Meta และ Mark Zuckerberg กำลังประสบปัญหาหกตัวอักษร นั่นคือ: TikTok แอปวิดีโอขนาดสั้นที่มีผู้ใช้มากกว่าพันล้านคนและกลายเป็น Hot Thing in Tech หมายถึงปัญหาสำหรับ Zuckerberg และเครือข่ายโซเชียลของเขา
มันเป็นคำถามที่น่าสนใจ ที่ทำให้เกิดบทความซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences และถูกเขียนโดยทีมนักวิจัยที่มีความหลากหลาย และ มีความโดดเด่นในวิทยาศาสตร์หลาย ๆ แขนง ไม่ว่าจะเป็น ชีววิทยา จิตวิทยา ประสาทวิทยาภูมิอากาศ ไปจนถึงปรัชญา
มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่กำลังบ่งชี้ให้เห็นความเข้าใจถึงวิธีการการแพร่กระจายข้อมูลผิด ๆ ทางโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในเครือข่าย Social Media
โดย Joe Bak-Coleman นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน หนึ่งในผู้ร่วมเขียนบทความ และเพื่อนร่วมงานของเขาได้ชี้ให้เห็นตัวอย่างหลาย ๆ ด้าน ที่พวกเขากล่าวว่า Social Media ได้เป็นตัวขัดขวางที่สำคัญของข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านสุขภาพ สภาพภูมิอากาศ และหัวข้อซีเรียสต่าง ๆ มากมาย
หรือการฉีดวัคซีน ก็มีข้อมูลบิดเบือนจำนวนมากอยู่บนโลก Social Media เหล่านี้ ที่ทำให้คนต่างขยาดในเรื่องการฉีดวัคซีน และยังปล่อยให้พวกเขาเหล่านี้เข้าใจแบบผิด ๆ และไม่มีการตรวจสอบข้อมูลใด ๆ อีกด้วย
หรืออีกตัวอย่างหนึ่งที่ Joe Bak-Coleman ได้ยกมากล่าวว่า มีบทความวิจัยหนึ่งที่ทำผลงานทดสอบออกมาได้ไม่ดี แต่ในบทความวิจัยดังกล่าวแนะนำว่า Hydroxychloroquine อาจจะเป็นยารักษาโควิด และข้อมูลได้ถูกแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วผ่านเครือข่าย Social Media
และในไม่กี่วัน ก็มีผู้นำระดับโลกได้ส่งเสริมตัวยาดังกล่าว และผู้คนต่างดิ้นรนเพื่อให้ได้ยา ทำให้ยาตัวนี้ขาดตลาด นั่นทำให้ ไม่มียาสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ยาตัวนี้จริง ๆ ในการรักษาโรคอื่น ๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามันเป็นปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงมาก ๆ ซึ่งมาจากการแพร่กระจายข้อมูลผิด ๆ ในโลก Social Media
หรือแม้กระทั่งในเรื่องการเมือง ที่ Social Media ได้นำไปสู่การบิดเบือนข้อมูลอย่างกว้างขวาง แม้กระทั่งในสหรัฐอเมริกาเอง ที่มันสามารถผลักดันให้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองครั้งใหญ่ ที่เกิดขึ้นกับรัฐสภาสหรัฐอเมริกา ที่แทบจะไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ทางการเมืองของอเมริกาเลยด้วยซ้ำ
มันเป็นการแพร่กระจายยิ่งกว่าไวรัส ด้วยความเร็วที่ไม่เคยมีมาก่อนของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ในระบบนิเวศข้อมูลของโลก Social Media ต่างๆ
และมันกำลังส่งผล และมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมออนไลน์ของมนุษย์ ไปสู่พฤติกรรมออฟไลน์ของมนุษย์ที่จะส่งผลตามมาในระดับใด แม้ บริษัท Social Media รายใหญ่ส่วนใหญ่นั้น จะทำงานร่วมกับนักวิชาการที่ศึกษาผลกระทบต่อแพล็ตฟอร์มที่มีต่อสังคม แต่บริษัทก็ได้จำกัดและควบคุมจำนวนข้อมูลที่นักวิจัยสามารถใช้ได้
มันมีเรื่องกังวลมากมาย ในระดับปัจเจกบุคคล ที่เครือข่าย Social Media เหล่านี้กำลังสร้าง Impact ต่อโดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ ตัวอย่างเช่น วิธีที่ Instragram มีโครงสร้างเพื่อให้ได้รับ Like จากเรื่องของความสมบูรณ์แบบและมีการแสดงเรือนร่างของเด็กมากขึ้น
และเขาก็ได้พยายามส่งสัญญาณถึงบริษัท Google แล้วเมื่อครั้งที่เขายังคงเป็นพนักงานอยู่ แต่ดูเหมือนระดับผู้บริหาร รวมถึงผู้ก่อตั้งจะไม่สนใจปัญหาที่เขายกขึ้นมาเลยเสียด้วยซ้ำ
และรูปแบบ pattern ที่เกิดขึ้นดังกล่าวนั้น มันชี้ชัดมาที่การเกิดขึ้นของ Social Media ที่เริ่มใช้งานบนมือถือได้ในปี 2009 นั่นเอง นั่นเป็นสาเหตุให้เด็กยุค Gen Z ที่เกิดหลังปี 1996 เป็นต้นมา เป็นเด็กยุคแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เราที่ได้ใช้ Social Media ตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมต้น
ซึ่งอย่างที่เราได้รู้กันว่าเด็กยุค Gen Z นั้น ใช้เวลาว่างส่วนใหญ่เมื่อพวกเขากลับจากโรงเรียน พอถึงบ้านก็จับอุปกรณ์มือถือเหล่านี้ และเสพติดกับการอยู่บนโลกออนไลน์ ซึ่งแน่นอนว่า มันทำให้เด็กรุ่นนี้ วิตกกังวลมากกว่า เปราะบางกว่า และ ซึมเศร้ามากกว่า พวกเขาพร้อมรับความเสี่ยงจากเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตน้อยลงไปมากเมื่อเทียบกับคนยุคอื่น
และปัจจัยอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในเทคโนโลยีด้าน AI ซึ่งสิ่งที่เรามองไม่เห็นนั่นก็คือ โลกทุกวันนี้มันได้ถูกขับเคลื่อนด้วยพลังของ AI ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Google หรือ Facebook มี Super computer คอยขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลังด้วยพลังการประมวลผล AI ที่จะสั่งให้โปรแกรมต่าง ๆ และผลิตภัณฑ์หลาย ๆ ตัวของพวกเขานั้นทำงานด้วยเครื่องจักรเหล่านี้