เมื่อ Smart TV อาจจะกำลังสอดแนมชีวิตความเป็นส่วนตัวของคุณ

หากคุณเพิ่งซื้อสมาร์ททีวีในช่วง Black Friday , 12/12 หรือวางแผนที่จะซื้อ Smart TV รุ่นใหม่ ๆ ในเร็ววันนี้ ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบัน ทาง FBI จึงต้องการให้คุณรู้บางสิ่งที่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นกับความเป็นส่วนตัวของคุณได้

สมาร์ททีวีเป็นเหมือนโทรทัศน์ทั่วไป แต่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และด้วยการกำเนิดและการเติบโตของของบริการสตรีมมิ่งอย่าง Netflix, Hulu หรือ บริการสตรีมมิ่งอื่น ๆ ส่วนใหญ่เราจะได้เห็นโทรทัศน์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อคอยเชื่อมต่อกับบริการเหล่านี้ผ่านจอทีวี 

แต่ก็เหมือนกับทุกอย่างที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เพราะมันเป็นการเปิดสมาร์ททีวีให้กับช่องโหว่ด้านความปลอดภัยและเหล่า hacker ไม่เพียงเท่านั้นสมาร์ททีวีหลายรุ่นมาพร้อมกับกล้องและไมโครโฟน ซึ่งก็เหมือนกับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่ผู้ผลิตมักจะไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องของความปลอดภัยเป็นอันดับแรก

นั่นเป็นประเด็นสำคัญจากการที่ FBI ได้ โพสต์เตือนบนเว็บไซต์เกี่ยวกับความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีบนสมาร์ททีวี

“ นอกเหนือจากความเสี่ยงที่ผู้ผลิตทีวีและผู้พัฒนาแอพ อาจจะแอบดักฟังและเฝ้ามองคุณผ่านโทรทัศน์นั้น มันยังสามารถเป็นประตูสำหรับแฮกเกอร์ที่จะเข้ามาในบ้านของคุณได้นั่นเอง “

แม้เหล่า Hacker อาจไม่สามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ที่ถูกล็อคของคุณได้โดยตรง แต่เป็นไปได้ที่ทีวีที่ไม่มีการป้องกันใด ๆ ของคุณ เป็นทางลัดให้พวกเขาสามารถเจาะเข้ามาผ่านเราเตอร์ของคุณได้” FBI กล่าว

FBI เตือนว่า Hacker สามารถควบคุมสมาร์ททีวีที่ไม่มีการป้องกันของคุณ และในกรณีที่เลวร้ายที่สุดอาจจะควบคุมกล้องและไมโครโฟนเพื่อเฝ้ามองคุณที่บ้านได้นั่นเอง

เมื่อเทคโนโลยีเริ่มรุกล้ำความเป็นส่วนตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อเทคโนโลยีเริ่มรุกล้ำความเป็นส่วนตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ

โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา Hacker แสดงให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเจาะเข้าไปยัง Chromecast สตรีมมิ่งของ Google และเผยแพร่วิดีโอแบบสุ่มไปยังเหยื่อหลายพันคน

ในความเป็นจริงแล้วช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุดที่กำหนดเป้าหมายไปยังสมาร์ททีวีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้รับการพัฒนาโดยสำนักข่าวกรองกลาง แต่ถูกขโมยไป และไฟล์ได้ถูกเผยแพร่ออนไลน์ในภายหลังโดย WikiLeaks

Washington Post ได้รายงานข่าว เมื่อต้นปีที่ผ่านมา พบว่าผู้ผลิตสมาร์ททีวียอดนิยมบางราย รวมถึง Samsung และ LG มีการรวบรวมข้อมูลมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้ใช้กำลังรับชมเพื่อช่วยผู้โฆษณาในการกำหนดเป้าหมายโฆษณาจากผู้ชมของพวกเขาได้ ตัวอย่างเช่น  ปัญหาการติดตามทีวีกลายเป็นปัญหาเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาผู้ผลิตสมาร์ททีวี Vizio ต้องจ่ายค่าปรับจำนวน 2.2 ล้านดอลลาร์ หลังจากที่ถูกจับได้อย่างลับๆ ในเรื่องการพยายามติดตามข้อมูลผู้ใช้ผ่านทีวีของพวกเขา

FBI แนะนำให้วางเทปสีดำไว้เพื่อบังกล้องสมาร์ททีวีในขณะที่ไม่ได้ใช้งาน และหมั่นอัพเดท Firmware บนสมาร์ททีวีของคุณด้วยแพตช์ที่ได้รับการแก้ไขล่าสุดเสมอ และอ่านนโยบายความเป็นส่วนตัวเพื่อทำความเข้าใจว่าสมาร์ททีวีของคุณนั้นมีความสามารถในการเข้าถึงอะไรได้บ้าง เพื่อให้คุณสามารถรับชมมันได้อย่างปลอดภัยนั่นเอง

ความคิดเห็นเพิ่มเติมจากผู้เขียน

อย่างที่เราทราบกันว่าปัญหาเรื่อง privacy หรือความเป็นส่วนตัวของการใช้งานอุปกรณ์ใด ๆ ที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้นั้นเป็นปัญหาที่กำลังกลายเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบัน แม้กระทั่งใน smartphone ที่เราแทบจะใช้ติดตัวกันตลอดเวลา

ใน Social Network แพลตฟอร์มที่ต้องการข้อมูลทุกอย่างของเราเพื่อนำไปขายโฆษณานั้น ก็พยายามทุกวิถีทางที่จะได้ข้อมูลของเราไป แม้จะไม่ได้รับข้อมูลจาก app ตัวเองโดยตรงก็อาจจะได้รับข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ ที่เป็น app 3rd party ที่คอยละเมิดความเป็นส่วนตัวของเราได้อย่างที่เราได้เห็นข่าวใหญ่ก่อนหน้านี้ในเรื่องการดักฟังจากการสนทนาของเรา

แน่นอนว่า เมื่อโลกเข้าสู่ยุค 5G เหล่าอุปกรณ์ต่างๆ จะเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ซึ่ง TV เป็นอุปกรณ์แรก ๆ ที่ได้เข้ามาเริ่มเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่าง ๆ ที่ทุกคนต่างเสพติดกับมัน

ซึ่งอย่างที่ FBI กล่าว เราก็ต้องมีการระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ในเรื่องการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ผ่านอุปกรณ์เหล่านี้ เพราะเนื่องจากหากเป็น case ร้ายแรงจริง ๆ อย่างการ hack เข้ามาเฝ้ามองเราผ่าน TV ผ่านกล้องที่ติดอยู่กับทีวีนั้น ก็ถือเป็นเรื่องน่ากลัวมาก ๆ เพราะเหล่า hacker นั้นอาจจะไม่ได้ต้องการเพียงแค่ข้อมูลเท่านั้น แต่อาจต้องการอย่างอื่นที่มากกว่าข้อมูลได้ เช่น ทรัพย์สินเงินทอง หรือแม้กระทั่งชีวิตของคุณเองก็ตามหากพวกเขาสามารถเฝ้ามองเราผ่านอุปกรณ์เหล่านี้ได้ครับ

References : http://www.hackersnewsbulletin.com/2013/08/hackers-have-remote-of-your-smart-tv-and-spying-on-you-smart-tv-hacked.html https://techcrunch.com/2019/12/01/fbi-smart-tv-security/ https://www.hackread.com/hacker-shows-how-smart-tvs-can-be-hacked/

จากความรุ่งโรจน์สู่ความล่มสลายของ Blockbuster

ชาวอเมริกันหลาย ๆ คนคงจดจำภาพวันเก่า ๆ เมื่อได้เลือกหยิบภาพยนตร์สุดโปรด จากร้านดังอย่าง Blockbuster ? มันคือความสุขจากการเลือกภาพยนตร์ยอดฮิต ในการนำกลับไปดูที่บ้านของพวกเขา  

Blockbuster เป็นบริษัทที่ครั้งหนึ่งเคยมีบทบาทอย่างมากในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอเมริกาเหนือ บริษัทที่เคยมีมูลค่ามากกว่า 2.5 พันล้านเหรียญ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับ Blockbuster?

ช่วงตั้งไข่

Blockbuster ก่อตั้งโดย David Cook ในปี 1985 และเข้าสู่ตลาดในอีกหนึ่งปีต่อมา Blockbuster สามารถดึงดูดนักลงทุนหลาย ๆ คนในช่วงปีแรก ๆ ตัวอย่างเช่น Viacom ซึ่งได้เข้าซื้อ Blockbuster ซึ่งเป็นกลุ่มการลงทุนของอดีตผู้บริหาร 

ในเดือน สิงหาคม ปี 1999 Viacom ได้ขายหุ้น 18% ใน Blockbuster เพื่อทำการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนจำนวน 465 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทำให้มูลค่าของ Blockbuster มีมูลค่ามากกว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์ในขณะนั้น ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก

รูปแบบธุรกิจ

จากจุดเริ่มต้น Blockbuster ติดอยู่กับรูปแบบธุรกิจหลัก การปล่อยให้เช่าวิดีโอในราคาคงที่ ในร้านค้าของพวกเขา จนถึงจุดหนึ่ง Blockbuster ได้ก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุดด้วยการขยายสาขามากกว่า 9,000 สาขา ในปี 2004  ซึ่งความได้เปรียบในการแข่งขันครั้งนี้กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักสำหรับการล่มสลายของ Blockbuster เนื่องจากในขณะนั้นการสตรีมออนไลน์เริ่มได้กลายเป็นที่นิยมมากขึ้น

การแข่งขัน

Netflixเป็นคู่แข่งหลักที่อยู่เบื้องหลังการล่มสลายของ Blockbuster Netflix นำเสนอภาพยนตร์แบบไม่จำกัด สำหรับค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ต่ำมาก ๆ  ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ John Antioco ผู้บริหารสูงสุดของ Blockbuster มีโอกาสในการเข้าซื้อ Netflix ในราคาเพียง 50 ล้านเหรียญในปี 2000 แต่ข้อตกลงก็ได้เกิดขึ้นเพราะ John มองว่า Netflix เป็นธุรกิจเฉพาะขนาดเล็ก ที่ไม่สามารถขยายกิจการไปได้มากกว่านี้ แต่ ณ วันนี้มูลค่าตลาดของ Netflix นั้นสูงมากกว่าแสนล้านเหรียญ

ธุรกิจเช่าวีดีโอ ที่ขยายสาขาไปทั่วอเมริกาของ Blockbuster
ธุรกิจเช่าวีดีโอ ที่ขยายสาขาไปทั่วอเมริกาของ Blockbuster

ซึ่งหากในวันนั้น Blockbuster ยอมรับข้อตกลงมัน ก็อาจจะทำให้พวกเขายังคงเป็นหนึ่งในอิทธิพลที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอเมริกาเหนือ ซึ่งนี่คือตัวอย่างว่า Blockbuster ไม่สามารถปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงและไม่ปรับให้เข้ากับการสตรีมออนไลน์

การเจริญเติบโตที่ชะลอตัว

Blockbuster สูญเสียมูลค่าตลาดถึง 75% จากปี 2003-2005 ต่อคู่แข่ง (ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความนิยมของ Netflix) ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงดังกล่าวนี้ Carl Icahn นักลงทุนชื่อดังได้ทำการซื้อหุ้น 5.8% ในบล็อกบัสเตอร์มูลค่า 83.8 ล้านเหรียญสหรัฐ และได้แสดงให้เห็นว่า บริษัทนั้นเริ่มมีมูลค่าลดลงเหลือประมาณ 1.4 พันล้านดอลลาร์เพียงเท่านั้น

หากไม่คำนึงถึงการลงทุนของ Carl ความล่มสลายของ Blockbuster ก็ยังคงดำเนินต่อไปเนื่องจาก บริษัท ไม่สามารถแข่งขันกับอุตสาหกรรมสตรีมมิ่งออนไลน์ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ได้เลย 

และความตกต่ำนั้นเป็นผลมาจากยอดขายที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง มันกลายเป็นเรื่องยากสำหรับ Blockbuster ในการชำระหนี้คืนให้กับเจ้านหี้ โดย CEO คนเดียวกันที่ปฏิเสธโอกาสที่จะซื้อ Netflix อย่าง John Antioco ได้ลาออกในปี 2007 อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารในธุรกิจ Retail ยักษ์ใหญ่อย่าง 7-Eleven อย่าง Jim Keyes เข้ารับตำแหน่งประธานและ CEO คนใหม่

Jim Keyes เข้ามาเพื่อกู้วิกฤติ Blockbuster
Jim Keyes เข้ามาเพื่อกู้วิกฤติ Blockbuster

ความพยายามในการปรับโครงสร้างบริษัทโดย Jim Keyes ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างราบรื่น  ในช่วงปี 2010 Blockbuster ได้ยื่นขอความคุ้มครองการล้มละลาย ด้วยมูลค่า 930 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับหนี้ที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน 

ในปี 2010 หุ้น Blockbuster ลดลง 91% ตั้งแต่การเข้ามาบริหารของ Keyes สิ่งนี้นำไปสู่ ​​การที่ NYSE (คณะกรรมการกำกับในตลาดหลักทร้พย์ของนิวยอร์ก) ออกคำเตือนเนื่องจากมูลค่าตลาดของ Blockbuster อยู่ที่ 55 ล้านดอลลาร์ ซึ่่งต่ำกว่าความต้องการมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ 75 ล้านดอลลาร์  และ Icahn ได้เทขายหุ้น Class A ทั้งหมด 10.5 ล้านหุ้นของเขา (มูลค่าตลาด: 7.1 ล้านดอลลาร์)  Icahn ออกมากล่าวในภายหลังว่า Blockbuster เป็นการลงทุนที่แย่ที่สุดที่เขาเคยทำ

อย่างไรก็ตาม Icahn ยังคงรักษาหุ้นคลาส B ไว้ 3.3 ล้านหุ้นมูลค่า 619,000 ดอลลาร์ (2010) และซื้อหนี้ก้อนใหญ่ของบล็อคบัสเตอร์เพื่อควบคุมหนี้สินของบริษัท

วันนี้ของ Blockbuster

เป็นผลมาจากการที่ Blockbuster ไม่สามารถชำระหนี้ได้ Blockbuster จึงถูกซื้อโดย DISH Network ในราคา 320 ล้านดอลลาร์ ตอนนี้ Blockbuster On Demand ได้ย้ายไปที่ Sling TV ซึ่งมีช่องรายการมากกว่า 20 ช่อง สำหรับค่าบริการ 20 ดอลลาร์ ต่อเดือน ซึ่งไม่ใช่ราคาที่แข่งขันได้เลย เมื่อเทียบกับคู่แข่งของ Netflix ซึ่ง package ที่แพงที่สุดของ Netflix นั้นมีราคาเพียง 11.99 ดอลลาร์เท่านั้น และนั่นรวมเนื้อหาภายในแพลตฟอร์มของ Netflix ที่มีมากกว่า 100 ล้านชั่วโมง

ข้อสรุป

ร้านค้า หรือ สาขาต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วอเมริกา สิ่งที่เคยเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันของ Blockbuster กลายเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ ซึ่งในกรณีที่ CEO ของ Blockbuster ยอมรับข้อตกลงซื้อ Netflix นั้น เกมธุรกิจของพวกเขาก็อาจจะเปลี่ยน

Blockbuster ก็มีโอกาสที่จะสามารถแข่งขันได้ อย่างไรก็ตามการปฏิเสธข้อตกลงดังกล่าวนั้นแสดงให้เห็นว่า Blockbuster สามารถต้านทานการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วได้อย่างไรนั่นเอง

การไม่ปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีสตรีมมิ่ง ทำให้สุดท้ายพ่ายแพ้ให้กับ Netflix
การไม่ปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีสตรีมมิ่ง ทำให้สุดท้ายพ่ายแพ้ให้กับ Netflix

เมื่อสตรีมมิ่งออนไลน์ได้รับความนิยม Blockbuster ยังคงมุ่งเน้นที่ร้านที่เป็นสาขาต่าง ๆ อยู่ ซึ่งมียอดขายลดลงไปเรื่อย ๆ ความรุ่งโรจน์ และ การล่มสลายของ Blockbuster เป็นตัวอย่างว่า ทำไมเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ควรลงทุนในการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องและสร้างความมั่นใจว่ารูปแบบธุรกิจของพวกเขานั้นยั่งยืนเพียงพอที่จะต่อสู้ได้กับโลกที่มีการ Disruption อย่างรวดเร็วอย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบันนั่นเองครับ

References : http://www.baystreetblog.com

รีโมทไม่ต้อง กับเทคโนโลยีใหม่ในการเปลี่ยนช่องด้วยตาคุณ

ในวันจันทร์ที่ผ่านมา Comcast ได้เปิดตัว Xfinity X1 eye control ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จับคู่กับระบบติดตามสายตาที่มีอยู่เพื่อให้ลูกค้าใช้ดวงตาของพวกเขาราวกับว่ามันเป็นรีโมทคอนโทรล ด้วยเพียงแค่การมองผ่านก็ทำให้สามารถเปลี่ยนช่องทีวีได้ หรือสามารถที่จะบันทึกหรือค้นหาโปรแกรมที่ชื่นชอบของคุณโดยไม่ต้องพึ่งรีโมท

ซึ่งความหวังเริ่มแรกของเทคโนโลยีนี้คือระบบที่จะทำให้ผู้พิการทางร่างกายสามารถเพลิดเพลินกับโทรทัศน์ได้ง่ายขึ้น  แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการที่ใหญ่กว่าของ Comcast

คุณลักษณะใหม่นี้ส่งสัญญาณความพยายามอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกโดย บริษัท บันเทิงสหรัฐเพื่อให้ลูกค้าควบคุมสิ่งต่าง ๆ ด้วยสายตา  และเนื่องจากความจริงที่ว่า Comcast เป็นผู้ให้บริการเคเบิลทีวีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศที่มีเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนจำนวนมากในพฤติกรรมการดูโทรทัศน์.

แต่ Tom Wlodkowski  Vice President of Accessibility ของ Comcast มองว่าโทรทัศน์เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

เขากล่าวว่า Comcast วางแผนที่จะรวมเทคโนโลยีการติดตามดวงตาเข้ากับบริการ Smart Home เพื่อให้ลูกค้าสามารถควบคุมหลอดไฟ หรือประตูบ้านได้ด้วยสายตาของพวกเขา

วิสัยทัศน์ในอนาคต

หากการเปิดตัวเป็นไปตามแผนที่วางไว้และเทคโนโลยีนั้นใช้งานง่ายมันไม่ยากเลยที่จะจินตนาการว่าผู้คนที่ไม่มีความพิการทางร่างกายก็จะได้ใช้งานมันไปด้วย

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คุณลักษณะใหม่ของ Comcast นี้สามารถส่งสัญญาณไปถึงเส้นทางสู่อนาคตที่เราทุกคนวางรีโมทลงเพื่อไปควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยสายตาของเรานั่นเอง

References : 
https://futurism.com/the-byte/comcast-eye-tracking-feature

Silvio Berlusconi : The Rise and Fall

ต้องบอกว่าเป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีข่าวเด่นดังไปทั่วโลกเลยสำหรับ อดีตนายกรัฐมนตรีของอิตาลีอย่าง Silvio Berlusconi หลายท่านอาจจะรู้จักเขาในนามเจ้าของสโมสรฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่อย่าง AC Milan  แต่ไม่ว่าในฐานะใด Silvio Berlusconi ก็มีประวัติที่น่าสนใจ จน netflix นำชีวประวัติของเค้ามาออกฉาย ใน My Way: The Rise and Fall of Silvio Berlusconi

ต้องบอกว่า Silvio Berlusconi นั้นมีประวัติที่น่าสนใจมาตั้งแต่เด็ก เค้าเกิดมาในครอบครัวชนชั้นกลางเท่านั้น และต้องอพยพครอบครัวหนีจากเมืองมิลานไปตั้งแต่วัยเด็ก เนื่องจากผลของการเข้าโจมตีของสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2

ต้องถือว่าเป็นการเริ่มต้นเรื่องราวชีวิต ที่ลำบากไม่ใช่น้อยเลยสำหรับ Silvio Berlusconi ในวัยเด็ก ตอนเด็ก ๆ ในสมัยที่ยังเรียนในโรงเรียนคาทอลิค นั้น ยังไม่ฉายแววผู้นำที่จะกลายมาเป็นบุคคลสำคัญของประเทศอิตาลีแต่อย่างใด ซึ่งเค้าได้ยอมรับว่าสมัยเด็กนั้นโดนเพื่อนคนนึงแกล้งอยู่ตลอดเวลา

จุดเปลี่ยนที่สำคัญในวัยเด็กของ Silvio Berlusconi

สำหรับเด็กที่ต้องย้ายถิ่นฐานเข้ามา แถมยังตัวเล็กกว่าใครเค้าในสมัยเด็ก จึงถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนร่วมชั้นอยู่บ่อยครั้ง จนสุดท้ายเค้าทนจากการกลั่นแกล้งไม่ไหว ได้ทำการสู้ด้วยการกระชากคอเพื่อนที่ชอบแกล้งเขา แล้วนำไปกดน้ำ แล้วย้ำว่า “ใครคือนายแก” ซึ่งภาพในวันนั้นของ Silvio Berlusconi ทำให้เพื่อนร่วมชั้นมองเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แล้วหลังจากนั้น เขาก็ได้กลายเป็นผู้นำของเหล่านักเรียนร่วมชั้นในทันที จึงเป็นที่มาของความแข็งแกร่ง อดทน และไม่ย่อท้อของ Silvio Berlusconi มาจนถึงปัจจุบันเลยก็ว่าได้

ชีวิตวัยรุ่นกับทางเดินในการเป็นนักดนตรี

ต้องบอกว่าในช่วงแรก ๆ นั้น Silvio Berlusconi ไม่มีแววว่าจะมาทำธุรกิจเลยด้วยซ้ำ ในช่วงวัยรุ่น เค้าค่อนข้างที่จะหันเหชีวิตไปเอาดีทางด้านดนตรี ซะมากกว่าด้วยซ้ำ โดยเป็นพนักงานในเรือสำราญ ซึ่งทำหลายหน้าที่มากทั้ง เป็น Guide เมื่อเรือลงจอดตามสถานที่ต่าง ๆ เป็นนักดนตรีกลางคืน รวมถึงร่วมร้องเพลงด้วยในบางโอกาส ซึ่ง ดูไม่มีวี่แววที่เค้าจะมาเป็นนักธุรกิจที่่ยิ่งใหญ่ได้เลย

แต่แล้วโชคชะตาก็เหมือนเป็นใจ ให้เค้าต้องกลับบ้านมาหาพ่อ ซึ่งเป็นนายแบงค์ใหญ่ อยู่ที่เมืองมิลาน โดยพ่อเค้าได้ตามตัวเค้าจนพบ แล้วได้บอกกับ Silvio Berlusconi  ว่า “แกจะเป็นนักดนตรี ไปตลอดชีวิตเลยหรือ” ซึ่งสุดท้าย เค้าก็ต้องทิ้งอาชีพนักดนตรีที่แสนรัก กลับบ้านมาพร้อมกับพ่อของเขา แล้วกลับมาเรียนต่อด้านกฏหมายที่ประเทศฝรั่งเศษ เพื่อประกอบอาชีพเหมือนคนอื่น ๆ ในยุคนั้น

การก้าวเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง กับการเริ่มต้นธุรกิจของ Silvio Berlusconi ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  ว่าแหล่งที่มาของเงินจำนวนมากตอนเริ่มธุรกิจแรก ๆ มาจากไหน แม้ทาง Silvio Berlusconi จะออกมาปฏิเสธว่าเงินมาจากธนาคาร จากแหล่งเงินใน สวิสเซอร์แลนด์ แต่ นักวิเคราะห์ หลาย ๆ คนก็มีหลักฐานหลายอย่างที่เชื่อมโยง เงินของ Silvio Berlusconi กับ แก๊งมาเฟียของอิตาลี ที่ใช้ Silvio Berlusconi มาฟอกเงินให้พวกเขาผ่านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

ถ้าพูดกันตรง ๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ที่เราจะได้เห็นเงินเถื่อนมาฟอกผ่านธุรกิจที่สวยหรู ทั้งที่ไม่รู้ว่าแหล่งที่มาของเงินนั้นมาจากไหน แม้กระทั่งในไทยเอง ก็มีเรื่องแบบนี้อยู่เป็นจำนวนมาก เพราะเงินที่ได้มาจากธุรกิจสีดำ หรือ เทา สุดท้ายก็ต้องฟอกกลับมาเป็นเงินปรกติ ให้สามารถนำมาใช้ได้อย่างปลอดภัย

ต้องบอกว่าในยุคเริ่มต้นธุรกิจของ Silvio Berlusconi นั้น ยุคนั้นเป็นยุคมาเฟียครองอิตาลีเลยก็ว่าได้ ซึ่งแม้สุดท้าย เค้ายังไม่ถูกตัดสินความผิดจากคดีฟอกเงินนี้จริง ๆ ก็ตาม แต่ต้องบอกว่า จากหลักฐานต่าง ๆ ที่มีอยู่นั้น เชื่อมโยงเขากับ เหล่ามาเฟียชื่อดังของอิตาลีแน่ ๆ

แต่เนื่องจากว่า Silvio Berlusconi นั้นเป็นคนประเภทที่ชอบบุกเบิกอะไรใหม่ ๆ ให้กับวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ในยุคนั้นธุรกิจของเขาสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นเศรษฐี หมื่นล้าน ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี รวมถึงในยุคนั้น ช่วงปี 1960-1970 นั้นถือเป็นยุคเฟื่องฟูของอสังหาริมทรัพย์ของอิตาลีด้วย ทำให้บริษัทของเขาทะยานเติบโตอย่างรวดเร็วจนเป็นที่น่าอิจฉาของคู่แข่ง

ก้าวเข้าสู่วงการโทรทัศน์

เมื่อถึงจุดอิ่มตัวกับวงการอสังหาริมทรัพย์ Silvio Berlusconi ก็เริ่มสนใจที่จะเข้าสู่วงการโทรทัศน์ ซึ่งในขณะนั้นเพิ่งเริ่มตั้งไข่ ในยุคนั้น ช่องทีวี มีแต่รายการของรัฐเท่านั้น นำมาซึ่ง อำนาจในการกระจายข่าวสารของเพียงเหล่านักการเมือง ธุรกิจใดต้องการที่จะมาลงโฆษณา ก็ต้องมี connection ที่ดีกับนักการเมืองที่คุมรัฐบาลอยู่เท่านั้น ไม่ได้เปิดพื้นที่เสรีเหมือนอย่างในปัจจุบัน

แต่ Silvio Berlusconi นั้นมองเห็นช่องทางในการเข้าสู่ธุรกิจนี้ เนื่องจากกฏหมายยังไม่เปิดกว้างนักให้ได้รับช่องทีวีที่ Broadcast ไปทั่วประเทศ มีเพียงแค่ช่องรัฐเท่านั้น ที่สามารถที่จะ Broadcast ไปได้ทั้งประเทศ แต่มีช่องโหว่อยู่อย่างนึงคือ ช่องทีวีท้องถิ่นสามารถที่จะให้เอกชนเข้ามาสัมปทานได้  โดย Silvio Berlusconi นั้นได้คิดแผนการในการรวมเครือข่าย Network ของ ช่องทีวีท้องถิ่นตามเมืองต่าง ๆ ครอบคลุมทั้งประเทศอิตาลี ซึ่งก็เปรียบเสมือน การที่จะได้ Broadcast ไปยังทั้งประเทศได้เหมือนกับทีวีรัฐ

โดยเทคนิคของ Silvio Berlusconi นั้นคือ การให้ ช่องทีวีในเครือข่ายใช้รายการเดียวกันในการออกอากาศทั้งประเทศ โดยใช้ เทปจาก 4 วันก่อนหน้า เช่น รายการที่จะออกอากาศในวันอาทิตย์ จะถูกถ่ายทำในวันพฤหัสฯ แล้วถูกส่งต่อไปยังเครือข่ายทีวีของเค้าที่ได้ทำการซื้อมาทั่วประเทศ เพื่อให้ออกอากาศรายการเดียวกันพร้อมกันได้ทั่วทั้งประเทศ

เทคนิคนี้ทำให้ Silvio Berlusconi สามารถที่จะหา sponsor โฆษณา ได้จากผลิตภัณฑ์ใหญ่ ๆ ที่มีฐานลูกค้าอยู่ทั่วประเทศได้ ซึ่งแตกต่างจากหากเป็นทีวีท้องถิ่นนั้น สปอนเซอร์ที่จะลงโฆษณาจะมีเพียงแค่ ผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่นนั้นๆ  เท่านั้น ทำให้มูลค่าโฆษณาสูงขึ้น และสามารถทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ รวมถึง ได้บุกเบิกเอารายการทีวีใหม่ ๆ ที่แต่เดิม ประเทศอิตาลี มีแต่รายการทีวีของภาครัฐเท่านั้น มีแต่รายการไม่น่าดูชมเท่าไหร่ เมื่อ Silvio Berlusconi ได้นำเอาวัฒนธรรมการดูทีวีจาก อเมริกา เข้ามาร่วมด้วย ทำให้ ช่องของเค้าดังจนฉุดไม่อยู่ สปอนเซอร์ ก็หลั่งไหลเทมา จนทำให้กลายเป็นเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของ อิตาลีในขณะนั้น

เข้า Take Over ทีม AC Milan

ถ้าพูดถึงทีมอย่าง AC Milan ในยุคนั้น ราว ๆ ช่วงปลาย 1980 นั้นต้องบอกว่าเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทีมนึงในยุโรปเลยก็ว่าได้ นักเตะดัง ๆ ในสมัยนั้น จุดสูงสุดในอาชีพนักฟุตบอล คือการได้มาร่วมทีมอย่าง AC Milan ทีมยักษ์ใหญ่ของศึก กัลโช่ ซีเรียอา ของ อิตาลี ซึ่งตอนนั้นถือเป็นลีคฟุตบอลอันดับหนึ่งในขณะนั้น

การเข้ามา Take Over ทีม AC Milan นั้นเป็นบันไดของ Silvio Berluscon เพื่อก้าวเข้าสู่อาชีพนักการเมืองอย่างเต็มตัว ต้องบอกว่าในช่วงนั้น จากฐานแฟนบอลของทีม AC Milan ที่มีมหาศาล รวมถึงภาพลักษณ์ นักบุกเบิก และปฏิวัติ ธุรกิจต่าง ๆ ที่ผ่านมาของ Silvio Berlusconi ทำให้ภาพของเค้าดูดีมาก ๆ ในสายตาของประชาชนในขณะนั้น กอรปกับ เป็นยุคที่ต้องบอกว่า การคอร์รัปชั่นเต็มบ้านเต็มเมือง อิตาลี ในยุคนั้น ทำให้ประชาชนต้องการนักการเมืองใหม่ ๆ มาปฏิรูปประเทศ

ผลงานของทีม AC Milan หลังจากการเข้ามา take over ของ Silvio Berlusconi นั้นทำให้เหล่าแฟนบอลรัก Silvio Berlusconi มากยิ่งขึ้น เพราะสามารถกวาดแชมป์ได้อย่างมากมาย รวมถึงการคว้าถ้วยที่ใหญ่ที่สุดอย่าง ยูโรเปี้ยนคัพในขณะนั้น ทำให้เหล่าแฟนบอลคลั่งไคล้ Silvio Berlusconi มากยิ่งขึ้น ส่งผลต่อคะแนนนิยมทางด้านการเมืองกับ Silvio Berlusconi โดยตรง

การก้าวเข้าสู่แวดวงการเมือง

ด้วยฐานธุรกิจ ทั้งทางด้านวงการโทรทัศน์ และ ฐานจากแฟนบอล AC Milan ต้องบอกว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการเข้าสู่อาชีพนักการเมือง ของ Silvio Berlusconi เลยก็ว่าได้ รวมถึงความเน่าเฟะ ของการเมืองอิตาลีในขณะนั้น การคอรัปชั่น เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด

ทำให้เป็นเรื่องไม่ยากนักสำหรับ Silvio Berlusconi ที่จะชนะการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีอิตาลี  เค้าได้ตั้งพรรคที่ชื่อว่า Forza Italia ขึ้นมาใหม่ โดยรวมรวมเอานักการเมืองรุ่นใหม่เข้ามา รวมถึงแนวคิดใหม่ ๆ ของการหาเสียง ทั้งการหาเสียงผ่านช่องรายการมีวีของตัวเอง ทำให้สามารถเข้าถึงคนได้ทั้งประเทศ และการสร้างภาพลักษณ์ แบบ คิดใหม่ทำใหม่ จะมาปฏิรูปอิตาลีให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ทำให้สามารถครองเสียงส่วนใหญ่ได้สำเร็จในการลงเลือกตั้งหนแรกของเค้า

บทบาทที่สำคัญในเวทีการเมืองโลก

เนื่องจากบุคลิกที่เป็นผู้นำที่เข้ากับคนได้ง่าย รวมถึงเป็นคนที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ยาวนานที่สุดของประเทศ อิตาลี ทำให้ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ นั้นมีความสนิทสนมกับผู้นำโลกหลายคน โดยคนที่เค้าสนิทที่สุดน่าจะเป็น วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซีย ซึ่งทาง ปูติน ได้กล่าวชม ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ หลายครั้ง รวมถึงปกป้องทุกครั้งที่มีการใส่ร้ายนายกรัฐมนตรี ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่

แม้กระทั่งผู้นำเผด็จการอย่าง โมฮัมหมัด กัดดาฟี่ ประธานาธิบดีของลิเบีย ก็ถือเป็นเพื่อนซี้คนหนึ่งของ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ เช่นกัน โดย ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ นั้นมีแนวคิดที่น่าสนใจ กับเหล่าประเทศเผด็จการเหล่านี้ คือ เราไม่สามารถที่จะใช้ระบบประชาธิปไตยที่แท้จริงได้กับประเทศอย่าง ลิเบีย เนื่องจาก ลิเบีย มีชนเผ่าพื้นเมืองอยู่เป็นจำนวนมาก และ ก็ให้เกียรติ กัดดาฟี่ เหมือนหัวหน้าเผ่าของพวกเค้าทั้งหมด ซึ่ง ในกรณีประเทศอย่างลิเบียนั้น ความเป็นประชาธิปไตยอาจจะทำให้ประเทศล่มสลายได้จากการแก่งแย่งชิงอำนาจกันเองของชนเผ่าต่าง ๆ

ไม่เว้นแม้แต่ ผู้นำของอเมริการ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ นั้นถือว่าสนิทสนมอย่างมากกับ ประธานธิบดี George W Bush แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเห็นได้ว่า ความสัมพันธ์ ที่ดีต่อผู้ำนำต่าง ๆ ของโลกเหล่านี้ นั้น มีผลอย่างยิ่งต่อบทบาท ของ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ในเวทีระดับโลก ซึ่งมักจะเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยเจรจา ข้อพิพาทต่าง ๆ อยู่สม่ำเสมอ เนื่องจากเค้ามี connection ที่ดีเยี่ยมกับผู้นำหลาย ๆ ประเทศในยุคที่เค้ากำลังรุ่งเรืองอยู่

ผลงาน ที่ต้องยกเครดิต ให้กับ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ที่เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงในเวที ระดับโลก คือ การเป็นตัวตั้งตัวตีในการยุติสงครามเย็น ที่มีมาอย่างยาวนาน ระหว่าง อเมริกา กับ รัสเซีย ด้วยความสัมพันธ์ ที่ดีกับ ทั้ง ปูติน และ บุช จึงเป็นที่มาของการจัดประชุม เพื่อยุติสงครามเย็น ที่เป็นหลักไมล์สำคัญ ในการเปลี่ยนแปลงความตึงเครียดในเวทีการเมืองโลกในเรื่องสงครามเย็น โดยมีการจัดขึ้นที่กรุงโรม ประเทศ อิตาลี ที่ Partica di Mare ( Air base)

เมื่อชีวิตก้าวสู่ขาลง

ต้องบอกว่า ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ นั้น โดนเล่นงานจากระบบยุติธรรมของอิตาลี มาโดยตลอด แต่เค้าก็มักรอดมาได้เสมอ ในยุคที่เขายังเรืองอำนาจอยู่ วิธีการของเค้า แม้จะไม่ถูกนัก ไม่ว่าจะเป็นการติดสินบน เจ้าหน้าที่ หรือ การแก้ไขกฏหมายให้มีอายุความสั้นลง ทำให้เค้ารอดคดีต่าง ๆ มาได้โดยตลอด แต่ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเขา มักจะโดนคดี ไปเต็ม ๆ ไมว่าจะเป็นเรื่องตั้งแต่ข้อหาในการฟอกเงิน ในการเริ่มต้นธุรกิจของเค้า คนรอบตัวเขาก็โดนคดีกันหมด แต่ เค้ายังรอดมาได้

แม้จะรอดตัวจากคดีต่าง ๆ ในประเทศ ด้วยวิธีการที่สกปรกบ้าง แต่ปัญหาระดับประเทศ อย่างปัญหาเศรษฐกิจ นั้นเป็นจุดฉนวน สำคัญในยุคขาลงของ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ก็ว่าได้ สืบเนื่องจากปัญหาวิกฤติ การเงินโลก ทำให้ประเทศอิตาลี ก็ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ เช่น เดียวกับ ประเทศ กรีซ ที่เกือบจะล้มละลาย

ถึงแม้เค้าจะสนิทสนมกับผู้นำบางกลุ่ม แต่ มีอีกกลุ่มที่ไม่เล่นด้วย อย่างเช่น ประธานาธิดี นิโคลาส ซาร์โกซี่ ของฝรั่งเศษ และ นาง อังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีของเยอรมัน ที่เป็นกลุ่มเป็นเทศ ผู้นำของ EU อยู่ ซึ่งอยากให้ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ นั้นนำประเทศอิตาลี เข้าสู่การช่วยเหลือของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF เป็นการด่วน

แต่ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ นั้น ไม่ยอมที่จะโดนบีบให้ยอมรับเงินของ IMF เรื่องนี้จะเป็นจุดสำคัญ ซึ่งเป็นการเมืองระหว่างประเทศ โดยเป้าหมายของ ซาร์โกซี่ และ แมร์เคล นั้น ต้องการบีบให้นายกรัฐมนตรี ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ลาออก เพราะ ไม่ได้ชอบนิสัยของ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ อยู่แล้วด้วย เนื่องจาก ในเวทีระดับโลก บางที ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ นั้น รับปาก แต่ไม่ได้ทำตามที่รับปากอยู่บ่อยครั้ง

ซึ่งสุดท้ายประเด็นของเรื่องเศรษฐกิจ ที่ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาภายในประเทศได้ ทำให้คะแนนความนิยมของเค้าตกลงไปเรื่อย  ๆ   เป็นตัวชนวนให้สุดท้ายแล้วนั้น เค้าก็ต้องลาออกจากตำแหน่งแต่โดยดี เป็นการสิ้นสุดยุคเรืองอำนาจของ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่

เราได้เห็นอะไรจากผู้นำอย่าง ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่

ต้องบอกว่าการเมืองทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่ร่ำรวย หรือ ประเทศยากจน โลกที่สาม การเมืองก็คือการเมือง ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เชื่อเรื่องระบบประชาธิปไตยในอุดมคติ การเมืองมันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่ลงตัวกันของเหล่านักการเมืองต่าง ๆ เท่านั้น แต่ชีวิตที่น่าสนใจของ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ คือ เค้าเป็นคนที่ทรหดเป็นอย่างมาก ผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ มามากมายทั้งในเวที ภายในประเทศ ที่ต้องต่อสู้กับระบอบยุติธรรม ที่สุดท้ายแล้ว เค้าก็สามารถเอาชนะได้ แม้จะใช้วิธีที่สกปรก อย่างไปแก้กฏหมาย หรือ แม้กระทั่งติดสินบนก็ตาม ซึ่งหากเรามองจริง ๆ แล้ว ก็ไม่ต่างจากประเทศไทยเท่าไหร่ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปรกติของระบบการเมือง ที่มันเน่าเฟะในทุก ๆ  ที่ของโลก ไม่เว้นแม้แต่เจ้าตำรับ อย่าง ประเทศ อเมริกาเองก็ตาม (จะเขียนถึงใน Blog ถัด ๆ ไป)

แม้ภาพลักษณ์ที่ดูเผด็จการ แต่ก็ต้องบอกว่า เค้าก็สามารถที่จะนำอิตาลีฝ่าวิกฤติมาได้ในหลาย ๆ ครั้ง รวมถึงผลงานชิ้นสำคัญที่ต้องยกเครดิตให้คือ เป็นส่วนหนึ่งของการยุติ สงครามเย็น ระหว่าง อเมริกา และ รัสเซีย ซึ่งเนื่องมาด้วยความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีของเขากับ ประธานาธิบดี ปูติน และ บุช ล้วน ๆ เรื่องนี้ให้ข้อคิดว่า บางทีปัญหาใหญ่แทบจะรบกันตาย หรือ ใช้ระเบิดนิวเคลียร์ บอมบ์กัน สุดท้าย ก็แค่มาเจรจากันผ่าน connection ดี ๆ ก็สามารถจบปัญหาใหญ่ ๆ แบบปัญหาสงครามเย็นได้เช่นกัน

สุดท้าย การเมือง ก็คือการเมือง ทั้งในระดับประเทศ หรือ ภายในประเทศก็ตาม มันก็แค่การเจรจากันให้ผลประโยชน์ต่าง ๆ ลงตัว ทุกอย่างก็สามารถแก้ปัญหาได้ เหมือนที่ไทยเราเคยเจอ ประเทศเราแทบจะรบกันตาย ความจริง หาก ผู้นำ ต่างๆ  มาคุยกันให้ลงตัว ทุกอย่างมันก็จบ ขนาด ปัญหาอย่างสงครามเย็นยังสามารถแก้ไขได้ แล้วปัญหาจิ๊บจ้อยอย่างความแตกแยกในไทย ทำไมเราจะแก้ไขกันไม่ได้ล่ะ

Reference : netflix.com

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol

Alpha Go กับมุมมองที่เปลี่ยนไปต่อ AI

ต้องบอกว่า Blog นี้ มาจากการที่ได้มีโอกาสดู Documentary ของ Netflix ที่ชื่อว่า Alpha Go  ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องถึง ความเป็นมาของ Alpha Go ของทาง Lab Deepmind ของ Google ที่มีฐานอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ก่อนหน้าที่จะเกิด Alpha Go นั้น ทาง Lab Deepmind ก็ได้ทำการทดลองกับเกมส์ Classic อย่าง Atari Breakout  ซึ่งเป็นเกมส์ที่ไม่ได้เล่นยากเกินไปถ้าเทียบกับเกมส์ อย่าง โกะ หรือ หมากรุก ซึ่งต้องบอกว่าผลการทดสอบกับ Atari-Breakout นั้นได้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจ คือ การเรียนรู้ด้วยตัวเองของ AI ทำให้สามารถเรียนรู้ที่จะชนะเกมส์อย่าง Break Out ได้อย่างเด็ดขาด

หลังจากนั้น ก็เริ่มทำการทดลองกับเกมส์ที่ยากขึ้นอย่าง โกะ ซึ่งต้องบอกว่าเป็น บอร์ดเกมส์ ที่ขึ้นชื่อว่ายากที่สุด และมีความน่าจะเป็นที่เกิดขึ้นกับกระดานโกะ มากกว่า เกมส์อย่าง หมากรุก หรือ หมากฮอส หลายเท่า

ซึ่งการที่จะพัฒนา AI ที่เล่นเกมส์โกะ ให้เอาชนะแชมป์โลกได้นั้น เป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อม และคงไม่มีนักเล่นโกะคนใด ที่คิดว่า Alpha Go จะสามารถเอาชนะ แชมป์โลกโกะได้ในขณะนั้น แต่ Deepmind นั้นก็ได้เริ่มพัฒนา Alpha Go ขึ้นมาโดยเริ่มแรกให้เรียนรู้จาก ผู้เล่น Online ที่อยู่ในระบบก่อน โดยเป็นการเรียนรู้การเล่นกว่าแสนเกมส์ ทำให้ช่วงแรกนั้นก็ยังมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง

จนถึงการมาพบกับแชมป์โกะของยุโรป อย่าง Fan Hui ซึ่งเป็นเจ้าของแชมป์ยุโรปคนล่าสุด  ต้องบอกว่าก่อนมาแข่งนั้น Fan Hui  นั้นมั่นใจมาก ๆ ว่า Alpha Go ไม่สามารถเอาชนะเขาได้แน่ ๆ แต่การแข่งขันจริงนั้น เขาแพ้ให้กับ Alpha Go ไปแบบหมดรูป 5-0 เกมส์ ทำให้มุมมองของ Fan Hui นั้นเปลี่ยนไปเลยทีเดียว ต้องหันกลับมามอง เจ้า Alpha Go ใหม่อีกครั้ง และสุดท้ายก็ยอมเป็นที่ปรึกษาให้กับ Deepmind เพื่อทำการพัฒนาเจ้า Alpha Go ให้เก่งขึ้นไปอีกระดับ ก่อนที่จะมาแข่งขันจริงกับ Lee Sedol แชมป์โลก ระดับ 9 ดั้ง ซึ่งถือเป็นชั้นสูงสุดของวงการเกมส์โกะ

ซึ่งต้องบอกว่าก่อนแข่งนั้น Lee Sedol ได้ปรามาส Alpha Go ไว้ค่อนข้างเยอะ และ ค่อนข้างมั่นใจเช่นเดียวกับ Fan Hui ว่าเขาสามารถเอาชนะ เจ้า Alpha Go ได้แน่ ๆ

ต้องบอกว่าเกมส์ นี้ เป็นเกมส์เดิมพันที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว Deepmind มีโอกาสที่จะเสียหน้าต่อสายตาคนทั้งโลกเลยก็ว่าได้  แม้กระทั่งหัวหน้าด้านการวิจัย Alpha Go ของ Deepmind เองก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ในตอนแรกว่า Alpha Go จะสามารถเอาชนะ Lee Sedol ได้หรือไม่  เพราะก่อนแข่งนั้น Fan Hui ที่มารับบทที่ปรึกษาได้ค้นพบจุดอ่อนบางอย่างของ Alpha Go ซึ่งไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ทันการแข่งขัน จึงต้องทำการ Build Version ที่เสถียรที่สุดออกไปก่อน เพราะการแข่งขันได้ถูกกำหนดวันที่ไว้เป็นทีเ่รียบร้อยแล้ว

แต่ต้องบอกว่า การแข่งขันจริงนั้น Lee Sedol พ่ายแพ้ไปอย่างหมดรูป โดยเฉพาะ 3 เกมส์แรกนั้น ต้องบอกว่าการเดินหมากของ Lee Sedol นั้นไม่เป็นตัวของตัวเองเลยด้วยซ้ำ เหตุผลนึงน่าจะมาจาก เค้าไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของคู่แข่ง เหมือนแข่งกันมนุษย์จริง ๆ เพราะ Alpha Go ใช้คนเดินหมากแทน โดยให้ Alpha Go เป็นคนคิดว่าจะวางหมากไว้จุดใด ซึ่งทำให้ Lee Sedol ไม่สามารถอ่านใจคู่แข่งได้เลย ว่าอยู่ในอารมณ์ไหน ซึ่งเป็นจุดสำคัญจุดนึงเลยก็ว่าได้ ที่ Alpha Go มีความได้เปรียบ เพราะ ไม่มีการแสดงออกทางกายภาพเลยว่า ตอนนี้หมากในเกมส์เป็นอย่างไร ได้เปรียบ หรือ เสียเปรียบอยู่

พอถึงเกมส์ที่ 4 ซึ่ง Lee Sedol เริ่มไร้ความกดดันใด ๆ แล้ว เพราะยังไงก็แพ้แน่นอนแล้ว จึงทำให้สามารถกลับมาเล่นในเกมส์ของตัวเองได้อีกครั้ง และครั้งนี้ เหมือนกับ Alpha Go จะมีการเดินหมากที่ผิดพลาดอยู่หลายครั้งมาก ทั้งที่ควรจะชนะไปได้แบบไม่ยากเย็น แต่ Lee Sedol ก็สามารถแก้เกมส์กลับมาเอาชนะไปได้ ซึ่งความกดดันนั้นน่าจะเป็นเหตุผลหลักเหตุผลนึงเลยก็ว่าได้ ที่ทำให้ Lee Sedol แพ้ไปอย่างหมดรูปใน 3 เกมส์แรก พอเริ่มคลายความกดดัน จึงสามารถเล่นเกมส์ ของตัวเองได้ จนมาชนะในเกมส์ที่ 4 แต่ในเกมส์สุดท้าย Alpha Go ก็กลับมาชนะได้อีกครั้ง รวมเป็นผล 4-1  ต้องถือว่าบรรลุเป้าหมายของทาง Deepmind ที่สามารถเอาชนะมนุษย์ที่เก่งเกมส์โกะ ที่สุดในโลกไปได้

การเอาชนะแชมป์โกะเปลี่ยนแปลงมุมมองต่อ AI อย่างไร?

ต้องบอกว่า ก่อนหน้านี้ ที่ IBM เคยเอาชนะแชมป์หมากรุกโลกได้นั้น ถือเป็นเรื่องเล็ก ๆ ไปเลย เมื่อเทียบกับเกมส์โกะ เพราะเกมส์โกะ เป็นเกมส์ที่มีความน่าจะเป็นในกระดานสูงมาก และต้องคิดแบบหลายชั้น ซึ่งการที่ AI สามารถเอาชนะขีดจำกัดในข้อนี้ของมนุษย์ได้นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา เราต้องลองจินตนาการว่า หาก Alpha Go สามารถเอาชนะแชมป์โลกโกะ ได้ แล้วต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อ AI สามารถเรียนรู้การทำงานของมนุษย์ และรู้ถึงจุดอ่อนของมนุษย์เราได้

ต่อจากนี้เราก็อาจจะได้เห็น Alpha Go ในทุก Domain เลยก็ว่าได้ลองจินตนาการว่า  หมอที่เก่งที่สุดในโลกในด้านที่ AI สามารถจำลองการทำงานได้ เช่น รังสีแพทย์ ที่ใช้ในการวิเคราะห์ผลจากการถ่าย X-RAY ไม่ว่าจะเป็น Ultrasound , MRI , CT-Scan เพื่อใช้ในการวิเคราะห์โรคร้ายต่าง ๆ ซึ่งหมอเล่านี้นั้น ต้องใช้การเรียนรู้ + ประสบการณ์ในการ วิเคราะห์ภาพที่ได้จากเครื่อง X-RAY ชนิดต่าง ๆ ซึ่ง ไม่ยากเลยสำหรับ AI ที่จะเรียนรู้แบบหมอได้ และเทคโนโลยีปัจจุบันนั้น คิดว่า สมมติว่ามีการแข่งขัน ให้หมอที่เทพที่สุดด้านนี้ มาแข่งกับ AI ผลน่าจะไม่ต่างจากเกมส์โกะ ที่สามารถเอาชนะแชมป์โลกไปได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ก็อยู่ที่ว่ามนุษย์เรานั้นจะสามารถยอมรับได้หรือไม่ หากต่อไป นั้น เราจะถูกวินิจฉัยโดย AI ซึ่งไม่ใช่หมอ เช่นเดียวกับ ในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะยอมรับได้มั๊ยว่า รถแบบขับเคลื่อนอัตโนมัตินั้น จะเป็นรถปรกติที่วิ่งบนถนนเดียวกับเรา ซึ่ง ยังไงอัตรการเกิดอุบติเหตุจาก AI เหล่านี้ ก็น่าจะน้อยกว่ามนุษย์อยู่แล้ว เพราะความแม่นยำที่สามารถตรวจสอบได้ และขีดจำกัดหลาย ๆ อย่างของมนุษย์นั้น จะไม่สามารถทำงานได้เทียบเท่า AI อีกต่อไป

 

References : Netflix.com