NetScape Time ตอนที่ 8 : Break The Law

ช่วงที่ Mosaic Communication ได้ทำการปล่อยโปรแกรม NetScape เป็นครั้งแรกนั้น เป็นช่วงเวลาเดียวกัน กับที่ Jim กำลังอยู่ในช่วงของการเดินทางพบสื่อมวลชน ที่ประกอบด้วยนิตยสารและหนังสือพิมพ์ที่โด่งดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Rolling Stone , Playboy , The Tribune Company , Time-Mirror และอีกมากมาย

เพียงแค่ 9 วันหลังจากเผยแพร่โปรแกรม มีบทความตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ชื่อดังมากมาย เกี่ยวการปรากฏตัวขึ้นของโปรแกรม NetScape มีการกล่าวขานกันอย่างเป็นวงกว้างว่า NetScape จะกลายเป็นประตูที่สำคัญในการเป็นสื่อกลางของการช็อปปิ้ง ระบบธนาคาร และแหล่งรวมบริการอีกมากมายหลายประเภทที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

แต่ในตอนนั้นต้องบอกว่า Mosaic ดั้งเดิมที่ Spyglass ได้ลิขสิทธิ์ไปครอบครองนั้น สามารถกอบโกยผู้ใช้งานไปแล้วนับแสน ๆ ราย ในขณะที่ NetScape เพิ่งถูกเปิดตัวเป็นครั้งแรก

แม้ตัวโปรแกรม NetScape ที่ได้เผยแพร่ออกไปนั้น เป็นการพัฒนาโปรแกรมขึ้นมาใหม่ โดยไม่นำโปรแกรมเดิมมาเป็นต้นแบบแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่ Marc และทีมงานต้องการทำมาตั้งแต่ต้น เพื่อพิสูจน์ตัวเองครั้งใหม่

แต่ก็ยังมีรายงานจากหลาย ๆ แห่ง ที่ได้เริ่มกล่าวหาว่า NetScape เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโปรแกรม Mosaic จากศูนย์ NCSA ซึ่งทำให้สถานการณ์ของบริษัท เริ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้อง หรือ ถูกมองในแง่ลบจากสาธารณชน

Jim จึงได้พยายายามติดต่อ Larry Smarr ที่เป็นผู้อำนวยการศูนย์ NCSA ทันที เพื่อเคลียร์เรื่องดังกล่าวให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะเป็นปัญหา เพราะลูกค้าอาจจะเข้าใจผิดว่า Mosaic Communication ขโมยผลงานของผู้อื่นมาขาย ซึ่งเป็นเรื่องที่เสียหายเป็นอย่างยิ่ง

Larry Smarr ผู้อำนวยการศูนย์ NCSA และทีมงาน
Larry Smarr ผู้อำนวยการศูนย์ NCSA และทีมงาน

ซึ่งทาง Jim ทำการยื่นข้อเสนอ เพื่อให้ Larry Smarr มาเป็นสมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาทางด้านเทคโนโลยีของบริษัท และทำการมอบหุ้นจำนวนหนึ่งให้กับ Smarr และทางมหาลัย โดย Jim หลีกเลี่ยงในเรื่องการขอใช้ลิขสิทธิ์จาก NCSA เหมือนที่ Spyglass ทำ เพราะเขาคิดว่า NetScape เป็นงานที่รังสรรค์ขึ้นใหม่ทั้งหมดโดย Marc และ ทีมงานนั่นเอง

แต่ดูเหมือน Larry Smarr นั้นจะสงวนท่าที่ กับข้อเสนอดังกล่าวที่ Jim เสนอให้ และสื่อก็เริ่มระแคะระคายกับสิ่งที่เกิดขึ้น จึงได้เริ่มมีการขุดคุ้ยเรื่องราวของ Mosaic และ Marc Andreessen จนทำให้สุดท้าย Jim ต้องจ้างทนายมาจัดการเรื่องดังกล่าว

และวันเวลา มันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงเดือนกันยายน ปี 1994 ก็ยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนจาก Smarr และ NCSA ตอบกลับมา เหล่าลูกค้าของ Jim ก็เริ่มรู้สึกกังวล เพราะลูกค้าเริ่มหลั่งไหลเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ Jim จึงได้ตัดสินใจ ส่ง Note ไปยังอธิการบดีของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์อีกครั้ง ด้วยข้อเสนอที่เขาคิดว่า คงไม่อาจจะปฏิเสธได้

โดย Jim เสนอให้ทางมหาลัยเข้ามาดู Source Code ของโปรแกรม NetScape และอนุญาติให้ผู้เชี่ยวชาญภายนอกเข้ามาพิสูจน์ว่ามีส่วนใดที่มีการลอกเลียนแบบ Mosaic ของศูนย์ NCSA หรือไม่ ซึ่งจะเป็นการยุติปัญหาเรื่องทรัพย์สินทางปัญหาได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

แต่เพียงแค่ 1 อาทิตย์หลังจากนั้น ในวันที่ 12 ตุลาคม 1994 Jim ได้รับจดหมายจากอธิการบดีมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ที่แจ้งว่าการกระทำของพวกเขานั้นถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ และทรัพย์สินทางปัญญา และให้ไปขอลิขสิทธิ์ที่ถูกต้องกับบริษัท Spyglass

Jim จึงได้เดินทางไปคุยกับ Spyglass โดยทางฝั่ง Spyglass นั้นเสนอให้ Mosaic Communication เปลี่ยนชื่อบริษัท และ จ่ายค่าลิขสิทธิ์โดยคิดต่อการดาวน์โหลดแต่ละครั้งที่ราคา 50 เซนต์ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วสำหรับ Jim เพราะเขาตั้งใจที่จะปล่อยให้ NetScape นั้นดาวน์โหลดได้ฟรี เพื่อแย่งส่วนแบ่งการตลาดให้ได้เร็วที่สุด

เมื่อถึงช่วงสิ้นเดือนตุลาคม สถานการณ์ยิ่งเลวร้าย เมื่อ Larry Smarr ผู้อำนวยการศูนย์ NCSA ให้สัมภาษณ์กับสื่อ ว่าต้องการฟ้องร้องเพื่อบังคับ Mosaic Communication ในเรื่องลิขสิทธิ์ และเครื่องหมายการค้า เพราะตอนนั้นมีกว่า 20 บริษัทแล้วที่ได้รับลิขสิทธิ์และจ่ายเงินอย่างถูกต้องให้กับมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์

สถานการณ์ก็เริ่มบีบคั้น Jim และทีมงานขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว ความเห็นของเหล่านักกฏหมายที่ Jim ทำการจ้างมาก็แบ่งเป็นสองฝ่าย เพราะปัญหาเรื่อง Source Code บางอย่างที่ทีมงานของ Marc ใช้นั้นอาจจะมีปัญหา

Source Code บางอย่างที่ Marc และทีมงานของเขาใช้อาจจะมีปัญหา
Source Code บางอย่างที่ Marc และทีมงานของเขาใช้อาจจะมีปัญหา

ธุรกิจในฝั่งประเทศญี่ปุ่น ก็เริ่มหยุดชะงักลงทันที เนื่องจากเหล่าลูกค้า เกรงจะเกิดปัญหาด้านลิขสิทธิ์ และ การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และสถานการณ์ในตอนนั้น ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ก็เริ่มสูงขึ้น มีพนักงานเพิ่มเข้ามาอยู่ตลอดเวลา และหากเรื่องดังกล่าวไม่เคลียร์ มันก็ยิ่งสูญเสียโอกาสมากขึ้นเท่านั้น และกระทบต่อการระดมทุนรอบต่อไปของบริษัทอีกด้วย

มีการนัดเจรจากันเกิดขึ้น ระหว่างทีมกฏหมายของทั้งสอง เพื่อหาทางออก โดย Jim นั้นได้เตรียมแผนสำรองไว้ หากการเจรจาไม่บรรลุผล โดยจะทำการฟ้องร้อง โดยเป็นการร้องขอให้มีการตรวจสอบโปรแกรม เพื่อให้ศาลตัดสินว่าทาง Mosaic Communication นั้นมีการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างที่ถูกกล่าวหาหรือไม่

ซึ่งในโต๊ะเจรจา ที่มีนักกฏหมายจากทั้งสองฝั่งต่างถกเถียงในเรื่องของประเด็นกฏหมาย ว่าทีมงานของ Marc นั้นละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาจริงหรือไม่ มีการกล่าวอ้างถึงการที่ข้อมูลที่ Marc และทีมงานนำไปสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่นั้น มันก็มาจากข้อมูลในหัวของเขาที่ได้รับไปจากมหาวิทยาลัย เรียกได้ว่าเป็นการถกเถียงกันเรื่องข้อกฏหมายที่ดุเดือดครั้งหนึ่งเลยทีเดียว

สุดท้าย ก็เจรจาตกลงหาข้อสรุปกันไม่ได้ระหว่างทีมกฏหมายของทั้งสอง และสุดท้าย Jim ก็ได้สั่งให้ทีมงานจัดการยื่นฟ้องศาลให้ตัดสินเรื่องนี้ให้จบเสียที โดยจะมีระยะเวลา 40 วันที่จะดำเนินการพิจารณาคดี หรือ ถอนฟ้อง เรียกได้ว่าเป็นทางเลือกสุดท้ายของพวกเขาเพื่อจัดการเรื่องนี้ให้สิ้นสุดเสียที

มาถึงตอนนี้ สิ่งที่ Jim คิดไว้ตั้งแต่แรกนั้น ดูเหมือนจะกลายเป็นจริง ในเรื่องของปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่กำลังมีปัญหาต่อธุรกิจของ Mosaic Communication อย่างชัดเจน แล้วพวกเขา จะผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไปได้อย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 9 : Move On

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Billion Dollar Company *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

References : https://www.businessnewsdaily.com/6043-intellectual-property-tips.html

NetScape Time ตอนที่ 7 : Into The New World

เมื่อถึงเดือนกันยายน ปี 1994 ซึ่งเป็นเวลาเพียงแค่ 3 เดือนครึ่งหลังจากที่ทีมโปรแกรมเมอร์ของ Marc เริ่มทำงานในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างจริงจัง ต้องบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ทีมงานของ Marc แทบจะไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน พวกเขาคุ้นเคยกับอาหารเช้ากลางดึก และ การใช้บริการ Delivery สั่งพิซซ่าเข้ามาทานกันในออฟฟิส

แน่นอนว่า งานของพวกเขาเป็นงานที่หนัก ต้องใช้ความทุ่มเทและความอดทนค่อนข้างสูง แถมยังต้องแบกรับความกดดันเพื่อผลิตซอฟต์แวร์ให้ได้ตามความคาดหวังของทุก ๆ คนในบริษัท

ตัว Marc เองก็ยังจุดยืนเดิมของโปรแกรมที่ต้องแจกให้ผู้ใช้งานได้ใช้กันฟรี ๆ ซึ่งเป็น trend ที่เริ่มเกิดขึ้นบนโลก internet แต่ตัว Jim นั้น ก็ยังคงกังวลอยู่ว่า แล้วจะสร้างรายได้จากโปรแกรมนี้ได้อย่างไร

แต่เขาก็ได้คิดถึงแผนการคร่าว ๆ ไว้แล้ว เพราะเขามอง Browser ตัวใหม่นี้เปรียบเสมือนสื่อ ที่อาจจะสร้างรายได้จากค่าโฆษณา ซึ่งหากโปรแกรมกลายเป็นที่นิยมและมีผู้ใช้งานมหาศาล ก็น่าจะมีความเป็นไปได้ว่าจะขายพื้นที่โฆษณาได้ ซึ่งต้องบอกว่าในยุคนั้น การขายโฆษณาบน internet ยังไม่เคยมีปรากฏขึ้นมาก่อน

ในเดือนกันยายนนี้เองที่ Jim ได้ไปเข้าร่วมงานสัมนา inter-ops ในเมือง ลาสเวกัส และประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ตัวแรกอย่างเป็นทางการ นั่นก็คือ โปรแกรม Browser ที่ถูกเรียกชื่อว่า “NetScape”

และนั่นได้กลายเป็นแรงกดดันให้กับทีมโปรแกรมเมอร์เพิ่มมากขึ้น ที่ต้องเร่งผลิตภัณฑ์ให้ทันแผนการปล่อย Software เวอร์ชั่นใช้งานจริงอย่างเป็นทางการ

สำหรับ NetScape รุ่นแรกจะเป็น NetScape 0.9 ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ผลิตขึ้นมาใหม่แทบจะทั้งหมด และมีความสามารถรวมถึงประสิทธิภาพที่สูงกว่าโปรแกรม Mosaic เดิมมาก

ซึ่งทำให้เหล่าโปรแกรมเมอร์ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ กดแป้น Keyboard และลาก Mouse ทำอย่างงี้วนเวียนไปตลอดช่วงหน้าร้อน มีการประชุมสั้นๆ 10 นาทีทุกครั้งที่มีใครเจอปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ และทีมงานก็จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาก่อนที่จะแยกย้ายกลับไปทำงานในส่วนของตัวเอง

ไม่เพียงเท่านั้น การแข่งขันมันได้เริ่มต้นตั้งแต่พวกเขาเริ่มพัฒนาโปรแกรม เนื่องจากศูนย์ NCSA ได้ทำการมอบลิขสิทธิ์ Mosaic ให้กับบริษัท Spyglass เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Spyglass ที่ได้รับลิขสิทธิ์ Mosaic ถือเป็นคู่แข่งโดยตรง
Spyglass ที่ได้รับลิขสิทธิ์ Mosaic ถือเป็นคู่แข่งโดยตรง

แต่เรื่องที่ดีหลังจากการโปรโมตผลิตภัณฑ์ NetScape อย่างเป็นทางการก็คือ มีลูกค้าหลายรายเริ่มติดต่อเข้ามาจากทั่วทุกมุมโลก และนั่นเป็นสิ่งที่ชี้ชัดว่าโปรแกรมของพวกเขาได้รับการตอบสนองที่ดีเพียงใด และทำให้เกิดโอกาสทางด้านธุรกิจเกิดขึ้นมากมายทั้งที่ตัวโปรแกรมยังไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าความตื่นเต้นทั้งหมดอยู่ในช่วงที่บริษัทกำลังจะเผยแพร่โปรแกรม NetScape 0.9 ออกสู่สายตาโลก มีการทำงานอย่างหนักทั้งเรื่องความคิด การแก้ไข Bug และผู้ที่จะทดสอบโปรแกรมได้ดีที่สุด ก็คือสาธารณชนเมื่อโปรแกรมถูกปล่อยออกไปนั่นเอง ซึ่งคนเหล่านี้จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์หลังจากได้ใช้งานจริง ๆ เพื่อมาปรับปรุงแลพัฒนาโปรแกรมให้ดียิ่งขึ้น

แผนการสุดท้ายที่จะปล่อยโปรแกรมออกไปคือ ช่วงกลางเดือนตุลาคม และสำหรับเหล่าทีมงานโปรแกรมเมอร์ แล้ว ถือเป็นช่วงเวลาที่มีความหมายกับพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง เป็นช่วงเวลาที่จะพิสูจน์ว่าโปรแกรมของพวกเขา จะสร้างธุรกิจหลายล้านเหรียญสหรัฐได้อย่างที่คาดหวังไว้หรือไม่

มีการนำเอาจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่ติดตั้งไว้กับเครื่อง Server มาไว้ในห้องประชุม เพื่อแสดงข้อมูลการดาวน์โหลด โปรแกรมรวมถึง tracking ข้อมูลต่าง ๆ ว่า มีการดาวน์โหลดเกิดขึ้นที่ไหนอย่างไร

เหล่าโปรแกรมเมอร์เข้ามามุงดูเหมือนการถ่ายทอดสดกีฬาครั้งสำคัญ เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน ณ ฝั่งตะวันตกของสหรัฐ NetScape ก็ได้ถูกปล่อยให้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการ

NetScape 0.9 เวอร์ชั่นแรกที่ปล่อยให้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการ
NetScape 0.9 เวอร์ชั่นแรกที่ปล่อยให้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการ

แทบจะทันทีทันใดหลังจากปล่อยโปรแกรมออกมา มีการดาวน์โหลดเข้ามาแบบทันทีราวกับว่าพวกเขากำลังรอโปรแกรมนี้อยู่ มีผู้ใช้งานจากญี่ปุ่นเป็นคนแรกที่เข้ามาดาวน์โหลดโปรแกรม เพราะว่าเวลาในช่วงนั้นของญี่ปุ่นคือช่วงบ่าย

เรื่องประสิทธิภาพการใช้งานนั้น ทีมงานโปรแกรมเมอร์ของ Marc ไม่กังวัลแต่อย่างใด เพราะ มันดีกว่า Mosaic แน่นอน มันทำงานได้เร็วกว่า เชื่อมต่อกับ internet ได้เร็วกว่า และมีรูปแบบลักษณะการใช้งานที่หลากหลายมายิ่งขึ้น เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก ๆ ของโลกมนุษย์เราที่ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญไปสู่อนาคตของ World Wide Web

ต้องบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจากจุดเล็ก ๆ ของทีมงานของ Marc นั้นกำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่กับโลกเรา กลุ่มเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยจินตนาการ กำลังเฝ้ามองสิ่งประดิษฐ์ของพวกเขา ที่กำลังถูกดาวน์โหลดไปใช้โดยผู้ใช้งานจากทั่วโลก และนับจากวันนั้นเองที่ NetScape 0.9 ได้ถูกปล่อยออกมา โลกใบเดิม ๆ ของมนุษย์เรากำลังจะถูเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

–> อ่านตอนที่ 8 : Break The Law

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Billion Dollar Company *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

References : https://guardianlv.com/2014/05/the-rise-and-fall-of-netscape/

NetScape Time ตอนที่ 4 : The Navigator

หลังจากทีมงานจากอิลลินอยส์เดินทางมาถึง Jim ได้พาทีมงานของเขาไปทำความคุ้นเคย เพื่อซึมซับบรรยากาศของ Silicon Valley โดยได้พาท่องไปยังบริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น Intel , Apple , Sun Microsystem , HP , Xerox หรือ Adobe

แต่ Jim เอง ก็ดูเหมือนจะเริ่มกังวลกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับ NCSA โดยเฉพาะในเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งในกระบวนการผลิต Software นั้น การคิด การออกแบบ และการพัฒนาจะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน โดยทีมงานชุดเดียวกันกับที่สร้าง Mosaic ให้กับ NCSA

แน่นอนว่า ตอนนี้ทั้งสองได้กลายเป็นคู่แข่งกันแบบเต็มตัว เพราะเป้าหมายคือลูกค้ากลุ่มเดียวกัน Jim จึงสั่งให้ Marc และทีมงานของเขา ห้ามไม่ไห้ดูตัวอย่างโปรแกรมจาก Mosaic เป็นเด็ดอันขาด และต้องการให้เริ่มทำสิ่งใหม่ทั้งหมดโดยเริ่มต้นจากศูนย์แทน

ต้องเรียกได้ว่า เป็นก้าวที่สำคัญมาก ๆ ของพวกเขา เพราะสถานการณ์โลกเทคโนโลยีในตอนนั้นกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เพราะการเกิดขึ้นของ ARPAnet และ internet รวมถึง World Wide Web โดย Berner-Lee ในปี 1994 มีผู้ใช้งาน internet ทั่วโลก อยู่ที่ราว ๆ 3 ล้านคน และกำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

Tim Berners Lee ผู้สร้าง World Wide Web
Tim Berners Lee ผู้สร้าง World Wide Web

โดยความคิดเริ่มต้นของ Marc ในการสร้าง Browser ตัวใหม่ คือความพยายามในการทำ internet ให้มีความสนุกมากขึ้น และต้องแจกจ่ายโปรแกรมดังกล่าวฟรีให้กับทุกคน Marc และทีมงานก็เริ่มลุยพัฒนาทันที ทำการเขียน Code กันจนแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอน จนห้องทำงานเริ่มรกรุงรัง ข้าวของวางกระจัดกระจาย อาหารและเครื่องดื่มวางอยู่เต็มห้องทำงานของ Marc และ ทีมงานของเขา

Jim นั้นดูแลเรื่อง Business เป็นส่วนใหญ่ และมักจะออกไปคุยธุรกิจข้างนอกอยู่บ่อยครั้ง เขาได้ว่าจ้างผู้จัดการมาเพิ่มเติม ซึ่งก็คือ Tom Paquin อดีตเพื่อนร่วมงาน ที่ SGI เพื่อมาดูแลทีมงาน โดยเน้นให้ทีมงานพัฒนานั้นสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ และไม่เกิดความรู้สึกรำคาญมากจนเกินไปกับระเบียบของบริษัท

รวมถึงงานด้าน PR ที่ Jim นั้นมักจะออกไปสัมภาษณ์กับสื่อ เป็นประจำ หลังจากสื่อเริ่มรับรู้ความเคลื่อนไหวของสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำ ซึ่งตอนนั้นทำให้ใช้เวลาเพียงไม่นาน เริ่มมีสื่อต่าง ๆ สนใจนำเรื่องไปลงตีมพิมพ์ ซึ่งมากเกินกว่าบริษัทที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งจะได้รับ

และผลของการที่สื่อต่าง ๆ นำเรื่องไปตีพิมพ์นี่เองที่ทำให้ เริ่มมีผู้สนใจมาเป็นลูกค้าเริ่มติดต่อเข้ามา ทำให้โทรศัพท์ดังเข้ามาแทบไม่หยุดหย่อน Jim ก็แทบจะไม่เชื่อตัวเองว่า จะได้รับกระแสตอบรับรวดเร็วถึงเพียงนี้ จนในที่สุดต้องมีการเริ่มจ้างคนเข้ามาเพื่อจัดการด้าน PR ให้กับบริษัท

ผู้ก่อตั้งทั้งสองเริ่มออกสื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้ก่อตั้งทั้งสองเริ่มออกสื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ

ช่วงเวลาระหว่าง เดือนพฤษภาคม – มิถุนายน ปี 1994 นั้นผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว Jim ง่วนอยู่กับการจัดการด้านธุรกิจ ส่วน Marc และ Tom คอยดูแลเรื่องเทคนิค ต้องเรียกได้ว่าทุกคนทำงานหนักกันมาก ๆ เพราะความกลัวในเรื่องการแข่งขันที่จะเกิดขึ้น ทำให้ทีมงานแทบจะไม่ได้มีวันหยุดพักผ่อน เป้าหมายของพวกเขาคือ ต้องการปล่อยผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดให้ทันก่อนสิ้นปี

โดยเป้าหมายของ Jim และ Marc นั้นมองว่า Browser ตัวใหม่ที่ทีมงานของเขากำลังสร้างสรรค์ขึ้นมานั้น ต้องเร่งสร้างส่วนแบ่งการตลาดให้เร็วที่สุด จะทำให้การปล่อยรุ่นทดลองให้เหล่าผู้ใช้งานทั่วไปใช้งานได้ฟรี ๆ และเชื่อว่าจะมีหนทางในการสร้างรายได้ เพราะลูกค้ากลุ่มบริษัทที่เป็นองค์กร ต่างมีความยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้า

ซึ่งหากทำให้ผู้ใช้งาน internet ในองค์กรใหญ่ ๆ เช่น General Motor หรือ AT&T เลือกที่จะใช้โปรแกรมของเขาในการติดต่อสื่อสารผ่านเว๊บ ก็จะทำให้พนักงานส่วนใหญ่ ในองค์กรเหล่านั้นมีโอกาสที่จะเลือกใช้เทคโนโลยีของเขาเป็นหลักก่อนคู่แข่งนั่นเอง

ซึ่งเมื่อใดที่องค์กรเหล่านี้ ต้องการเชื่อมต่อกับ internet ก็มีความเป็นไปได้สูง ที่จะเลือกใช้บริการของเขา ตัวอย่างเช่น Software ที่คอยจัดการเรื่องการสื่อสารทั้งภายในและระหว่างองค์กร เป็นต้น

แต่สำหรับลูกค้าทั่วไปนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในตอนนั้น แทบจะไม่มีใครคิดว่าระบบการจองห้องพัก และ ตั๋วเครื่องบิน จะนำมาใช้งานได้ดีกับโปรแกรมนี้ เรื่องนี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันมาก ๆ ในยุคนั้น ไม่มีใครเลยด้วยซ้ำในช่วงปี 1994 ที่เชื่อว่า internet จะมีโอกาสสร้างรายได้ที่เป็นเชิงพาณิชย์ได้

แต่ Jim ก็เชื่อว่า พัฒนาการที่แท้จริงของ internet คือ การนำไปสู่การปฏิวัติการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ ซึ่งข้อได้เปรียบในเรื่องความรวดเร็วในการทำทุกอย่างผ่าน internet จะมีผลทำให้วิธีการดำเนินธุรกิจให้รวดเร็วและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น

แน่นอนว่าสิ่งที่ Jim , Marc และทีมงานกำลังสร้างขึ้นมา จะนำมาซึ่งสื่อรูปแบบใหม่ และธุรกิจใหม่ ๆ โดยผู้คนจะหลั่งไหลกันมาใช้งาน internet กันเพิ่มมากขึ้น งานสำคัญของ Jim ในขณะที่ทีมกำลังพัฒนา ก็คือ การติดต่อบริษัทต่าง ๆ เพื่อบอกพวกเขาว่าบริษัทของเขากำลังสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ และมันจะมีความสำคัญมากเพียงใดกับธุรกิจเหล่านั้น

และในเวลาเพียงไม่กี่เดือน จำนวนพนักงานก็เพิ่มขึ้นไปแตะหลักร้อยคน เริ่มมีการแบ่งกันเป็นแผนกต่าง ๆ โดยแต่ละแผนกก็มีจำนวนพนักงานเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ฝ่ายขาย หรือ ฝ่ายการตลาด ที่ทำให้องค์กรนั้นมีรูปแบบที่ชัดเจนมากขึ้น

ด้วยความที่เป็นที่สนใจของสื่อเป็นจำนวนมาก นั่นทำให้ Microsoft ที่ติดตามข่าวสารผ่านทางสื่อต่างๆ อยู่เสมอ ทำให้ Microsoft เริ่มเพ่งเล็งมามากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าการเป็นจุดสนใจของสื่อนั้นเป็นข้อดีในเรื่องการตลาด ที่แทบจะเป็นการโฆษณาสินค้าให้แบบฟรี ๆ แต่ปัญหาคือ ตอนนี้ มันเริ่มเข้าไปแตะจมูกยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft เสียแล้ว ซึ่งตอนนั้น Microsoft ก็กำลังศึกษาความเป็นไปได้ของการที่จะมาลุยกับเทคโนโลยี internet อยู่พอดีเสียด้วย

ดูเหมือนตอนนี้ ทีมงานของ Jim และ Marc ต้องปั่นรีบสร้างผลิตภัณฑ์ให้ออกมาให้เร็วที่สุด เพื่อเร่งทำโปรแกรมให้สมบูรณ์พร้อมปล่อยออกสู่ตลาด เพราะคู่แข่งเริ่มเข้ามาด้อม ๆ มอง ๆ ว่าพวกเขากำลังทำอะไร และที่สำคัญ มียักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ที่เริ่มก้าวเข้ามาสนใจสิ่งที่พวกเขากำลังทำ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อกับพวกเขา แผนทุกอย่างที่พวกเขาวางไว้จะทำได้สำเร็จหรือไม่ โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 5 : The Investor

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Billion Dollar Company *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

NetScape Time ตอนที่ 3 : Dream Team

มันเป็นความแตกต่างที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมทางด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะทางด้านคอมพิวเตอร์ที่เรื่องของประสบการณ์นั้นไม่ได้เป็นข้อได้เปรียบทางธุรกิจเสมอไป เนื่องจากบริษัทด้านเทคโนโลยีส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ถูกผลักดันด้วยพลังของคนอายุน้อย ๆ ที่ มีมันสมอง และพลังงานที่เหลือล้น

และทีมงานคนรุ่นใหม่เหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับบริษัทเกิดใหม่ของ Jim และ Marc โดยทั้งสองได้บินด่วนไปที่ อิลลินอยส์ เพื่อไปดึงตัวเหล่าทีมงานเก่าที่เคยร่วมงานกับ Marc ที่ NCSA เพื่อรีบจูงใจทีมงานให้ได้เร็วที่สุด ก่อนที่พวกเขาจะถูกดึงตัวโดยบริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ

แม้ทีมบริหารของศูนย์ NCSA นั้นจะพยายามบอกว่า มีทีมงานที่ร่วมกันพัฒนาโปรแกรม Mosaic กว่า 40 คน แต่เมื่อ Jim ได้พบกับเพื่อน ๆ ของ Marc ก็รู้ได้ทันทีว่า มีเพียงกลุ่มคนเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นตัวหลักในการพัฒนาโปรแกรม Mosaic ที่ NCSA

Jim และ Marc ได้ปรึกษากันและตกลงที่จะยื่นข้อเสนอให้กับเหล่าเพื่อน ๆ ของเขา 7 คน โดยเสนอรายได้ 65,000 เหรียญ/ปี บวกกับหุ้นของบริษัทจำนวน 1 แสนหุ้น เพื่อชักจูงพวกเขาให้กลายเป็นผู้ร่วมก่อตั้งของบริษัทใหม่นี้

ซึ่งรูปแบบ Model ทางด้านการบริหารบริษัทใหม่นั้น Jim เสนอให้มูลค่าโปรแกรมจากทีมงานของ Marc ที่ 3 ล้านเหรียญ ซึ่งจะเป็นมูลค่าซอฟต์แวร์ที่มีอายุ 1 ปี ออกแบบและพัฒนาโดยทีมงาน 7 คน จากนั้นก็นำเงินจำนวน 3 ล้านเหรียญเข้ามาในบริษัท เพื่อแลกกับหุ้นจำนวน 50% ของบริษัท ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะถูกลดสัดส่วนลงเรื่อย ๆ เมื่อมีการจ้างงานพนักงานคนอื่น ๆ เข้ามาเพิ่มในภายหลัง

ซึ่งต้องบอกว่าการมาที่อิลลินอยส์ ของ Jim และ Marc เป็นเวลาที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงแค่ทีมงานของ Marc กำลังจะจบจากการศึกษาเพียงเท่านั้น แต่เป็นเพราะว่าพวกเขาเหล่านี้กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่พวกเขาถูกขโมยสิ่งประดิษฐ์อย่าง Mosaic ไปนั่นเอง และมันได้กลายเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาพร้อมที่จะมาลุยกับ Jim และ Marc เพื่อพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง

Larry Smarr ซึ่งเป็น ผู้บริหารของศูนย์ NCSA ที่ต้องการให้ผลงาน Mosaic เป็นของสถาบัน เพราะมันกำลังเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง มันจึงเป็นแรงเย้ายวนใจให้ Smarr ต้องการเข้ามาครอบครองโครงการ Mosaic ดังกล่าว เพื่อต้องการที่จะระดมทุนได้อย่างไม่สิ้นสุด เพื่อสร้างรายได้ให้แก่สถาบันและมหาวิทยาลัยของเขา

Larry Smarr ผู้บริหารของศูนย์ NCSA
Larry Smarr ผู้บริหารของศูนย์ NCSA

และในวันที่ 4 เมษายน ปี 1994 Jim ได้ทำการจดทะเบียนบริษัทอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft กำลังจัดสัมนาวางแผนอนาคตในการเข้ามาสู่ธุรกิจ internet

และในที่สุดเวลาสำหรับการออกลุยจริง ๆ จัง ๆ ก็มาถึงเสียที หลังจากการได้ทีมงานที่พร้อมจะรบแล้ว บริษัทเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว Jim ก็ได้เริ่มจัดการหาสำนักงาน เครื่องคอมพิวเตอร์ โต๊ะ โทรศัพท์ เก้าอี้ ห้องประชุม และอื่นๆ เพื่อเตรียมรองรับทีมงานที่จะมาเริ่มงานในตอนสิ้นเดือนเมษายน

Jim มั่นใจว่าทีมงานยอดอัจฉริยะของเขาสามารถสร้างโปรแกรม Browser ที่ดีกว่า Mosaic ได้ จึงได้เลือกเช่าสำนักงานขนาดใหญ่เพื่อรองรับการขยายตัว โดยเลือกห้องเช่าขนาด 11,699 ตร.ฟุต บนชั้น 4 ของตึกแห่งหนึ่งบนถนนแคสโตร ใน Moutain View ซึ่งเป็นห้องเรียบ ๆ ง่าย ๆ มีฉากกั้นที่เคลื่อนย้ายได้ ปูด้วยพรมตลอดทั้งห้อง

โดยสถานการณ์ในตอนนั้น ศูนย์ NCSA ได้ให้ลิขสิทธิ์โปรแกรม Mosaic ไปกับบริษัทต่าง ๆ ถึง 9 ราย และผู้ใช้งาน internet กำลังเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทีมงานของ Jim ก็ต้องเร่งทุกอย่างให้ทัน ก่อนที่ยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft จะมองเห็นถึงความเคลื่อนไหวในธุรกิจนี้

Bill Gates ที่ยังมองไม่เห็นถึงพลังของ internet ในขณะนั้น
Bill Gates ที่ยังมองไม่เห็นถึงพลังของ internet ในขณะนั้น

ต้องบอกว่าโอกาสทางธุรกิจคราวนี้ไม่ใช่แค่เพียงจุดเล็ก ๆ แต่เป็นมุมมองที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก ๆ ของ internet ที่สถานการณ์ในตอนนั้น มีเหล่า Geek ทางด้านคอมพิวเตอร์ รวมถึงนักวิทยาศาสตร์ ได้เคยใช้ internet เพื่อการสื่อสารมาแล้ว และเริ่มเห็นถึงศักยภาพของมัน

แต่แทบจะไม่มีใครตระหนักถึงความเป็นไปได้ทางธุรกิจของ internet เลยด้วยซ้ำ ซึ่งต้องบอกว่า สำหรับ Jim และ Mark นั้น มันเป็นโอกาสที่น้อยมาก ๆ สำหรับพวกเขา ที่จะเข้าไปจับต้องบางสิ่งบางอย่างที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่เหล่าคู่แข่งยังมองไม่เห็น

แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เนื่องจากตอนที่ Jim และ Marc ไปชักชวนทีมงานจากอิลลินอยส์นั้น พวกเขาก็แทบจะไม่ทันได้คิดว่า การดึงทีมงานเหล่านี้มาร่วมบริษัทจะส่งผลอย่างไรต่อ NCSA ซึ่ง Jim มองเพียงแค่ว่า กลุ่มนักศึกษาเหล่านี้กำลังจะเรียนจบเพียงเท่านั้น และคิดว่าไม่จำเป็นต้องแจ้งอย่างเป็นทางการกับ NCSA

แต่ Larry Smarr เมื่อได้รับรู้เรื่องราวว่าอดีตทีมงานของเขากำลังจะไปสร้างบริษัทใหม่มาแข่งกับ Mosaic ดูเหมือนว่าเขาจะไม่พอใจเป็นอย่างมาก โดยผ่านการสัมภาษณ์กับนิตยสารหลาย ๆ ฉบับ ที่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่พอใจ ซึ่งแน่นอนว่า ประเด็นดังกล่าว มันกำลังจะนำไปสู่ปัญหาในอนาคตกับทีมงานของ Jim และ Marc ในที่สุด

ดูเหมือนเรื่องราว กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น แต่ทีมงานของ Jim และ Marc เหมือนจะต้องเจอปัญหาบางอย่างเสียแล้ว และปัญหานั้นมันคืออะไร พวกเขาจะสามารถสร้าง Browser ที่ดีกว่า Mosaic ได้ดีขนาดไหน โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 4 : The Navigator

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Billion Dollar Company *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

NetScape Time ตอนที่ 2 : Mosaic Killer

จุดเริ่มต้นของ NetScape จริง ๆ นั้น ต้องเริ่มจากชายที่มีนามว่า Jim Clark โดยในปีนั้นคือ ปี 1994 ที่ตัว Jim เองนั้่นเริ่มเบื่อการทำงานกับบริษัเก่าอย่าง SGI (Silicon Graphics) เขากำลังมีไฟที่คิดจะสร้างธุรกิจใหม่ขึ้นมา แต่ยังคิดไม่ออกว่าธุรกิจใหม่นั้นคืออะไร

ต้องบอกว่า เป็นการลาออก ที่เสี่ยงพอดูสำหรับ Jim เพราะเขาได้ทิ้งสิทธิในหุ้นมูลค่ากว่า 10 ล้านเหรียญไป แต่ด้วยความที่เขาทำงานมานานระยะหนึ่งแล้ว จึงมีทุนอยู่ส่วนตัวอยู่ที่ประมาณ 20 ล้านเหรียญ ซึ่งตอนนั้นเขาก็ยังแทบจะไม่มีไอเดียอะไรเลยด้วยซ้ำ มีแต่เพียงแค่ความคิดคร่าว ๆ เกี่ยวกับอนาคตของเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร และ ต้องการเริ่มต้นใหม่ด้วยตัวเขาเพียงคนเดียว

สิ่งแรกที่เขาต้องทำสำหรับการตั้งบริษัทเทคโนโลยีก็คือ การหาวิศวกรเจ๋ง ๆ ซักคน แต่เขาก็ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร เพราะวิศวกรเจ๋ง ๆ ที่เขารู้จักนั้น เขาก็ได้ชักชวนให้มาทำงานที่ SGI บริษัทเก่าของเขาหมดแล้ว

แต่ก็เหมือนโชคชะตาฟ้าลิขิต เมื่อก่อนที่ตัว Jim จะลาจาก SGI นั้นก็ได้คุยกับเพื่อนร่วมงานเก่าแก่ของเขาคนหนึ่ง ว่า ทำไมไม่ลองไปพบ Marc Andreessen ดูล่ะ เขาเป็นหนึ่งในวิศวกรอัจฉริยะ ที่เพิ่งย้ายจากอิลลินอยส์ มาอยู่ที่พาโลอัลโต

แม้ตัว Jim เองจะงงว่า Marc คือใคร เพราะเขาแทบไม่เคยรู้จักชายชื่อดังกล่าวเลยด้วยซ้ำ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่า โปรแกรม Mosaic ที่ Marc เป็นคนสร้างขึ้นมานั้นคืออะไร

Jim ก็เลยได้ลองติดต่อไปทาง email เพื่ออยากพบเจอ Marc ซึ่งต้องบอกว่าตัว Marc นั้นรู้จักดีว่า Jim เป็นใคร เพราะเขาเคยใช้เครื่อง workstation ของบริษัท SGI ที่ NCSA ของมหาลัยอิลลินอยส์ สมัยที่ยังทำวิจัยอยู่ที่นั่น

การเจอกันครั้งแรกของทั้งคู่เกิดที่ ภัตตาคารแห่งหนึ่ง ในเขต พาโลอัลโต ซึ่งสิ่งที่ทำให้ Jim ประทับใจ Marc ตั้งแต่การพบกันครั้งแรก ก็คงเป็นเรื่องของ การที่ Marc ได้ทำให้เขาได้เห็นโอกาสและเห็นภาพของอนาคตของเทคโนโลยีที่ชัดเจนมากขึ้น

Marc Andreessen ตำนานผู้สร้าง Mosaic
Marc Andreessen ตำนานผู้สร้าง Mosaic

Marc แสดงให้เห็นภาพของ การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ และทำให้ข้อมูลข่าวสารที่มีอยู่จำนวนมากมีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญยังทำให้ง่ายต่อการใช้งานสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ใช่เฉพาะเหล่า Geek หรือ นักวิทยาศาสตร์ เพียงเท่านั้นอีกต่อไป

ต้องบอกว่าในยุคนั้น หลังจาก Tim berners-lee ได้สร้างแนวคิดของ World Wide Web (WWW) ที่ให้บุคคลทั่วไปเข้ามาใช้งานได้ฟรี แต่อุปสรรคที่สำคัญก็คือ ในตอนนั้นมันยังส่งผ่านข้อมูลได้เฉพาะรูปแบบของข้อความเท่านั้น ยังไม่สามารถใช้กับภาพที่เป็น Graphic ได้

และในช่วงปลายปี 1992 Marc และเพื่อนนักวิจัยของเขา ที่ทำงานร่วมกันในศูนย์ NCSA ได้พัฒนาต่อยอดสิ่งที่ Tim berners-lee สร้างไว้ โดยพวกเขาได้เพิ่มส่วนที่เป็นรูปภาพและส่วนต่าง ๆ ที่จะทำให้ข้อมูลข่าวสารทาง internet สามารถเข้าได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นก็คือ Mosaic โปรแกรม Web Browser ตัวแรกของโลกนั่นเอง

Mosaic Web Browser ตัวแรกของโลก  ผลงานของ Marc และ ทีมงาน
Mosaic Web Browser ตัวแรกของโลก ผลงานของ Marc และ ทีมงาน

และเมื่อ Marc เรียนจบในเดือนธันวาคมปี 1993 เขาก็ได้ถูกชักชวนให้ทำงานต่อกับ NCSA แต่ทางสถาบันดันมีข้อแม้ว่า ให้ Marc นั้นเลิกยุ่งกับโครงการ Mosaic ซึ่งเป็นแนวคิดที่ต้องการที่จะแยกตัว Marc ออกจากสิ่งประดิษฐ์ และยกความสำเร็จผลงานที่ได้ให้กับสถาบันแทนที่จะเป็นตัวผู้ประดิษฐ์นั่นเอง

แน่นอนว่าทั้งคู่ ทั้ง Jim และ Marc นั้นมีเส้นทางเดินที่คล้ายคลึงกัน ที่ถูกปลดออกจากงานสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ที่พวกเขาได้คิดค้นขึ้นมา และสิ่งนี้ นี่เอง ที่เป็นแรงผลักดันให้ทั้งสองเข้ามาสู่เส้นทางเดียวกันได้ในที่สุด

และนั่นทำให้ทั้งสองได้เริ่มต้นบริษัทใหม่กันในที่สุด แผนของ Marc คือ การว่าจ้างเพื่อนร่วมงานของ Marc ที่เคยร่วมเขียนโปรแกรม Mosaic เข้ามาทำงาน ซึ่งกำลังใกล้ที่จะจบการศึกษาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่กำลังจะถึง

แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่แน่ใจว่า บริษัทใหม่ของพวกเขาจะทำอะไร ซึ่งทั้งสองรู้เพียงแค่ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับ internet ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะกระแสมันเริ่มมาแล้วในขณะนั้น

และที่สำคัญเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ ในขณะนั้น กำลังสนุกกับการทำเงินจากคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล Microsoft และบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ก็ยังแทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ กับเทคโนโลยีใหม่อย่าง internet เพราะตอนนั้นต้องบอกว่ายังมีคำถามอยู่มากมายว่าจะหาเงินจาก internet ได้อย่างไรนั่นเอง

และเมื่อผ่านไปถึงฤดูใบไม้ผลิ Marc ก็ได้เตือน Jim ว่าเพื่อน ๆ ของเขาที่อิลลินอยส์ กำลังจะเรียนจบกันแล้ว และต้องเร่งให้เกิดความคิดบางอย่างให้เร็วที่สุด เพื่อดึงดูดเหล่าทีมงานจบใหม่ของเขา

จนสุดท้าย ในค่ำคืนหนึ่ง หลังจากมีการประชุม และทานมื้อเย็นกันอยู่หลายครั้งระหว่าง Jim และ Marc ซึ่ง Jim เป็นฝ่ายเปิดประเด็นให้ Marc คิดธุรกิจอะไรมาซักอย่างที่ต้องชักจูงเขาให้ลงทุนให้ได้

และ Marc ก็ได้คิด ไอเดีย Mosaic Killer ซึ่งก็คือ โปรแกรม Browser ตัวใหม่ที่ดีกว่าโปรแกรม Mosaic ของเขาที่สร้างไว้ให้กับ NCSA นั่นเอง ซึ่งตอนนี้เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Mosaic แล้ว และทาง NCSA ก็ต้องการสร้างธุรกิจบางอย่างจาก Mosaic อยู่ ซึ่ง Marc ต้องการพิสูจน์ตัวเขาเองอีกครั้ง ด้วยการเอาชนะ Mosaic ให้ได้

ซึ่งแน่นอนว่า สถานการณ์ในตอนนั้น มันเริ่มบีบคั้นทั้งคู่ ให้ต้องตัดสินใจ Jim ก็มองว่าเป็นความคิดที่ดี ที่จะมาเริ่มต้นบริษัทใหม่ ในสิ่งที่ Marc และเพื่อน ๆ ของเขาเคยสร้างขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่า ตอนนั้น มันยังไม่มีแผนธุรกิจใด ๆ ชัดเจน แต่ Jim ก็รู้สึกตื่นเต้น กับ ความท้าทายใหม่ของ Marc ครั้งนี้ โดยพร้อมจะลุยทันที โดยไม่ต้องคิดถึงแผนธุรกิจใด ๆ ทั้งสิ้น

มาถึง ตอนนี้ ทั้งคู่ก็พร้อมที่จะลุย กับโปรเจคใหม่ เต็มตัวแล้ว และไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เพราะดูเหมือน สถานการณ์หลายๆ อย่างกำลังบังคับให้ทั้งคู่ต้องออกลุยเสียที และจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อกับโปรเจ็คใหม่ของทั้งสอง โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 3 : Dream Team

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Billion Dollar Company *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***