ประวัติ Jho Low ตอนที่ 14 : The Secret Source

บนเรือสำราญ Topaz ของ Sheikh Mansour ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจาก French Riviera ถือเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการฉลองชัยชนะการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของ Najib Razak เขานั่งอยู่บนเก้าอี้เกือกม้าในห้องโถงของเรือยอชต์ ในขณะที่กำลังคุยธุรกิจกับ Sheikh Mohammed เจ้าชายแห่งอาบูดาบี ซึ่งเป็นพี่ชายของ Sheikh Mansour

ซึ่งก็เหมือนทุก ๆ ครั้ง Low เป็นคนจัดแจงให้เกิดการประชุมขึ้นในเดือนกรกฏาคมปี 2013 ซึ่งการประชุมครั้งนี้ประกอบไปด้วย Michael Evans รองประธานของ Goldman Sachs และ Tim Leissner ซึ่งต้องบอกว่าเงินที่ Low นำมาช่วยเหลือ Najib นั้นก็ทำให้เขาได้อยู่ในอำนาจอย่างปลอดภัย ต่อไปอย่างน้อยอีกหนึ่งสมัย

และตอนนี้ อาบูดาบี กำลังเตรียมที่จะเทเงินเข้าไปในศูนย์กลางทางการเงินใหม่ในกัวลาลัมเปอร์ ที่จะนำตระกูล Razak ไปสู่ความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง และจะทำให้ฝันในเรื่องการนำพาประเทศมาเลเซียก้าวข้ามเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้ตามความฝันของ Najib สำเร็จได้เสียที

และในช่วงเวลาเดียวกัน ในขณะที่ Topaz กำลังแล่นอยู่นอกชายฝั่งของฝรั่งเศส Lorraine Schwartz ช่างอัญมณีชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ก็ได้บินมายัง โมนาโก และ Low ก็ได้พาเธอไปที่เรือยอชต์ ซึ่ง Low นั้นซื้อเครื่องประดับจาก Schwartz มาเป็นเวลาหลายปีทำให้มีความคุ้นเคยกับ Larraine เป็นอย่างดี

และ Low ก็พาเธอไปพบกับ Rosmar ภรรยาของ Najib เพื่อโชว์เครื่องประดับสุดหรู เป็นสร้อยคอเพชรยี่สิบกะรัต แน่นอนว่า Low นั้นไม่มีทางลืม Rosmar หลังจากพา Najib ไปสู่ฝั่งฝันเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง รวมถึง พาลูกเลี้ยงอย่าง Riza Aziz แจ้งเกิดในวงการสร้างภาพยนตร์ ฮอลลีวูด ได้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ Rosmar ที่ Low ต้องเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ เมื่อ Rosmar และกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกันได้เห็นเพชรของ Schwartz ที่ Larraine นำมาด้วยนั้น ทุกคนก็ถึงกับอ้าปากค้าง เป็นเพชรที่งามเด่น แบบที่พวกเธอไม่เคยเห็นมาก่อน และนี่เป็นสิ่งที่ Low ต้องมอบให้กับเธอเพื่อฉลองความสำเร็จของสามีของเธอนั่นเอง

แต่แน่นอนว่า การซื้อเครื่องประดับมูลค่าขนาดนี้ ก็ต้องใช้เส้นทางการเงินลึกลับเหมือนเคย เมื่อผ่านไปสองเดือนหลังจากจบทริปล่องเรือที่ฝรั่งเศส Najib ต้องมาประชุมที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในเมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา

Najib ต้องมาประชุมที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในเมืองนิวยอร์ก
Najib ต้องมาประชุมที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในเมืองนิวยอร์ก

Low ก็ได้ใช้โอกาสนี้ เพื่อจัดการเรืองเพชรของ Schwartz โดยไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้า Low ได้ส่ง email ไปหา Lorraine Schwartz โดยใช้ชื่อบัญชี Gmail ของ Eric Tan และขอให้ทาง Larraine นั้นมอบสร้อยคอกับ Rosmar เมื่อเธอเดินทางไปพร้อมกับสามีที่เมืองนิวยอร์ก

โดย Low ขอให้ Schwartz นั้นออกใบแจ้งหนี้ไปที่ Blackrock Commodities (Global) บริษัท เชลล์อีกแห่งหนึ่งที่ Low เป็นเจ้าของ ที่ตั้งชื่อให้คล้ายกับบริษัทด้านการลงทุนของสหรัฐอเมริกา

ต้องบอกว่าเงินบางส่วนหลังจากการเลือกตั้งนั้นอยู่ในบัญชี Blackrock ในธนาคาร DBS ของประเทศสิงคโปร์ การใช้ที่อยู่ email ของ Eric Tan ตัว Low เองได้บอกกับ DBS ว่า Blackrock เป็นผู้ค้าส่งเครื่องประดับรายหนึ่ง เพื่อแสดงให้เห็นถึงการไหลเข้าของเงินจำนวนหลายสิบล้านดอลลาร์ โดยราคาของสร้อยเพชรเม็ดงามนั้น อยู่ที่ 27.3 ล้านดอลลาร์ ทำให้เป็นหนึ่งในชิ้นส่วนเครื่องประดับที่แพงที่สุดในโลก

ซึ่งดูเหมือนทุกอย่างจะราบรื่นสำหรับ Low หลังจากได้เงินมาอีกครั้งจาก Goldman Sachs ด้วยรูปแบบวิธีการที่แทบไม่ต่างจากเดิม แต่เพิ่มความซับซ้อนในเรื่องการทำธุรกรรมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ Low นั้นมั่นใจว่า คงไม่มีใครที่จะสามารถตามรอยเขาได้

แต่เรื่องราวที่น่าหวั่นวิตกสำหรับ Low ก็เกิดขึ้นจนได้ นับตั้งแต่ออกจาก PetroSaudi ในปี 2011 Xavier Justo หนึ่งในผู้เกี่ยวข้องที่สำคัญของการปล้นครั้งแรกของ Low พยายามที่จะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องราวในครั้งนั้น

แม้จะมีส่วนร่วมในการปล้นครั้งแรก แต่ดูเหมือน Justo จะถูกหักหลัง เขาหนีมาใช้ชีวิตบนเกาะสมุย ของประเทศไทย โดยเขาหันเหชีวิตมาพัฒนาวิลล่าสุดหรูในเกาะแห่งนี้ มันเป็นเกาะในฝันของใครหลาย ๆ คนรวมทั้ง Justo เอง เขาหวังที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ แต่ดูเหมือนแผนการสำหรับการลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของเขาจะเจอกับปัญหาเสียแล้ว

Justo ที่หนีมาใช้ชีวิต ที่เกาะสมุยในประเทศไทย
Justo ที่หนีมาใช้ชีวิต ที่เกาะสมุยในประเทศไทย

เนื่องจากต้นทุนการก่อสร้างที่สูง ทำให้ Justo เอง เริ่มคิดถึงเงินที่ PetroSaudi เคยสัญญาไว้ แต่ไม่เคยจ่ายให้เขา กับค่าส่วนแบ่งในการปล้นครั้งแรกของ Low ซึ่งเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว ที่เขารู้สึกท้อแท้ผิดหวัง เขารู้สึกขมขื่นกับวิธีที่ Tarek Obaid เพื่อเก่าของเขาได้เฉดหัวเขาทิ้งจาก PetroSaudi และไม่ได้จ่ายเงินตามที่ได้ตกลงกันไว้

ในช่วงปี 2013 Justo จึงได้ทำการติดต่อกับ Patrick Mahony ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนของ PetroSaudi ทาง email ว่า เขามีข้อมูลที่เป็นอันตราย ซึ่งเขาได้ copy ข้อมูลจาก server ของ PetroSaudi ข้อมูลขนาด 140 GB ที่มีทั้ง email และเอกสารที่เกี่ยวข้องเกือบ 5 แสนฉบับจาก PetroSaudi

ซึ่งในเนื้อหาของ email และเอกสารนั้น ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับ Low , Mahony และ Obaid ที่ทำการยักยอกเงินจาก 1MDB ซึ่งตอนนี้ตัว Justo เริ่มหมดความอดทน และรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง จึงได้นัดพบกับ Mahony ที่กรุงเทพ

ทั้งคู่นัดพบเจอกันที่โรงแรมแชงกรีลา ใจกลางกรุงเทพ เมืองหลวงของประเทศไทย Justo ได้เล่าให้ Mahony ฟังว่าเขารู้สึกอย่างไร PetroSaudi ที่ตกลงจะจ่ายเงินนับล้านฟังก์สวิสให้เขา แต่จำนวนเงินที่ได้จริงกลับลดน้อยลงมาก ไม่เป็นไปตามข้อตกลง

ตอนนี้เขาต้องการเงิน 2.5 ล้านฟรังก์สวิส เงินที่เชื่อได้ว่าเขาควรจะได้รับ แต่ Mahony เป็นคนเย็นชาต่อข้อเรียกร้องของ Justo ตัว Mahony มองว่าไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่ามีการยักยอก หรือ การกระทำใดผิด เขาจึงบอกกับ Justo ว่า PetroSaudi จะไม่จ่ายเงินให้อย่างแน่นอน สุดท้ายพวกเขาก็แยกย้ายกันโดยไม่มีข้อตกลงใด ๆ เกิดขึ้น

ดูเหมือนหนทางของ Justo จะมืดมน หลังจากถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดีจาก PetroSaudi ในเงินที่เขาควรได้รับ ทำให้เขาเริ่มมองหาผู้ซื้อคนอื่นที่เหมาะสม สำหรับข้อมูลสุด Exclusive ที่เขามีอยู่ และมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่นักข่าวสาวชาวอังกฤษคนหนึ่ง กำลังสนใจเรื่องราวของ Jho Low แบบพอดิบพอดี

Clare Rewcastle-Brown นักข่าวสาววัย 54 ที่แต่งงานกับพี่ชายของอดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ Gordon Brown เธอเป็นนักข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน ที่มีความเชื่อมั่นอย่างนึงว่า นักการเมืองที่กระทำการใด ๆ ที่ส่อเค้าทุจริตนั้น จะต้องได้รับผลกรรมจากการกระทำดังกล่าว

ในช่วงธันวาคมปี 2013 Rewcastle-Brown เริ่มได้ยินข่าวลือจากแหล่งข่าวในมาเลเซียเกี่ยวกับ Red Granite บริษัทผลิตภาพยนตร์ ที่ดำเนินการโดย Riza Aziz ลูกเลี้ยงของ Najib Razak

Rewcastle-Brown ได้รับการซุบซิบนินทาในกรุงกัวลาลัมเปอร์ว่า หน่วยงานของรัฐบาลมาเลเซียอาจสนับสนุนทางการเงินให้กับ บริษัท Red Granite ของ Riza Aziz เธอจึงได้เดินทางไปยังเมืองลอสแองเจอลิสเพื่อรวมรวมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Red Granite

ซึ่งในช่วงดังกล่าวนั้น มีคดีความฟ้องร้องของบริษัท Red Granite พอดิบพอดี เมื่อ Red Granite ได้ซื้อสิทธิ์ในภาพยนตร์ในตำนานอย่าง Dumb and Dumber ภาพยนตร์ตลกชื่อดังในช่วงยุคปี 1994 ที่นำแสดงโดย Jim Carrey

ในเดือน กรกฏาคมปี 2013 Red Granite ได้ยื่นฟ้องคดี ในความพยายามที่จะแยกผู้ผลิต Steve Stabler และ Brad Krevoy ออกจากการมีส่วนร่วมในภาพยนตร์ ซึ่งทาง Stabler และ Krevoy นั้นโต้เถียงโดยอ้างสิทธิ์ตามสัญญาที่จะมีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวไม่ว่ากรณีใด ๆ

ต้องบอกว่า การฟ้องร้องกันในเรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องอื้อฉาวไปทั่ว ฮอลลีวูด ดูเหมือนว่า ทั้ง Riza และ McFarland นั้นจะขาดประสบการณ์ในการผลิตภาพยนตร์ แม้ Red Granite นั้นจะมีเงินจากครอบครัวของ Aziz แต่กิจการก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จได้ด้วยเงินเพียงอย่างเดียว

แน่นอนว่าเมื่อ Rewcastle-Brown ได้ยินเรื่องดังกล่าว ก็คิดว่าต้องมีบางอย่างไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน เพราะดูเหมือนว่าข้อมูลที่ Rewcastle-Brown ได้มาจากการเดินทางไปยังเมืองลอสแองเจลลิส นั้น พบว่า ข้อมูลที่สำคัญก็คือ ทั้ง Riza Aziz และ McFarland ที่กำลังใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลกับ Red Granite บริษัทผลิตภาพยนตร์ของพวกเขา

โดยทั้งคู่ต่างไม่เคยที่จะเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องราวทางการเงิน หรือแหล่งที่ได้มาของเงินในการใช้จ่ายกับบริษัท Red Granite ทำให้ผู้คนในฮอลลีวูด ต่างเริ่มสงสัยในตัวของพวกเขา ซึ่งพวกเขามักให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับแหล่งที่มาของเงินทุนจากตะวันออกกลางและเอเชียอย่างคลุมเคลือ และแทบจะไม่ให้รายละเอียดเพิ่มเติมกับแหล่งที่มาของเงิน

ซึ่งสิ่งเหล่นี้ Rewcastle-Brown มองว่า มันเป็นอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง เด็กหนุ่ม Riza Aziz ที่มี Najib Razak นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียเป็นพ่อเลี้ยง จะมีเงินทุนเพียงพอที่จะเปิดตัวบริษัทภาพยนตร์ ด้วยทุนสร้างมหาศาลเหล่านี้ได้อย่างไร และนี่คือปริศนาที่เธอต้องแก้ไข ซึ่งปริศนาเริ่มต้นเหล่านี้ กำลังพาเธอไปพบกับข้อมูลอื่น ๆ ที่น่าตกใจ แล้วเธอได้พบเจอข้อมูลอื่น ๆ ที่มากกว่าที่เธอคิดได้อย่างไร โปรดอย่าพลาดติดตามต่อตอนหน้านะครับผม

–> อ่านตอนที่ 15 : Out Of Control

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Prologue *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

References Image : https://malaysiadailynews.com/xavier-justo-says-jho-lows-website-is-like-a-comic-book-and-lacks-any-proof/

ประวัติ Jho Low ตอนที่ 11 : Goldman and the Sheikh

เมื่อเข้าสู่เดือนมีนาคม ปี 2012 Tim Leissner ผู้บริหาร Goldman Sachs ของมาเลเซีย ได้บินไปยังอาบูดาบี เพื่อไปพบกับคนที่รวยที่สุดในโลกอย่าง Sheikh Mansour Bin Zayed ที่มีทรัพย์สินกว่า 40 พันล้านดอลลาร์ และเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเจ้าของสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในพรีเมียร์ลีก ของอังกฤษ

มันเป็นโอกาสที่น้อยมาก ๆ ที่จะมีโอกาสที่จะพบกับมหาเศรษฐีตัวจริงอย่าง Sheikh Mansour เพราะเขาไม่ได้เพียงแค่รวยมาจากธุรกิจน้ำมันเพียงเท่านั้น แต่ Sheikh Mansour ดำรงตำแหน่งประธานของบริษัท การลงทุนระหว่างประเทศ IPIC และกำลังมีการลงทุนที่แพร่ขยายไปยังทั่วทุกมุมโลก รวมถึงการเข้าไปอุ้มธนาคารยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ Barclays ที่แทบจะล้มจากวิกฤติทางการเงินในปี 2008

เหล่านักการธนาคารใน Wall Street ต่างจับจ้องท่าน Sheikh เพื่อหวังจะหาข้อเสนอทางการเงินให้กับบริษัทการลงทุน IPIC ของท่าน Sheikh แต่มีน้อยคนนักที่จะได้พบกับตัวจริงของ ท่าน Sheikh Mansour

Leissner เป็นหนึ่งผู้โชคดีคนนั้น แต่การที่เขาสามารถเข้าถึงบุคคลระดับนี้ได้นั้น ก็ต้่องขอบคุณ Connection ของ Low ผ่าน Khadem Al Qubaisi ผู้ช่วยชาวอาหรับของท่าน Sheikh ที่สามารถพาเข้าถึงท่าน Sheik Mansour ได้สำเร็จ

เนื่องจากจะมีการลงทุนขนาดใหญ่ใน มาเลเซีย ผ่านกองทุน 1MDB โดยทาง Leissner ที่เดินทางมาที่อาบูดาบีพร้อมกับ Low เพื่อคุยเรื่องโครงร่างข้อตกลง ที่ ธนาคารยักษ์ใหญ่จาก Wall Street กำลังเตรียมที่จะจำหน่ายพันธบัตรมูลค่า 3.5 พันล้านดอลลาร์สำหรับกองทุน 1MDB

แต่ปัญหาคือ 1MDB นั้นไม่เคยออกพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์ ให้กับเหล่านักลงทุนต่างชาติ และแทบไม่ติดอันดับความน่าเชื่อถือ ดังนั้น Leissner ที่เป็นตัวแทนของ Goldman Sachs มาเพื่อนำเสนอกับ IPIC ของท่าน Sheikh ที่เป็นองค์กรที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงเพื่อรับประกันปัญหานี้ นั่นจะทำให้นักลงทุนสบายใจ และ มั่นใจว่า 1MDB จะสามารถชำระหนี้คืนได้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด และแลกกับผลประโยชน์ที่ IPIC จะได้รับสิทธิ์ในการซื้อหุ้นใน บริษัท พลังงานที่จดทะเบียนในราคาที่เหมาะสม

Sheikh Mansour Bin Zayed เศรษฐีอันดับต้น ๆ ของโลกเจ้าของทีม แมน ซิตี้
Sheikh Mansour Bin Zayed เศรษฐีอันดับต้น ๆ ของโลกเจ้าของทีม แมน ซิตี้

ต้องบอกว่านี่เป็นพิมพ์เขียวใหม่ล่าสุดของ Low สำหรับ 1MDB ซึ่งเป็นหนทางที่กองทุนจะเข้าสู่ธุรกิจผลิตพลังงานไฟฟ้า โดยเงินจากการออกพันธบัตรดังกล่าวนั้น จะนำไปลงทุนในการซื้อโรงไฟฟ้าถ่านหินในมาเลเซีย และ ต่างประเทศ รวมถึงบริษัทมหาชนที่มีการทำ IPO ในตลาดหุ้นของมาเลเซีย

แต่มันก็เป็นแผนที่แปลกประหลาด ที่ทำไมกองทุนของรัฐบาลมาเลเซียจึงของรับประกันจากกองทุนที่คล้ายกันจากอีกประเทศหนึ่ง ทำไมรัฐบาลมาเลเซียถึงไม่ให้การรับประกันเอง ซึ่งเพื่อนร่วมงานของ Leissner ที่ Goldman Sachs ในดูไบ ซึ่งทำธุรกิจกับ IPIC เป็นประจำ ก็มองว่าเป็นเรื่องที่ผิดปรกติและปฏิเสธจะเข้าร่วม หรือแม้แต่ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินของ IPIC ก็ยังตั้งคำถามว่าทำไม IPIC ต้องไปเสี่ยงต่อธุรกิจกับกองทุนของประเทศอื่น ที่แทบจะไม่มีประวัติเลยมาก่อนด้วยซ้ำ

แต่นี่เป็นแผนการของ Low และเขาก็ได้ Connection ที่สำคัญอย่าง Khadem Al Qubaisi ที่ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของ IPIC เพื่อช่วยโน้มน้าวให้ Sheikh Mansour เห็นด้วยกับแผนการของ Low ซึ่งแน่นอนว่า Al Qubaisi นั้นก็จะได้รับผลตอบแทนจำนวนมหาศาลจาก Low อีกเหมือนเคย

และต้องบอกว่า Qubaisi นั้นไม่ใช่บุคคลธรรมดา เพราะ เขาเคยทำงานกับกองทุนความมั่งคั่งของอาบูดาบีมาก่อน หลังจากนั้นเขาก็ได้กลายมาเป็นกรรมการผู้จัดการของ IPIC และเขามีอำนาจที่แท้จริง เพราะเป็นหนึ่งในคนที่ Sheikh Mansour นั้นไว้วางใจเป็นอย่างมาก

Qubaisi นั้น จะเป็นคนตัดสินใจคนสุดท้ายสำหรับข้อเสนอที่สำคัญ เช่น ธุรกิจที่กำลังเติบโตที่น่าลงทุนอย่าง 1MDB และทาง Sheikh Mansour ได้มอบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จให้กับ Qubaisi ที่สามารถตกลงเข้าซื้อกิจการ โดยไม่ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการของ IPIC ซึ่งเรียกได้ว่า ลายเซ็นต์ของ Qubasi นั้นสามารถบรรลุข้อตกลงมูลค่าหลายพันดอลลาร์ได้ด้วยการตัดสินใจของเขาเพียงคนเดียว

“Qubaisi เป็นผู้ชายคนเดียวในโลกที่คุณสามารถโทรหาด้วยดีลมูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์ และเขาแค่พูดว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” ซึ่งเขาคิดว่าเขาเองนั้นคือพระเจ้าในโลกการเงิน” นักการเงินคนหนึ่งกล่าวถึง Qubaisi

IPIC นั้นก่อตั้งขึ้นในปี 1984 เพื่อลงทุนในบริษัท ที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน แต่ด้วยความสามารถของ Qubaisi ที่ดูแลกองทุน Aabar Investments และ บริษัทย่อยอื่น ๆ ได้มีส่วนร่วมในการลงทุนในหลายกิจการ หลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น บริษัทในอุตสาหกรรมรถยนต์อย่าง Benz , UniCredit , Virgin Galactic หรือ บริษัทอื่น ๆ หากมีข้อเสนอที่น่าสนใจ

แต่ Qubaisi เองนั้น ก็มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น ในปี 2009 เกิดคดีฟ้องร้องในอเมริกา เมื่อนักธุรกิจในอเมริกาสองคน อ้างว่า Qubaisi ได้ขอเงิน 300 ล้านดอลลาร์ ในระหว่างการเสนอราคาที่ล้มเหลวในการเข้าซื้อกิจการโรงแรมในเครือ Four Seasons (ซึ่งต่อมาโจทก์ได้ถอนฟ้อง)

ซึ่งหลังจากวิกฤติการเงินในปี 2008 นี่เองที่ทำให้กองทุนอย่าง IPIC นั้น มุ่งเข้าหาตลาดใหม่ ๆ เช่นในประเทศกำลังพัฒนาอย่างมาเลเซีย เพื่อชดเชยตลาดที่ซบเซาจากทางฝั่งยุโรป และ สหรัฐอเมริกา

ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากขึ้นของ Qubaisi ในการที่จะหาเงินจาก Wall Street ได้ง่าย ๆ เหมือนเมื่อก่อน ในปี 2011 Mohammed Bin Zayed ซึ่งเป็นพี่ชายของ Sheikh Mansour ได้มีการสั่งให้มีการออกตราสารหนี้ โดยผ่านหน่วยงานกลางเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ซ้ำซ้อนกับวิกฤติหนี้ในดูไบ

ซึ่งมีการออกโดยรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งแน่นอนว่าในขณะที่ Qubaisi นั้นกำลังหาวิธีการใหม่ ๆ ในการสร้างกระแสเงินสด และเพิ่มการลงทุนในประเทศที่กำลังพัฒนา มันก็เป็นช่องทางที่ทำให้เขาได้มาเจอกับ Jho Low ผู้ซึ่งอวดอ้างว่าเขาสามารถลงนามข้อตกลงมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในกองทุน 1MDB ได้นั่นเอง

ต้องบอกว่าแผนการของ Low นั้นใกล้ประสบความสำเร็จอีกครั้ง ซึ่งเขาต้องการให้พันธบัตรของ 1MDB ขายได้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่ได้การรับประกันจาก IPIC

ซึ่งโดยทั่วไปแล้วนั้น รูปแบบการออกพันธบัตรส่วนใหญ่นั้นจะมีการออกหุ้นสู่สาธารณะ ซึ่งธนาคารจัดให้มีการจัดการที่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนในวงกว้างมากที่สุด แต่ทางทางตรงกันข้ามหากต้องการความรวดเร็ว ก็สามารถที่จะเข้าหา สถาบันการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น กองทุนบำเน็จบำนาญ หรือ กองทุนป้องกันความเสี่ยงที่ต้องการผลตอบแทนที่สูง ซึ่งข้อได้เปรียบ คือ สามารถหาเงินได้อย่างรวดเร็ว และ ไม่ได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยเอเจนซี่ใหญ่ ๆ เช่น Moody’s และ Standard & Poor’s ซึ่งกระบวนการนี้จะเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบน้อยมาก ๆ

ซึ่งแผนการก็คือ กองทุน 1MDB นั้นตกลงที่จะจ่ายเงิน 2.7 พันล้านดอลลาร์ ให้กับโรงไฟฟ้าที่เป็นเจ้าของโดยมหาเศรษฐีชาวมาเลเซีย Ananda Krishnan จาก Tanjong Energy Holdings ซึ่งเป็นการซื้อกิจการครั้งแรกของกองทุน 1MDB

ซึ่งข้อตกลงนี้มันได้กลาเป็นว่า จะเป็นประโยชน์ต่อ Tanjong โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องจากข้อตกลงขายไฟฟ้าให้กับรัฐมาเลเซียนั้นกำลังจะหมดลงในไม่ช้า ซึ่ง Goldman Sachs ก็คิดไม่ออกว่าทำไมตัวเลขมันถึงออกมาสูงได้เช่นนี้ แต่ไม่มีทางเลือกอื่น Goldman Sachs จึงต้องกลายเป็นที่ปรึกษาให้กับ 1MDB รวมถึง ช่วยให้กองทุนระดมทุน และประเมินการลงทุนนี้ครั้งนี้ให้มีตัวเลขสูงที่สุด

ซึ่งเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่ Leissner มีการประชุมกับทางฝั่งอาบูดาบี ทางคณะกรรมการของ IPIC นั้นก็มีความสงสัย ในสิ่งที่ Goldman Sachs กำลังทำก็คือการขายพันธบัตรมูลค่า 1.75 พันล้านดอลลาร์ อายุ 10 ปี สำหรับกองทุน 1MDB ซึ่งแน่นอนว่า Goldman Sachs เองก็สามารถทำเงินได้มหาศาลกว่า 190 ล้านดอลาร์จากข้อตกลง หรือ ราว ๆ 11% ของมูลค่าพันธบัตร ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่สูงจนน่ากลัวมาก ๆ

Goldman Sachs ที่เข้ามาพัวพันด้วยผลประโยชน์มหาศาล
Goldman Sachs ที่เข้ามาพัวพันด้วยผลประโยชน์มหาศาล

ซึ่งหลังจากที่ Deal ทุกอย่างแล้วเสร็จ ในวันที่ 21 พฤษภาคมปี 2012 เงินฝากจากพันธบัตรมูลค่า 1.75 พันล้านดอลลาร์ ก็เข้าสู่บัญชีธนาคารของบริษัทย่อยด้านพลังงานของกองทุน 1MDB และเพียงอีกหนึ่งวันต่อมา เงินจำนวน 576 ล้านดอลลาร์ ก็ถูกโอนย้ายไปที่บัญชี
ธนาคาร BSI ของบริษัท Aabar Investments Ltd ที่ หมู่เกาะ British Virgin Islands

และนี่คือลูกไม้เดิม ๆ ของ Low เพราะ Aabar Investments Ltd นั้น มีชื่อคล้ายกับ Aabar Invesments PJS ซึ่งเป็นบริษัทที่มีอยู่จริงที่เป็นบริษัทในเครือของ IPIC ซึ่ง Low นั้นใช้แผนเดิม ๆ และบอกว่าเป็นการโอนเงินเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการชำระเงินเพื่อชดเชยให้กับกองทุนจากอาบูดาบี ซึ่งต้องบอกว่า มันเป็นการคิดกลอุบายที่แยบยลมากขึ้นโดย Low และ Qubaisi เพื่อรับเงินที่มากขึ้นจาก 1MDB นั่นเอง

ซึ่งผลจาก Deal ที่ทำได้สำเร็จดังกล่าวนั้น ทำให้ตัว Leissner นั้นได้รับเงินเดือนและโบนัสในปี 2012 มากกว่า 10 ล้านเหรียญ ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในพนักงานที่ได้รับผลตอบแทนสูงที่สุดของธนาคาร ซึ่งมันเป็นเวลาเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น ที่ Leissner ได้มาพบเจอกับ Low และได้เปลี่ยนความมั่งคั่งของเขา ให้มากขึ้นกว่าเดิมถึงหลายเท่านัก

แม้ Leissner นั้นจะยังไม่รู้ถึงเรื่องการฉ้อโกงที่ชัดเจน แต่ด้วยผลประโยชน์มหาศาลที่เขาได้รับ ก็ทำให้เขาไม่ได้สนใจเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด แม้จะระแคะระคายอยู่บ้าง ส่วน Qubaisi เองนั้นก็ได้รับเงินไปมหาศาลเช่นเดียวกัน ผ่านช่องทางการเงินที่ซับซ้อนที่ Low เป็นผู้สร้างสรรค์มันขึ้นมา

ถึงตอนนี้ Jho Low ได้ทำการปล้นครั้งสำคัญเป็นครั้งที่สองแล้ว ซึ่งแตกต่างจากช่วงแรกในปี 2009 กับ PetroSaudi จะเห็นได้ว่าเขาเริ่มมีการวางแผนที่ละเอียดถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น และใช้ความซับซ้อนทางการเงินมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ยากที่จะตามรอยเขาได้ และที่สำคัญทุกอย่างนั้นทำอย่างรวดเร็วเหมือนเคย และผู้สมรู้ร่วมคิด แม้จะรู้จริง หรือ อาจจะแค่ระแคะระคายว่าทั้งหมดเป็นเรื่องปาหี่ แต่พวกเขาก็มองข้ามและเห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวเองที่ได้รับจาก Deal เหล่านี้ ด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาลนั่นเองครับ

แล้ว เรื่องราวทั้งหมด มันจะถูกเปิดโปงเมื่อไหร่ เหล่าสื่อทั้งหลายเริ่มสืบสวนเรื่องดังกล่าวไปถึงไหน จะเกิดอะไรขึ้นกับ Low ต่อไป โปรดอย่าพลาดติดตามตอนหน้าครับผม

–> อ่านตอนที่ 12 : The Big Boss

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Prologue *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

References Image : http://fcpaprofessor.com/doj-announces-fcpa-related-enforcement-action-individuals-associated-goldman-sachs-connection-1mdb-fund/