บาทบาทของสื่อในฐานะเครื่องมือแห่งสงคราม : โฆษณาชวนเชื่อกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา

ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงกรกฎาคมปี 1994 ชาวทุตซี และชาวฮูตูกว่า 800,000 คนถูกสังหาร ผู้หญิง 250,000 คนกลายเป็นเหยื่อของความรุนแรงทางเพศหลายคนถูกสังหารในภายหลัง ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงที่รอดชีวิตติดเชื้อเอชไอวี 

เมื่อสิ้นสุดการสังหาร 100 วันชาวทุตซี 85 เปอร์เซ็นต์ซึ่งเท่ากับ 10 เปอร์เซ็นต์ของประชากรรวันดาถูกฆ่าและครึ่งหนึ่งของประชากรเป็นผู้พลัดถิ่นหรือหนีออกนอกประเทศ

การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รวันดาเป็นเครื่องเตือนใจว่า องค์กรระหว่างประเทศได้เรียนรู้จากความน่าสะพรึงกลัวของความหายนะที่เกิดขึ้น การเพิกเฉยเพื่อป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ที่ต้องบอกว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ “อัตราการบาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดครั้งหนึ่งของประชากรในประเทศใด ๆ ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติจากสาเหตุที่ไม่ใช่ธรรมชาติ” 

มีปัจจัยมากมายที่ทำให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สิ่งเหล่านี้บางส่วนสามารถย้อนกลับไปได้กว่าศตวรรษที่แล้ว เมื่อมหาอำนาจประเทศอาณานิคมยึดมั่นในการแบ่งแยกระหว่างฮูตู และทุตซีซึ่งเป็นสิ่งที่เลวร้าย และฝังรากลึกลงไปอีกในช่วงหลายทศวรรษต่อมา

แม้ว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จะถูกวางแผนโดยรัฐบาล ‘Hutu Power’ และดำเนินการโดยกลุ่มทหารและกลุ่มติดอาวุธ แต่พลเรือนจำนวนมากก็มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการสังหารโหด เพื่อนบ้านต่อต้านเพื่อนบ้าน เพื่อนต่อต้านเพื่อน หรือแม้แต่ญาติกับญาติ เหยื่อส่วนใหญ่ถูกสังหารด้วยอาวุธพื้นฐาน เช่น มีดพร้า ไม้เท้า และขวาน โดยคาดว่ามีผู้เข้าร่วมในการสังหารหมู่ครั้งนี้กว่า 130,000 คน

รวันดาตกเป็นอาณานิคมของเยอรมนีในปี 1897 ก่อนที่เบลเยียมจะเข้าควบคุมใน ปี 1916 ในการปกครองโดยอาณานิคมชาวยุโรป โดยทั่วไปถือว่าชาวทุตซี เป็นกลุ่มที่เหนือกว่าจึงร่วมมือกับสถาบันกษัตริย์ทุตซีเพื่อปกครองรวันดา

โดยทั่วไปแล้วการเป็นชาวทุตซีมักจะถูกนำมาใช้กับชีวิตที่เหนือกว่าและการมีอำนาจเหนือกว่าการเป็นชาวฮูตูนั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตที่ด้อยกว่าและการอยู่ใต้บังคับบัญชา ทุตซีส่วนใหญ่เป็นคนเลี้ยงสัตว์ ในขณะที่ชาวฮูตูส่วนใหญ่เป็นชาวนา แม้ว่ามักจะมีการอธิบายว่าเป็นการแบ่งตามกลุ่ม ‘ชาติพันธุ์’ แต่ชาวฮูตู และ ทุตซี มีความแตกต่างกันในด้านอาชีพมากกว่าในแง่ของคุณลักษณะทางชาติพันธุ์

ที่จริงแล้ว ทุตซี และ ฮูตู มักถูกอธิบายว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน เนื่องจากพวกเขามีการแบ่งปันภาษาและวัฒนธรรมร่วมกัน ยิ่งไปกว่านั้นการแต่งงานระหว่างกันไม่ใช่เรื่องแปลกและการเคลื่อนไหวทางสังคมระหว่างฮูตู และทุตซี เป็นเรื่องปรกติ

แม้จะมีการยืนยันสิ่งเหล่านี้ แต่ความขัดแย้งมักถูกแสดงให้เห็นว่าเป็นความขัดแย้งทางชาติพันธุ์โดยที่อัตลักษณ์ของกลุ่มถูกยึดครองโดยอำนาจของประเทศอาณานิคม อัตลักษณ์ของ ฮูตู และ ทุตซี ได้รับการสร้างโดยประเทศอาณานิคมอย่างเบลเยียม

เมื่อพวกเขานำบัตรประจำตัวเข้ามาใช้ในปี 1933 โดยกำหนดชาติพันธุ์ของ ฮูตู, ทุตซี หรือ ทวา ให้กับชาวรวันดาแต่ละคน ระบบที่ได้รับแบ่งแยกชาติพันธุ์ ซึ่งยุคก่อนหน้านี้มีความยืดหยุ่นกว่า ได้กลายเป็นระบบที่เข้มงวด และเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งหลังจากได้รับเอกราชของรวันดาในปี 1962

การเริ่มแบ่งแยกทางชาติพันธุ์ จุดเริ่มต้นความแตกแยก
การเริ่มแบ่งแยกทางชาติพันธุ์ จุดเริ่มต้นความแตกแยก

รัฐบาลฮูตูยังคงรักษานโยบายอาณานิคมในเรื่องบัตรประจำตัวดำเนินการโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านชาวทุตซีและยังคงรักษาโควต้าชาติพันธุ์ต่อไป ต้องบอกว่า บริบททางประวัติศาสตร์นี้มีความเกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก

ในช่วงหลายทศวรรษต่อจากนั้น มุมมองเหล่านี้ที่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากยุคอาณานิคมได้รับการเสริมสร้างและฝังลึกลงไปในสังคมของรวันดา เมล็ดพันธุ์ของความขัดแย้งทางสังคมที่ยืดเยื้อซึ่งนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในท้ายที่สุด และสื่อของรวันดาตระหนักดีถึงวิธีใช้มันให้เป็นประโยชน์

ในช่วงหลายปีหลังได้รับเอกราชชาวทุตซีหลายพันคนหลบหนีจากความรุนแรง ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ชาวทุตซีที่ลี้ภัยอยู่ในยูกันดาได้ก่อตั้งแนวร่วมรักชาติรวันดา (RPF) กองทัพผู้รักชาติรวันดา (RPA) และเข้าบุกด้านเหนือของรวันดาในปลายปี 1990 และมีการรณรงค์ให้ก่อความไม่สงบเป็นเวลา 4 ปีตามมา

ความก้าวหน้าของ RPA นำไปสู่การรณรงค์โฆษณาชวนเชื่ออย่างกว้างขวางของสื่อรวันดาซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างทุตซีและฮูตู สื่อดึงความสนใจไปที่ยุคอาณานิคมและแพร่กระจายความกลัวว่า ฮูตู อาจเป็นเหยื่อของการปราบปรามอีกครั้งหาก ทุตซี เข้ามาควบคุมในรวันดาได้สำเร็จ 

โดยคำยืนยันเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากการกระทำหลายๆ อย่าง ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มระดับความหวาดกลัวในหมู่สาธารณชน เช่น การโจมตีคิกาลี โดย ทุตซี ในเดือนตุลาคม 1990

โฆษณาชวนเชื่อถูกล้างสมองชาวชาวฮูตูซึ่ง เริ่มระบุว่า การเป็นฮูตูไม่ใช่เป็นชาวรวันดา สิ่งนี้มีส่วนทำให้เกิดการโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านชาวทุตซี หลังยุคอาณานิคมซึ่งเป็นรูปแบบของการสังหารหมู่ในปี 1959,1962 และ 1972

การรุกรานรวันดาในปี 1990 โดย RPF ทำให้แนวโน้มนี้ทวีความรุนแรงขึ้นและถูกมองว่ามีการต่อต้านที่ ‘ถูกต้องตามกฎหมาย’ โฆษณาชวนเชื่อของ ทุตซี ที่กำหนดเป้าหมายไปยังกลุ่ม RPF และ ทุตซี ในประเทศ 

หลังจากการรุกรานของ RPF สื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือพิมพ์ ‘ Kangura’ , ‘ Radio Rwanda ‘ และในปี 1993 ‘ Radio Mille Collines ‘ (RTLM) ได้ถูกทำให้กลายเป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อจำนวนมาก 

แหล่งที่มาของสื่อเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางชาติพันธุ์ที่รุนแรง โดยกำหนดให้ ทุตซี เป็น ‘ศัตรู’ และ Kangura ได้ตีพิมพ์ ‘บัญญัติสิบประการ’ ขอชาว ฮูตู ซึ่งเป็นหลักคำสอน ‘Hutu Power’ ที่แพร่กระจายไปทั่ว 

โดยบางครั้งเพลงยอดนิยมก็ผสมกับการยุยงให้เกิดการฆาตกรรม การโฆษณาชวนเชื่อกระตุ้นให้เกิดความกลัวอย่างมากต่อชาวทุตซี และทำให้เส้นแบ่งระหว่าง RPF และ ทุตซี เริ่มที่จะแยกกันไม่ออก 

ดังนั้นโดยทั่วไปแล้ว ทุตซี จึงถูกระบุว่าเป็น ‘กองกำลังรุกราน’ และในการเน้นย้ำถึง ‘ความแปลกแยก’ ความฉลาดและความหลอกลวงของ ทุตซี การโฆษณาชวนเชื่อจึงทำให้พวกเขาเป็น ‘ภัยคุกคามถาวร’ รวมถึงการขาดแหล่งสื่อทางเลือกในรวันดาทำให้การโฆษณาชวนเชื่อเหล่านี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก

สิ่งที่ทำให้การโฆษณาชวนเชื่อได้ผลโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการลดทอนความเป็นมนุษย์ของทุตซีพร้อมกัน และความชอบธรรมในการกำจัดพวกมันออกไป ‘บัญญัติสิบประการ’ ได้รื้อฟื้นตำนานชาติพันธุ์ที่แตกแยกในอดีต ในขณะที่สื่ออย่าง Kangura และ RTLM เรียก ทุตซี ว่า Inyenzi (แมลงสาบ) ซึ่งเป็นการสร้างวาทกรรมที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ 

สื่อกำลังสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ชาติแตกแยก
สื่อกำลังสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ชาติแตกแยก

การเน้นความแตกต่าง ‘โดยธรรมชาติ’ เป็นสิ่งสำคัญในการนำเสนอ ‘ความเสี่ยง’ ที่เกิดจากชาวทุตซี ความคล้ายคลึงกันระหว่างการโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านชาวทุตซี กับการแสดงภาพชาวยิวของนาซี หรือการโฆษณาชวนเชื่อในอดีตของยูโกสลาเวีย ซึ่งการใช้เครื่องมืออย่างสื่อก็ประสบความสำเร็จในการสร้างความแตกแยกทางชาติพันธุ์ในระดับฝังรากลึก

ความแตกแยกทางสังคมดังกล่าวเป็นตัวการที่ชัดเจนในการสังหารโหดในปี 1994 โดยที่กลุ่มหัวรุนแรงชาวฮูตูประสบความสำเร็จในการ ‘สนับสนุนการก่อให้เกิดอคติที่รุนแรงต่อชาวทุตซี’

และมีหลักฐานของการประสานงานจากส่วนกลาง โดยในการออกอากาศเมื่อวันที่ 3 เมษายน 1994, สถานีวิทยุ RTLM ที่ได้กล่าวถึงความรู้เกี่ยวกับการสังหารโหดที่กำลังจะมาถึง ซึ่งก่อนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มีการใช้โฆษณาชวนเชื่ออย่างชัดเจนเพื่อสร้างเงื่อนไขที่จะอำนวยความสะดวกในการสังหารชาวทุตซีจำนวนมากในภายหลังได้สำเร็จ อย่างที่เราได้เห็นเป็นบทเรียนกันนั่นเองครับ

References : http://www.hscentre.org/sub-saharan-africa/media-tool-war-propaganda-rwandan-genocide/
https://www.zora.uzh.ch/id/eprint/137655/
http://millab.ge/en/case-study/case-study-1-rwandan-genocide/23
https://en.wikipedia.org/wiki/Rwandan_genocide

Digital Propaganda เมื่อเราทุกคนกำลังตกเป็นเหยื่อ Bias Algorithm ของ Social Network

Propaganda หรือ การโฆษณาชวนเชื่อต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับโลกของเรามาอย่างยาวนานมากแล้ว แต่ตอนนี้ มันกำลังวิวัฒนการใหม่ผ่านรูปแบบของข้อมูล Digital ที่เกิดขึ้นในโลกของ Social Platform ต่าง ๆ ที่รายล้อมอยู่รอบตัวเราในปัจจุบัน

ที่ผ่านมาการ โฆษณาชวนเชื่อนั้น มีทั้งสิ่งที่ดี และ สิ่งที่เลวร้าย กับผลที่ตามมา ซึ่ง ผลของ Propaganda ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดน่าจะเป็น การโฆษณาชวนเชื่อครั้งใหญ่ ครั้งแรกของรัฐบาลเยอรมนี หลังการพ่ายแพ้ของเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

Hitler ได้ใช้ทฤษฎีการโฆษณาชวนเชื่อของเขาซึ่งเป็นฐานที่ทรงพลังสำหรับการขึ้นสู่อำนาจในปี พ.ศ. 2476 ซึ่งโฆษณาชวนเชื่อที่ถูกกรอกใส่หูประชาชนชาวเยอรมนี อย่างบ้าคลั่งในช่วงนั้น ผ่านสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น TV หรือ วิทยุ ถูกผลิตโดยกระทรวงการโฆษณาชวนเชื่อของประชาชนภายใต้การนำของ โจเซฟ เกิ๊บเบลส์

และเมื่อโลกของเราหมุนไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้สื่อที่มีบทบาทหลักในการชี้นำความเห็นของประชาชน ได้กลายมาเป็นแพลตฟอร์มที่อยู่บนโลกออนไลน์ ที่มี Impact สูงต่อสังคมมากกว่าสื่อในยุคเดิมอย่าง TV หรือ วิทยุ ไปเสียแล้ว

แต่ปัญหาใหญ่ของแพลตฟอร์มเหล่านี้ โดยเฉพาะ Social Network นั่นก็คือ Bias Algorithm ซึ่งแน่นอนว่า บรรดา Feed ต่าง ๆ ที่ส่งมาให้เราในโลก Social นั้นส่วนใหญ่ จะเสนอในสิ่งที่เราชอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี สำหรับ สินค้า และ บริการ ที่เลือกสิ่งที่เหมาะสมกับเรามาให้เสพผ่าน Feed

แต่ตรงข้ามเลย ในเรื่องแนวคิดทางการเมือง เพราะการได้แนวคิดผ่าน Bias Algorithm เหล่านี้นั้น จะทำให้เราถูก Propaganda หรือ การโฆษณาชวนเชื่อ จากแนวคิดของพรรคการเมืองต่าง ๆ หรือแนวความคิดทางการเมืองต่าง ๆ ได้ง่ายดาย ยิ่งขึ้นมาก ๆ โดยใช้เงินลงทุนที่ต่ำมาก ๆ เมื่อเทียบกับสื่อยุคเดิมอย่าง TV หรือ วิทยุ

ซึ่งที่ผ่านมาเราจะได้เห็นถึงความสุดขั้วทางการเมือง ที่เปลี่ยนใครหลาย ๆ คนให้คิดแบบสุดขั้วมากมาย ทั้งนักวิชาการชื่อดัง อาจารย์มหาลัยชื่อดัง หรือ อีกหลากหลายคนบนโลก Social Network ที่ถูก Digital Propaganda จนแสดงออกมาได้แบบสุดขั้วอย่างที่เราได้เห็นในข่าว หลาย ๆ ครั้ง

เพราะพวกเขาเหล่านั้น ในตอนนี้ เมื่อมาอยู่บนแพลตฟอร์มโลกออนไลน์ แล้วนั้น ก็อาจจะถูก Bias Algorithm ของ Social Network พาไปในโลกของความเห็นทางการเมืองแบบสุดขั้ว และ เจอแต่คนที่มีแนวคิดเดียวกันเท่านั้น ทำให้กลายเป็นว่าเชื่อในทุกข้อมูลที่ถูก feed ผ่านเข้ามาใน Social Network เพราะเป็นสิ่งที่พวกเขาชอบ พวกเขาอยากได้จริง ๆ นั่นเอง

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของ Cambridge Analytica ที่แสดงให้เห็นถึง พลังของ Digital Propaganda ว่าทรงพลังมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ หรือ Campaign Brexit ของประเทศอังกฤษ ที่แสดงให้เห็นถึงพลังของ Digital Propaganda เหล่านี้ ว่ากำลังมีบทบาทที่สำคัญโดยเฉพาะในเรื่องของความคิดเห็นทางด้านการเมืองในปัจจุบัน

เพราะฉะนั้น เมื่อเราอยู่ในแพลตฟอร์มเหล่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจะต้องตั้งสติให้มากขึ้นกว่าเดิม รับฟังความเห็นที่หลากหลายขึ้น แม้จะขัดใจเรามากมายขนาดไหน (ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก ๆ ) ในการเสพสื่อจากโลก Online Platform เหล่านี้นั่นเองครับผม

Image References : https://www.pexels.com/photo/graffiti-obey-propaganda-pattern-san-diego-18945/