Space Industries กับแนวคิดการย้ายโรงงานอุตสาหกรรมไปอยู่บนอวกาศ

ดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ แต่ความคิดในการเคลื่อนย้ายอุตสาหกรรมหนักออกไปจากโลกดูเหมือนจะมีโอกาสเข้าใกล้ความจริงเข้าไปทุกที ซึ่งการจัดเก็บภาษีทรัพยากรจากดาวเคราะห์ดวงอื่นหรือดาวเคราะห์น้อยแทนการใช้ทรัพยากรที่เรามีเหลืออยู่บนโลกที่เริ่มลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ อาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นใจว่ามนุษย์จะอยู่รอดต่อไปได้ในอนาคต จากรายงานของ DiscoverMagazine

“ระบบพลังงานแสงอาทิตย์สามารถรองรับอุตสาหกรรมทั้งหมดมากกว่าที่เรามีในโลก” ฟิล  เมทซ์ นักวิทยาศาสตร์ด้านดาวเคราะห์ที่มหาวิทยาลัยเซ็นทรัลฟลอริดา บอกกับ DiscoverMagazine “ เมื่อคุณไปสู่อารยธรรมที่กว้างใหญ่กว่าที่โลกเรามี ซึ่งสามารถรองรับอุตสาหกรรมทุกอย่างบนโลกเราได้”

เมื่อทรัพยากรบนโลกลดน้อยลงจำนวนประชากรก็เพิ่มมากขึ้น อย่างน้อยมันก็คือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังแหล่งผลิตแห่งใหม่ของ บริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

ตัวอย่างเช่น Planetary Resources Inc. ได้สรรหาเงินทุนหลายสิบล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการขุดเจาะบนดาวเคราะห์น้อย แต่ปัญหาด้านการเงินทำให้ บริษัท ต้องชะลอการสำรวจดาวเคราะห์น้อยดวงแรกออกไปอย่างไม่มีกำหนด

Billionaire Blue Origin และ CEO ของ Amazon Jeff Bezos ก็มีทุกอย่างเช่นเดียวกัน

“ เหตุผลที่เราต้องไปยังอวกาศในทัศนะของผมคือเพื่อช่วยโลก” เบโซส กล่าวในระหว่างการประกาศการลงจอดบนดวงจันทร์ของ บริษัทด้านอวกาศของเขาเมื่อเดือนที่แล้ว

“ ปัญหาระยะยาวที่สำคัญมากคือพลังงานบนโลกเรากำลังจะหมด” เบโซสกล่าวในงาน “ นี่เป็นแค่ตัวเลขทางคณิตศาสตร์ และมันจะเกิดขึ้นจริง ๆ “

Blue Origin ของมหาเศรษฐี เจฟฟ์ เบซอส
Blue Origin ของมหาเศรษฐี เจฟฟ์ เบซอส

แม้แต่องค์การนาซ่ายังได้เลือกที่จะลงทุนหลายล้านดอลลาร์ในแนวคิดเทคโนโลยีที่สามารถช่วยเราสำรวจดาวเคราะห์น้อยในเทคโนโลยีของการขุดเจาะ

ไม่เพียง แต่ทรัพยากรทางกายภาพเท่านั้นที่จะสามารถเป็นทางออกสำหรับโลกเราที่มีภาระมากเกินไปในขณะนี้ สถานีพลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศสามารถส่งลำแสงพลังงานที่ไร้ขีด จำกัดกลับคืนสู่โลกได้เช่นกัน และเป็นแผนการที่จีนกำลังดำเนินการเพื่อนำไปใช้จริง

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีความคิดเหมือนกัน: กลุ่มนักวิทยาศาสตร์มารวมตัวกันเพื่อลงนามในข้อเสนอเรียกร้องให้ระบบสุริยะนั้นได้รับการปกป้องจากการรุกรานของมนุษย์

“ ถ้าเราไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนี้เราจะเดินหน้าต่อไปในแนวทางที่ทำลายระบบสุริยะของเรา และในอีกไม่กี่ร้อยปีเราจะต้องเผชิญกับวิกฤติที่รุนแรงยิ่งกว่าที่เรามีบนโลกนี้มากนัก” มาร์ติน เอลวิส นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์อาวุโส ที่ สมิธโซเนียน กล่าว “ เมื่อคุณใช้ประโยชน์จากระบบสุริยจักรวาลเราก็ไม่มีเหลือทางเลือกอีกต่อไปแล้ว”

ก่อนที่การสร้างการผลิตในอวกาศและการขุดจะกลายเป็นความจริง ยังมีงานอีกมากที่ต้องทำเนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้นเพียงเท่านั้น โดยเมื่อ 5 ปีก่อนบริษัท Startup ในแคลิฟอร์เนียอย่าง Made In Space กลายเป็นบริษัทแรกที่พิมพ์วัตถุ 3 มิติด้วยแรงโน้มถ่วงที่เป็นศูนย์

Made In Space กับการพิมพ์ 3 มิติบนแรงโน้มถ่วงเป็นศูนย์
Made In Space กับการพิมพ์ 3 มิติบนแรงโน้มถ่วงเป็นศูนย์

โดยบริษัทเดียวกันนี้ได้ทำสัญญาครั้งสำคัญกับ NASA ในปี 2018 เพื่อพัฒนา “ระบบการผลิตโลหะไฮบริดสำหรับการสำรวจอวกาศ” โดยจะเป็นการพิมพ์ชิ้นส่วนโดยใช้โลหะเกรดอากาศยานเช่นไทเทเนียมและอลูมิเนียม

อย่างไรก็ตามความพยายามเหล่านี้ยังคงเป็นหนทางที่ยาวไกล ที่การขุดดาวบนเคราะห์น้อยสามารถรองรับอารยธรรมมนุษย์ทั้งหมดได้ในห้วงอวกาศ เราไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าประเทศไหนจะเป็นเจ้าของทรัพยากรเหล่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความไม่สบายใจทางการเมืองระหว่างประเทศ

แต่ด้วยเวลาที่กำลังจะหมดลง – การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและทรัพยากรที่ถูกทำลายอย่างรวดเร็วกำลังบังคับให้เรามองข้ามโลกที่เป็นบ้านเกิดของเรา และหวังว่าเราจะสามารถทำการเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ก่อนที่มันจะสายเกินไปนั่นเอง

References : 
http://blogs.discovermagazine.com

NASA กำลังค้นหา Alien บนดาว Titan

เป็นเวลาเกือบ 15 ปีแล้วที่ ยาน Cassini-Huygens ของนาซ่าถูกส่งไปยังพื้นผิวของดวงจันทร์ไททันที่เป็นดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์ และเรากำลังจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกมหาสมุทรลึกลับจากภารกิจดังกล่าว

แต่นาซ่ากำลังวางแผนที่จะเปลี่ยนแปลง โครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนโดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์นาซานำโดยนักวิจัยจากห้องทดลอง Jet Propulsion ของนาซาจะพยายามค้นหาว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ในมหาสมุทรบนดวงจันทร์หรือไม่ และบรรยากาศที่หนาทึบดังกล่าวสามารถรองรับสิ่งมีชีวิตได้หรือไม่

คำถามคือไฮโดรคาร์บอนที่ซับซ้อนนั้นจะสามารถเกิดขึ้นได้บนพื้นผิวของดาวไททันหรือไม่เนื่องจากการรวมกันของก๊าซที่พบในชั้นบรรยากาศของดาวไททัน ซึ่งนั่นรวมถึงไฮโดรเจน, มีเธนและไนโตรเจน

ข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากองค์การนาซ่าประกาศว่าจะส่งโดรนเฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กไปยังดวงจันทร์ไททันของดาวเสาร์เพื่อสำรวจพื้นผิวของมัน ในขณะที่นาซ่ากำลังวางแผนที่จะเปิดตัวภารกิจดังกล่าวได้ในปี 2026 

แต่มีหลักฐานมากมายที่เราสามารถรวบรวมจากข้อมูลก่อนหน้านี้ที่เก็บรวบรวมโดย ยาน Cassini-Huygens 

ภาพจากดวงจันทร์ ไททัน
ภาพจากดวงจันทร์ ไททัน

“ สิ่งที่เราไม่รู้คือองค์ประกอบที่แน่นอนของมหาสมุทร ความหนาแน่นของมัน ความร้อนของมัน โครงสร้างโดยรวมของเปลือกน้ำแข็งที่อยู่ด้านบนของมัน” ไมค์ มาลาสก้า รองหัวหน้าผู้ตรวจสอบโครงการของ Jet Propulsion Lab บอกกับนิตยสาร Astrobiology

โครงการห้าปี ที่มีความทะเยอทะยานของสถาบัน Astrology ได้สร้างทีมขึ้นมา 30 ทีม เพื่อสำรวจดวงจันทร์ของดาวเสาร์ โดยข้อมูลจะได้รับจากภารกิจของยาน Cassini-Huygens ของนาซ่า 

“ ตอนนี้ นักวิทยาศาสตร์ของเรา กำลังติดตามโมเลกุลอินทรีย์บนเส้นทางของพวกเขาจากด้านบนของชั้นบรรยากาศที่พวกมันถูกสร้างขึ้นผ่านชั้นเปลือกโลกและมหาสมุทร ซึ่งหากมีรูปแบบของชีววิทยาเกิดขึ้นที่นั่น” Malaska กล่าว

โครงการมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ 4 ประการ ก่อนอื่นทีมต้องการที่จะเข้าใจว่าโมเลกุลเคลื่อนย้ายจากพื้นผิวของไททันไปยังมหาสมุทรได้อย่างไร ประการที่สองพวกเขาต้องการค้นหาว่าสารอินทรีย์ที่ซับซ้อนสามารถอยู่รอดได้ในมหาสมุทรใต้ผิวดินอันกว้างใหญ่ของไททันหรือไม่ และข้อสามนั้น ขึ้นอยู่กับว่าวัตถุประสงค์สองข้อแรกจะเป็นอย่างไร

โดรน Dragonfly ที่ Nasa ส่งไปทำภารกิจเพิ่มเติม
โดรน Dragonfly ที่ Nasa ส่งไปทำภารกิจเพิ่มเติม

โดย ขั้นตอนต่อไปคือการสำรวจว่ามีพลังงานเคมีสำหรับการมีชีวิตในการเมแทบอลิซึมได้หรือไม่ ซึ่งในที่สุดทีมต้องการวิธีตรวจหาสิ่งมีชีวิต ที่ยังคงอยู่ในมหาสมุทรซึ่งเป็นงานที่ยุ่งยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากมหาสมุทรของไททันถูกปกคลุมด้วยเปลือกนอกที่เป็นน้ำแข็ง และบรรยากาศที่อุดมไปด้วยสารอินทรีย์

หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ยาน Rotorcraft Dragonfly ของนาซาจะ ไปถึงมหาสมุทรที่ห่างไกลของดาวไททัน  โดยจะใช้เวลา 15 ปีนับจากนี้ เมื่อถึงตอนนั้นเราน่าจะมีความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ที่นั่น

References : 
https://phys.org/news/2019-07-habitability-titan-ocean.html

ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 8 : I don’t Need These Russians

หลังจากขาย Paypal ได้สำเร็จ วันหนึ่ง มัสก์ และ อดีตเพื่อนร่วมหอพัก ที่ University of Pennsylvania อย่าง อาดีโอ เรสซี่ ได้ร่วมทริปไปยัง Long Island โดยร่วมกับ ภรรยาของ เรสซี่ และ ภรรยาของมัสก์ มันเป็นทริปพักผ่อนสำหรับคู่รักสองคู่ นอกเมืองนิวยอร์ก แต่มันกำลังจะเกิดสิ่งที่ยิ่งใหญ่หลังจบทริปนี้

เรสซี่ ก็ประสบความสำเร็จกลายเป็นมหาเศรษฐีเช่นเดียวกันมัสก์ เพราะเขาเพิ่งขายบริษัททางด้านอินเตอร์เน็ต Methodfive ให้กับ Xceed มูลค่ากว่า 88 ล้านเหรียญ ระหว่างขากลับจากทริปดังกล่าวท่ามกลางรถติดบนทางด่วนที่ Long Island ทั้งคู่ต่างคิดเหมือนกันว่าจะทำอะไรต่อไปหลังจากนี้ ซึ่งสิ่งที่พวกเขาจะทำมันต้องเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่แบบเปลี่ยนโลกได้เท่านั้น

ทั้งคู่นั้นมีความหลงไหลในเรื่องของอวกาศเช่นเดียวกัน เขาได้ถกเถียงกันเรื่องการเดินทางไปยังดาวอังคาร แต่มัสก์ นั้นคิดว่า NASA คงทำสิ่งเหล่านี้ได้ดีอยู่แล้ว และคงกำลังดำเนินการอยู่ในการพามนุษย์ไปสู่ดาวอังคารให้สำเร็จหลังเคยพามนุษย์ไปดวงจันทร์ได้มาแล้ว

แต่หลังจากกลับจากทริปดังกล่าว มัสก์ ที่เริ่มสนใจ ไอเดียเก่า ๆ ของเขา เริ่มค้นหาข้อมูลใน website ของ NASA เกี่ยวกับการเดินทางไปยังดาวอังคาร ซึ่งเขาพบว่าข้อมูลแทบจะไม่มีอะไรอัพเดทความคืบหน้าเลยด้วยซ้ำ

มัสก์ค้นหาข้อมูลในเว๊บ NASA พบว่าไม่มีการอัพเดทเรื่องดาวอังคารเลยด้วยซ้ำ
มัสก์ค้นหาข้อมูลในเว๊บ NASA พบว่าไม่มีการอัพเดทเรื่องดาวอังคารเลยด้วยซ้ำ

หลังจากพามนุษย์ไปดวงจันทร์ได้สำเร็จ มันแทบจะไม่มีความคืบหน้าในการไปดาวอังคารของมนุษย์เลยด้วยซ้ำ ตอนนี้มันไม่ได้มีแรงจูงใจ เหมือนยุคที่ต้องขับเคี่ยวกับ รัสเซีย ในการพามนุษย์ไปดวงจันทร์ และแน่นอน อเมริกาเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ แต่อยู่บนค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ๆ ในโครงการอวกาศเหล่านั้น

เที่ยวบินสู่อวกาศเที่ยวสุดท้ายของ โครงการ Apollo ต้องย้อนกลับไปถึงปี 1975 มันเป็นการสิ้นสุดการแข่งขันอย่างถาวร ของทั้งอเมริกาและรัสเซีย สงครามทุกอย่างมันจบลงแล้ว และตอนนี้รัฐบาลก็ไม่ได้สนับสนุนงบประมาณให้กับ NASA มากมายเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

อย่างที่มัสก์ ได้คิดไว้ตั้งแต่แรก สามสิ่งที่จะมีผลกระทบต่อชีวิตของมนุษย์โลกในอนาคต นั้น ส่วนของอินเตอร์เน็ตนั้นเขาสามารถทำได้สำเร็จแล้วถึงสองครั้ง ทั้งกับ Zip2 รวมถึง Paypal มันได้หมดซึ่งความท้าทายต่อมัสก์อีกต่อไปในเรื่องของโลกอินเตอร์เน็ต เขาอิ่มตัวกับเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตแล้วในตอนนั้น

ส่วนเรื่องพลังงานที่ยั่งยืนนั้น ณ ตอนนั้น มีคนที่สนใจเรื่องดังกล่าวที่กำลังพัฒนาและวิจัยอยู่แล้ว มันเหลือแค่เรื่องของการสำรวจอวกาศ ซึ่งตอนนี้ดูเหมือน NASA จะชะลอโครงการต่าง ๆ ไว้ชั่วคราว เพราะไม่มีแรงผลักดันทั้งเงินทุน และ เรื่องการแข่งขันเหมือนในยุค 70 ที่ขับเคี่ยวกันอย่างหนักกับรัสเซีย

NASA ไม่มีแรงผลักดันในโครงการอวกาศเพื่อสานต่อ
NASA ไม่มีแรงผลักดันในโครงการอวกาศเพื่อสานต่อ

มัสก์ และ เรสซี่ ต้องการหาวิธีที่จะทำให้เรื่องการสำรวจอวกาศ กลับมาเป็นเรื่องที่น่าสนใจอีกครั้ง ซึ่งแนวคิดแรกของทั้งสองคือ การส่งพืช ไปยังดาวอังคาร โดยโปรเจคนี้ถูกตั้งชื่อว่า Mars Oasis ซึ่งประเมินว่าต้องใช้เงินลงทุนกว่า 65 ล้านเหรียญเลยทีเดียว 

ส่วนอีกแนวคิด เป็นเรื่องการส่งสิ่งมีชีวิตอย่าง หนู ไปยังดาวอังคาร เขาต้องการทดลองว่า หากส่งหนูไปแล้ว จะสามารถผสมพันธ์ ในสภาวะแวดล้อมบนดาวอังคารได้หรือไม่ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมัสก์ ก็คือ การจะพามนุษย์ไปใช้ชีวิตบนดาวอังคารนั่นเอง

ซึ่งเขาต้องพึ่งพาคนที่มีประสบการณ์ มัสก์ ได้พยายามติดต่อ วิศวกร ที่เป็นที่ปรึกษาด้านอวกาศอย่าง จิม แคนเทรล ซึ่งหลังจากได้พบและคุยกัน แคนเทรล นั้นตัดสินใจที่จะช่วยเหลือมัสก์ ในโปรเจคแรกอย่าง Mars Oasis โดยได้ติดต่อผู้ที่สามารถจัดการเรื่องกระสวยอวกาศที่มีราคาต้นทุนไม่สูงมากนัก

ซึ่งกระสวยอวกาศที่มีราคาถูกสุดในอเมริกาคือ Boeing’s Delta II ของบริษัท โบอิ้ง โดยต้องใช้เงินประมาณ 50 ล้านเหรียญ ซึ่งมันยังเป็นงบประมาณที่สูงเกินไป แคนเทรล ได้พยายามติดต่อ หากระสวยราคาถูก ทุก ๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นในฝรั่งเศษ หรือ แม้กระทั่งรัสเซียเองก็ตาม

จรวดถูกสุดในอเมริกาอย่าง Delta II ยังมีมูลค่าสูงถึง 50 ล้านเหรียญ
จรวดถูกสุดในอเมริกาอย่าง Delta II ยังมีมูลค่าสูงถึง 50 ล้านเหรียญ

ในปลายเดือน ตุลาคมปี 2001 มัสก์ แคนเทรล และ เรสซี่ ได้จับเที่ยวบินไปมอสโก คนรวยสามารถที่จะซื้อกระสวยอวกาศได้ในตลาดเปิดอย่างรัสเซีย ซึ่ง เรสซี่นั้นมองว่าเป็นความคิดที่บ้า ที่มาบุกถึงรัสเซียเพื่อซื้อกระสวยอวกาศ

มัสก์ และ ทีม ต้องเดินทางไปมา ระหว่างรัสเซีย และ อเมริกาอยู่หลายครั้ง เพื่อเจรจา มันเป็นการเจรจา ที่ไม่คืบหน้าไปไหน พวกรัสเซีย ไม่ค่อยที่จะไว้ใจทีมของมัสก์ซักเท่าไหร่ และใช้มารยาทแบบรัสเซีย ในการเจรจาดีลธุรกิจนี้

สุดท้ายการเจรจาก็ล่มไม่เป็นท่า ด้วยการเจรจาต่อรองที่พลิกไปพลิกมาตลอดของทางฝั่งรัสเซีย ทำให้มัสก์หมดความอดทนในที่สุด ทุกคนต่างโล่งใจคิดว่ามัสก์คงเลิกล้มความตั้งใจในเรื่องนี้ไปแล้ว

แต่หารู้ไม่ ในช่วงเวลาเจรจาดังกล่าว มัสก์ ได้ไปยืมหนังสือจากแคนเทรลมาศึกษาเรื่องการสร้างกระสวยอวกาศด้วยตัวเอง เขายืมหนังสืออย่าง Rocket Propulsion Elements , Fundamentals of Astrodynamics และ Aerothermodynamics of Gas Turbine and Rocket รวมทั้งบทความต่าง ๆ อีกมากมาย เขาสวมจิตวิญญาณนักอ่านในวัยเด็กอีกครั้ง เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการที่จะสร้างจรวดด้วยตัวเอง

สุดท้าย เขาก็ตระหนักได้ว่าจรวดนั้นสามารถสร้างได้ถูกกว่าที่พวกรัสเซีย เสนอราคามาเสียอีก มันเป็นความอัจฉริยะของมัสก์อีกครั้ง ในการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างจรวดอย่างถ่องแท้ มัสก์ได้เริ่มจุดประกายให้คนคิดเรื่องการสำรวจอวกาศอีกครั้งโดยทำให้การสำรวจอวกาศราคาถูกลงกว่าเดิมเป็นอย่างมาก

แม้มัสก์ นั้นจะรู้ดีว่าการตั้งบริษัทจรวดนั้นมีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก แต่มัสก์ ก็ได้บุคคลากรชั้นยอดอย่าง ทอม มึลเลอร์ วิศวกรผู้เป็นอัจฉริยะ ด้านการสร้างจรวดมาตั้งแต่เด็ก เขามีชื่อเสียงเรื่องดังกล่าวยาวเป็นหางว่าว มัสก์ได้มือดีมาอีกคนแล้ว ที่จะมาเติมเต็มความฝันของเขาให้จงได้

คอนเซ็ปต์ของจรวดของมัสก์นั้น จะเป็นจรวดที่เหมาะเจาะพอดีสำหรับกลุ่มสำภาระขนาดเล็ก มันสามารถลดราคาการปล่อยจรวดลงไปได้อย่างมหาศาล ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมันมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

และในที่สุด Space Exploration Technologies (SpaceX) ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในเดือนมิถุนายนปี 2002 แถบชานเมืองลอสแอนเจลิส มัสก์ได้ซื้อโกดังเก่าแห่งหนึ่งไว้เป็นสถานที่ปฏิบัติงานหลักของ SpaceX 

SpaceX ได้ถือกำเนิดขึ้นในที่สุด
SpaceX ได้ถือกำเนิดขึ้นในที่สุด

SpaceX นั้นถือเป็นความพยายามของอเมริกาที่จะเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ในธุรกิจจรวด หลังจากมันได้หยุดนิ่งมากว่า 50 ปีแล้ว  มัสก์ประกาศว่าจรวดลำแรกของ SpaceX ต้องชื่อ ฟัลคอน 1 เพื่อระลึกถึงยานมิลเลนเนียมฟัลคอนในภาพยนต์เรื่อง สตาร์วอร์ส ที่เขาชื่นชอบ

เป้าหมายของ SpaceX นั้นจะสร้างเครื่องยนต์ตัวแรกให้เสร็จในเดือนพฤษภาคมปี 2003 และประกอบเสร็จสิ้นเดือนสิงหาคม และ มีกำหนดที่จะปล่อยจรวดครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายนปี 2003 หรือ ประมาณ 15 เดือนหลังจากบริษัทได้ก่อตั้ง และเป้าหมายสูงสุดคือ การไปยังดาวอังคารจะเกิดตามมาราว ๆ ปลายทศวรรษ ก่อนปี 2010

มัสก์ ได้เริ่มว่าจ้างเหล่าวิศวกรหัวกะทิ เข้ามาจากทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา คนเก่ง ๆ ด้านวิศวกรรมในสาขาต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับการสร้างจรวด ไม่รอดพ้นสายตาของมัสก์ บางคนเขาก็โทรไปชักชวนด้วยตัวเองด้วยซ้ำ

เหล่าวิศวกรทำงานกันอย่างหนักหน่วง ไม่ต่ำกว่าสัปดาห์ละ 100 ชั่วโมง พวกเขากำลังสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาระหว่างการพัฒนา ทั้งเรื่อง เชื้อเพลิง การควบคุมความชื้น การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายเหล่าวิศวกรของมัสก์แทบจะทั้งสิ้น  

มัสก์ อยากให้สาธารณชนเห็นว่าคนงานที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของเขาทำอะไรสำเร็จ และช่วยปลุกความตื่นเต้นไปทั่ว SpaceX เขาตัดสินใจจะเปิดตัวต้นแบบฟัลคอน 1 ให้คนทั่วไปได้เห็นในเดือน ธันวาคม ปี 2003 บริษัทจะลากจรวดฟัลคอน 1 สูงเท่าตึกเจ็ดชั้นไปทั่วประเทศบนแท่นที่สร้างขึ้นมาแบบพิเศษ และโชว์มันอย่างยิ่งใหญ่ที่สำนักงานใหญ่องค์การบริหารการบินแห่งชาติในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

ฟัลคอน 1 จรวดตัวแรกของ SpaceX
ฟัลคอน 1 จรวดตัวแรกของ SpaceX

และงานในวอชิงตัน ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี SpaceX จึงประกาศที่จะสร้างจรวดลำที่สองแล้ว และมองไปถึงฟัลคอน 5 ไปพร้อมกันด้วย โดยตัวฟัลคอน 5 จะมีเครื่องยนต์ 5 ตัวตามชื่อของมัน

พนักงาน SpaceX ส่วนใหญ่ตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการผจญภัยของบริษัท และลืมเรื่องพฤติกรรมบางอย่างของมัสก์ที่บางครั้งดูหยาบกระด้างไปบ้าง กับพนักงานในบางครั้ง หลายครั้งมัสก์พยายามบอกกับสื่อว่าเขาเป็นคนออกแบบทั้งหมดของฟัลคอน 1 ซึ่งทำให้พนักงานบางส่วนไม่พอใจ

ปัญหาอีกอย่างก็คือ การที่ บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง โบอิ้ง หรือ ล็อกฮีด ต่างมอง SpaceX นั้นเป็นภัยคุกคามต่อธุรกิจของพวกเขา และที่สำคัญ SpaceXยังเป็นแขกที่ไม่เป็นที่ต้องการของฐานทัพอากาศที่ฟานเดนเบิร์ก ฐานปล่อยจรวดที่มัสก์จะใช้เป็นที่มั่นอีกด้วย

มันเป็นเรื่องที่ลำบากใจสำหรับมัสก์มาก ไม่มีใครสนับสนุนเขาเต็มที่แม้กระทั่งรัฐบาลเองก็ตาม เขากำลังพยายามทำงานที่ยากเข็ญที่สุดเท่าที่มนุษย์รู้จักให้เป็นผลสำเร็จ

มัสก์ จึงต้องหาที่ใหม่ ทีมงานเริ่มมองหาชื่อที่พวกเขารู้จักแถบเส้นศูนย์สูตร ซึ่งโลกหมุนเร็วกว่าและเสริมแรงส่งเพิ่มให้จรวดได้ ซึ่ง ชื่อที่ออกมาคือ เกาะควาเจเลน หรือ ควาจ เกาะใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะหินปะการังรูปวงแหวนระหว่างเกาะกวมกับฮาวายในมหาสมุทรแปซิฟิก

 เกาะควาเจเลน หรือ ควาจ ที่มั่นใหม่ของ SpaceX
เกาะควาเจเลน หรือ ควาจ ที่มั่นใหม่ของ SpaceX

และในที่สุด วันที่ 24 มีนาคม 2006 ระบบทั้งหมดก็พร้อม ฟัลคอน 1 ตั้งบนแท่นปล่อยสี่เหลี่ยมและติดเครื่อง มันพุ่งสูงขึ้นไปบนฟ้า เปลี่ยนเกาะควาจให้กลายเป็นจุดสีเขียวท่ามกลางพื้นที่กว้างใหญ่ของท้องทะเลสีฟ้า

จากนั้นประมาณ 25 วินาทีก็ปรากฏชัดเจนว่าทุกอย่างไปได้ไม่สวย มีไฟลุกไหม้เหนือเครื่องยนต์ แล้วจู่ ๆ เครื่องที่กำลังบินตรงก็เริ่มหมุน จากนั้นก็ตกลงมายังพื้นโลกแบบควบคุมไม่อยู่ สุดท้าย ฟัลคอน 1 ดิ่งลงมากระแทกจุดปล่อยอย่างจัง 

ปัญหาปรากฏว่า บี-นอตซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญชิ้นหนึ่งของจรวดร้าวเกือบทั้งชิ้น เพราะการกัดกร่อนจากสภาพอากาศเค็มของเกาะควาจนานหลายเดือน 

ซึ่งหลังจากนั้นเกือบหนึ่งปี SpaceX พร้อมลองปล่อยจรวดอีกครั้งในวันที่ 15 มีนาคม ปี 2007 การทดสอบติดเครื่องประสบความสำเร็จด้วยดี จากนั้นในวันที่ 21 มีนาคม ฟัลคอน 1 ก็ได้พุ่งขึ้นและมุ่งตรงสู่อวกาศจากแท่นปล่อยได้สำเร็จ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เครื่องยนต์สามารถทำงานตามที่วางแผนขึ้นสู่วงโคจรได้สำเร็จ

เหล่าวิศวกรต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ มันเป็นช่วงเวลาห้านาทีอันแสนปลื้มปิติ แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีก ขณะที่จรวดขึ้นสู่อวกาศตามแผน แต่แล้ว การส่ายไปมาจนนำมาสู่การตกอีกครั้ง เครื่องยนต์ดับวูบ เริ่มแตกเป็นชิ้น ๆ และตามมาด้วยการระเบิด อีกครั้งในที่สุด

มัสก์ไม่ยอมแพ้แม้ ฟัลคอล 1 จะล้มเหลวถึงสองครั้ง
มัสก์ไม่ยอมแพ้แม้ ฟัลคอล 1 จะล้มเหลวถึงสองครั้ง

ความล้มเหลวครั้งนี้ถือเป็นความปราชัยอีกครั้งหนึ่งของเหล่าวิศวกรของ SpaceX มันเป็นเวลาเกือบสองปีที่พวกเขาเฝ้าทุ่มเทพัฒนา มัน delayed จากเป้าหมายเดิมของมัสก์มากว่าสี่ปี และมันได้ผลาญเงินมัสก์ไปเป็นจำนวนมหาศาลแล้ว

แม้มัสก์ จะเครียดกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาก็จัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้ดีมาก เขามองโลกในแง่ดีมาก ๆ การล้มเหลว ไม่อาจบั่นทอนวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ของมัสก์ที่มีต่ออนาคตหรือสร้างความกังขาในความสามารถของเขาได้เลย แม้ตอนนี้สถานการณ์ทางด้านการเงินนั้น SpaceX มีเงินพอให้พยายามได้อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น มัสก์จะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างไร โครงการ SpaceX ความฝันอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาจะเดินไปทางไหนต่อ โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 9 : The Electric Stars

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ