่งแน่นอนว่า มันไม่มีทางเกิดขึ้นในยุคก่อนหน้านี้ มันเป็นช่วงเวลาที่มาบรรจบกันพอดีระหว่างความพร้อมของเทคโนโลยีด้านอินเทอร์เน็ต รูปแบบการชำระเงิน และความพร้อมของเหล่านักลงทุน

Kickstarter กับแพล็ตฟอร์มการระดมทุนแบบ Crowd Funding (CR:Kickofflabs)
Kickstarter กับแพล็ตฟอร์มการระดมทุนแบบ Crowd Funding (CR:Kickofflabs)

ตัวอย่างการระดมทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจาก Kickstarter เช่น Pebble Time ที่เป็น Smart Watch ซึ่งสามารถระดมทุนได้กว่า 20 ล้านเหรียญในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะสำเร็จหากเราย้อนเวลากลับไปในวันของวงดนตรีร็อกอย่าง Marillion

แน่นอนว่า การระดมทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่ ทำให้เกิดนวัตกรรมมากมายและพลิกโลกเราไปอย่างที่ไม่มีใครคาดฝันถึง การลงทุนใน Amazon , Google , Uber , Apple หรือ Facebook ล้วนเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์เราไปอย่างสิ้นเชิง

และมันกำลังเติบโตขึ้นด้วยอัตราเร่ง ที่ทุนเหล่านี้ เริ่มมีเงินทุนจำนวนมหาศาลมากขึ้น และกำลังผลักดันเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วโลกอย่างรวดเร็วมากแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ในสหรัฐอเมริกามีเงินร่วมทุนเพิ่มขึ้นจาก 8.1 พันล้านดอลลาร์ ในปี 1995 เป็น 61,400 ล้านดอลลาร์ในปี 2016 และมีการลงทุนสูงถึง 99,500 ล้านดอลลาร์ในปี 2017 และยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจวบจนถึงปัจจุบัน

เม็ดเงินเหล่านี้ได้ไกลเข้าสู่วงการเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลให้เกิดนวัตกรรมขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยการลงทุนด้าน AI กำลังเพิ่มขึ้น จากการลงทุน 5.4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2017 เป็น 9.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2018 และกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึง เทคโนโลยีทางด้านชีวภาพเช่นเดียวกัน โดยเพิ่มจาก 11,800 ล้านดอลลาร์ ในปี 2017 เป็น 14,400 ล้านดอลลาร์ในปี 2018

หรือนวัตกรรมอย่าง ICO จากอาณาจักร Cryptocurrency ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ของการระดมทุนโดยใช้เทคโนโลยี blockchain ซึ่งเหล่า startup สามารถระดมทุนได้โดยการสร้างและขายสกุลเงินเสมือนของตนเองอย่าง Token ซึ่เปรียบเสมือนขายหุ้นในบริษัท และสัญญาว่าจะทำกำไรในอนาคต

และแน่นอนว่าแหล่งเงินทุนที่ใหญ่ที่สุดที่เป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกเทคโนโลยีในตอนนี้ คงไม่พูดถึงกองทุน Vision Fund ของ Softbank ไม่ได้

เพราะกลายเป็นว่ามันได้กลายเป็นกองทุนขนาดใหญ่ที่สุด และลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากมายทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นทางการศึกษา การแพทย์ การขนส่ง ecommerce เทคโนโลยีด้านชีวภาพ ซึ่งเป็นอนาคตของโลกเราแทบจะทั้งสิ้น

นั่นเองที่ทำให้ Masayoshi Son CEO ของ Softbank ได้ทำการรวบรวมเงินทุนจำนวนมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เงินที่ได้จากเศรษฐกิจยุคเก่าอย่างในอุตสาหกรรมน้ำมันของ เครือข่ายตะวันออกกลาง ก็มาบรรจบกันที่กองทุน Vision Fund

Masayoshi Son แห่ง Softbank ที่ทำการระทุนก้อนยักษ์ใหญ่ที่สุดในโลก (CR:Menabytes)
Masayoshi Son แห่ง Softbank ที่ทำการระทุนก้อนยักษ์ใหญ่ที่สุดในโลก (CR:Menabytes)

มันเป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก และ ช่วยให้องค์กรทั้งภาครัฐ หรือ เอกชน ที่มีเงินสดจำนวนมาก ๆ ที่ได้จากการทำธุรกิจในยุคเก่า อย่างเช่นน้ำมัน หรือ แม้กระทั่ง บริษัทขนาดใหญ่อย่าง Apple, Foxconn และ Qualcomm ซึ่งได้สะสมกำไรจากเงินสดมานาน นำเงินของพวกเขามาลงทุนในเทคโนโลยีแห่งอนาคตในกองทุนนี้เช่นเดียวกัน

กองทุน Vision Fund 100,000 ล้านดอลลาร์กองทุนแรกนั้น เป็นเพียงก้าวแรกของ Masayoshi Son และ Softbank เขาประกาศแล้วว่าจะดำเนินการเพื่อจัดตั้งกองทุนที่ 2,3,4 และจะจัดตั้งขึ้นทุก ๆ 2-3 ปี ในอนาคต

ลองจินตนาการว่า เงินจะมีจำนวนมหาศาลขนาดไหน และ จะถูกอัดฉีดไปยังนวัตกรรมใหม่ ๆของโลกเราได้มากมายขนาดไหน

โลกในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า มันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงจากเงินจำนวนมหาศาลเหล่านี้ เพราะตอนนี้มีสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายจากนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะทั่วโลก ที่พร้อมจะเปลี่ยนโลกเราแบบที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

และตอนนี้ พวกเขาก็พร้อมแล้วกับเงินทุนที่จะขยายไปใน สเกลในระดับโลก ทำให้นวัตกรรมเหล่านี้ ออกสู่สายตาชาวโลกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และ เปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์ของเรา แบบที่ไม่อาจมีใครจินตนาการถึงได้อย่างแน่นอนครับผม

เรียบเรียงจากหนังสือ The Future Is Faster Than You Think: How Converging Technologies Are Transforming Business, Industries, and Our Lives โดย Peter H. Diamandis และ Steven Kotler

Credit Image : https://www.arabnews.com/

ประวัติ Adam Neumann ผู้ก่อตั้ง WeWork จากดาวรุ่งสู่ดาวร่วง

Adam Neumann เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท WeWork ซึ่งเป็น บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เขาร่วมก่อตั้งขึ้นในปี 2010 เพื่อเป็นผู้นำในระดับโลกและเป็นสัญลักษณ์สำหรับสำนักงานระดับแนวหน้าด้วยแนวคิดแบบ Startup ยุคใหม่

โดย WeWork มีสถานที่ตั้งมากกว่า 500 แห่งใน 29 ประเทศและเมื่อเร็ว ๆ นี้ในเดือนสิงหาคม ทั่วทั้งโลกได้หันมาจับตามอง Neumann ในฐานะนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่กำลังมีบทบาทสำคัญ

แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา คำแถลงของ WeWork ประกาศว่าเขาจะก้าวลงจากตำแหน่งในฐานะหัวหน้าผู้บริหาร ซึ่งเป็นเพียงไม่นานหลังจากที่แผนการของบริษัทที่จะขายหุ้นออกสู่สาธารณะนั้นประสบกับปัญหา

นับเป็นการล่มสลายที่น่าตกใจ ดังนั้นเรื่องมันได้เกิดอะไรขึ้นกับเรื่องราวของเขาที่กำลังพุ่งแรงสุด ๆ แต่ต้องมาตกม้าตายในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานของบริษัทเช่นนี้?

จาก Kibbutz ไปสู่ Co-Working Space

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 100 ปีก่อน เมื่อครั้งที่ชาวยิวที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก พากันอพยพกลับมาตั้งถิ่นฐานยังดินแดนที่เป็นประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน ในครั้งนั้นชาวยิวส่วนหนึ่งได้รวมตัวกันเป็นชุมชนเกษตรกรรมตามชนบท หรือที่เรียกว่า ‘คิบบุตซ์’ (Kibbutz) ซึ่งปัจจุบันทั่วทั้งประเทศอิสราเอลยังมีคิบบุตซ์อยู่มากกว่า 250 แห่ง

N์eumann เกิดที่อิสราเอล โดยเขาได้มีโอกาสรับใช้กองทัพเรืออิสราเอล ก่อนที่จะย้ายไปนิวยอร์กเพื่อ “รับงานที่ยอดเยี่ยม มีความสนุกสนานมากมาย และทำเงินได้อีกมากโข” ในขณะที่เขาให้สัมภาษณ์กับ TechCrunch ในปี 2017

เขาลงทะเบียนเรียนที่ Baruch College ที่ City University of New York ในปี 2002 แต่ต้องลาออกจากการเรียนเพื่อหันไปทำธุรกิจแบบเต็มตัว

หนึ่งในกิจกรรมแรก ๆ ของเขาคือ บริษัท เสื้อผ้าเด็กที่พัฒนาเป็นแบรนด์ Egg Baby สุดหรู

ต่อมาเขาและหุ้นส่วนทางธุรกิจ Miguel McKelvey ที่เป็นสถาปนิก ได้ทำการปรับปรุงพื้นที่สำนักงานและให้เช่าช่วงทรัพย์สิน พวกเขาขายธุรกิจนั้นออกไป แต่นั่นได้กลายเป็นแนวคิดเริ่มต้นก่อนที่จะกลายมาเป็น WeWork อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน

สองคู่หูที่ช่วยกันปลุกปั้นธุรกิจ WeWork
สองคู่หูที่ช่วยกันปลุกปั้นธุรกิจ WeWork

ในปี 2008 ณ จุดตกต่ำของวิกฤตการณ์ทางการเงินทั่วโลก Neumann และผู้ร่วมก่อตั้งของเขา Miguel McKelvey เริ่มให้เช่าพื้นที่สำนักงานชั่วคราวเพื่อ Freelance , Startup และใครก็ตามที่ต้องการสถานที่ทำงาน ที่มากกว่าแค่โต๊ะทำงานและเก้าอี้

สิ่งที่ Neumann เชื่อคือ พวกเขาขาย ความทุเลาจากความโกลาหลของโลกภายนอก WeWork มันเหมือนคลับเฮาส์ ที่หนุ่มสาวที่อาจจะไม่รู้จักกัน สามารถทำงานร่วมกนแบบไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

จากจุดเริ่มต้นด้วยแนวคิดเล็ก ๆ ของ Neumann WeWork นั้นเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ระหว่างปี 2010 ถึงปี 2019 จำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นจาก 450 เป็น 527,000  และมันทำให้เริ่มดึงดูดความสนใจของคนร่ำรวยและมีอำนาจเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ ตัว Neumann

ในการสัมภาษณ์ Neumann ผู้ซึ่งได้รับปริญญาของเขาในปี 2017 ได้มีการเชื่อมโยงเรื่องราวต้นกำเนิดของ WeWork เข้ากับตัวเขาเอง โดยเชื่อมโยงวัยเด็กของเขาและเวลาที่ใช้ในการเดินทางไป Kibbutz กับ WeWork

เขาบอกกับหนังสือพิมพ์อิสราเอล Haaretz ในปี 2017 ว่าบางครั้งเขาก็พูดถึง WeWork ว่าเป็น “Kibbutz 2.0”

วิธีการหาเงินง่าย ๆ

บุคลิกที่มีสีสันของ Neumann นั้นเป็นที่ดึงดูดใจนักลงทุนรวมถึง Softbank ยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุนของญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของ WeWork

Masayoshi Son ผู้บริหาร Softbank รายงานว่าได้ตัดสินใจลงทุนใน WeWork นระหว่างการนั่งรถ หลังจากการที่เขาได้เข้าไปใช้เวลาประมาณ 12 นาทีในการสำรวจ สำนักงานของ WeWork ในนิวยอร์ก

การลงทุนของ Softbank ช่วยให้ บริษัท มีการประเมินมูลค่าสูงสุดที่ประมาณ 47,000 ล้านเหรียญ แม้จะมีการขาดทุนที่สูงอย่างต่อเนื่องก็ตามที

SoftBank ของ Son ยังลงทุนใน WeWork
SoftBank ของ Son ยังหลงมนต์เสน่ห์ Neumann และร่วมลงทุนใน WeWork

Neumann อธิบายการขาดทุนของ WeWork โดยบอกกับ Forbes ในปี 2017 ว่า : “การประเมินค่าและขนาดของเราในวันนี้นั้นขึ้นอยู่กับพลังงานและจิตวิญญาณของเรามากกว่ารายได้ที่เป็นตัวเลขหลายเท่า”

เส้นบาง ๆ ระหว่างธุรกิจหรือความเพ้อฝัน

การเติบโตของ WeWork ทำให้ Neumann กลายเป็นมหาเศรษฐีด้วยมูลค่าหุ้นของเขาที่มีสุทธิประมาณ 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ

และชีวิตส่วนตัวอันน่าดึงดูดใจของเขา ภรรยาของเขาคือ เรเบคาห์ เป็นลูกพี่ลูกน้องของนักแสดงหญิง กวินเน็ธ พัลโทรว์ ในขณะที่น้องสาวของเขาอาดีเป็นอดีตนางแบบที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมิสทีนอิสราเอล

Neumann กับ อาดี น้องสาวของเขา
Neumann กับ อาดี น้องสาวของเขา

แต่การผสมผสานระหว่างการทำงานและความสุขซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของวัฒนธรรมของ WeWork ได้กลายเป็นปัญหาเมื่อ บริษัทวางแผนที่จะเปิดตัวสู่สาธารณะ

นักลงทุนที่มีศักยภาพได้ตั้งคำถามถึงความเชื่อมโยงระหว่างการเงินส่วนบุคคลของ Neumann กับ WeWork รวมถึงการตัดสินใจที่จะขยายกิจการ WeWork ไปสู่ธุรกิจใหม่ที่น่าสนใจ เช่น การท่องเที่ยว และ การศึกษา

พวกเขายังตั้งคำถามเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขาท่ามกลางข้อร้องเรียนเกี่ยวกับวิธีการสังสรรค์ของเขา เนื่องจากเขาเป็นหนุ่มปาร์ตี้ ตัวยง นั่นเอง

เมื่อถึงยุคตกต่ำ

แม้ WeWork จะพยายามตอบสนองต่อข้อกังวลเหล่านั้น แต่ก็ยังีเรื่องราวอื้อฉาวอื่น ๆ เช่น กรณีที่ Neumann ขายเครื่องหมายการค้า “We” ให้กับบริษัท WeWork มูลค่า 5.9 ล้านเหรียญ ซึ่งถือเป็นเจตนาไม่ดีในทางจริยธรรม ในขณะที่บริษัทของเขากำลังจะเข้าตลาดหุ้น

แต่แม้จะมีการประกาศเมื่อไม่กี่วันทีผ่านมาว่า Neumann ยอมที่จะหลีกทางและลดอำนาจในการยุ่งเกี่ยวกับบริษัทของตัวเขาเองลง เพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับคำถามจากสื่อมวลชนมากมายในเรื่องเกี่ยวกับอนาคตระยะยาวของ WeWork

เหล่านักวิจารณ์ตามสื่อต่าง ๆ กล่าวมานานแล้วว่า WeWork นั้นมีขนาดเล็กกว่า บริษัท อสังหาริมทรัพย์ทั่วไปมาก และการเงินที่สั่นคลอนที่เป็นรายได้จากการทำธุรกิจจริง ๆ ของ WeWork นั้น ได้ถูกบดบังด้วยสไตล์ส่วนตัวของผู้ก่อตั้งอย่าง Neumann ที่ทำให้ WeWork นั้นก้าวมาไกลเกินความเป็นจริงของธุรกิจที่เขาทำ อย่างที่เราได้เห็นในตอนนี้นั่นเอง

References : https://www.bbc.com
https://www.fastcompany.com

Starlink กับเป้าหมาย internet ครอบคลุมทั่วโลกของ SpaceX

ในตอนนี้กำลังมีกลุ่มดาวเทียมดวงใหม่อยู่บนท้องฟ้า SpaceX ได้เปิดตัวกองทัพยานอวกาศ Starlink ที่วางแผนสู่วงโคจรโลกที่ต่ำกว่าดาวเทียมทั่วไป ดาวเทียม 60 ดวงที่มีน้ำหนักรวม 13.6 ตันถูกปล่อยไปที่ 400km เหนือพื้นผิวโลก ด้วยจรวด Falcon 9 พวกเขาเข้าร่วมกับดาวเทียม Starlink สองตัวที่ถูกเปิดตัวในปี 2018

เป้าหมายของโครงการนี้มักจะกล่าวถึงการให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่ผู้ใช้อีกสี่พันล้านคนซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงและเป็นช่องทางสร้างรายได้ให้กับ SpaceX แต่ไม่เพียงเท่านั้นยังให้บริการกับกลุ่มธุรกิจด้วยเช่นกัน ซึ่งส่วนมากจะขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งานจริงของระบบ เมื่อแสงเดินทางผ่านสุญญากาศของอวกาศได้รวดเร็วกว่าผ่านสายเคเบิลใยแก้วนำแสงจึงเป็นไปได้ที่ดาวเทียมจะสามารถเชื่อมโยง internet ระหว่างเมืองได้รวดเร็วขึ้น

การแข่งขันทางอินเทอร์เน็ตทั่วโลกที่เริ่มร้อนแรง

SpaceX นั้นไม่ใช่บริษัทเพียงแห่งเดียวที่ต้องการผลตอบแทนมากมายที่อาจเกิดขึ้นจากการให้บริการอินเทอร์เน็ตให้กับผู้ใช้อีกหลายพันล้านคน เนื่องจากมันมีการแข่งขันที่สูงมาก ก็ไม่น่าแปลกใจที่อีลอน มัสก์ กำลังเร่งรีบโครงการดังกล่าวให้เร็วที่สุด 

Kuiper โครงการของ Amazon ยังเป็นโครงการที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น พวกเขายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะซื้อดาวเทียมของบริษัทอื่น ๆ หรือสร้างมันด้วยตัวของพวกเขาเอง แต่ก็มีเป้าหมายที่จะเปิดตัวดาวเทียมที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตกว่า 3,300 ดวงในทศวรรษหน้าเช่นกัน

ส่วน ดาวเทียมอินเทอร์เน็ต Athena ของ Facebook ซึ่งได้รับใบอนุญาตอย่างเงียบ ๆ จาก FCC ผ่าน บริษัท ในเครือลับ ๆ ที่เรียกว่า PointView Tech LLC อ้างว่าจะใช้สัญญาณวิทยุความถี่สูงเพื่อให้ได้ความเร็วสูงถึง 10 กิกะไบต์ต่อวินาที ซึ่งเร็วกว่าที่ Starlink ตั้งไว้กว่า 10 เท่า อย่างไรก็ตามสัญญาณคลื่นวิทยุ เหล่านี้อาจประสบปัญหาของตนเอง

ซึ่งคลื่นความถี่สูงนี้สามารถถูกดูดซึมโดยเม็ดฝนหรือละอองต่าง ๆ ที่ล่องลอยอยู่ในบรรยากาศโลก โดยภารกิจเริ่มต้นของ Athena คือ การกำหนดว่าปัญหาเหล่านี้จะสามารถแก้ไขได้หรือไม่ และจะแก้ไขได้อย่างไรใน ซึ่งในที่สุดการให้บริการครอบคลุมทั่วโลกจะต้องใช้ดาวเทียมหลายพันดวงขึ้นสู่วงโคจรโลก ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนยังห่างไกลจากความพยายามครั้งแรกของ Facebook ในการนำเสนอเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่สามารถครอบคลุมได้ทั่วโลก 

โปรเจค athena ของ facebook
โปรเจค athena ของ facebook

ในขณะที่ของ Google โครงการ Loon ที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านบอลลูน น่าจะเป็นโครงการที่ก้าวหน้ามากที่สุดของโครงการอินเทอร์เน็ตรุ่นต่อไป ตั้งแต่ต้นกำเนิดของมันใน Google ณ โรงงาน Moonshotในปี 2011

โครงการ Loon ได้พัฒนาต้นแบบแล้วเสร็จ และกำลังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบ และตอนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์โดยการเป็นพันธมิตรกับ บริษัท โทรคมนาคมในประเทศเคนยาเพื่อให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตควบคู่ไปกับการขายซอฟต์แวร์ของ google เอง ที่จะช่วยให้มันในการควบคุมเครือข่ายที่เคลื่อนไหวของเหล่าบอลลูน โดยรวมถึงความร่วมมือที่ประกาศเมื่อเร็ว ๆ นี้กับ Softbank ในการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆการพัฒนาเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ของตัวเองเพื่อให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตครอบคลุมพื้นที่ได้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง

ประโยชน์และข้อผิดพลาด

ประโยชน์ของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไม่สามารถปฏิเสธได้ อินเทอร์เน็ตพิสูจน์ให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ไร้ขอบเขตและความสามารถในการสื่อสารกับผู้อื่นได้ทันที ซึ่งนำไปสู่การปฏิวัติข้อมูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและการปรับโครงสร้างทางสังคม

ความจริงที่ว่าประชาการหลายพันล้านคนไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ทั้งหมดเป็นหนึ่งในความไม่เท่าเทียมกันของสังคมโลกของเรา เครือข่ายการสื่อสารนี้สามารถปรับเปลี่ยวิถีชีวิตได้ และสร้างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมให้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วได้

ในโลกใหม่ของลัทธิทุนนิยม ข้อมูลเปรียบเสมือน ทองคำในรูปแบบดิจิตอล ซึ่งข้อมูลพฤติกรรมเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อโฆษณาที่จะขาย โครงการ Internet.org ของ Facebook เป็นความพยายามครั้งแรกในการเก็บเกี่ยวข้อมูลเหล่านี้ โดยใช้อินเทอร์เน็ต ที่รวบรวมข้อมูลของผู้ใช้

Starlink กับ อนาคตของดาราศาสตร์

ในขณะเดียวกันเมื่อผู้สังเกตการณ์ที่ตื่นเต้นที่ได้เห็นดาวเทียม Starlink แต่ก็มีการตั้งคำถาม จากการคำนวณของนักดาราศาสตร์ ที่สามารถมองเห็นดาวเทียมได้มากถึง 500 ดวงจากพื้นดินในแต่ละครั้ง ซึ่งอาจมีจำนวนมากกว่าดาวที่มองเห็นในท้องฟ้าที่มีอยู่จริง ซึ่งหาก Starlink และคู่แข่งทุกคนประสบความสำเร็จในการเปิดตัวกลุ่มดาวดวงใหม่ของพวกเขาก็อาจจะเป็นการบดบังกลุ่มดาวเก่า ๆ ที่เราคุ้นเคย  ที่เราเคยศึกษามาอย่างยาวนานด้วยเช่นกัน

นอกจากความหายนะที่เกิดขึ้นกับดาราศาสตร์บนพื้นดิน ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องจากค่าใช้จ่ายและความยากลำบากในการบำรุงรักษากล้องโทรทรรศน์อีกด้วย  ซึ่งมันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจถึงผลกระทบทางจิตวิทยาที่จะเกิดขึ้น ท้องฟ้ายามค่ำคืนเป็นแหล่งของความหลงใหลต่อมนุษยชาติตั้งแต่เราเกิดวิวัฒนาการมาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ 

ภูมิทัศน์ทางด้านอวกาศอาจเปลี่ยนไปจากโครงการอินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียมเหล่านี้
ภูมิทัศน์ทางด้านอวกาศอาจเปลี่ยนไปจากโครงการอินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียมเหล่านี้

ฉากหลังของท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นมีความหมายมากกว่าทุกสิ่ง ซึ่งการเกิดขึ้นของเหล่าดาวเทียมขยะใหม่ ๆ นี้ อาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลงกับท้องฟ้าได้ตลอด โดยไม่ได้รับความยินยอมจากใครทั้งสิ้นนั่นเอง

แม้ว่าอินเทอร์เน็ตจะเป็นแหล่งข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารราคาประหยัดที่อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้คนกว่าพันล้านคน แต่ก็อาจเป็นแหล่งข้อมูลที่ผิดและข่าวลือต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน

บริษัท เทคโนโลยีต่าง ๆ รับผลกำไรจากการเก็บเกี่ยวข้อมูลผู้ใช้และการขายโฆษณา ซึ่งตอนนี้กำลังแข่งขันกันเพื่อเป็นผู้บริการให้กับผู้ใช้อีกนับพันล้านคน  แล้วอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้ใช้อีกนับพันล้านคนต่อไปจะมีหน้าตาคล้ายกับอินเทอร์เน็ตที่เรารู้จักอยู่ตอนนี้หรือไม่? และใครจะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการขยายตัวของการใช้งานอินเตอร์เน็ตครั้ง? อนาคตจะเป็นสิ่งที่บอกคุณเองครับ

References : 
https://singularityhub.com/2019/06/12/spacexs-starlink-launch-and-the-race-for-global-internet-coverage/

Masayoshi Son นักลงทุนอัจฉริยะผู้ครอบครอง ARM

ข่าวใหญ่ที่สุดของวันคงจะหนีไม่พ้นเรื่องการยกเลิกธุรกิจของ ARM ยักษ์ใหญ่ทางด้านชิปของโลก ที่มีต่อ Huawei เรียกได้ว่าตอนนี้ สถานการณ์หัวเว่ย นั้นหนักหนาสาหัสพอสมควรที่เรียกได้ว่าโดนโจมตีจากรอบด้านเลยก็ว่าได้

การแบนของ Google นั้นต้องบอกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเลยเมื่อเทียบกับการแบนโดย ARM เนื่องจากเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนและเทคโนโลยีหลักของชิป ในมือถือเกือบจะแทบทั้งโลกเลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่า มือถือค่ายไหน  ๆ ก็ต้องพึ่งพาชิปของ ARM แทบจะทั้งสิ้น

และแน่นอนว่าเจ้าของ ARM ตัวจริงอย่าง Softbank ซึ่งผู้ก่อตั้งคือ Masayoshi Son นักลงทุนระดับอัจฉริยะ ที่ลงทุนในบริษัทที่มีแนวโน้มที่จะเติบโตในอนาคตมากมาย คือคนที่มีบทบาทค่อนข้างสำคัญ ในการตัดสินใจเรื่องการยกเลิกธุรกิจกับ Huawei ครั้งแน่อย่างแน่นอน

ซึ่ง Masayoshi son นั้นประวัติเขาค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว เมื่อตอนสมัยเรียนที่อเมริกา ที่ uc berkeley นั้น เนื่องจากฐานะทางบ้านที่ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร รวมถึงการที่ เขา มีเชื้อสายของเกาหลีอยู่ ทำให้ ใช้ชีวิตอยากในสังคม ที่เคร่งครัด และ ค่อนข้างชาตินิยม อย่าง ญี่ปุ่น  เขาจึงต้องการหาเงินให้เร็วที่สุด และใช้เวลาน้อยที่สุด

เขาได้บอกกับเพื่อนใน class สมัยเรียนวิทยาลัย ว่า ต้องทำอย่างไรถึงจะหาเงินได้ 1000 เหรียญต่อเดือน โดยใช้เวลาเพียง 5 นาทีต่อวัน ซึ่งเพื่อนร่วม class ก็หาว่าเขาบ้าอย่างแน่นอน แต่ด้วยตอนนั้นเทคโนโลยีทางด้าน computer กำลังเริ่มบูม ทำให้เขาสามารถหาเงินได้กว่า 3 ล้านเหรียญ ภายในเวลาไม่กี่ปีในช่วงมหาวิทยาลัย โดยได้มาจากการสร้าง dictionnary รวมถึงการสร้างเกมส์ และขายให้บริษัทยักษ์ใหญ่ ทำให้เขามีเงินเริ่มต้นในการมาลงทุนทำ softbank ที่ญี่ปุ่น หลังจากเรียนจบ

เขาเริ่มต้นธุรกิจที่ญี่ปุ่นด้วยการทำการรวมรวบ software และขายให้บริษัทจำหน่าย hardware ซึ่งตอนนั้น คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล กำลังเริ่มบูม ทำให้เขาสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ จากการทำ ธุรกิจ software ซึ่งเป็นที่มาของ เครือบริษัทใหญ่อย่าง softbank ในปัจจุบัน

เริ่มจากธุรกิจ software จนกลายมาเป็นยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคม ของญี่ปุ่นในปัจจุบัน

เริ่มจากธุรกิจ software จนกลายมาเป็นยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคม ของญี่ปุ่นในปัจจุบัน

Masayoshi son นั้นผ่านการลงทุนมามายมายตั้งแต่ช่วง dot com boom เมื่อปี 2000  จนสามารถกลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกแซงหน้า bill gate ได้ แต่ก็เพียงไม่นาน ชีวิตก็ต้องเปลี่ยนผัน เนื่องจากภาวะ dot com crash ในปี 2000 ทำให้เงินของเขาหายไปกว่า 99% แต่ด้วยความเชื่อของเขาว่า สุดท้าย บริษัทเทคโนโลยีก็จะเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง

เนื่องจากการเติบโตของผู้ใช้ internet รวมถึง การพัฒนาการของเทคโนโลยีที่มีอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาสามารถกลับมายืนบนเส้นทางนักลงทุนทางด้านเทคโนโลยีได้อีกครั้ง

ที่น่าสนใจคือ เขาเป็นคนแรก ๆ ที่ให้ทุนแก่ jack ma ที่สร้างอาณาจักร alibaba ได้อย่างยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน ตอนนั้น บริษัทของ jack ma นั้นแทบจะไม่มีกำไร และมีพนักงานเพียงน้อยนิดเท่านั้น เรียกว่าเป็นการลงทุนที่เชื่อมั่นใน jack ma เป็นอย่างมากเลยก็ว่าได้

เป็นผู้ให้เงินทุนคนแรก ๆ กับ jack ma

เป็นผู้ให้เงินทุนคนแรก ๆ กับ jack ma

ที่ให้ทุนกับ jack ma ไปสร้างอาณาจักร alibaba จนสามารถยิ่งใหญ่ได้ในปัจจุบัน และสามารถทำกำไรให้เขาได้อย่างมากมาย เนื่องจาก alibaba นั้นกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ แห่งหนึ่งของโลกในขณะนี้ก็ว่าได้

ซึ่งการลงทุนในระดับตำนานของเขาคือการลงทุนใน ARM  ซึ่งเขามองว่า ARM นั้นครองส่วนแบ่งได้ถึง 99% ในตลาด chip ของมือถือ ซึ่งกว่า 1000 ล้าน device ในปัจจุบัน นั้นใช้ chip ของ ARM แล้วทำไมเขาถึงจะไม่ลงทุนในบริษัทที่ส่วนแบ่งการตลาดขนาดนี้ รวมถึง ในอนาคตนั้น ไม่ใช่แค่มือถืออย่างเดียวที่ใช้ chip

ในยุค internet of thing ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเราจะต้องใช้ chip หมด ซึ่งการที่ ARM สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดขนาดนี้นั้น เขามองว่า การลงทุนกับ ARM ถึงแม้จะเป็นการลงทุนเรื่อง chip ที่ไม่ใช่เทคโนโลยีของอนาคตซะทีเดียวนั้น ถือว่าเป็นการลงทุนที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

อ่านเกมส์ขาดในการลงทุนใน ARM ผู้ผลิตชิพ มือถือ

อ่านเกมส์ขาดในการลงทุนใน ARM ผู้ผลิตชิป มือถือ

สำหรับเรื่องของอนาคตการลงทุน ซึ่งเขามองเรื่อง Singularity รวมถึงเรื่อง AI ที่เป็นเทคโนโลยีในอนาคต ที่จะเป็น port การลงทุนที่สำคัญของเขาในอนาคตต่อจากนี้ไป ซึ่งส่วนนี้สำคัญมาก

อนาคตเลือกลงทุนใน AI และ Robot เพราะเป็นอนาคตใหม่ของโลกเรา

อนาคตเลือกลงทุนใน AI และ Robot เพราะเป็นอนาคตใหม่ของโลกเรา

เพราะคำว่า Believe ของเขา ที่มักพูดออกสื่ออยู่บ่อย ๆ นั้นแทบจะเป็นจริงในทุก ๆ ครั้ง ความเชื่อ และประสบการณ์ของเขา นั้นสามารถทำนายอนาคตของเราได้ว่า เทคโนโลยีทางด้าน AI นั้น จะมีบทบาทสำคัญอย่างมากกำลังมีบทบาทที่สำคัญเป็นอย่างกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ในอนาคตอันใกล้นี้

แน่นอนว่าการใกล้ชิดกับอเมริกาตั้งแต่เรียน รวมถึงการได้ไปลงทุนในธุรกิจมากมายในอเมริกานั้น น่าจะเป็นส่วนสำคัญที่เขาต้องเลือกช่วยเหลืออเมริกาในการยกเลิกธุรกิจกับ หัวเว่ย ซึ่ง แน่นอนว่า ARM นั้นได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน เพราะ Huawei เป็นค่ายยักษ์ใหญ่มือถืออันดับสองของโลก แต่ ก็ต้องบอกว่าแค่ลูกค้าที่มีอยู่ในมือนั้น ARM ก็แทบจะผลิตชิป รองรับความต้องการแทบจะไม่ทันแล้วในตอนนี้ ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้ ดูแล้ว คนที่ได้รับผลกระทบหนักมากที่สุดน่าจะเป็น Huawei เสียมากกว่านั่นเองครับ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol

Book Review : ชีวประวัติ แจ๊ค หม่า มีชีวิตอยู่เพื่อสะท้านโลก

หนังสือเล่มนี้ถือเป็นหนึงในหนังสือที่ผู้ที่ทำ Start Up หรือ เหล่า Entrepreneur ควรที่จะหามาอ่านเป็นอย่างยิ่ง ถือว่าเป็นการรวมรวมประวัติของ Jack Ma ที่มีรายละเอียดที่มากที่สุดเล่มนึง ซึ่งทำการแปลโดยสำนักพิมพ์ postbooks

ด้วยเนื้อหาของหนังสือที่ค่อนข้างเยอะมาก โดยมีรายละเอียดปลีกย่อยของประวัติ Jack Ma ค่อนข้างเยอะมาก ตั้งแต่ช่วงชีวิตการเรียน จนมาสร้างบริษัท Starup และจนประสบความสำเร็จเป็นเจ้าของ Alibaba ในปัจจุบัน และทำ IPO ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก จนมีมูลค่า Market Cap สูงถึง 7.3 ล้านล้านบาทซึ่งทำให้กลายเป็นบริษัทที่มูลค่าสูงสุดติดอันดับต้น ๆ ของโลกเลยก็ว่าได้

ประวัติของ Jack Ma นั้นถือว่าไม่ธรรมดาเพราะเริ่มต้นด้วยอาชีพการเป็นครูภาษาอังกฤษ และแทบไม่มีพื้นฐานทางด้านความรู้ของ internet เลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยโชคชะตา และ โอกาส ทำให้เค้านั้นได้กลายเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งในจีนทันทีเมื่อบริษัทได้ทำ IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐ

ในช่วงเริ่มต้นนั้น jack ma ได้มีโอกาสเป็นตัวแทนของทางเมืองหังโจวเพื่อไปเจรจาทางกาค้ากับบริษัทในอเมริกา เพื่อตรวจสอบความมีตัวตนของบริษัททางฝั่งอเมริกาที่จะมาลงทุนในประเทศจีน ในเมืองบ้านเกิดของเค้าคือ หังโจว  ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่ทำให้เค้าได้พบเจอกับ internet ซึ่งในยุคนั้นถือว่ายังเป็นสิ่งที่ใหม่มากของโลกเลยก็ว่าได้ เพราะอเมริกาเป็นจุดเริ่มต้นของ technology internet การที่ jack ได้ประเจอกับสิ่งใหม่คือ internet ทำให้เค้ามีความคิดที่จะกลับบ้านมาสร้างกิจการ internet ที่บ้านของเขาในเมืองจีน ซึ่งแทบจะว่ายังล้าหลังมาก ๆ ในยุคนั้น

่jack ma นั้นเริ่มต้นด้วยการสร้าง web directory ของประเทศจีนและเป็นเจ้าแรก ๆ ในจีนที่ได้สร้างเว๊บไซต์ขึ้น โดยที่เขานั้นยังไม่มีความรู้ใด ๆ  โดยมีการติดต่อกับบริษัทในอเมริกาเพื่อให้สร้าง website ให้และนำมาจัดจำหน่ายในประเทศจีน ซึ่งในยุคนั้น แทบจะไม่มีคนจีนรู้จักกับ internet รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีนั้นในจีนแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ทำให้ในตอนแรก มีแต่คนมองว่าเค้าเป็นคนหลอกลวง ซึ่งเค้าก็เพียรพยายามสู้ทุกอย่างเพื่อให้ลูกค้าได้เข้าถึงโอกาสสำคัญที่จะทำให้มีการปฏิวัติการทำธุรกิจในประเทศจีนด้วยระบบ internet

สิ่งที่ jack ma ทำนั้นก็เปรียบเสมือน YAHOO ของประเทศจีนเพื่อทำการ promote ธุรกิจผ่าน website โดยลูกค้าสามารถสมัครเพื่อนำ profile ของบริษัทตัวเองขึ้นสู่ง website เป็น model การทำธุรกิจง่ายๆ  ในสมัยนั้น แต่เนื่องจากไม่มีใครที่มีความรู้เลยในประเทศจีน จึงทำให้ jack ma ถูกมองว่าเป็นบิดาแห่ง internet ประเทศจีนเลยก็ว่าได้ จนต้องถูกทางการที่ปักกิ่งโดยกระทรวงการค้าญี่ปุ่นเรียกตัวไปช่วยสร้างระบบทางการค้าให้กับกระทรวงการค้าของประเทศจีนเพื่อให้สู่ระบบ online เป็นหน่วยงาน แรก ๆ ของประเทศจีนที่ได้สัมผัสกับ internet

แต่การทำงานกับรัฐบาลจีนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลยสำหรับ jack ma ในที่สุดเค้าก็รู้ความจริงว่าถูกหลอกจากรัฐบาลจีนว่าจะให้หุ้นส่วน แต่ความจริงแล้วนั้น รัฐบาลนั้นไม่สามารถให้หุ้นส่วนกับ jack ได้เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านกฏหมาย ซึ่งจุดนี้เป็นจุดแรกที่ทำให้ jack เข้าใจถึงความโหดร้ายของการทำธุรกิจกับรัฐบาลจีน และเนื่องจากเค้านั้นทำงานได้ประสบความสำเร็จกับกระทรวงการค้าจีน และแม้เค้าจะได้รายได้ที่ค่อนข้างดี แต่เค้ามองที่การทำธุรกิจตั้งแต่แรก เค้าจึงเบนเข็มกลับบ้านเกิดที่เมืองหังโจว เพื่อสร้างธุรกิจของตัวเองอย่างเต็มที่ ซึ่งการทำงานกับกระทรวงการค้าจีนนั้นก็ทำให้ jack ma ได้เห็นถึงโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของ model ธุรกิจแบบ B2B ซึ่งมี SME อยู่จำนวนมากในประเทศจีนที่ต้องการที่จะเข้าสู่ระบบ internet การมุ่งหน้ากลับมาสร้างธุรกิจใหม่ของ jack นั้นถือว่าเป็นจุดสำคัญ เค้าปฏิเสธงานจากหลายๆ  ที่แม้กระทั่ง YAHOO ในประเทศจีนก็เคยเสนอให้เค้ามาดูแล แต่ jack ma นั้นไม่สนใจแต่อย่างใด เค้ามีเป้าหมายในตัวเองอยู่แล้วที่จะสร้าง website B2B ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกให้ได้

การเริ่มต้นสร้าง alibaba นั้นเต็มไปด้วยความยากลำบากสำหรับ jack ma เนื่องจากเงินทุนเริ่มต้นที่น้อยนิด และเค้าต้องการเริ่มต้นด้วยทุนของตัวเองทั้งหมด จึงได้รวบรวมเงินกับพนักงานผู้ก่อตั้งของเค้าและมากองรวมกัน เพื่อให้ทุกคนได้เป็นหุ้นส่วนของบริษัทใหม่อย่างเต็มตัว และทุ่มเทให้กับการทำงานเต็มที่เพราะทุกคนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ alibaba มาตั้งแต่แรก  เริ่มแรกนั้นก็ใช้บ้านของ jack เป็น office เริ่มต้นในเมืองหังโจวและทุกคนก็มาอยู่ร่วมกัน พวกพนักงานอย่าง programmer ก็แทบจะใช้ชีวิตทั้งกินนอน และทำงานกันอยู่ที่นั่น ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัท startup ส่วนใหญ่ในตอนเริ่มต้นทำกันทั้งในอเมริกาหรือประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

ในช่วงแรกนั้นบริษัทประสบปัญหาต่าง ๆ มากมาย ทั้งเงินทุน ทั้งเรื่องของคนเนื่องจากเป็นพนักงานเพียงไม่กี่คนและทำ website ขนาดใหญ่ที่ต้องการนำ SME ทั่วโลกมาใช้บริการโดยเริ่มต้นจากประเทศจีนบ้านเกิดของเค้าเอง และ สิ่งสำคัญคือตอนนั้น jack ก็ยังไม่ได้คิด model ธุรกิจการทำเงินที่ชัดเจนจึงประสบกับปัญหาสภาวะขาดทุนในช่วงปีแรก ๆ เป็นอย่างมากจนแทบจะไม่มีเงินบริษัทเหลือ

ทางเดียวที่จะทำให้บริษัทอยู่รอดต่อไปนั้น jack ต้องทำการหานักลงทุนเพื่อเข้ามาลงทุนร่วมและเข้าใจเป้าหมายระยะยาวของ alibaba เพื่อให้เป็น partner ร่วมกันไปอีกหลายปี และเนื่องจาก jack นั้นมีการเลือกที่ค่อนข้างละเอียดในส่วนของนักลงทุน จึงทำให้ปฏิเสธการลงทุนไปหลายรายมาก ๆ เค้ามองว่าในอนาคตนั้นบริษัทจะมีมูลค่ามหาศาลแน่ ๆ จึงพิถีพิถันกับการเลือกนักลงทุนที่จะเข้ามาร่วมกับ jack แม้บางบริษัทจะให้เงินทุนจำนวนมาก แต่ jack ก็ปฏิเสธอย่างไม่ใยดีในช่วงแรก เพราะเขาต้องการผู้ลงทุนที่มีวิสัยทัศน์เช่นเดียวกับเขาและมองการลงทุนในระยะยาวมากกว่า การเข้ามาเพื่อหากำไรในระยะสั้น

สุดท้ายบริษัทที่ได้ลงส่วนแรกคือ Goldman sachs ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจอยู่เหมือนกันที่เป็นบริษัททางด้านการลงทุนจากอเมริกา ซึ่งช่วงนั้น jack ก็ได้ขุนพลสำคัญที่จะมาเป็น CFO คู่ใจของเขาอีกยาวนานคือ โจเซฟ ไช่ ซึ่งเป็นนักเรียนนอกจาก harward และทำงานบริษัทใหญ่ ๆ มานักต่อนักแล้ว ซึ่งเป็นสเน่ห์ที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ alibaba ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน jack มีความสามารถในการดึงดูดคนเก่ง ๆ มาร่วมงานได้อย่างง่ายดาย  โจเฟซ ไช่ ก็เช่นกันยอมทิ้งเงินเดือนสูง จากบริษัท Investor AB มาร่วมงานกับบริษัทเล็ก ๆ ในเมืองหังโจวอย่าง alibaba เพราะเค้าได้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ของ jack นั่นเอง

เงินลงทุนหลายล้านเหรียญในช่วงแรกนั้น jack ma ทุ่มทุนไปกับการจ้างคน และย้ายที่ทำการบริษัทใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม โดยช่วงนั้น alibaba ก็เริ่มมีชื่อเสียงกับนักลงทุน มีนักลงทุนหน้าใหม่มากหน้าหลายตามาติดต่อ jack เพื่อที่จะลงทุนกับเขา และนั่นเป็นที่มาให้เขาได้พบนักลงทุนทางด้านยุทธศาสตร์ที่สำคัญกับ alibaba ในอนาคตที่สำคัญอย่าง มาซาโยซิ ซัน จาก Softbank ประเทศยี่ปุ่น ซึ่งคนนี้ถือเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญในการขยายตลาดสำหรับ alibaba ในช่วงเริ่มต้น เพราะทาง มาซาโยซิ ซันนั้นได้ให้ลงทุนถึง 30 ล้านเหรียญ สำหรับการถือหุ้น 40% ของ Alibaba ทำให้ alibaba มีเงินทุนสำหรับการขยายตลาดไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกทั้งการตั้งศูนย์ R&D ในอเมริกา การตั้ง สำนักงานใหญ่ในฮ่องกง และ การขยายไปยังทวีปยุโรป

ตัว มาซาโยซิ ซัน นั้นเป็นนักลุงทุนที่เน้นลุงทุนในบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกอยู่แล้ว ในช่วงหนึ่งนั้นมูลค่าหุ้นของเค้าแทบจะทำให้เค้ากลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกแซงหน้า bill gates ไปเลยก็ว่าได้ แต่เนื่องจากการประสบกับปัญหาของฟองสบู่ดอทคอม ในช่วงปี 2000 นั้นก็ทำให้มูลค่าหุ้นของเขาหายไปกว่า 90% เลย แต่เค้าก็พร้อมที่จะรับความเสี่ยงนี้ต่อไปโดยหลังจาก ช่วงปี 2000 บริษัทดอทคอมก็เริ่มกลับมาบูมอีกครั้ง และเขาก็ได้กระจายการลงทุนไปยังทั่วโลกจนตอนนี้ ก็แทบได้ว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีลำดับต้น ๆ ของญี่ปุ่น และของโลก

หลังจากได้เงินทุนจำนวนมหาศาลจาก softbank นั้น jack ก็เน้นไปที่การขยายกิจการเพิ่มขึึ้น และใช้เงินเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการจ้างคนที่มีคุณภาพจากฝั่งอเมริกาและยุโรป ทำให้เงินทุนค่อยๆ ร่อยหรอลงไปเรื่อย ๆ จนแทบจะใกล้หมด กว่าเขาจะรู้ตัวเงินก็เหลือเพียงแค่ไม่กี่ล้านเหรียญแล้ว jack จึงต้องผ่านบททดสอบครั้งใหญ่ในการพากิจการก้าวไปข้างหน้าให้ได้ โดยเขาต้องทำการปลดพนักงานออกเป็นจำนวนมากทั้งในอเมริกา ยุโรป และ ฮ่องกง ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่สำคัญครั้งนึงของ jack ในการบริหาร alibaba เลยก็ว่าได้

หลังจากนั้น jack ก็เริ่มมาสนใจธุรกิจที่นอกเหนือจาก B2B อย่าง B2C หรือ C2C จุดใหญ่ที่สำคัญที่เป็นบทพิสูจน์ความเก่งกาจของ jack คือการสร้างธุรกิจ C2C อย่าง เถาเป่า บริษัทการที่แทบจะเลียนแบบ ebay มาเลยก็ว่าได้ ซึ่งในตอนนั้น ebay นั้นเป็นยักใหญ่ในบริษัท C2C และ B2C ของโลกโดยมีการลงทุนเข้าซื้อบริษัทยักใหญ่ในจีน และควบรวมกลายเป็น ebay china ซึ่งครองตลาดกว่า 80% ในขณะนั้น

ebay นั้นพร้อมทุกอย่างทั้งบุคคลากร และเงินทุนจำนวนมากจาก อเมริกา จึงไม่มีใครสามารถสู่ได้ในขณะน้น แต่ jack ก็พร้อมที่จะรบเต็มที่สร้าง เถาเป่า ขึ้นมาเพื่อมาสู้กับ ebay โดยเฉพาะ และสงครามก็เริ่มขึ้น ebay ทุ่มทุน โฆษณาอย่างยิ่งใหญ่ ใช้งบไปหลายร้อยล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการสร้างตลาดใหม่ขึ้นมา ทำให้มูลค่าตลาด C2C นั้นสูงขึ้นอย่างมากและ เถาเป่า ก็สู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรี และเนื่องจากการที่ jack เป็นคนจีน จึงเข้าใจวัฒนธรรมของคนจีนมากกว่า และ สร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวจีนมากกว่า ทำให้ ผู้บริโภคย้ายมาใช้บริการของ เถาเป่าเป็นจำนวนมาก จนในที่สุดก็สามารถชนะ ebay ได้ จนทำให้ ebay ต้องถอนการลงทุนจากจีนออกไป ซึ่งจุดนี้เป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญของ jack ในการบริหารกิจการเล็ก ๆ และล้มยักใหญ่อย่าง ebay ในจีนได้

หลังจากศึก ebay นั้น alibaba group ก็แทบจะครองธุรกิจ ecommerce จีนแบบเบ็ดเสร็จ และเค้าได้สร้างนวัตกรรมที่สำคัญอีกหลายอย่างทั้ง alipay , alimama , china smart logistics เพื่อ inegrate service ของ alibaba ทุกอย่างเข้าด้วยกัน รวมถึงการได้ partner ที่สำคัญอีกบริษัทอย่าง YAHOO ที่สุดท้ายก็ต้องยก YAHOO ประเทศจีนให้กับ alibaba ของ jack ma โดยแลกกับหุ้นส่วน กว่า 40% ในบริษัท alibaba และยอมร่วมเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์เช่นเดียวกับ softbank จากญี่ปุ่น

และสุดท้ายบริการที่ยิ่งใหญ่อีกตัวหนึ่งของ alibaba สำหรับตลาดธุรกิจ B2C คือ Tmall โดยมีการแยกออกมาจาก เถาเป่า ซึ่งเป็นบริการล่าสุดของ alibaba group ทำให้ alibaba แทบจะครอบครองส่วนแบ่งการตลาดแบบเบ็ดเสร็จของ ecommerce ในประเทศจีน ซึ่งแค่ยอดขายในวันที่ 11/11 ของทุก ๆ ปีนั้น alibaba group ก็จะมีการลดราคาครั้งยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะในปี 2013 นั้น แค่วันเดียวก็สามารถทำยอดขายได้กว่า หลายหมื่นล้านเหรียญ ซึ่งแซง ecommerce ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ อเมริกาเป็นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

สรุปหนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่อ่านแล้วจะเข้าใจ jack ma และความสามารถของเค้านั้นได้พิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่าเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำพาบริษัท alibaba ก้าวเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกบริษัทนึงในอนาคตอันใกล้นี้คาดว่า alibaba นั้นก็จะเป็นบริษัท ecommerce ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้อย่างแน่นอนเนื่องจากการ มีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญครบหมดแล้วทั้งด้านการชำระเงิน logistics และ platform ที่ครอบคลุมทั้ง C2C , B2C, และ B2B จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อทำ IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐแล้วนั้นบริษัทจะทำให้บริษัทมีมูลค่ากิจการสุงถึง 7.3 ล้านล้านบาท และ ในอนาคต alibab จะเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อย่างแน่นอน

เก็บตกจากหนังสือ 

  • Jack Ma นั้นไม่ได้เป็นคนที่พื้นฐานความรู้ทางด้าน technology ที่แข็งแกร่งแบบเดียวกับผู้ก่อตั้งทาฝั่งอเมริกาเลยแต่ก็สามารถนำพาบริษัท technology ที่ยิ่งใหญ่ได้
  • เสน่ห์ที่่สำคัญของ jack คือการที่สามารถดึงดูดคนเก่งมาร่วมงานได้ และยอมถวายชีวิตการทำงานให้กับวิสัยทัศน์ของเค้าได้
  • การลงทุนทางด้านบริษัทเทคโนโลยีนั้นมีความเสี่ยงสูง แต่ return of investment ก็สูงมาก ๆ  เช่นเดียวกัน จึงทำให้ดึงดูดนักลุนทุนจำนวนมาก เช่น YAHOO, Softbank ที่เข้ามาลงทุนกับ alibaba นั้นก็แทบจะไม่มายุ่งกับการบริหารของ alibaba มากมายเลย