It’s Okay to Not Be Okay (Google) กับความเป็นส่วนตัวที่น่ากังวลของอนาคต Voice Assistant

ต้องบอกว่าเทคโนโลยีอย่าง Voice Assistant ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากยิ่งขึ้น ผ่านอุปกรณ์ไฮเทคต่าง ๆ ที่มีมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าบางอุปกรณ์นั้นอาจจะไม่มีหน้าจอ และสั่งการได้ด้วยเสียงเพียงเท่านั้น

บริษัทยักษ์ใหญ่ล้วนโฟกัสกับเทคโนโลยีนี้ ไม่ว่าจะเป็น Google Assistant , SIRI ของ Apple หรือ Alexa ของ Amazon และต้องบอกว่าเทคโนโลยี Voice Assistant ในปัจจุบันพัฒนาไปมากจนน่าตกใจ

แต่อีกไม่นาน เราอาจจะไม่ต้องเรียกมันเพื่อให้ทำงานอีกต่อไป เช่น ในเคสที่เกิดขึ้นกับ Google ซึ่งปรกติเราต้องเรียกเพื่อใช้งาน หรือ มีการกดปุ่มเพื่อเรียกการใช้งานในฟังก์ชั่นนี้ เช่น “Ok Google”

รานงานใหม่จาก สื่อชื่อดังอย่าง 9to5Google ได้ค้นพบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟังก์ชั่นใหม่ที่มีชื่อว่า “Guacamole” ซึ่ง Google อาจเรียกฟังก์ชั่นใหม่นี้ว่า Quick Phrase หรือ Voice Shortcuts

วิธีการที่ 9to5Google เจอฟังก์ชั่นนี้ก็คือ การถอดรหัสโค้ด จากแอปพลิเคชั่นเวอร์ชั่นล่าสุดที่ Google อัปโหลดไปยัง Play Store ซึ่งเป็นไฟล์ APK นั่นเอง

ซึ่งทาง 9to5Google นั้นได้เห็นโค้ดหลายบรรทัด ซึ่งสามารถคาดเดาได้ว่าฟังก์ชั่นในอนาคตของ Google Assistant จะเป็นอย่างไร (มีอยู่ใน Code แต่ต้องบอกว่าอาจจะไม่ได้นำมาใช้จริง ๆ ก็ได้)

มันมีความสามารถทั้งในการตั้งหรือยกเลิกการปลุก ตั้งการช่วยเตือน ถามเกี่ยวกับสภาพอากาศ ตั้งและควบคุมตัวจับเวลา และอื่น ๆ

ซึ่งน่าสนใจว่า เมื่อเราไม่ต้องสั่งมันอีกต่อไป เพราะฉะนั้นมันก็จะฟังเราอยู่ตลอดเวลานั่นเอง และคอยดักวลีต่าง ๆ ที่คิดว่าจะเป็นการสั่งงานจากเรา ซึ่งก็แน่นอนว่า มันจะเริ่มลุกล้ำความเป็นส่วนตัวของเรามากยิ่งขึ้น

ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ 9to5Google ได้วิเคราะห์ไว้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่ออุปกรณ์ต่างๆ เช่น Nest/Smart Display ที่คอยดักฟังคำพูดของเราอยู่ตลอดเวลาและคอยจับหาวลีที่เกี่ยวข้องในการสั่งการ

แม้จะมีการให้ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Google ว่า วิธีตรวจจับคำให้ดำเนินการคำสั่งของ Google Assistant นั้น Google ได้กล่าวว่า “ถ้าไม่มีการตรวจพบการเปิดใช้งาน ฟังก์ชั่นเหล่านี้จะไม่ถูกส่งหรือบันทึกไปยัง Google”

แต่ด้วยการทำงานจริงของ Quick Phrase ที่จะเกิดขึ้น มันทำให้เปิดโอกาสในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้มากกว่าเดิม เนื่องจากต้องมีการคอย monitor เราอยู่ตลอดเวลาในการสนทนาปรกติประจำวันของเรา

แต่นี่เป็นเพียงแค่ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น อาจจะยังไม่ออกมาใช้จริง ฟังก์ชั่นนี้ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา และยังไม่ชัดเจนว่าจะเปิดตัวเมื่อไหร่และอุปกรณ์ใดจะรองรับบ้าง

แต่ก็ต้องบอกว่า ถือเป็นเรื่องน่าสนใจเลยทีเดียวนะครับ ว่าหากเทคโนโลยีนี้ พัฒนาต่อไปในอนาคต จะเป็นอย่างไร และจะลุกล้ำความเป็นส่วนตัวของข้อมูลของเราเพิ่มขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันหรือไม่

แน่นอนว่า ข้อมูลที่เป็น text ที่อยู่บนเว็บไซต์ หรือ email ต่างๆ Google ได้นำมาวิเคราะห์อยู่แล้ว ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการยิงโฆษณาของพวกเขาให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น แต่ในอนาคตมันอาจจะไม่ใช่แค่เพียงข้อมูล text เหล่านี้อีกต่อไป เพราะเสียงของเราอาจจะไปอยู่ในฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เหล่านี้ก็เป็นได้นั่นเองครับผม

References : https://9to5google.com/2021/09/01/google-assistant-quick-phrases/
https://www.androidauthority.com/google-assistant-ok-google-optional-2745962
https://www.theverge.com/2021/4/23/22400412/google-guacamole-voice-shortcuts-assistant-snooze-stop-alarm-call
https://www.cnet.com/tech/services-and-software/google-guacamole-will-reportedly-let-you-use-voice-assistant-without-saying-hey-google/
https://arstechnica.com/information-technology/2019/10/alexa-and-google-home-abused-to-eavesdrop-and-phish-passwords/

Geek Monday EP28 : BBC กับการใช้ AI สร้าง Interactive Radio Show

หนึ่งในการทดลองที่นำเสนอต่อสาธารณะครั้งแรกของ BBC คือการพัฒนาโปรแกรมต้นแบบสำหรับละครเสียงแบบอินเตอร์แอคทีฟดั้งเดิม ที่ใช้ “Story Engine” ของ BBC เอง ซึ่งทำการสร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับอุปกรณ์เสียง ซึ่ง Engine นี้ทำให้ง่ายต่อการเผยแพร่เรื่องราวเดียวกันในหลาย ๆ แพลตฟอร์ม

โดยในความร่วมมือกับ Rosina Sound บริษัทด้านเทคโนโลยีเสียง ได้สร้างโปรแกรมที่มีชื่อว่า The Inspection Chamber โดยเป็นละครเสียงอินเตอร์แอคทีฟที่ ผู้ฟังจะได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว เมื่อมีการสตรีมผ่าน Amazon Echo หรือ Google Home โดยผู้ฟังสามารถแทรกบทของตัวเองลงในเรื่องได้ ซึ่งเป็นการพัฒนาขึ้นเพื่อให้ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร  โดยทีมพัฒนาคาดหวังอย่างเต็มที่ว่าจะขยายไปสู่อุปกรณ์ที่เปิดใช้งานเสียงอื่น ๆ ในอนาคต

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน Podbean : http://bit.ly/2OpypHE

ฟังผ่าน Apple Podcast : https://apple.co/2lEqPPg

ฟังผ่าน Google Podcast : http://bit.ly/2CTikot

ฟังผ่าน Spotify : https://spoti.fi/2NUnMOd

ฟังผ่าน Youtube : https://youtu.be/ua6Dr5T6hCc

References : https://www.bbc.co.uk/rd/blog/2017-09-voice-ui-inspection-chamber-audio-drama https://www.rosina.io/about https://www.bbc.co.uk/taster/pilots/inspection-chamber/inside-story

Sample Show : http://www.bbc.co.uk/rd/blog/2017-09-voice-ui-inspection-chamber-audio-drama

Astro Robodog กับหุ่นยนต์ที่มีดวงตาที่น่ากลัวเหมือนมนุษย์

นักวิจัยจาก Florida Atlantic University (FAU) ได้สร้าง robodog ที่รวมส่วนที่ดีที่สุดทั้งหมดของเทคโนโลยีอย่าง Siri , การพิมพ์ 3 มิติและหุ่นยนต์ยุคใหม่ที่มีความว่องไวเช่น Boston Dynamics ‘SpotMini ขณะที่วิศวกรของ Astro ได้เพิ่มส่วนประกอบพิเศษลงในหุ่นยนต์ตัวนี้ นั่นคือ ดวงตาที่ดูน่ากลัวและเหมือนมนุษย์

โดเบอร์แมนพินเชอร์เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Deep Learning เพื่อ“ เรียนรู้จากประสบการณ์ในการทำงานเหมือนมนุษย์หรือในกรณีของมันก็คือเหล่างานที่เหมือนสุนัขนั่นเอง” 

ดวงตาที่่คล้ายมนุษย์
ดวงตาที่่คล้ายมนุษย์

Astro และหุ่นยนต์อื่น ๆ จำนวนหนึ่งยังคงอยู่ในการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ” แต่ในปัจจุบันสามารถตอบสนองต่อคำสั่งเช่น“ นั่ง”“ ยืน” และ“ นอนลง” นักวิจัยบอกว่า Astro จะเรียนรู้ที่จะทำสิ่งต่าง ๆ เช่นตอบสนองต่อสัญญาณมือในการตรวจจับสี และประสานงานกับโดรนได้

ผู้สร้าง Astro มีความทะเยอทะยานสูงในหุ่นยนต์ตัวใหม่นี้ “ การตรวจจับปืน วัตถุระเบิด และคราบเขม่าดินปืน เพื่อช่วยเหลือตำรวจทหารและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย” พวกเขากล่าวว่ามันสามารถใช้เป็นสุนัขบริการสำหรับผู้พิการทางสายตาได้ด้วย และเป็นตัวช่วยแรก ๆ สำหรับภารกิจการค้นหาและช่วยเหลือ

แต่นักวิจัยอาจตั้งเป้าที่จะทำให้ Astro คล้ายมนุษย์มากขึ้น ในการแถลงข่าว Ata Sarajedini, Ph.D. , คณบดีวิทยาลัยชาร์ลส์อีชมิดท์ของ FAU อธิบายว่า “ Astro ได้รับแรงบันดาลใจจากสมองมนุษย์และมันได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ผ่านเทคโนโลยี Machine Learning และปัญญาประดิษฐ์ซึ่งพิสูจน์ได้ว่า มันจะกลายเป็นทรัพยากรที่ทรงคุณค่ามาก ๆ  ในการช่วยแก้ปัญหาที่ซับซ้อนที่สุดในโลก”

References : 
https://techxplore.com/news/2019-08-astro-robot-dog.html

Car 3.0? A Robot with Wheels

ในปัจจุบัน เราได้เห็นเทคโนโลยี รถยนต์แบบไร้คนขับ พัฒนาอย่างรวดเร็ว ๆ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น Google  , Tesla หรือ แม้กระทั่ง apple เองก็กำลัง ซุ่มทำ รถยนต์แบบไร้คนขับอยู่

อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญตัวจริง ด้านรถยนต์ไร้คนขับอย่าง Padmasree Warrior ซึ่งเป็น CEO ของ Nio U.S บริษัทที่กำลังทำการทดลองรถแบบไร้คนขับในรัฐแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐ อเมริกา 

Padmasree Warrior หญิงแกร่งแห่งอุตสาหกรรมรถยนต์อนาคต
Padmasree Warrior หญิงแกร่งแห่งอุตสาหกรรมรถยนต์อนาคต

และตอนนี้ กำลัง โฟกัส กับการผลิต รถพลังงานไฟฟ้า แบบไร้คนขับอยู่  และเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ในการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า แบบ SUV ที่กำลังขยายตลาดไปยังประเทศจีน ซึ่งเป็นรถที่มีระบบ driver-assistance system หรือ ระบบขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติ พร้อมไปด้วย

เมื่อรถยนต์ถูก Control ด้วย Software

ตอนนี้ เหล่าวิศวกรของ Nio นั้น ไม่ได้ทำเพียงแค่การสร้างรถยนต์ เหมือนในอดีตที่ผ่านมาอีกต่อไป ในยุคใหม่ของอุตสาหกรรมรถยนต์ มันเป็นการ สร้างหุ่นยนต์ ที่ดูเหมือนรถ ซะมากกว่า

เพราะตอนนี้ รถยนต์นั้น ประกอบไปด้วยเซ็นเซอร์ต่าง ๆ มากมาย รวมถึงกล้องความละเอียดสูง และส่วนประกอบเหล่านี้นั้น ต้องการ software เพื่อที่จะทำให้มันสามารถเคลื่อนที่ได้แบบอัติโนมัติ

รถยนต์ ยุคใหม่ ถูก control ด้วย software AI
รถยนต์ ยุคใหม่ ถูก control ด้วย software

ซึ่งส่วนประกอบเหล่านี้นั้นเป็นพื้นฐานหลัก ของการสร้างรถยนต์ ในยุคต่อไป ยุคที่ รถยนต์ ก็แทบไม่ต่างจากหุ่นยนต์ดี ๆ นี่เอง

ในยุคก่อนหน้า เราอาจจะโฟกัส ไปที่การพัฒนา ระบบ electronics และ electrical ของรถยนต์เป็นหลัก แต่ ในยุค “Car 3.0” ที่กำลังพัฒนากันอยู่ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมรถยนต์ กำลังมุ่งไปที่ ดิจิตอล และ Software ที่จะคอยคอนโทรลรถยนต์ เป็นหลัก

เมื่อรถยนต์ต้องมีสมอง

ด้วยการพัฒนาอย่างรวดเร็วของ เทคโนโลยี AI ในปัจจุบัน สำหรับหัวใจหลักของ AI ที่ใช้ในรถยนต์ ก็คือ ระบบไร้คนขับ ให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนได้เอง พาผู้โดยสารไปส่งยังจุดหมายได้อย่างปลอดภัย

ในอนาคตอันใกล้ บริการต่าง ๆ ที่เราได้เห็นในโลก online อย่างระบบ Assistant เช่น SIRI หรือ Google Assistant นั้น ก็จะถูกบรรจุไปใน software พื้นฐานของรถยนต์อย่างแน่นอน

และ AI นั้นยังช่วยเหลือในเรื่องการดูแลรักษารถได้ดียิ่งขึ้น การประสานงานระหว่าง อุปกรณ์ชิ้นส่วนรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็น ระบบเบรค ระบบล้อ หรือ ระบบอื่น ๆ ที่เดิมเป็นแบบ analog นั้น

AI คอยคอนโทรลทุกอย่างในระบบรถยนต์
AI คอยคอนโทรลทุกอย่างในระบบรถยนต์

จะถูก control โดย AI เพื่อคอยช่วย Monitor สภาพของรถยนต์ ให้ผู้ขับขี่ได้รับการแจ้งเตือนได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ทำให้ในอนาคต อุบัติเหตุที่เกิดจากสภาพความไม่พร้อมของรถยนต์ นั้น จะลดลงไปมาก เนื่องจากความฉลาดของ AI เหล่านี้ ที่จะมาช่วยเหลือให้ปลดภัยมากยิ่งขึ้น

ลองจินตนาการถึง รถยนต์ในอนาคต

รถยนต์ ในอนาคต มันต้องกลายเป็นบริการที่ตอบโจทย์กับมนุษย์เรามากยิ่งขึ้น เมื่อรถมันสามารถขับเคลื่อนเองได้อัตโนมัติ

รถยนต์อาจจะบริการให้คุณได้ทุกอย่าง ไมว่าจะเป็นการไปตาม supermarket เพื่อคอยขนสินค้าที่คุณสั่งซื้อมาส่งให้คุณถึงบ้าน โดยที่คุณอาจจะแค่นั่งอยู่ที่บ้านเลยด้วยซ้ำ

ลองจินตนาการถึง ห้องนั่งเล่นที่มีล้อ มันไม่ใช่เรื่องที่ดูเป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป ตัวอย่างของ รถยนต์ Nio’s Eve ซึ่งเป็น concept car ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็น lounge area มีหน้าจอขนาดยักษ์ไว้สำหรับ entertainment มีที่นอนไว้สำหรับพักผ่อน ในยามเดินทางไกล

NIO EVE กับความสะดวกสบายในรถยนต์ ที่ไม่ต้องทรมานในการนั่งอีกต่อไป
NIO EVE กับความสะดวกสบายในรถยนต์ ที่ไม่ต้องทรมานในการนั่งอีกต่อไป

ซึ่งเราจะได้ไม่ต้องอุดอู้ ทรมาน อยู่ในรถแคบ ๆ กับการเดินทางไกล หรือ ในภาวะจราจรติดขัด เหมือนในปัจจุบันอีกต่อไป

เราจะทำให้รถยนต์ในอนาคตมีความปลอดภัยยิ่งขึ้นได้อย่างไร

ในปัจจุบันนั้น อุบัติเหตุด้านจราจรนั้น ส่วนใหญ่เกิดมาจากความประมาท และ ความผิดพลาดของมนุษย์เราแทบจะทั้งสิ้น

มันอาจจะเกิดจากความเหนื่อยล้า สติ ไม่ว่าจะสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ หรือ การอดหลับอดนอน เพื่อขับรถยนต์ ซึ่งหลากหลายสาเหตุเหล่านี้ เป็นที่มาของอุบัติเหตุที่เกิดความสูญเสียแทบจะทั้งสิ้น

ซึ่งเหล่านี้ ล้วนแก้ไขด้วยระบบรถยนต์แบบขับเคลื่อนอัติโนมัติแบบไร้คนขับ ซึ่ง มีส่วนของประกอบของ เซ็นเซอร์ และ กล้องความละเอียดสูง รวมถึงประสิทธิภาพของ software ที่มาประกอบกัน ทำให้มีขีดความสามารถในการขับขี่เหนือกว่ามนุษย์ อย่างแน่นอน

ซึ่งเหมือนในหลาย ๆ อุตสาหกรรมที่ AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในการขับเคลื่อน ซึ่ง อุตสาหกรรมรถยนต์ ก็เริ่มเห็นอนาคต ที่ชัดเจนแล้วว่า รถยนต์ในยุคหน้า หรือยุค 3.0 นั้นจะเป็นอย่างไร

ก็เหลือเพียงแค่มนุษย์เราต้องยอมรับซักทีว่า AI Robot ที่เข้ามามีส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมรถยนต์ ไร้คนขับนั้น ตอนนี้ได้ก้าวข้าม ขีดจำกัดของความสามารถมนุษย์เป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว แม้เราจะตกใจอยู่บ้าง หรือ ไม่มั่นใจ เมื่อเห็นรถยนต์มันขับได้เอง เราอาจจะเชื่อว่าเราขับได้ดีกว่า แต่หากในยุคหน้า เมื่อรถยนต์ ไร้คนขับเหล่านี้ได้รับการยอมรับให้วิ่งในถนนปรกติได้ในทุก ๆ ถนนบนโลก

ให้ AI ขับ ยังไงก็ปลอดภัยกว่ามนุษย์ขับอย่างแน่นอน
ให้ AI ขับ ยังไงก็ปลอดภัยกว่ามนุษย์ขับอย่างแน่นอน

เมื่อนั้น อุบัติเหตุรถยนต์ ที่ทำให้มนุษย์เราต้องสูญเสียไปมากมาย นั้น จะลดลงอย่างแน่นอน เพราะ หุ่นยนต์ ไม่มีเหนื่อยล้า ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ และ ทุกอย่างถูกคำนวนผ่านอุปกรณ์คุณภาพสูงที่มีประสิทธิภาพมากกว่าร่างกายมนุษย์เราเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

References : www.gsb.stanford.edu

การลงทุนด้าน AI กลายเป็น Priority ที่สำคัญที่สุดของบริษัทยักษ์ใหญ๋ในอเมริกา

ต้องบอกว่า ณ ขณะนี้นั้น ยุค Mobile First ได้จบลงไปแล้ว สำหรับการแข่งขันของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของอเมริกา

ตอนนี้ ทุก ๆ บริษัทนั้นกำลังมุ่งเน้นมาที่ AI First ซึ่งเป็นคลื่นลูกใหม่ของเทคโนโลยี ที่จะมีผลต่อการแข่งขันของเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น Google , Apple , Facebook , Amazon, IBM  หรือ Microsoft

จากการที่ Apple ได้ทำการจ้างอดีตหัวหน้าฝ่าย Search & AI มาจาก Google ได้นั้น ต้องถือว่าเป็นการย้ายสลับขั้วที่เป็นข่าวใหญ่เลยทีเดียว

เป็นการเสียมือดีอย่าง John Giannandrea ซึ่งฝากผลงานไว้อย่างมากมายกับเทคโนโลยีสุดล้ำของ Google ซึ่งสุดท้ายก็ได้ทำสิ่งที่เหลือเชื่อคือ การย้ายข้ามฝากมาทำงานกับ Apple ซึ่งจะดูเป็นรองในด้าน AI เมื่อเที่ยบกับ Google

ซึ่งจากรายงานของนักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley อย่าง Katy Huberty นั้น พบว่าในบริษัทยักษ์ใหญ่ในอเมริกาในขณะนี้นั้น Priority ที่สำคัญที่สุดในการที่จะแข่งขันกับคู่แข่งได้ คือ การลงทุนด้าน AI ไม่ว่าจะเป็นนักวิจัย หรือ ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI นั้นบริษัทเหล่านี้พร้อมที่จะทุ่มเทงบประมาณเต็มที่เสมอ เพื่อดึงตัว สุดยอดฝีมือทางด้าน AI ให้มาเข้าร่วมกับตนเองให้ได้ ดังตัวอย่างที่ Apple สามารถทำได้มาแล้ว

John Giannandrea

ซึ่งการจ้าง John Giannandrea ทำให้เค้ากลายเป็นผู้บริหารสำคัญลำดับต้น ๆ ของ Apple ในขณะนี้ โดยต้องรายงานตรงไปยัง Tim Cook CEO ของบริษัท Apple เพียงคนเดียวเท่านั้น ต้องถือว่าข่าวนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงการประกาศอย่างชัดเจนว่า Apple จะเป็นผู้เล่นรายสำคัญ ในอุตสาหกรรม AI/Machine Learning ที่จะมีบทบาทสำคัญต่อโลกของเราอย่างมากในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจากทุก ๆ บริษัทยักษ์ใหญ่ตอนนี้ได้มุ่งเน้นมายัง AI First กันแทบทั้งหมด

การที่ apple เข้ามา Focus ในส่วนของ AI นั้น ก็เพื่อช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่าง SIRI ให้มีความสามารถมากยิ่งขึ้น รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ apple แอบซุ่มพัฒนาอยู่อย่าง self-driving car ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงทางด้าน AI และต้องใช้บุคคลากรที่มีความสามารถสูงอย่าง John Giannandrea จึงจะบรรลุเป้าหมายที่ apple ต้องการได้

AI Vendor ระดับท็อป

สำหรับ Google , Apple และ Facebook นั้น ผลิตภัณฑ์ทางด้าน AI จะเน้นไปยังกลุ่ม Consumer เป็นหลัก แต่ ถ้าพูดถึงตลาดสำหรับองค์กรนั้น จากการสำรวจ AI Vendor ระดับท็อป อย่าง Amazon , Microsoft และ IBM ผ่านการสำรวจกับ CIO ของบริษัทต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา และ ยุโรป พบว่า Amazon Machine Learning ใน AWS ของ Amazon และ Microsoft Machine Learning ใน Cortana ของ บริษัท Microsoft นั้นมาเป็นอันดับหนึ่งในผลการสำรวจ โดยได้คะแนนถึง 13% จากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด โดยผู้ที่เข้าร่วมตอบแบบสอบนั้นจะเป็นคนที่ใช้เทคโนโลยีทางด้าน AI หรือ มีแผนที่จะใช้เทคโนโลยีทางด้าน AI เหล่านี้อยู่แล้ว

อันดับที่ 3 คือ IBM Watson จากบริษัท IBM ที่ได้คะแนน 12% ตามมาด้วย Salesforce.com (CRM) Machine Learning ที่ได้ไป 7%

ซึ่งผลจากการที่ปีที่แล้ว IBM นั้นได้เสียหัวหน้าฝ่ายวิจัยด้าน AI ไปให้กับคู่แข่ง และการพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็วของ Amazon และ Microsoft นั้นทำให้สามารถแซง IBM ที่ผลิตภัณฑ์เด่นอย่าง IBM Watson ขึ้นมาได้จากการสำรวจดังกล่าว

ซึ่งการแข่งขันทางด้าน AI/Machine Learning ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของอเมริกานั้น ล้วนแล้วแล้วแต่ต้องพี่งพาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จากบริษัทเทคโนโลยีใน Silicon Valley แทบทั้งสิ้น ในทุก ๆ อุตสาหกรรม ที่มีการใช้ IT ในการขับเคลื่อนธุรกิจ

ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของสหรัฐนั้น มีการใช้งบทางด้าน Information Technology อยู่ทีประมาณ 5.8% ในแต่ละปี ซึ่งตลอด 10 ปีที่ผ่านมางบดังกล่าว ก็ได้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ตามกระแสของเทคโนโลยีที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

ซึ่งในยุค AI First นั้น องค์กรต่าง ๆ ก็ต้องการผลิตภัณฑ์ที่จะตอบโจทย์ธุรกิจของตนเอง เพื่อให้สามารถเป็นอาวุธในการแข่งขันในตลาดที่ดุเดือด และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอย่างเช่นในปัจจุบันได้ หากองค์กรใดที่ไม่ยอมปรับตัว ก็มีโอกาสที่ ธุรกิจที่มีมาร้อย ๆ ปี อาจจะล่มสลายได้ในเวลาเพียงไม่นาน เหมือนที่หลาย ๆ ธุรกิจ อย่าง สิ่งพิมพ์ เพลง หรือบริษัทมือถือยุคเก่าอย่าง Blackberry,Nokia เคยล้มมาแล้วในเวลาอันสั้น หากไม่ยอมคิดที่จะปรับตัว

 

References : thenextweb.com wikipedia.org www.investors.com