Movie Review : Train to Busan 2 Peninsula ฝ่านรกซอมบี้คลั่ง

ถือเป็นหนึ่งภาพยนตร์ที่หลาย ๆ คนน่าจะรอคอยกันอยู่สำหรับ Train to Busan 2 Peninsula ฝ่านรกซอมบี้คลั่ง หลังจากที่ได้ฝากผลงานภาคแรกไว้ได้อย่างน่าประทับใจ ถือเป็นอีกหนึ่งหนังเกาหลีที่มีคุณภาพระดับ Hollywood เลยทีเดียว

“PENINSULA” ภาคต่อหนัง ซอมบี้ชื่อดัง “TRAIN TO BUSAN” ที่เคยสร้างปรากฏการณ์พีกคลั่งสุดขีดทำรายได้ถล่ม ทลายมาแล้วทั่วโลก

เป็นภาพยนตร์ ซอมบี้บ้าคลั่งที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ด้วยโปรดักชั่นระดับ Hollywood ที่เนรมิตดินแดนนรกร้างทั่วทั้งคาบสมุทร เกาหลี โดยครั้งนี้ได้เล่าเหตุการณ์ 4 ปีหลังจาก Train to Busan ดินแดนที่เต็มไปด้วยฝูงซอมบี้ กระหายเลือด และ เหลือจำนวนผู้รอดชีวิตแค่เพียงหยิบมือ

เป็นการดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด การต่อสู้หนีตายจากฝูงซอมบี้ พร้อมกับตามหา มนุษย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ จึงกลายมาเป็นภารกิจหลักที่ดินแดนสุดเขตคาบสมุทร เดินหน้าสู่ขีดสุดความคลั่งก่อน วันสิ้นโลก

“PENINSULA” นำแสดงโดยนักแสดงมากฝีมือที่วงการภาพยนตร์เกาหลีคุ้นเคยกันดีอย่าง “คัง ดงวอน” จาก Romance of Their Own และ A Violent Prosecutor และ “อี จองฮยอน” จาก The Battleship Island

ซึ่งจากตอนจบในภาคแรกที่ไปถึงเมือง Busan ทางตอนใต้ของประเทศเกาหลี ที่ดูเหมือนจะรอด แต่สีหลังจากนั้น พบว่าทั้งคาบสมุทร เกาหลี ต้องพบกับความหายนะ ที่เหล่าซอมบี้ เข้ายึดครองได้ทั้งหมด

เนื้อเรื่องของ Peninsula นั้น เริ่มต้นย้อนกลับไปช่วงที่ มนุษย์กลุ่มท้าย ๆ ได้ทำการย้ายจากคาบสมุทรเกาหลี เพื่ออพยพไปยังประเทศอื่น ๆ และที่หมายของการดำเนินเรื่องคือ ฮ่องกง ถือว่า สามารถต่อจากเนื้อเรื่องเดิมได้ค่อนข้างดี และอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้อย่างสมเหตสมผล

สำหรับภาค 2 นั้น ไม่ได้เกี่ยวกับรถไฟ อีกต่อไป เพราะมันเป็นการสร้างเนื้อเรื่องขึ้นมาใหม่ ที่ใช้ตัวละครใหม่ทั้งหมด ที่ชายเกาหลีทั้งสี่ ต้องกลับไปทำภารกิจที่ประเทศบ้านเกิดของตัวเองอีกครั้ง ซึ่งเป็นภารกิจที่เสี่ยงตาย แต่มันคุ้มค่ากับจำนวนเงินมหาศาลที่จะเปลี่ยนชีวิตพวกเขาเหล่านี้

แน่นอนว่า มันเกี่ยวกับเรื่องการเหยียดชนชาติ ที่ทั้ง 4 โดนกระทำมา เมื่อต้องอพยพมาอยู่ที่ฮ่องกง เพราะภาพจำของชาวโลกนั้น มองว่า ชาติเกาหลี เป็นต้นกำเนิดเชื้อไวรัสนรกตัวนี้ ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกมากนักที่จะยกระดับชีวิตของตัวเองขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง

แม้เนื้อเรื่องจะไม่มีอะไรมากมาย แต่ต้องบอกว่า ฉากบู๊ ฉากแอคชั่น ทำได้ดีพอสมควร และ ฉากการขับขี่รถไล่ล่านั้น ต้องบอกว่าทำได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมกับความแอคชั่นสุดมันส์จากหนังเรื่องนี้

ส่วนของ CG นั้นก็ทำออกมาได้ดีไม่ต่างจากภาคแรก แต่ภาคนี้ บทบาทของซอมบี้ จะน้อยไปหน่อย ไม่มีการบุกตะลุย คลั่ง ฆ่าคน เหมือนภาคแรก แต่บทจะเน้นไปที่ความดิบของตัวละครทั้งหมดแทน ผ่านการเล่าเรื่องที่น่าสนใจเลยทีเดียว

เพราะภูมิหลังของตัวแสดงแต่ละคนนั้น มีความเชื่อมโยงกันทั้งหมด และยังเชื่อมโยงไปยังจุดจบตอนท้ายของเรื่อง ที่เรียกได้ว่า พลิกไป พลิกมาหลายตลบเลยทีเดียว

และผู้กำกับอย่าง ฮยอนซังโฮ ก็สร้างตัวละคร ที่มีหลากหลายมิติ ซึ่งทุกคนนั้นดูมีความเชื่อมโยงกัน และแสดงให้เห็นถึงความดิบเถื่อนในเหล่าผู้อยู่รอด ที่บางครั้งอาจจะทำตัวร้ายกาจกว่าเหล่าฝูงซอมบี้ ที่กำลังยึดครองเมืองอยู่เสียด้วยซ้ำ

ความสัมพันธ์ของครอบครัวก็เป็นหนึ่งประเด็นที่ หนังเรื่องนี้พยายามยัดใส่เข้ามาตลอดทั้งเรื่อง ตั้งแต่ตอนต้นเรื่องเลยทีเดียว แต่เมื่อดำเนินเรื่องมาถึงตอนจบ ก็ถือว่าค่อนข้างที่จะวางพลอตต่าง ๆ ไว้ได้ดีพอสมควร ทำให้เราได้ลุ้นไปถึงตอนจบว่าบทสรุปสุดท้ายมันจะเป็นยังไงกันแน่

ต้องบอกว่า ใครคาดหวังกับหนังเรื่องนี้ว่ามันจะเหมือนภาคแรกนั้น อาจจะผิดหวังได้ เพราะมันดูเหมือนมันจะเป็นคนละแนวกันเลยทีเดียว ภาคต่อนี้ มันคือหนังแอคชั่น ที่ผสมความดราม่า เรื่องครอบครัว และความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของตัวละคร ที่ก็ถือได้ว่าทำออกมาได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี ถือเป็นอีกหนึ่งภาพยนต์คุณภาพ ที่ตอนนี้โรงหนังแทบจะไม่ค่อยมีหนังใหม่ออกมาให้เราได้รับชม หนังดำเนินเรื่องไม่น่าเบื่อ มีความน่าติดตามตลอดเรื่อง พร้อมฉากแอคชั่นมันส์ ๆ ไปจนจบเรื่อง แนะนำให้ไปดูกันได้เลยครับ ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน