เมื่อ 2 วัยรุ่นล้มอุตสาหกรรมดนตรีแสนล้าน เรื่องราวของ Napster ผู้ปฏิวัติวงการเพลงที่ถูกลืม

นึกภาพย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษ 1990s หากเรากำลังขับรถและได้ยินเพลงใหม่ในวิทยุ แล้วชอบเพลง ๆ นั้นมาก และอยากฟังซ้ำอีกครั้ง แต่ตัวเลือกมีจำกัด อาจจะเป็นการบันทึกจากวิทยุลงเทปเปล่า ซึ่งคุณภาพเสียงมักไม่ดีนัก หรือไปที่ร้านเพลงเพื่อซื้ออัลบั้มทั้งอัลบั้มเพียงเพื่อเพลงเดียวที่เราชอบ

นี่คือปัญหาที่ผู้บริโภคดนตรีในยุคนั้นเผชิญ อัลบั้มมีราคาแพงและต้องซื้อทั้งอัลบั้มเพื่อให้ได้เพลงที่ชอบเพียงไม่กี่เพลง ไม่มีทางเลือกที่คุ้มค่า ในขณะเดียวกัน อินเทอร์เน็ตกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ สำหรับการเชื่อมต่อและแบ่งปันความคิดระหว่างผู้คน

ในห้องแชทออนไลน์ปี 1998 ผู้ใช้ที่ใช้ชื่อว่า “Napster” ได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจ: แทนที่จะพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์แบบรวมศูนย์ ทำไมเราไม่สร้างระบบที่ให้ผู้คนแบ่งปันไฟล์โดยตรงระหว่างกันเอง? แนวคิดนี้เรียกว่าการแชร์ไฟล์แบบเพียร์ทูเพียร์ (P2P)

ส่วนใหญ่คนในห้องแชทหัวเราะเยาะกับความคิดนี้ แต่มีเด็กหนุ่มอายุ 18 ปีคนหนึ่งชื่อ Sean Parker ที่เห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ในแนวคิดนี้ Parker และ “Napster” หรือ Shawn Fanning ที่อายุเพียง 17 ปี รู้จักกันผ่านอินเทอร์เน็ตมาสองสามปีแล้ว และพวกเขาเริ่มร่วมมือกันพัฒนาแนวคิดที่จะกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก

ทั้งคู่ระดมทุนได้ 50,000 ดอลลาร์ และทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย Fanning ถึงกับนอนในตู้เก็บของที่สำนักงานของลุงเพราะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์เขียนโค้ด กว่าจะพัฒนาโปรแกรมสำเร็จ ซึ่งพวกเขาตั้งชื่อตามนามแฝงเดิมของ Fanning คือ “Napster”

ในเดือนมิถุนายน 1999 Napster เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และกลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมในทันที ด้วยการออกแบบที่เรียบง่าย ทำให้ผู้ใช้ที่มีความรู้คอมพิวเตอร์แค่พื้นฐานก็สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลเพลงขนาดใหญ่และดาวน์โหลดได้ฟรี ไม่ว่าจะเป็นเพลงฮิตล่าสุดหรือเพลงเก่าหายาก

ความสำเร็จของ Napster เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี มีผู้ใช้มากกว่า 20 ล้านคน และภายในปี 2000 ตัวเลขนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 80 ล้านคนทั่วโลก นี่คือการปฏิวัติวิธีเสพดนตรีอย่างแท้จริง

ความสำเร็จอันรวดเร็วของ Napster นำมาซึ่งความสนใจจากอุตสาหกรรมเพลง และไม่ใช่ในทางที่ดี ค่ายเพลงและศิลปินหลายคนตระหนักว่า Napster กำลังท้าทายโมเดลธุรกิจดั้งเดิมของพวกเขา ด้วยการทำให้ผู้คนสามารถดาวน์โหลดเพลงฟรีแทนที่จะซื้อ

ปัญหาสำคัญคือแม้ Napster ไม่ได้เก็บไฟล์เพลงบนเซิร์ฟเวอร์ของตัวเอง แต่เป็นเพียงตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้ ซึ่งสร้างพื้นที่สีเทาทางกฎหมาย ไม่ใช่ทุกไฟล์ที่แชร์บน Napster ละเมิดลิขสิทธิ์ หลายเพลงเป็นสาธารณสมบัติหรือได้รับอนุญาตจากศิลปินให้เผยแพร่ได้

แต่แล้วในปี 2000 วงดนตรีเฮฟวี่เมทัลชื่อดังอย่าง Metallica เข้ามามีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ เมื่อพบว่าเดโมเวอร์ชันของเพลงใหม่ของพวกเขาถูกเผยแพร่บน Napster โดยไม่ได้รับอนุญาต และถึงกับถูกเล่นบนสถานีวิทยุ ความไม่พอใจนี้ลุกลามไปยังศิลปินคนอื่นๆ เช่น Dr. Dre

Metallica, Dr. Dre และสมาคมอุตสาหกรรมการบันทึกอเมริกา (RIAA) ร่วมกันฟ้องร้อง Napster ในข้อหาละเมิดพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ดิจิทัล (DMCA) โดยเฉพาะในส่วนของกฎหมาย “safe harbor” ซึ่งปกป้องเว็บไซต์จากความรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด แต่การปกป้องนี้มีเงื่อนไขว่าเว็บไซต์ต้องไม่ส่งเสริมการละเมิดลิขสิทธิ์โดยเจตนา

ฝ่ายโจทก์อ้างว่า Napster ไม่เพียงละเมิดหน้าที่ในการดูแลให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่ยังมีบทบาทอย่างแข็งขันในการอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ละเมิดลิขสิทธิ์ และรู้ดีว่าโปรแกรมกำลังถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์นี้ โดยไม่ได้ดำเนินการใดๆ เพื่อหยุดยั้ง

คดีนี้สร้างความแตกแยกในวงการดนตรี แม้แต่ศิลปินด้วยกันเองก็มีความเห็นต่างกัน Foo Fighters วิจารณ์ Metallica ว่าพวกเขามีเงินมากพออยู่แล้ว และการดาวน์โหลดเพลงไม่กี่เพลงไม่ควรเป็นปัญหาใหญ่ ในขณะที่ศิลปินอิสระบางคนกลับเห็นว่า Napster ช่วยให้ดนตรีของพวกเขาเข้าถึงผู้ฟังได้มากขึ้น

กลุ่มผู้ชื่นชอบดนตรีแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งมองว่า Napster เป็นวีรบุรุษที่ต่อสู้กับค่ายเพลงที่สุดโลภ อีกฝ่ายเห็นว่าการดาวน์โหลดเพลงโดยไม่จ่ายเงินเป็นการขโมยและทำร้ายศิลปิน

การถกเถียงเรื่องลิขสิทธิ์ในยุคดิจิทัลกลายเป็นประเด็นสำคัญ เมื่อโลกพยายามเข้าใจว่าแนวคิดเก่าเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาควรปรับตัวอย่างไรในยุคอินเทอร์เน็ต คนรุ่นใหม่จำนวนมากเริ่มคิดว่าเพลงควรเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่ายและฟรี ไม่ใช่สินค้าที่มีราคาแพงเกินไป

ในที่สุด ศาลตัดสินให้ Metallica และบริษัทเพลงเป็นฝ่ายชนะ Napster ถูกสั่งให้ลบการเข้าถึงเพลงที่มีลิขสิทธิ์ทั้งหมดบนแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติเนื่องจากมันเป็นส่วนใหญ่ของระบบ บริการจึงถูกปิดชั่วคราวในเดือนกรกฎาคม 2001 และปิดตัวลงอย่างถาวรในที่สุด

แม้ Napster จะมีอายุเพียง 2 ปี แต่ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมดนตรีและความบันเทิงนั้นลึกซึ้งและยาวนาน แนวคิด P2P ไม่ได้ตายไปพร้อมกับ Napster แต่กลับเติบโตและพัฒนาต่อไป โปรแกรมอย่าง LimeWire, Kazaa และอื่นๆ อีกมากมายเกิดขึ้นเพื่อเติมเต็มช่องว่างที่ Napster ทิ้งไว้ โดยใช้บทเรียนจากความผิดพลาดของ Napster

LimeWire ใช้แนวทางที่ต่างออกไป แทนที่จะมีฐานข้อมูลเพลงรวมศูนย์ซึ่งทำให้ Napster เป็นเป้าหมายที่ง่ายสำหรับการฟ้องร้อง โปรแกรมเหล่านี้เพียงให้เครื่องมือสำหรับการดาวน์โหลด ปล่อยให้ผู้ใช้หาฐานข้อมูลเอง ทำให้ยากต่อการปิดกั้นทางกฎหมาย

แต่อุตสาหกรรมดนตรีเองก็เรียนรู้บทเรียนสำคัญจาก Napster เช่นกัน ในปี 2001 เพียงไม่กี่เดือนก่อนการล่มสลายของ Napster Apple เปิดตัว iTunes ซึ่งนำเสนอทางออกที่ make sense : แทนที่จะบังคับให้ผู้บริโภคซื้ออัลบั้มทั้งอัลบั้มในราคา 20 ดอลลาร์ พวกเขาสามารถซื้อเพียงเพลงที่ชอบในราคา 0.99 ดอลลาร์ต่อเพลง

iTunes รักษาความสะดวกสบายของ Napster ไว้ในขณะที่ตอบแทนศิลปินอย่างเป็นธรรม เป็นการประนีประนอมระหว่างค่ายเพลงและผู้บริโภค และนับเป็นความสำเร็จอย่างมาก ตามมาด้วยบริการสตรีมมิงอย่าง Pandora และในที่สุดคือ Spotify ซึ่งทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงเพลงนับล้านออนไลน์ด้วยการสมัครสมาชิครายเดือน

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและโปรโตคอลอย่าง BitTorrent ยังทำให้การแชร์ไฟล์ขยายไปสู่สื่อประเภทอื่นๆ เช่น ภาพยนตร์และวิดีโอเกม ซึ่งนำไปสู่การเกิดขึ้นของบริการสตรีมมิงภาพยนตร์และซีรีส์อย่าง Netflix

แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ก็นำมาซึ่งผลกระทบที่ไม่คาดคิด เมื่อการสตรีมมิงกลายเป็นวิธีหลักในการบริโภคสื่อ ความนิยมของสื่อ Physical อย่าง CD และ DVD ลดลงอย่างมาก หลายร้านค้าปิดตัวลง และการผลิตสื่อ Physical ก็ลดลงเรื่อยๆ

ในยุคแรก บริการสตรีมมิงเสนอราคาที่น่าดึงดูดใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปและพวกเขากลายเป็นตัวเลือกหลักเพียงไม่กี่ราย ราคาก็เริ่มสูงขึ้น ผู้บริโภคพบว่าตัวเองกำลังจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับการเข้าถึงเนื้อหาที่พวกเขาไม่ได้เป็นเจ้าของจริงๆ

ความท้าทายอีกประการคือการที่ภาพยนตร์และรายการทีวีบางเรื่องหายไปจากแพลตฟอร์มสตรีมมิงเนื่องจากข้อตกลงลิขสิทธิ์หมดอายุ บางครั้งเนื้อหาเหล่านี้ไม่สามารถหาดูที่ไหนได้อีก เพราะไม่มีการผลิต DVD ใหม่ และไม่มีแพลตฟอร์มใดมีสิทธิ์ในการสตรีม จึงกลายเป็น “สื่อที่สูญหาย”

สิ่งที่เริ่มต้นเป็นวิธีให้ผู้คนมีตัวเลือกมากขึ้นในการบริโภคสื่อกลับกลายเป็นระบบที่จำกัดการเข้าถึงและความเป็นเจ้าของในบางแง่มุม นี่คือความย้อนแย้งของการปฏิวัติดิจิทัลที่ Napster เริ่มต้น

Napster อาจจะล้มเหลวในฐานะธุรกิจ แต่แนวคิดของมันยังคงมีชีวิตอยู่และเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราเข้าถึงและบริโภคสื่อตลอดไป มันสอนให้อุตสาหกรรมความบันเทิงเข้าใจว่าตลาดต้องการความสะดวกและราคาที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่ยืนกรานในโมเดลธุรกิจเก่าที่ไม่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอีกต่อไป

ความสำเร็จและความล้มเหลวของ Napster เตือนเราว่าเทคโนโลยีจะก้าวหน้าต่อไปเสมอ แม้อุตสาหกรรมจะพยายามต่อต้านก็ตาม มันเป็นบทเรียนเกี่ยวกับพลังของนวัตกรรมและวิธีที่แนวคิดเล็กๆ สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้

ปัจจุบัน Shawn Fanning และ Sean Parker ยังคงมีบทบาทสำคัญในวงการเทคโนโลยี Parker เป็นนักลงทุนในบริษัทอย่าง Spotify และเคยเป็นประธานคนแรกของ Facebook ในขณะที่ Fanning ได้ร่วมก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีอีกหลายแห่ง แม้ว่าความสำเร็จของพวกเขาจะมาจากความล้มเหลวของ Napster แต่มรดกของ Napster ในการเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราบริโภคสื่อยังคงมีอิทธิพลต่อโลกดิจิทัลในปัจจุบัน

ในที่สุด Napster ไม่ได้เป็นแค่โปรแกรมแชร์ไฟล์ แต่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ดนตรีและความบันเทิงดิจิทัล มันเป็นสัญลักษณ์ของการให้อำนาจผู้บริโภคและการท้าทายระบบเก่า ซึ่งนำไปสู่โลกใหม่ที่ทั้งดีขึ้นและซับซ้อนขึ้นในเวลาเดียวกันนั่นเองครับผม

References: [slideshare, pitchfork, rollingstone, wired, techcrunch]

Geek Story EP367 : เมื่อ 2 วัยรุ่นล้มอุตสาหกรรมดนตรีแสนล้าน เรื่องราวของ Napster ผู้ปฏิวัติวงการเพลงที่ถูกลืม

นึกภาพย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษ 1990s คุณกำลังขับรถและได้ยินเพลงใหม่ในวิทยุ เสียงที่ทำให้คุณหยุดคิด คุณชอบมันมาก และอยากฟังซ้ำอีกครั้ง แต่ตัวเลือกของคุณมีจำกัด คุณอาจบันทึกจากวิทยุลงเทปเปล่า ซึ่งคุณภาพเสียงมักไม่ดีนัก หรือไปที่ร้านเพลงเพื่อซื้ออัลบั้มทั้งอัลบั้มในราคา 20 ดอลลาร์ เพียงเพื่อเพลงเดียวที่คุณชอบ

นี่คือปัญหาที่ผู้บริโภคดนตรีในยุคนั้นเผชิญ อัลบั้มมีราคาแพงและคุณต้องซื้อทั้งอัลบั้มเพื่อให้ได้เพลงที่ชอบเพียงไม่กี่เพลง ไม่มีทางเลือกที่คุ้มค่า ในขณะเดียวกัน อินเทอร์เน็ตกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ สำหรับการเชื่อมต่อและแบ่งปันความคิดระหว่างผู้คน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/y9uh6cwr

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/bdfcb6ud

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/29956yyy

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/Oy8iulBj7YE

Failed Startup Stories : Napster The digital music revolution

ต้องบอกว่าเป็น startup รุ่นปู่เลยทีเกียวสำหรับ Napster ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะคิดว่า ipod เป็นจุดเริ่มต้นของ digital music แต่ถ้าถามถึงต้นตอจริง ๆ ของการปฏวัติอุตสาหกรรมดนตรี จาก analog ไปสู่ digital นั้น ต้องบอกว่า Napster ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งที่สำคัญต่อการปฏิวัติวงการดนตรีเลยก็ว่าได้

ประวัติ Napster

Napster นั้นถูกสร้างโดย Shawn Fanning , John Fanning  และ Sean Parker  ผู้โด่งดัง โดยใช้รูปแบบการ share แบบ peer-to-peer file sharing ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ใหม่มากและคนค่อนข้างตื่นตะลึงกับการเกิดขึ้นของระบบ peer-to-peer อย่างสูง 

โดย Napster นั้นเปิดให้บริการในช่วงปี 1999 ถึง ปี 2001  โดยรูปแบบการบริการคือให้ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถ share เพลงในรูปแบบ mp3 ของตัวเองกับคนอื่นได้ผ่าน internet ซึ่งถ้ามองในยุคนี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องปรกติไปเสียแล้ว แต่ในยุคปี 1999 นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ใหม่มาก

ย้อนกลับไปในยุคนั้น IRC ถือว่าดังมาก ๆ
ย้อนกลับไปในยุคนั้น IRC ถือว่าดังมาก ๆ

ถึงแม้ว่าในยุคนั้นจะเริ่มรูปแบบการ share file ผ่าน internet เช่น IRC , Hotline หรือ Usenet แล้วนั้น แต่ความพิเศษของ Napster คือ พวกเค้า focus ที่ไฟล์ mp3 และทำให้ user interface ใช้งานง่ายมาก ๆ คนทั่วไปสามารถค้นหา หรือ download file มาใช้งานได้อย่างง่ายดาย ทำให้ Napster ดังเป็นพลุแตกในยุคนั้น  โดยในช่วงที่ขึ้นสู่จุดสูงสุดนั้น มีผู้ใช้งานที่เป็น registered user ถึง 80 ล้านคน ซึ่งถือว่าสูงมากในยุคนั้น

ความดังของ Napster ถึงกับทำให้เหล่าบรรดา network ในมหาลัยต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา นั้นกว่า 60% ของ traffic มาจากการ share file mp3 ทำให้หลาย ๆ มหาลัยทำการ block service ของ Napster เพราะกังวลเกี่ยวกับปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ที่จะเกิดขึ้น  ซึ่งทำให้กล่าวได้ว่าศิลปินในขณะนั้นได้เริ่มเลิกการออกอัลบั้มเต็ม เปลี่ยนมาเป็นออก single แทนเลยทีเดียว

Macintosh Version

เริ่มต้นนั้น Napster สร้างโดยใช้งานได้เพียงระบบปฏิบัติการ windows เป็นหลัก อย่างไรก็ดีในปี 2000 ได้มีการสร้างบริการเลียนแบบ ชื่อ Macster บนระบบปฏิบัติการ Macintosh ด้วยความดังทำให้ Napster ตัดสินใจเข้า takeover  Macster และรวมเป็นบริการ “Napster for Mac”  และในภายหลังได้มีการปล่อย source ของ Macster เพื่อให้บริการที่เป็น 3rd-party นั้นสามารถเรียกใช้ได้จากทุกระบบปฏิบัติการ โดยใช้รูปแบบของการโฆษณาเพื่อหารายได้แทน

ความท้าทายทางด้านกฏหมาย

อย่างที่รู้กันว่าบริการลักษณะนี้เริ่มเกิดขึ้นมากมายในช่วงนั้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการ share file ที่ผิดกฏหมายทั้งสิ้น  ซึ่งในตอนนั้นวง Metallica ได้ออก demo single ในเพลง “I Disappear”  แต่ก็ถูกทำการนำไปปล่อย share อย่างผิดกฏหมาย ก่อนที่จะทำการออก Release อย่างเป็นทางการ

ทำให้หลาย ๆ คลื่นวิทยุ สามารถนำเพลงมาออกอากาศก่อนที่วงจะปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการ ทำให้ในปี 2000 ทางวงเริ่มมีการตั้งทนายเพื่อทำการฟ้องร้อง Napster และหลังจากนั้นไม่นาน rapper ชื่อดังอย่าง Dr.Dre ก็เข้าร่วมในการฟ้องร้องครั้งนี้ด้วย หลังจาก Napster ปฏิเสธที่จะนำงานเพลงของพวกเขาออกจากบริการ Napster

วงชื่อดังอย่าง Metallica ใช้การฟ้องศาลเพื่อหยุดการเผยแพร่
วงชื่อดังอย่าง Metallica ใช้การฟ้องศาลเพื่อหยุดการเผยแพร่

ซึ่งหลายๆ  ศิลปินก็โดนผลกระทบในรูปแบบเดียวกัน single “Music” ของ Madonna ก็ถูกปล่อยออกมาผ่านทาง Napster ก่อนวันที่จะ Release อย่างเป็นทางการ ซึ่งส่งผลเสียหายต่อรายได้ ของศิลปินในขณะนั้นอยู่มาก

การต่อสู้บนชั้นศาลก็เริ่มขึ้น โดยในปี 2000 ค่ายเพลงต่าง  ๆ ได้รวมตัวกันเพื่อทำการฟ้องร้อง Napster ในข้อหาการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่ง Napster ก็ได้ต่อสู้ แม้จะแพ้ในศาลชั้นตั้น ก็ทำการอุทรณ์เพื่อสู้ต่อไปให้ถึงที่สุด

พลังแห่งการโปรโมต

รูปแบบ peer to peer ทำให้ traffic โตขึ้นอย่างรวดเร็ว
รูปแบบ peer to peer ทำให้ traffic โตขึ้นอย่างรวดเร็ว

ถึงแม้ว่าพลังของ Napster ที่ให้บริการ free นั้นจะได้ทำลายอุตสาหกรรมดนตรี รวมถึงทำให้ยอดขาย album นั้นตกลงไปเป็นอย่างมาก แต่ก็เกิดปรากฏการณ์บางอย่างในทางตรงกันข้ามขึ้นกับวง Rock Radiohead’s จากอังกฤษ  ในปี 2000 พวกเขาได้ออกอัลบั้ม Kid A ซึ่งก็เหมือนเคย อัลบั้มถูกปล่อยออกไปทาง Napster ก่อนที่จะ Release อย่างเป็นทางการถึง 3 เดือน 

แต่ผลของ Radiohead’s นั้นแตกต่างจาก Madonna  , Dr. Dre หรือ Metallica วง Radiohead นั้นไม่เคยแม้จะติด top 20 ของ chart ในสหรัฐอเมริกา พวกเค้าถูกเผยแพร่ผ่าน Napster รวมถึงคลื่นวิทยุเล็ก ๆ อย่าง radio airplay

Radiohead ใช้ Napster เป็นสื่อโปรโมตให้เค้าดังอย่างรวดเร็วได้เช่นกัน
Radiohead ใช้ Napster เป็นสื่อโปรโมตให้เค้าดังอย่างรวดเร็วได้เช่นกัน

ในช่วงที่ออก Release อัลบั้มอย่างเป็นทางการนั้น เพลงของพวกเค้า ได้ถูก download ผ่านบริการ share ไฟล์ ไปกว่า 1 ล้านครั้ง ทั่วโลก  ทำให้ในเดือนตุลาคม ปี 2000 นั้น อัลบั้ม Kid A ของพวกเค้าเข้าไปติดใน Billboard200 sales chart ได้เป็นครั้งแรก

ซึ่งมาจาก effect ของการโปรโมตผ่านบริการอย่าง Napster ทำให้สามารถเพิ่มยอดขายจากวงที่ตอนนั้นไม่ดังมาก และไม่ถูกคาดหวัง แต่สามารถประสบความสำเร็จได้ ผ่านการ promote จากบริการของ Napster นั่นเอง

ซึ่งตั้งแต่ปี 2000 ศิลปินหลาย ๆ คนก็เริ่มที่จะไม่เซ็นสัญญากับค่ายเพลงใหญ่ ๆ และไม่จำเป็นต้องทำการ promote ผ่าน mass media อย่างรายการทีวีหรือวิทยุชื่อดัง แต่หันมาใช้ Napster ในการ promote แทน ด้วยกระแสปากต่อปาก

ทำให้สุดท้ายแล้วนั้นสามารถเพิ่มยอดขายอัลบั้มในระยะยาวได้ ซึ่งหนึ่งในศิลปินที่ช่วยปกป้อง Napster ในยุคนั้นคือ Dj xealot รวมถึง Chuck D และ Public Enemy ก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าพวกเค้า support Napster

สุดท้ายก็ต้องปิดบริการ

แต่ด้วยปัญหากับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2001 ต้องให้หยุดให้บริการของพวกเค้าชั่วคราว และต้องจ่ายค่าปรับจากการฟ้องร้องของค่ายเพลงกว่า 26 ล้านเหรียญรวมถึงต้องจ่ายค่า licensing ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกกว่า 10 ล้านเหรียญหากดื้อด้านที่จะเปิดให้บริการต่อไป ทางทีมงานจึงพยายามปรับตัวเองจากบริการใช้ฟรี เป็นแบบ subscription model เพื่อหารายได้ เพื่อมาจ่ายค่า license เหล่านี้

อย่างไรก็ดีหลังจากนั้น traffic ของ Napster ก็ตกลงอย่างมหาศาล ซึ่ง Prototype ของบริการแบบใหม่ subscription model นั้นได้ถูกนำมาทดสอบเริ่มใช้ในปี 2002 ในชื่อ “Napster 3.0 Alpha” ซึ่งจะเปลี่ยน file ไปเป็น .nap  ซึ่งเป็นการเข้ารหัสเพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์

แต่เมื่อจะเปิดใช้บริการจริง ก็ต้องพบกับปัญหาในเรื่องค่า license สำหรับศิลปินชื่อดังต่าง ๆ ทำให้ในเดือน พฤษภาคมปี 2002 นั้น Napster ได้ประกาศขายกิจการให้กับ Bertelsmann บริษัททางด้าน media จากประเทศเยอรมัน ในมูลค่ากว่า 85 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีเป้าหมายในการปรับรูปแบบของ Napster ให้เป้น online music subscription service

แต่อย่างไรก็ดี สุดท้ายการซื้อขายก็ไม่ได้เกิดขึ้น เมื่อ Napster ถูกศาลล้มละลายกลางสหรัฐ blocked ไม่ให้ขายให้กับ Bertelsmann และทำการบังคับเพื่อยึดทรัพย์สินทั้งหมดของ Napster และเข้าสู่กระบวนการล้มละลายเป็นอันสิ้นสุดยุคของ Napster อย่างเป็นทางการ

สรุป

สำหรับ Napster นั้นได้ทำการแจ้งเกิดได้ถูกที่ ถูกเวลา ในช่วงที่ internet กำลังพัฒนาเรื่อง speed จนสามารถเกิดบริการในรูปแบบ file sharing ขึ้นมาได้ idea ของ Napster นั้นต้องบอกว่าเจ๋งมากในขณะนั้น

ผู้ใช้งานต่างยกย่องบริการอย่าง Napster เพื่อมาช่วยเหลือในเรื่องการฟังดนตรี ที่สามารถเข้าถึง single หรือ album ดัง ๆ ได้อย่างง่ายดายขึ้น ผู้คนไม่ต้องไปซื้อ CD ตามร้านอีกต่อไป แต่ ปัญหาหลักใหญ่ของ ระบบแบบนี้คือ ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์

ซึ่งกลุ่มที่เสียหายคือ ค่ายเพลงรายใหญ่จำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่น่าไปสู้ด้วยแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าบริการนี้จะถูกใจผู้ใช้งานเพียงใด แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นสิ่งกฏหมาย

ซึ่งการที่เราสร้าง startup ที่เสี่ยงที่จะถูกฟ้องร้องในภายหลังนั้น ก็ไม่น่าจะควรทำมาตั้งแต่แรกดังตัวอย่างของ Napster ที่ถึงกับล้มละลาย เพราะไม่มีเงินไปเสียค่าปรับต่างๆ  จากการฟ้องร้องแม้จะพยายามที่จะปรับตัว แต่ user นั้นชินกับการบริการแบบฟรีไปแล้วหากมาเปลี่ยนรูปแบบก็ทำให้ user หนีไปยังบริการชนิดอื่นได้อย่างง่ายดายเช่นกันซึ่งสุดท้ายธุรกิจก็ไปไม่รอดอยู่ดี

Reference : en.wikipedia.org,godisageek.com