ประวัติ Jho Low ตอนพิเศษ : The Fall of Najib Razak

ในช่วงปลายเดือนเมษายน ปี 2018 เป็นเวลาที่ชาวมาเลเซียรอคอย เพราะนั่นเป็นการนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งครั้งสำคัญของประเทศมาเลเซีย เหลือเพียงแค่ 11 วัน ที่จะมีการเลือกตั้งระดับประเทศครั้งสำคัญของมาเลเซีย

มันเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 14 ของประเทศมาเลเซีย ที่สถานการณ์ในตอนนั้น มีผู้สมัครจากพรรคหลัก ๆ อยู่สองพรรค คือ กลุ่มพรรคแนวร่วมรัฐบาลแห่งชาติ หรือ “BN” ที่สนับสนุน Najib Razak และ กลุ่มแนวร่วมพรรคฝ่ายค้าน “ปากาตัน ฮาราปัน” หรือ PH ที่นำโดยอดีตนายกมหาเธร์ โมฮัมหมัด

ซึ่งต้องบอกว่า พรรคแนวร่วมรัฐบาล หรือ “BN” นั้น เป็นพรรคเก่าแก่ที่นำโดย UMNO ที่มีนายกรัฐมาตรี Najib Razak เป็นแกนนำหลัก พวกเขาไม่เคยแพ้การเลือกตั้ง มาตั้งแต่มาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษ

แต่เรื่องราววุ่น ๆ ของศึกแย่งชิงอำนาจครั้งนี้มันก็เกิดขึ้นตั้งแต่ การยื่นใบสมัครเพื่อรับการเลือกตั้ง เทียน ฉัว ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำของพรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน PH ซึ่ง ถูกปฏิเสธการสมัครเข้าเลือกตั้ง เนื่องจากปัญหาด้านเอกสาร ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีการสกปรก ที่รัฐบาลที่มีอำนาจอยู่ในตอนนั้นใช้เล่นงานพรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน

และเมื่อถึง 9 วันก่อนการเลือกตั้ง ได้มีการหาเสียงไปทั่วทั้งประเทศมาเลเซีย มีการจัดเตรียมป้ายหาเสียงมากมาย ในหัวเมืองใหญ่ ๆ หลาย ๆ เมืองของมาเลเซีย แต่ดูเหมือน คณะกรรมการการเลือกตั้งของมาเลเซียนั้น จะวางตัวไม่เป็นกลาง เมื่อสั่งให้พรรคแนวร่วมฝ่ายค้านดึงป้ายหาเสียงออก โดยใช้อำนาจเพื่อสั่งการให้ทำลายป้ายหาเสียงของคู่แข่ง โดยเฉพาะป้ายที่มีรูปของอดีตนายกมหาเธร์ นั้น จะถูกกรีดนำรูปหน้าของมหาเธร์ออกไป

พรรคแนวร่วมฝ่ายค้านหาเสียงแบบเต็มที่ แม้จะถูกกีดกันใด ๆ จากอำนาจรัฐ
พรรคแนวร่วมฝ่ายค้านหาเสียงแบบเต็มที่ แม้จะถูกกีดกันใด ๆ จากอำนาจรัฐ

และการแข่งขันระหว่างทั้งสองแนวร่วมนั้น ก็ดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ เหล่าผู้นำของพรรคนั้น ต้องลงไปตามเขตเลือกตั้ง เพื่อทำการหาเสียงให้กับผู้สมัครของพวกเขา Najib Razak นั้นยังเชื่อมั่นในตัวเองว่าด้วยบุคลิกส่วนตัวของเขา จะช่วยให้ภาพลักษณ์ของพรรคดีขึ้น แม้เรื่องของ 1MDB จะฉาวโฉ่ไปทั่วโลกแล้วก็ตามที แต่เหล่าสาวกของเขา ก็ยังเชื่อมั่นในตัว Najib อยู่

ฝั่งของ มหาเธร์ นั้นก็ออกมาปราศัยเพื่อต้องการให้ประเทศเปลี่ยนแปลงเสียที โดยกล่าวหา Najib ว่าเป็นผู้นำที่ไม่ได้ต่อสู้เพื่อประเทศ เหมือนผู้นำคนอื่น ๆ ในอดีตที่ผ่านมา แต่ล้วนเป็นการต่อสู้เพื่อทรัพย์สินของตัวเองแทบจะทั้งสิ้น ซึ่งมหาเธร์ นั้นต้องการแสดงความรับผิดชอบเพราะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ Najib ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี

และเพียงแค่ 8 วันก่อนการเลือกตั้ง ทาง กกต ของมาเลเซียก็ได้ทำเรื่องเซอร์ไพรซ์อีกครั้งด้วยการประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันพุธที่ 9 พฤษภาคม ปี 2018 ซึ่งปรกติการเลือกตั้งในวันพุธมันแทบจะไม่มีประเทศไหนจัดขึ้นอยู่แล้ว เพราะเป็นวันทำงานปรกติ มันเป็นเกมการเมืองของฝ่ายมีอำนาจที่ไม่ต้องการให้คนมาลงคะแนนเสียงเยอะ ๆ ซึ่งแน่นอนว่าประชาชนชาวมาเลเซีย นั้นไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง และพวกเขาต้องทำบางอย่างเพื่อโต้ตอบ

เหล่าประชาชนชาวมาเลเซีย รู้สึกว่ากำลังถูกท้าทาย พวกเขารู้สึกโกรธแค้น การกระทำของเหล่าผู้ที่มีอำนาจ พวกเขาต้องหยุดงาน แน่นอนว่าบางคนไม่มีเงินพอที่จะกลับบ้านเพื่อไปเลือกตั้งเสียด้วยซ้ำ

ในสังคมออนไลน์ มีแต่คนก่นด่า เรื่องดังกล่าว ที่มาจัดการเลือกตั้งในวันทำงาน และเป็นวันพุธ ซึ่งไม่ใกล้กับวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ดูเหมือนว่า Najib กำลังพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อำนาจกลับมา เพราะเขารู้ว่าถ้าเขาแพ้ในรอบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างในเรื่อง 1MDB จะถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอย่างแน่นอน

ซึ่งประชาชนชาวมาเลเซีย ต้องการให้ประเทศเปลี่ยน พวกเขาจึงได้เปิดกองทุนขอรับเงินบริจาคผ่าน Social Media เพื่อไปมอบให้กับผู้ที่ขัดสน ที่จะใช้ในการเดินทางกลับบ้านเพื่อไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งครั้งนี้ให้ได้ ซึ่งเมื่อแคมเปญดังกล่าวสิ้นสุดลง การระดมทุนครั้งนี้ ช่วยให้ชาวมาเลเซีย 2,800 คนได้กลับบ้านเพื่อไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง

เทียน ฉัว หลังจากที่เขาถูกปฏิเสธลงสมัครรับการเลือกตั้งในครั้งแรก แล้วผิดหวัง เขาจึงได้ขอยื่นอุธรณ์ ต่อศาลสูงสุดของมาเลเซีย แต่ก็ถูกปฏิเสธว่าไม่ใช่เขตอำนาจของศาลที่จะตัดสินเรื่องดังกล่าว สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจที่หันไปสนับสนุนผู้สมัครจากพรรคอิสระแทนเพื่อไม่ให้คะแนนเสียงของเขานั้นตกไปอยู่กับพรรคแนวร่วมรัฐบาลแห่งชาติของ Najib Razak

แน่นอนว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเรื่องราวของ 1MDB ก็กำลังฉาวโฉ่อยู่พอดี ซึ่ง Najib นั้นได้ตั้ง Arul Kanda ขึ้นมาเป็น CEO ของกองทุน 1MDB และให้เขาช่วยทำการกลบเกลื่อนร่องรอยของกองทุน 1MDB ที่หลุดฉาวโฉ่ออกมา

ในช่วงเลือกตั้งนั้น Arul Kanda ได้เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ทั่วทั้งประเทศมาเลเซีย เพื่ออธิบายความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติหรือ 1MDB รวมถึงโจมตีพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม แต่สถานที่ส่วนใหญ่ที่ Arul Kanda ไปนั้น ต่างถูกประชาชนโห่ไล่

ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2018 สองวันก่อนการเลือกตั้ง มีการประท้วงเกิดขึ้นตามเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกที่มีประชาชนชาวมาเลเซียอาศัยอยู่ เมื่อบัตรเลือกตั้งของพวกเขายังไม่ส่งมาถึงมือ ทั้งที่การเลือกตั้งจะจัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า ซึ่งชาวมาเลเซียในต่างประเทศ กล่าวหา กกต. ว่าตั้งใจส่งบัตรเลือกตั้งล่าช้า

ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาเหล่านี้ ต่างกังวลว่า บัตรเลือกตั้งที่ได้รับล่าช้านั้น เมื่อเขาส่งบัตรกลับไปจะถึงทันเวลาหรือเปล่าเพราะเหลือเพียงแค่ 2 วันก็จะมีการเลือกตั้งครั้งใหญ่ของประเทศแล้ว

ซึ่งต้องบอกว่า การที่จะส่งคะแนนเสียงของพวกเขาให้ไปถึงได้ทันเวลานั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก ๆ ด้วยความที่ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ และประชาชนชาวมาเลเซียตระหนักถึงสิทธิ์ของพวกเขาเป็นอย่างมาก จึงไม่ได้อยากให้มีคะแนนที่เสียไปเปล่า ๆ แม้แต่คะแนนเดียว

สำหรับผู้ที่ได้รับบัตรแล้ว ก็มีบางส่วนยินดีที่จะเดินทางกลับประเทศไปเพื่อพบบรรยากาศการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ และแน่นอนว่า พวกเขายินดีที่จะพาบัตรเลือกตั้งของเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้เดินทางมาด้วยนั้น ส่งไปให้ถึงมือของกกต ให้สำเร็จ เพื่อทุกคะแนนเสียงที่มีคุณค่าของชาวมาเลเซียที่มีอยู่ทั่วโลก

ในคืนวันสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง อดีตนายกมหาเธร์ ได้ออกปราศัยครั้งสำคัญ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนชาวมาเลเซียออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เพราะเสียงทุกเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้นั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก

ฟากฝั่งของ พรรคแนวร่วมแห่งชาติ ของ Najib ก็ขึ้นเวทีปราศัยใหญ่เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกมาก ๆ ที่ สีหน้าท่าทางของ Najib นั้นดูท่าทีมีความกังวลเป็นอย่างมาก ดูเหมือน Najib นั้นจะรู้ตัวว่าความนิยมของพรรคตนนั้นเริ่มตามหลัง กลุ่มแนวร่วมพรรคฝ่ายค้านที่นำโดย อดีตนายกมหาเธร์ เสียแล้ว

ในการปราศัยครั้งสุดท้าย Najib พยายามพูดถึงนโยบาย ประชานิยมแบบสุดโต่งเพื่อหวังดึงคะแนนเสียง ไม่ว่าจะเป็น การลดภาษี การยกเลิกค่าทางด่วน และอื่น ๆ อีกมากมายที่ล้วนแล้วแต่เป็นนโยบายประชานิยม แต่กลับกัน การปราศัยครั้งสุดท้ายของอดีตนายกมหาเธร์นั้น พยายามเข้าถึงอารมณ์ของประชาชนเพื่อเอาชนะในศึกที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ให้จงได้

และในที่สุดก็มาถึงวันเลือกตั้งจริง ๆ วันที่ 9 พฤษภาคม ปี 2018 ต้องบอกว่าเป็นบรรยากาศการเลือกตั้งที่ประชาชนชาวมาเลเซียไม่เคยพบเจอมาก่อน เพราะผู้คนต่างหลั่งใหลกันมาเข้าคูหาเลือกตั้ง ในหลาย ๆ คูหานั้น ผู้คนต่อแถวยาวออกไปถึงข้างนอกถนน แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครอารมณ์เสียที่จะมารอใช้สิทธิ์การเลือกตั้งครั้งนี้เลย ทุกคนต่างมีรอยยิ้ม และมีความสุข และต่างคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้กำลังจะเปลี่ยนโชคชะตาของประเทศมาเลเซีย

ซึ่งแม้จะมีการร้องเรียนเรื่องการทุจริตเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบัตรปลอม หรือ เรื่องการสวมสิทธิ์เลือกตั้ง แต่ต้องบอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ มีคนมากมายที่มาเป็นอาสาสมัคร เพื่อสังเกตการณ์ การนับคะแนน เพราะพวกเขาต้องการให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมที่สุด และไร้ข้อครหาใด ๆ

ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีประชาชนเข้ามาใช้สิทธิ์กว่า 12 ล้านคน แม้จะเป็นการเลือกตั้งในวันทำงาน แต่ผู้คนต่างหลั่งไหลกันมาลงคะแนนกันอย่างมากมาย และนี่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศนี้

หลังจากปิดคูหาเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งก็เริ่มนับคะแนนทันที เมื่อนับคะแนนไปได้ถึงประมาณ 1 ทุ่ม ทุกอย่างมันเหมือนจะดูดีสำหรับ Najib Razak เพราะคะแนนเริ่มออกสตาร์ท แบบนำห่าง แต่พอถึง เวลา 2-3 ทุ่ม พรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน ก็เริ่มที่จะตีตื้น เอาชนะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

ประชาชนแห่กันมารวมตัวรอลุ้นผลคะแนน
ประชาชนแห่กันมารวมตัวรอลุ้นผลคะแนน

มีการสลับกับขึ้นนำอยู่ตลอดเวลาของทั้งสองฝั่ง ต้องเรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับการเลือกตั้งของมาเลเซีย ที่พรรคแนวร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรค UMNO นั้นมักจะชนะแบบขาดลอยอยู่เสมอ ต้องบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่บีบหัวใจเหล่าประชาชนชาวมาเลเซียอย่างมากในคืนนั้น

แต่หลังจากช่วง 3 ทุ่มครึ่งเป็นต้นไป พรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน ก็คะแนนทิ้งนำห่างออกไปเรื่อย ๆ ส่วนผู้สมัครอิสระที่ เทียน ฉัว ให้การสนับสนุนหลังจากที่เขาหมดสิทธิ์ลงเลือกตั้ง ก็ได้รับชัยชนะ แม้จะเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ที่เป็นเด็กหนุ่มและลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งแรกก็ตามที

ที่ทำการพรรค UMNO ใจกลางเมืองหลวงกรุงกัวลาลัมเปอร์ นั้นดูเงียบเหงา แม้จะมีผู้สนับสนุน Najib อยู่บ้าง แต่ดูเหมือนพวกเขากำลังสิ้นหวัง พวกเขาต่างเฝ้ามองดูผลคะแนนทางโทรศัพท์มือถือ ไม่มีการเฉลิมฉลองใด ๆ เพราะปรกติแล้วพรรค UMNO จะประกาศชัยชนะจากสำนักงานใหญ่ของพรรค ซึ่งดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเขาจะรู้ตัวแล้วว่ากำลังแพ้ศึกใหญ่ครั้งนี้

แต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ก็ยังคงไม่ประกาศผลออกไป และพยายามถ่วงเวลาให้มากที่สุด ซึ่งการเลือกตั้งปรกตินั้น ในช่วงเวลาประมาณ 4-5 ทุ่ม ก็จะมีการประกาศผลอย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นสิ่งที่ผิดปรกติอย่างมาก

เหล่าสมาชิกอาวุโสของพรรค UMNO เริ่มมีการไปรวมตัวกันที่บ้านพักของ Najib Razak และไม่มีใครรู้ว่าพวกเขากำลังประชุมกันเรื่องอะไร ทำให้บรรยากาศตอนนั้นมันน่าอึดอัดมาก ๆ สำหรับประชาชนชาวมาเลเซีย มีข่าวลือแพร่สะพัดว่า Najib จะให้ทหารเข้ามาจัดการไม่ให้พรรคแนวร่วมฝ่ายค้านสามารถตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ

ในช่วงดึก ทหารเริ่มออกมา และเมืองปุตราจายา ถูกปิดตาย ถนนสำคัญหลาย ๆ สายถูกปิด มีประชาชนเริ่มออกมาประท้วงให้ประกาศผลการเลือกตั้ง โดยเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน มีผู้คนเริ่มออกมาเดินขบวนประท้วงบนท้องถนนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

มันเป็นการออกมาชุมนุมกันได้ไม่ได้มีการนัดหมาย เพราะประชาชนต่างต้องการรู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้น และทำไมยังไม่มีการประกาศผลการเลือกตั้งเสียที ซึ่งเมื่อถึงตีหนึ่ง ผลการเลือกตั้งก็ยังคงไม่มีการประกาศออกมา ผู้คนก็เลยสรุปกันเองว่า ชัยชนะในวันนั้นเป็นของพรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน ของอดีตนายกมหาเธร์

ผู้คนเริ่มเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มมีรถสลายการชุมนุมของทหารเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งทหารได้สั่งให้มีการสลายการชุมนุม แต่ด้วยจำนวนประชาชนที่เข้ามามีเยอะมาก ทำให้พวกเขาไม่ได้เชื่อฟังคำสั่งของเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด

และเมื่อถึงเวลา 4:40 น. ในเช้าวันถัดไป ในที่สุด คณะกรรมการการเลือกตั้งก็ได้ออกมาประกาศผลการเลือกตั้งในที่สุด พรรคแนวร่วมฝ่ายรัฐบาล (BN) ของ Najib นั้นได้ตำแหน่งไป 79 ที่นั่ง ส่วนพรรคแนวร่วมฝ่ายค้านของมหาเธร์นั้นได้ไป 104 ที่นั่ง เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ประเทศมาเลเซีย ที่ได้รัฐบาลชุดใหม่ที่ไม่ได้มาจากการนำของพรรค UMNO

และในวันต่อมา ประชาชนชาวมาเลเซีย ต่างมารอพิธีสาบานตนต่อกษัตริย์ของมาเลเซีย เพื่อประกาศให้มีรัฐบาลชุดใหม่ในประเทศมาเลเซียอย่างเป็นทางการ แต่ดูเหมือน ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีพิธีสาบานตน ทำให้มีข่าวลือสะพัดมากมาย ว่ารัฐบาลชุดเก่ายังไม่ยอมถอย และอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ ประชาชนต่างออกมารอ และรวมกลุ่มกันทั่วทั้งเมืองหลวงของมาเลเซีย

แต่ในที่สุด เมื่อเวลา 3 ทุ่ม ของวันที่ 10 พฤษภาคม 2018 ผู้นำพรรคแนวร่วมฝ่ายค้านอย่าง มหาเธร์ โมฮัมหมัด ก็ได้เข้าสู่พิธีสาบานตน เพื่อเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศมาเลเซียอย่างเป็นทางการ และถือเป็นการปิดฉากอำนาจของ Najib Razak ที่มีมาอย่างยาวนาน พร้อมด้วยเรื่องฉาวโฉ่ที่ดังกระฉ่อนไปทั่วโลกในกองทุน 1MDB ไปได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับ

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Prologue *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

เครดิตข้อมูลจาก : iFlix Documentary (บังกิต 11 วันพลิกชาติ)

References Image : https://qz.com/1320081/ex-malaysian-prime-minister-najib-razak-arrested-in-1mdb-corruption-investigation/

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol

ประวัติ Jho Low ตอนที่ 19 : The End of The Beginning

ณ กรุง วอชิงตัน ดี.ซี ในเดือนกรกฏาคมปี 2016 อัยการสูงสุดของสหรัฐอเมริกา Loretta Lynch ก้าวขึ้นไปที่ไมโครโฟนในห้องแถลงข่าว ในห้องแถลงข่าวที่สำนักงานกระทรวงยุติธรรม ครู่หนึ่งต่อมาเธอได้ประกาศยึดทรัพย์สินครั้งที่ใหญ่ที่สุดตลอดกาลครั้งหนึ่ง ในคดีฉ้อโกงครั้งประวัติศาสตร์ในประเทศมาเลเซีย

Lynch ได้อธิบายถึงการที่รัฐบาลสหรัฐกำลังพยายามยึดทรัพย์สินมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ที่ถูกซื้อมาโดยเงินที่ขโมยจากกองทุน 1MDB ซึ่งเป็นคดีคอร์รัปชั่นที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกไว้

“กระทรวงยุติธรรมสหรัฐจะไม่อนุญาตให้ใช้ระบบการเงินอเมริกันเป็นสื่อกลางในการทุจริต” Lynch กล่าว “เหล่าผู้ที่เกี่ยวข้องและสมรู้ร่วมคิดในการโกงครั้งประวัติศาสตร์นี้ สหรัฐจะไม่หยุดยั้งในความพยายามที่จะปฏิเสธพวกเขาถึงรายได้จากอาชญากรรมของพวกที่ได้ทำมา”

นี่คือการจับกุมผู้กระทำความผิดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ทีมอัยการสูงสุดของสหรัฐ ได้ร่วมมือกับ FBI ด้วยความระมัดระวัง ในการติดตามสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้

คดีนี้มีชื่อว่า “Jho Low” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ชื่อของ Low ถูกเรียกต่อสาธารณชนโดยหน่วยงานที่บังคับใช้กฏหมาย เช่นเดียวกับ Riza Aziz , Khadem Al Qubaisi และ Mohammed Al Husseiny รวมถึง Tarek Obaid

Tim Leissner ถูกเรียกว่า “Goldman Managing Director” ซึ่งแม้จะมีการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงจาก Goldman ในธุรกิจ 1MDB แต่สุดท้าย Leissner เองก็ไม่สามารถอยู่รอดได้จากหลักฐานการสนับสนุนแบบลับ ๆ ให้กับ Low ในการเปิดบัญชีในลักเซมเบิร์ก ซึ่งสุดท้ายเขาก็ได้ลาออกจากธนาคารในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2016

ในช่วงต้นปี 2017 สิงค์โปร์ได้สั่งห้าม Leissner จากอุตสาหกรรมการเงินเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับหน่วยงานกำกับดูแลอุตสหกรรมการเงิน (Financial Industry Regulatory Authority) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสหรัฐอเมริกาได้ห้ามเขาจากอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ของอเมริกา หลังจากที่เขาไม่ตอบสนองต่อการร้องขอเอกสารและข้อมูลอื่น ๆ อันเนื่องจากการที่เขาได้ลาออกจาก Goldman ไปแล้ว

ส่วนสิ่งทีน่าตกใจก็คือ นายกรัฐมนตรี Najib Razak ที่ถูกขนานนามว่า “Malaysian Official 1” ซึ่งในคดีที่อธิบายว่าเขาเป็นญาติของ Riza Aziz และดำรงตำแหน่งผู้มีอำนาจสูงสุดใน 1MDB และต่อมาภายหลังได้เพิ่ม Rosmah ภรรยาของ Najib เข้าไปในคดีเพิ่มเติมโดยถูกเรียกว่า “ภรรยาของ Malaysian Official 1”

ซึ่งการพาดพิงเรื่องดังกล่าวนั้น ทำให้ Najib ถึงกับตกใจกับสิ่งที่สหรัฐกำลังดำเนินการ นี่เป็นคดีแพ่งที่กำลังจะยึดทรัพย์สินของพวกเขา ส่วนตัวของ Jho Low เองนั้น ก็ได้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปที่อเมริกาทันที รวมถึงตัว Najib เองที่ได้ส่งผู้ช่วยรองนายกไปยังสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่นิวยอร์กในปีนั้นแทนตัวเขา

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้กล่าวว่า เงินจำนวนอย่างน้อย 3.5 พันล้านดอลลาร์ ได้หายไป และจากการประเมินนั้นพบว่าเงินอีกอย่างน้อย 1 พันล้านดอลลาร์ นั้นได้หายไปภายใน 1 ปีหลังจากนั้น ซึ่งนั่นรวมถึง อสังหาริมทรัพย์ทั้งใน ลอสแองเจลลิส นิวยอร์ก และ ลอนดอนที่ Low ได้ซื้อไว้และโอนไปยัง Riza Aziz ลูกเลี้ยงของ Najib นั่นเอง

ทางการสหรัฐได้ยื่นฟ้องร้องคดีแพ่งเพิ่มเติมจำนวนมาก โดยมีเป้าหมายที่รายการทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากบริษัทผลิตภาพยตร์ Granite บ้านหลังงามมูลค่า 8 ล้านดอลลาร์ ที่ Low มอบให้นางแบบสาว Miranda Kerr รวมถึงงานศิลปะมูลค่ากว่า 13 ล้านดอลลาร์ ที่ Low มอบให้กับ Leonardo DiCaprio

แน่นอนว่า Jho Low เป็นจุดศูนย์กลางสำคัญของการสอบสวนเรื่องราวทั้งหมด แม้มันจะไม่ชัดเจนว่าคนอื่น ๆ จะเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น Riza Aziz , Al Qubaisi , Al Husseiny , Jasmine Loo ที่ปรึกษากฏหมาย แต่พวกเขาเหล่านี้ก็ถือเป็นเป้าหมายในการดำเนินการสอบสวนทางคดีอาญา

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ยังคงพิจารณาถึงบทบาทของ Leissner ต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งหมด แต่ต้องบอกว่า ในรอบเกือบทศวรรษนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์ทางการเงิน Hamburger Crisis ในปี 2008 นั้น มีพนักงานจาก Wall Street เพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่ถูกจองจำในคุก ส่วนที่เหลือก็รอดไปได้อีกตามเคย แม้จะทำให้เศรษฐกิจล่มสลาย ทำให้คนหลายล้านคนต้องตกงาน แต่เหล่านายธนาคารจาก Wall Street ก็แทบจะไม่ได้รับผลกรรมใด ๆ จากสิ่งที่พวกเขาสร้างมันขึ้นมา

วิกฤติการเงินในปี 2008 สุดท้ายเหล่านักการเงินใน Wall Street ก็รอดตัวอยู่ดี
วิกฤติการเงินในปี 2008 สุดท้ายเหล่านักการเงินใน Wall Street ก็รอดตัวอยู่ดี

ในวันที่ 27 มีนาคม ปี 2016 Yeo Jiawei พ่อมดทางการเงิน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกลไกทางการเงินที่ซับซ้อน และเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่สำคัญของ Low ที่ถูกทางการสิงคโปร์เฝ้าติดตามการกระทำต่าง ๆ ของเขา ซึ่งเขาพยายามปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับเรื่องราวทั้งหมดนี้ แต่ดูเหมือนสุดท้าย เขาก็ต้องลงเอยที่คุก เช่นเดียวกัน

เช่นเดียวกับในสหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ได้ทำการเข้ายึดทรัพย์สินกว่า 177 ล้านดอลลาร์ ในบัญชีของ Jho Low และครอบครัวของเขา ทางการสิงคโปร์ได้ทำการเพิกถอนใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจธนาคารของ BSI เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ทศวรรษ ที่ประเทศสิงคโปร์ที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินของเอเชียมีการสั่งปิดธนาคาร

ส่วน Yak Yew Chee นายธนาคารส่วนตัวของครอบครัว Low นั้น หลังจากให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ก็ถูกตัดสินให้จำคุก 18 สัปดาห์ หลังจากมีการสารภาพว่าได้ทำการปลอมแปลงรายงานธุรกรรมที่มีความน่าสงสัย เขาได้รับเงินค่าส่วนแบ่งจากการยักยอกครั้งประวัติศาสตร์นี้ เพียงไม่กี่ล้านดอลลาร์เท่านั้น

สำนักงานอัยการสูงสุดของสวิตเซอร์แลนด์ ได้ทำการเปิดการสอบสวนทางอาญาในเรื่อง 1MDB โดยมุ่งเน้นไปที่บทบาทของ Low และ Qubaisi รวมถึงการสั่งปรับธนาคาร BSI กว่า 95 ล้านฟรังก์สวิส จากผลกำไรที่ได้มาซึ่งมิชอบ และหลังจากเปิดทำการมาเป็นเวลา 143 ปี ในที่สุด BSI ก็ปิดกิจการลงในปี 2017 โดยทรัพย์สินของ BSI ถูกโอนย้ายไปยังธนาคารสวิสอีกแห่งหนึ่ง ภายใต้คำสั่งจากทางการในที่สุด

ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2016 ตำรวจของอาบูดาบี ได้ทำการเข้าจับกุม Khadem Al Qubaisi ต้องบอกว่ามันเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในอ่าวเอมิเรตส์ สถานที่ที่การจัดการเรื่องที่สกปรก หรือทุจริตของชนชั้นสูงนั้นมักไม่ค่อยได้รับการเปิดเผย

แต่บทบาทของ Al Qubaisi ในเรื่องอื้อฉาวใน 1MDB นั้น ได้ถูกเปิดเผยให้โลกเห็นถึงความน่าอับอายมาสู่อาบูดาบี แม้เขาจะถูกไล่ออกจาก IPIC ไปตั้งแต่ปี 2015 แล้วก็ตาม แต่การถูกจับกุมถือเป็นเรื่องใหญ่มากในดินแดนแถบนี้

เจ้าหน้าที่จากอาบูดาบี และ 1MDB ยังคงเจรจาต่อรองว่าจะแยกแยะปัญหาหนี้สินที่เกิดขึ้นอย่างไร ความหวังจากจีนก็ช่วยได้ไม่มากนัก เมื่อประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ปฏิเสธที่จะลงนามในข้อตกลงบางส่วน เพราะไม่ต้องการมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ แม้จะช่วยให้มาเลเซียใกล้ชิดกับจีนมากยิ่งขึ้นก็ตาม

ถึงตอนนี้ ผู้ปกครองอาบูดาบีต้องการให้ความอับอายครั้งนี้จบลงโดยเร็วที่สุด IPIC ใช้เงินสำรอง 3.5 พันล้านดอลลาร์จ่ายออกไปโดยไม่ได้หวังว่า 1MDB นั้นจะสามารถชำระคืนหนี้ให้พวกเขาได้อีกแล้ว และมันได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ด่างพร้อยของกองทุนที่ดำเนินมากว่า 32 ปี ของมูลค่ากองทุนกว่า 70,000 ดอลลาร์ โดยชายสุดแสบที่ชื่อ Jho Low

ความพยายามของ Low ในการปกปิดขั้นตอนการทุจริตใน PetroSadui นั้นก็ล้มเหลวเช่นเดียวกัน ในเดือนพฤศจิกายนปี 2017 เจ้าชาย Turki ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทได้ถูกกักตัว หลังจากการขึ้นสู่อำนาจของผู้ปกครองคนใหม่ของซาอุดิอารเบีย ซึ่งการถูกริดรอนอำนาจของเจ้าชาย Turki เป็นการทำลายโอกาสที่จะกู้ชื่องเสียงกลับมาของ Low จนหมดสิ้นไปในที่สุด

ซึ่งในท้ายที่สุดเขาก็ทำได้เพียงแค่หนี และ พยายามหอบเงินส่วนที่เหลือออกไปได้ให้มากที่สุด และหนีไปใช้ชีวิต โดยไม่มีโอกาสได้ออกมาพบปะผู้คนในโลกภายนอกอีกต่อไปนั่นเอง เขาต้องลืมชีวิตมหาเศรษฐีที่เขาใช้มาหลายปี และเสพมันเหมือนยาเสพติด จนแยกไม่ออกระหว่างโลกแห่งความจริง และเรื่องราวโกหกที่เขาสร้างขึ้นมา

ส่วนนายรัฐมนตรี Najib เขาเริ่มทำราวกับว่า 1MDB นั้นไม่เคยมีอยู่จริง เขายกเลิกคณะกรรมการกองทุน และให้กระทรวงการคลังที่เขาเป็นหัวหน้ามาดูแลแทน ค่าใช้จ่ายของการทุจริตเหล่านี้นั้นส่งผลกระทบต่อประชาชนของประเทศมาเลเซียอีกหลายรุ่น

สุดท้ายเรื่องราวทั้งหมดก็กระทบกับประชาชนชาวมาเลเซียไปอีกหลายรุ่น
สุดท้ายเรื่องราวทั้งหมดก็กระทบกับประชาชนชาวมาเลเซียไปอีกหลายรุ่น

Moody’s ประเมินว่า รัฐบาลมาเลเซียต้องชำระหนี้กองทุนประมาณ 7.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเทียบเท่า 2.5% ของ GDP ประเทศมาเลเซีย นักลงทุนต่างชาติกังวัลกับเรื่องอื้อฉาว ส่งผลให้เงินริงกิตในประเทศมีมูลค่าลดลง 30% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในเวลาเพียงไม่กี่เดือน

หนี้ของกองทุนกว่าครึ่งนั้นอยู่ในรูปแบบเงินดอลลาร์ ซึ่งเงินริงกิตที่อ่อนกว่านั้นทำให้มีค่าใช้จ่ายมากขึ้นในการชำระหนี้เหล่านี้ แทนที่กองทุนอย่าง 1MDB นั้นจะสร้างงานใหม่ให้กับประชาชนชาวมาเลเซีย แต่มันกลับกลายเป็นภาระทางการเงินให้กับประเทศในอีกหลายสิบปีข้างหน้า ซึ่งสุดท้ายหนี้สินเหล่านี้ที่มาจากกองทุน 1MDB นั้น ก็จะกลายเป็นระเบิดเวลา ที่กำลังจะมาถึง และคอยกัดกร่อนทำลาย อนานคตของประชาชนชาวมาเลเซีย ในภายภาคหน้านั่นเองครับ

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวของ Jho Low จาก Blog Series ชุดนี้

ต้องบอกว่ามาเลเซียนั้นเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าอิจฉา ที่มีอาณาเขตติดกับเรา ที่เขาสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ยกระดับคุณภาพเศรษฐกิจ ให้ก้าวหน้าแซงประเทศไทย ไปได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

แน่นอนว่าปัจจัยสำคัญ คือการมีพรรคการเมืองที่เข้มแข็งอย่างพรรค UMNO และได้ผู้นำที่มีประสิทธิภาพมาตั้งแต่ยุคก่อตั้งประเทศ ทำให้พวกเขาสามารถที่จะพัฒนาบ้านเมืองให้ก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว และ การเมืองที่นิ่ง และมีเสถียรภาพ ทำให้พวกเขาไม่มีอุปสรรคใด ๆ เลยในการพัฒนาประเทศ ซึ่งตรงข้ามกับประเทศไทยเราที่มีปัญหาอุปสรรคทางการเมืองมาตลอดทศวรรษหลัง

แต่การเข้ามาของชายที่ชื่อ Jho Low มันทำให้มาเลเซียเปลียนไปได้ถึงขนาดนี้ ต้องบอกว่าเขาเป็นคนที่น่าทึ่ง ถ้านับความสามารถที่เขาสามารถทำการใหญ่ได้ถึงเพียงนี้ ด้วยตัวละครเพียงไม่กี่คน แต่สามารถสร้างประวัติศาสตร์การโกง ยักยอก ทรัพย์ของประเทศได้มากมายมหาศาลถึงเพียงนี้

Connection เป็นสิ่งสำคัญอย่างแรกที่เราได้เรียนรู้จาก Low เขาอาศัย Connection ที่เขาสร้างมาตั้งแต่เยาว์วัย ทำสิ่งที่เหลือเชื่อได้ ผ่านความสามารถและวาทะศิลป์ของเขาที่ทำให้คนที่เกี่ยวข้องต่างหลงเชื่อในคารมของเขา โดยคนเหล่านี้เป็นคนระดับมหาเศรษฐี หรือนักการเงินระดับท็อปของโลกแทบจะทั้งสิ้น

อีกส่วนหนึ่ง เราได้เห็นถึงด้านมืดของโลกการเงิน ความซับซ้อนของกลไกทางเงินที่เหล่า มหาเศรษฐี หรือ ผู้ที่ทำธุรกิจผิดกฏหมายใช้ในการฟอกเงินกัน และเราจะเห็นได้ว่ามันมีอยู่จริง และมันอยู่ในทั่วทุกมุมโลก ที่มีบริการเหล่านี้ให้ใช้ได้เหมือนกับมันเป็นสิ่งถูกต้อง

ซึ่งแน่นอนว่าโลกทุนนิยม ผลประโยชน์แอบแฝงต่าง ๆ ทั้งที่ถูกต้อง และไม่ถูกต้องนั้น เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ในการผลักดันเรื่องราวต่าง ๆ ตามที่เราได้เห็นใน Blog Series ชุดนี้ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เหล่า ธนาคารระดับโลก หรือ สถาบันการเงินระดับโลกเหล่านี้ ทำเรื่องราวเหล่านี้เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ที่ได้รับ ที่มันดูล่อตาล่อใจ และให้ผลตอบแทนที่มหาศาล

เพราฉะนั้น มันไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมเรายังเห็นแชร์ลูกโซ่ หรือ การหลอกการลงทุนต่าง ๆ ที่มาถึงประชาชนทั่วไป และพวกเขาเชื่อว่ามันสามารถทำได้จริง เพราะขนาดกองทุนระดับโลก หลายพันล้าน หลายหมื่นล้าน ที่เราได้เห็นใน Blog Series ชุดนี้ยังเห็นถึงความโลภ โดยไม่ได้วิเคราะห์ถึงพื้นฐานทางธุรกิจ และผลตอบแทนจากการลงทุนที่แท้จริงเสียด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะกระโจนเข้าหาโอกาสเหล่านี้ทันที เพราะผลประโยชน์ล้วน ๆ ทั้งบนโต๊ะ หรือ ใต้โต๊ะที่ได้รับจากตัว Jho Low นั่นเอง

สุดท้าย มันคือเรื่องราวของผลประโยชน์ มันคือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันของ สถาบัน กองทุน หรือ หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่กำลังแสวงหาวิธีการที่จะได้รับผลประโยชน์ที่สูงที่สุดจากโลกทุนนิยม ซึ่ง ชายที่ชื่อ Jho Low นั้นมองเห็นถึงช่องโหว่ตรงนี้ และเขาก็เป็นคนฉลาดพอที่จะทำให้โอกาสเหล่านี้ มาสร้างประโยชน์ให้กับตัวเขาและผู้ที่เกี่ยวข้องของเขาได้นั่นเอง

แต่ท้ายที่สุด ความจริงทุกอย่างมันก็ต้องปรากฏ เหมือนหลาย ๆ กรณีที่เกิดขึ้นบนโลกของเรา มันคือ รูปแบบ pattern เดิม ๆ แค่เปลี่ยนตัวละครตัวใหม่ เปลี่ยนสถานที่ ซึ่งโลกเรานั้นไม่เคยเรียนรู้ จากข้อผิดพลาดในอดีตที่ผ่านมาเลย และสุดท้าย เรื่องราวเหล่านนี้ ที่เกิดขึ้นเหมือนที่ Jho Low ทำมันก็คงจะเกิดขึ้นอีก ไม่ที่ใดก็ที่หนึ่งในโลกนี้ ในอนาคตอย่างแน่นอนครับผม

–> อ่านตอนพิเศษ : The Fall of Najib Razak

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Prologue *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

Image References : https://today.line.me/id/pc/article/Cypriot+bishop+denies+pushing+for+Jho+Low+to+get+EU+passport-99758E

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

ประวัติ Jho Low ตอนที่ 17 : The Empire Strikes Back

ในบ่ายวันที่อากาศร้อนอบอ้าวในช่วงปลายเดือนมิถุนายน Xavier Justo ในขณะที่กำลังผ่อนคลายอยู่ที่วิลล่าของเขาบนเกาะสมุยในประเทศไทย ทันใดนั้น ตำรวจไทยที่ติดอาวุธครบมือ ได้บุกเข้ามา แล้วทำการเข้าชาร์จเขาอย่างรวดเร็ว และมัดมือของเขาแน่น ตำรวจได้ทำการบุกค้นสำนักงานและนำเอาคอมพิวเตอร์และเอกสารอื่น ๆ และพาตัวเขาบินมากรุงเทพแบบทันที

เขาถูกกล่าวหาในคดีพยายามแบล็กเมล์ และ ขู่กรรโชกทรัพย์ โดยเมื่อเขาได้เดินทางมาที่เรือนจำในกรุงเทพ ก็มีเพื่อนอดีตนักสืบตำรวจชาวอังกฤษ Paul Finnigan ได้เข้ามาเยี่ยม โดยทาง Finnigan ได้เสนอข้อตกลงกับ Justo ให้สารภาพผิด และเขาจะช่วยเหลือให้ออกจากคุกได้ก่อนวันคริสต์มาส

ดูเหมือนทางฝั่ง PetroSaudi นั้นจะเกรงกลัวข้อมูลเหล่านี้ที่จะหลุดออกไป จึงได้ส่งทั้ง Finnigan รวมถึง Mahony มาเสนอข้อตกลงกับ Justo ซึ่งแน่นอนว่าในสภาพตอนนั้น เขาก็ต้องยอมเซ็น “รับสารภาพ” ซึ่งเขาได้ขอโทษ PetroSadui ที่ขโมยเอกสารต่าง ๆ จาก Server ออกมา

เรียกได้ว่าเป็นการร่วมมือกับของทั้ง Najib และ PetroSaudi ที่จะผลักเรื่องราวต่าง ๆ ออกไป และลดความน่าเชื่อถือของ Justo และพยายามลดทอนความหนักแน่นของหลักฐาน email ต่าง ๆ ที่ Justo ได้รับมา

“เราตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมที่น่าเศร้า และโดนใส่ร้ายจากพรรคการเมืองฝ่ายค้านของมาเลเซีย” PetroSaudi กล่าวในแถลงการณ์

วันรุ่งขึ้นหลังจากการจับกุม New Straits Times หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่สนิทสนมกับ Najib ได้ตีพิมพ์บทความ ที่อ้างถึงบริษัท Protection Group International ซึ่งเป็นบริษัท ที่ทำธุรกิจการรักษาความปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ ที่ได้กล่าวอ้างถึง หลักฐาน email ที่รั่วไหลออกมานั้น มีการปลอมแปลม ซึ่งเป็นหลักฐานที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ

ซึ่งหลังจาก มีการตีพิมพ์เรื่องดังกล่าว Low ก็ได้ส่งต่อเรื่องราวนี้ไปยัง Al Mubarak พันธมิตรของเขาที่ Mubadala อย่างรวดเร็ว เพื่อหลอกพันธมิตรของพวกเขาในอาบูดาบีให้เข้าใจว่า email ที่หลุดออกมาของ PetroSaudi นั้นเป็นของปลอม

Nabji Razak ก็ได้เล่นบทโหดสอดรับทันที ด้วยการไล่รองนายกรัฐมนตรี Muhyiddin และสมาชิกคณะรัฐมนตรีอีกสี่คนออกทันที และได้ทำการระงับการไต่สวนของคณะกรรมการในเรื่อง 1MDB รวมถึงพยายามปฏิเสธเหล่านักวิจารณ์คนอื่น ๆ รวมถึงสื่อต่าง ๆ ที่กำลังใส่ร้ายเขา และสั่งให้กระทรวงมหาดไทย ระงับใบอนุญาต สื่อ The Edge เป็นเวลา 3 เดือน โดยอ้างว่ารายงานเรื่อง 1MDB ของ Edge นั้นอาจนำไปสู่ความขัดแย้งขอบคนในประเทศ

แต่นอกประเทศนั้นเขาไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่อในเดือนสิงหาคม อัยการสูงสุดของสวิตเซอร์แลนด์ ได้ประกาศว่าจะทำการสอบสวนทางอาญาเกี่ยวกับธุรกรรมของ 1MDB และทำการระงับบัญชีหลายบัญชีที่เกี่ยวข้องที่มีมูลค่าหลายสิบล้านดอลลาร์ ซึ่งเมื่อบัญชีจำนวนมากทั้งในสิงคโปร์ และ สวิตเซอร์แลนด์ของ Low ถูกปิดลง เขาจึงได้ทำการเคลื่อนย้ายเงินไปยังที่ที่ไกลที่สุด ทำให้เขาเริ่มต้องพึ่งพาเงินบาทของไทย หรือ ธุรกรรมในเงินหยวนของจีนเพิ่มมากขึ้น

เริ่มมีการประท้วงในเมืองหลวง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ของประเทศมาเลเซีย เมื่อชาวมาเลเซียกว่า 1 แสนคน ส่วนใหญ่เป็นหนุ่มสาววัยทำงาน ต่างพากันเดินขบวนล้อมรอบเมืองหลวง และสวมเสื้อยืดสีเหลืองที่มีสโลแกน “Bersih” ซึ่งมีความหมายว่า “สะอาด”

ประชาชนเริ่มออกมาประท้วงใจกลางเมืองหลวงของมาเลเซีย
ประชาชนเริ่มออกมาประท้วงใจกลางเมืองหลวงของมาเลเซีย

แม้กระทั่งอดีตนายกรัฐมนตรี มหาเธร์ ผู้ยังมีอำนาจบางส่วนอยู่ในพรรค UMNO ก็สวมชุดซาฟารีเข้าร่วมการชุมนุมด้วย โดยเรียกร้องให้ Najib ลงจากตำแหน่งโดยเร็วที่สุด เหล่าผู้ประท้วง ต่างมีความกลัวว่า หนี้สินก้อนใหญ่ที่ 1MDB สร้างขึ้นนั้น จะส่งผลกระทบต่อมาเลเซียเป็นเวลาไปอีกหลายปี

แต่ Najib ก็ยังสู้ไม่ถอย เพราะเขามั่นใจในความบริสุทธิของตัวเอง Kevin Morais หนึ่งในคณะกรรมการต่อต้านการทุจริจของมาเลเซีย ที่เขามาเกี่ยวข้องกับคดีที่เกิดขึ้นกับ Najib เพราะเป็นคนตรวจสอบโดยตรงของเส้นทางการเงินจาก 1MDB ไปยังบัญชีของ Najib และเป็นหนึ่งในผู้ที่ร่างข้อกล่าวหาทางอาญาต่อนายกรัฐมนตรี

ซึ่งในสถานะดังกล่าว เขารู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะ Najib นั้นยังอยู่ในอำนาจ และมีอำนาจมากกว่าที่หลายคนคิด ซึ่งเพียงไม่นาน Najib ได้ทำการไล่อัยการสูงสุดของประเทศ Patail ออกจากตำแหน่ง ตำรวจได้เข้าจับกุมเจ้าหน้าที่สองคนจากคณะกรรมการและอัยการจากสำนักงานอัยการสูงสุด และตำรวจได้ออกหมายจับ Rewcastle-Brown แต่เธอปลอดภัยเนื่องจากหนีไปลี้ภัยอยู่ที่ สหราชอาณาจักร

และ Morais นั้นได้กลายเป็นเป้าที่ถูกโจมตี ซึ่งเขาได้ถูกสังหารโหดในท้ายที่่สุด ด้วยการถูกมัดศพลงกระสอบ และนำไปใส่ถังน้ำมันและเติมด้วยคอนกรีตเหลวก่อนถูกทิ้งในที่รกร้างว่างเปล่า ซึ่งรถยนต์ที่ Morais ขับมานั้น ก็โดนจุดไฟเผาทิ้ง ก่อนจะถูกนำไปทิ้งในสวนปาล์ม

เรียกได้ว่า การลอบสังหารครั้งนี้อย่างฉับพลันของเหยื่อที่เป็นคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตของมาเลเซีย ทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตในครั้งนี้เริ่มกลัว และไม่กล้าที่จะทำการตรวจสอบ เพราะกลัวจะลงเอยแบบ Morais

แต่ถึงแม้ว่าภายในมาเลเซียนั้น Najib จะกุมอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ในต่างประเทศนั้นมันเป็นอะไรที่เขาควบคุมไม่ได้เลย แม้ฝ่ายบริหารของ Najib นั้นมีความมั่นใจส่วนตัวว่าชาติตะวันตกจะไม่ดำเนินการสอบสวนในเรื่อง 1MDB เนื่องจากการเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของ Najib กับประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในยุคของประธานาธิบดี โอบามา

แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็ได้เริ่มเห็นร่องรอยของการสอบสวนที่มาจากองค์กรที่ยิ่งใหญ่ของอเมริกาอย่าง FBI แม้ความพยายามของ Najib นั้น ได้สั่งให้ทีมงานและทนายของเขาไม่ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างประเทศ และทำให้ชาวต่างชาติไม่สามารถเข้าถึงเอกสารสำคัญของธนาคารในมาเลเซียได้

ตัว Najib เองได้เตรียมตั้งป้อมปราการเพื่อตอบโต้กลับสื่อที่คอยจ้องทำลายเขา กองทุน 1MDB ที่นำโดย Arul Kanda ที่กลายมาเป็นขุนพลคู่ใจคนใหม่ของ Najib ในการตอบโต้ประเด็นดังกล่าว Arul Kanda นั้นมีฝีปากระดับเทพ เพราะเป็นอดีตแชมป์การโต้วาทีระดับมัธยมปลายมาก่อน และได้ออกมากล่าวหาหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ที่กำลังขุดคุ้ยเรื่องนี้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการสมคบคิดทางการเมืองเพื่อล้ม Najib

Paul Stadlen ชายหนุ่มชาวอังกฤษที่เป็นทีมงานของ Najib ก็ออกมาตอบโต้สื่อจากฝั่งตะวันตกเช่นเดียวกัน

“WSJ ยังคงรายงานการโกหกโดยไม่ระบุชื่อที่เป็นข้อเท็จจริง” เขากล่าว “เป็นสิ่งที่น่าอับอายต่อวงการสื่อสารมวลชน”

แม้จะมีการรายงานเรื่องราวเกี่ยวกับกองทุน 1MDB ที่มาจาก Sarawak Report อย่างต่อเนื่อง และพยายามเชื่อมโยงกับ Najib , Rosmah และ Al Qubaisi ในรายงานของ Sarawak Report พยายามแสดงให้เห็นว่า Najib เป็นคนตัดสินใจทุกอย่างของ 1MDB ส่วน Jho Low นั้นเป็นเพียงคนที่อยู่เบื้องหลัง และพยายามซ่อนตัวเพื่อปกปิดตัวตนไม่ให้เชื่อมโยงมาที่เขา

FBI ของสหรัฐเริ่มเข้ามาสืบสวนสอบสวนประเด็นดังกล่าว
FBI ของสหรัฐเริ่มเข้ามาสืบสวนสอบสวนประเด็นดังกล่าว

ซึ่งรวมถึงการรายงานจาก Wall Street Journal (WSJ) สื่อชื่อดังจากฝั่งตะวันตกเช่นเดียวกัน และมันทำให้ Tom Wright ที่เดินทางมาทำข่าวที่ประเทศมาเลเซียซึ่งเดินทางมาพักที่โรงแรม แชงกรีล่าในใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ นั้นต้องหนีหัวซุกหัวซุน

ตำรวจได้บุกจับกุมตัว Wright ถึงโรงแรม แต่โชคดีที่เขาได้ข่าวจากเพื่อร่วมงานก่อนทำให้สามารถหนีออกไปได้ทัน โดยเดินทางข้ามประเทศไปยังชายแดนทางด้านสิงค์โปร์แทน

ไม่นานหลังจากนั้น WSJ ก็ได้รายงานว่า FBI ของสหรัฐได้ตรวจสอบอย่างเป็นทางการในเรื่อง 1MDB และ Najib Razak และในไม่ช้า Mahony ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่สุด จะได้รับหมายศาลจากสหรัฐเพื่อมาให้การเป็นพยาน มัดตัว Najib

Najib เตรียมตอบโต้กลับ ด้วยการจ้าง Boies, Schiller & Flexner ซึ่งร่วมก่อตั้งโดย David Boies ซึ่งเป็นทนายความชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงเพื่อเป็นตัวแทนของพวกเขา โดยทางบริษัทได้ส่งนักกฏหมายมือดีอย่าง Matthew Schwartz ให้กับลูกค้ารายใหม่ของเขา

ต้องบอกว่า Schwartz นั้นเป็นคนที่รู้เรื่องราวของอาชญกรรมทางการเงินเป็นอย่างดี ซึ่งอดีตเคยเป็นทีมงานด้านกฏหมายคนสำคัญที่ประสบความสำเร็จในคดีประวัติศาสตร์ของ Bernie Madoff

มาถึงตอนนี้เราจะเห็นได้ถึง การกุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จของ Najib Razak และเขาก็ไม่ยอมที่จะถูกกล่าวหาเพียงฝ่ายเดียว และพร้อมที่จะใช้อำนาจที่มีของเขานั้นทำลายศัตรูในทุกวิถีทาง ซึ่งเดิมพันของเขาในเรื่องนี้นั้นยิ่งใหญ่นัก และเรื่องราว ๆ ต่าง มันเริ่มเดินทางมาไกลเกินกว่าที่เขาจะยอมถอยได้แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นต่อกับเรื่องราวทั้งหมดของ 1MDB , Najib Razak และ Jho Low โปรดอย่าพลาดติดตามต่อตอนหน้าครับผม

–> อ่านตอนที่ 18 : The Dragon Power

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Prologue *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Jho Low ตอนที่ 16 : Butterfly Effect

ในเดือนมกราคมปี 2015 Ho Kay Tat ก้าวเข้าสู่ห้องโถงที่มีแดดส่องสว่างของโรงแรม Fullerton ในประเทศสิงค์โปร์ พร้อมกับหัวหน้าของเขา Tong Kooi Ong ประธานของกลุ่ม Edge Media Group มันเป็นสถานที่นัดพบครั้งสำคัญสำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลสุด Exclusive ของ PetroSaudi

เมื่อชายทั้งคู่เข้าไปยัง โรงแรม Fullerton ก็ได้เข้าไปพบกับ Rewcastle-Brown ที่รออยู่ที่บริเวณเลาจ์ของโรงแรมอยู่ก่อนแล้ว เธอได้บรรยายสรุปข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลจาก PetroSaudi ที่แสดงความเชื่อมโยงกับการยักยอกเงินครั้งใหญ่จากกองทุน 1MDB

เมื่อ Rewcastle-Brown ได้พาทั้งคู่ไปพบกับ Xavier Justo ที่กำลังอยู่บนเก้าอี้แสนสบายตัวหนึ่งภายในโรงแรม ซึ่ง Justo ได้ทำการแสดงตัวอย่างของ email จาก PetroSaudi ที่เขาต้องการเรียกร้องเงินจำนวน 2 ล้านดอลลาร์

ก่อนหน้านี้ ที่ Rewcastle-Brown ได้พบกับ Justo ครั้งแรก แต่เธอไม่สามารถหาเงินที่จะมาซื้อข้อมูลดังกล่าวได้ แต่เธอก็ได้ตามหาคนที่พร้อมจะจ่ายสำหรับข้อมูลเหล่านี้แล้วในตอนนี้ Tong ประธานของ Edge Media Group ในฐานะเจ้าของหนังสือพิมพ์ธุรกิจอิสระรายเดียวของมาเลเซีย ต้องการที่จะได้ข้อมูลดังกล่าว ซึ่งเขาตกลงที่จะเดินทางมาพบกับ Justo และได้นำผู้เชี่ยวชาญด้าน IT สองคนมาเพื่อตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว

เหล่าผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงในการกลั่นกรอง email และเอกสารต่าง ๆ โดยพยายามหาหลักฐานการปลอมแปลง โดยดูจาก Meta-Data ที่ซ่อนอยู่ในไฟล์ เพื่อตรวจสอบว่ามีใครทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในเอกสารเหล่านี้หรือไม่

เหล่าผู้เชี่ยวชาญ ก็ใช้เวลาเพียงไม่นานสรุปได้ว่า ไฟล์ดังกล่าวไม่ได้ถูกดัดแปลง มันเป็นของจริง 100% จากนั้น Justo ได้คุยถึงวิธีการจ่ายเงิน ซึ่งตัวเขาเองไม่ต้องการเงินสด เพราะกังวลว่าการโอนเงินจำนวนมากเข้าบัญชีอาจทำให้เกิดความยุ่งยาก โดยเขาตกลงที่จะหาวิธีการรับเงินในภายหลัง และส่งมอบฮาร์ดดิสก์ให้ก่อน

และในช่วงเวลาเดียวกัน ข่าวเริ่มแพร่สะพัดออกไปทั่วโลก หนังสือพิมพ์ The Time ของอเมริกาที่เป็นสื่อยักษ์ใหญ่ก็เริ่มประโคมข่าวฉาวเรื่องนี้ของ Najib , Low และ กองทุน 1MDB

ซึ่งมันเป็นสื่อที่ Najib นั้นไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย แม้จะมีคำแถลงจากสำนักงานของนายกรัฐมนตรีออกมาปฏิเสธในเรื่องดังกล่าว แต่มันได้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับพี่น้องสี่คนของ Najib ที่หลายปีที่ผ่านมาได้บ่นกับครอบครัวเกี่ยวกับการใช้จ่ายอย่างบ้าคลั่งของ Rosmar ภรรยาของ Najib ซึ่งมันทำให้ชื่อเสียงของครอบครัวพวกเขาย่ำแย่

Time สื่อยักษ์ใหญ่ของอเมริกาเริ่มมาเล่นประเด็นดังกล่าว
Time สื่อยักษ์ใหญ่ของอเมริกาเริ่มมาเล่นประเด็นดังกล่าว

ในช่วงต้นเดือน มีนาคม ปี 2015 Rewcastle-Brow ก็พร้อมที่จะเผยแพร่ข้อมูลที่ได้รับมาจาก Justo หลังจากมีความสงสัยอยู่หลายปีเกี่ยวกับ 1MDB ตอนนี้เธอมีหลักฐานพร้อมทุกอย่างที่จะประจานสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว

เธอได้ทำการโพสต์ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่มีการพาดหัวว่า “Heist of the Century” โดยย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรกของการลงทุนของ 1MDB หลักฐานต่าง ๆ ที่ได้รับจาก Justo นั้นแสดงให้เห็นว่า Low ได้รับเงินจาก 1MDB ผ่านบริษัท เชลล์ของเขาอย่าง Good Star ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่มีการเปิดเผยหลักฐานว่า Low ได้รับเงินจากกองทุนของชาติในปี 2009

ซึ่งข่าวดังกล่าวมันทำให้เกิดแรงกระเพื่อมภายในพรรค UMNO เช่นเดียวกัน สมาชิกของพรรคที่นำโดย มหาเธร์ เรียกร้องให้นายก Najib ลาออกอย่างเปิดเผย นักการเมืองอาวุโสบางคนถึงกับมีการแอบดังฟังโทรศัพท์ของ Najib และได้ยินเขาพูดคุยกับ Low ถึงแผนการที่จะกล่าวโทษเรื่องคอร์รัปชั่นใด ๆ ไปยังหุ้นส่วนตะวันออกกลางของ 1MDB

นายก Najib ได้สั่งให้ Low ออกนอกประเทศเป็นการชั่วคราว และไม่ให้ปรากฏตัวในที่สาธารณะ และตัว Najib เองยังได้ปฏิเสธการกระทำความผิดใด ๆ ที่ 1MDB และมีคำสั่งให้มีการสอบสวนอย่างเป็นทางการ ที่นำโดยหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบสถานะทางการเงินของรัฐ

ตัว Low เองนั้นก็พร้อมจะสู้แม้จะหลังพิงฝาแล้วก็ตามที ต้องบอกว่ามันเป็นสัญชาตญาณของการเอาชีวิตรอด ซึ่งดูเหมือนว่าสถานการณ์มันบีบบังคับเขาจนแยกความจริงกับเรื่องหลอกลวงของเขาไม่ออกเสียแล้ว ซึ่งบางทีตัว Low เองนั้นก็เชื่อจริง ๆ ว่าทั้งตัวเขาและประเทศได้รับประโยชน์ จากความสัมพันธ์ที่เขาสร้างขึ้นกับตะวันออกกลาง และช่วยเสริมสร้างโปรไฟล์ของประเทศ

และเมื่อข่าวดังกล่าวเริ่มกระจายไปทั่วโลก Low ได้ส่งข้อความไปหาพันธมิตรของเขาทั่วโลก เขาบอกกับ Al Mubarak หัวหน้าผู้บริหารของ Mubadala ว่า รัฐบาลมาเลเซียไม่พบหลักฐานการกระทำความผิดใด ๆ รวมถึงพยายามส่งสัญญาณถึง Otaiba เพื่อแสดงให้เหล่าพันธมิตรของเขาได้รู้ว่า เขาพยายามควบคุมสถานการณ์อย่างไร

และฝั่งของ Ambank ตัว Joanna Yu ที่อยู่ภายใต้แรงกดดันจากคณะกรรมการของ Ambank แน่นอนว่าเธอรู้ว่าจะเป็นการทำผิดกฏหมายหากจะเก็บความลับของบัญชี เพื่อหลอกลวงธนาคารและคณะกรรมของธนาคาร เธอไม่ได้คิดว่าเรื่องราวมันจะใหญ่โตถึงเพียงนี้

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ตำรวจมาเลเซียได้บุก Ambank ที่สำนักงานใหญ่ใน Petronas Towers ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งพุ่งตรงไปที่โต๊ะทำงานของ Yu ซึ่งตำรวจให้เธอส่งคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ ให้ทันที และเธอก็ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่แต่โดยดี

ตำรวจมาเลเซียบุก สำนักงานใหญ่ Ambank ที่ Petronas Tower
ตำรวจมาเลเซียบุก สำนักงานใหญ่ Ambank ที่ Petronas Tower

ซึ่งจากรายงานของ Sarawak Report ที่จัดทำโดย Rewcastle-Brow นั้น หน่วยงานบังคับใช้กฏหมายของมาเลเซีย ก็เริ่มที่จะไม่เกรงกลัวอำนาจของ Najib อีกต่อไป โดยมีการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อสอบสวนเรื่อง 1MDB ซึ่งประกอบไปด้วย ธนาคาร Negara สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตของประเทศมาเลเซีย รวมถึงอัยการสูงสุดของมาเลเซีย

ซึ่งหลังจากเรื่องราวเหล่านี้ เริ่มแพร่หลายออกไป ทาง IPIC ของอาบูดาบี ก็เริ่มสอบสวนอย่างจริงจัง เจ้าชาย Sheikh Mohammed Bin Zayed ผู้ปกครองของอาบูดาบี ได้ตัดสินใจที่จะดำเนินการจัดการกับ Al Qubaisi พันธมิตรที่สำคัญของ Low และได้ทรงออกพระราชกฤษฏีกาขับไล่ Al Qubaisi ออกจาก IPIC โดยไม่มีคำอธิบายในทันที

สำหรับ Low การถูกขับไล่ของ Qubaisi นั้น ถือเป็นเรื่องที่่น่าหวั่นวิตกเป็นอย่างมาก เพราะ Qubaisi นั้นเป็นพันธมิตรที่สำคัญของเขา และมีหลักฐานมากมายที่เชื่อมโยงมายังตัวเขา แต่เขาก็ยังไม่ชัดเจนว่าผู้ปกครองอาบูดาบีนั้นจะทำการสอบสวนอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาไม่ต้องการทำให้เกิดปัญหากับ Sheikh Mansour อย่างแน่นอน

และมันได้กลายเป็นช่องโหว่ ให้ Low นั้นจะหนีหลุดรอดจากคดีดังกล่าว โดยวางแผนการโทษอดีตพันธมิตรของเขา ซึ่งหากเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับเงินที่ถูกขโมยของ IPIC ปรากฏออกมา Qubaisi นั้นก็จะกลายเป็นเหยื่อความรับผิดชอบของเรื่องราวทั้งหมดได้ ซึ่ง Low นั้นมั่นใจว่าชื่อของเขาแทบจะไม่มีอยู่บนเอกสารใด ๆ แต่ลายเซ็นต์ของ Qubaisi นั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง

หลังจากนั้นทางอาบูดาบีได้แต่งตั้งหัวหน้า IPIC คนใหม่ซึ่งก็คือ Suhail Al Mazrouri ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังานของอาบูดาบี ซึ่งเขาถูกส่งมากู้สถานการณ์ของ IPIC ที่ไปลงทุนกับ 1MDB

ฟากฝั่งของ Deutsche Bank ในที่สุดก็ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับหลักประกันของหมู่เกาะเคย์แมน และเรียกร้องให้มีการชำระคืนเงินกู้จำนวน 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่ง Low ได้เสนอวิธีแก้ปัญหา โดยให้ IPIC นั้นจ่ายเงิน 1 พันล้านดอลลาร์เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ และทางกระทรวงการคลังของมาเลเซียที่มี Najib เป็นผู้บัญชาการใหญ่ จะมาค้ำประกันในส่วนดังกล่าว

แน่นอนว่าทาง IPIC นั้นแทบจะไม่มีทางเลือก จึงต้องยอมรับข้อเสนอ ซึ่งทางรัฐมนตรี Mazrouri นั้นเข้ามาภายหลังและรับรู้ได้ว่าอาจจะมีการทุจริตจาก Qubaisi จริง และต้องการที่จะปกปิดเรื่องอื้อฉาวดังกล่าว ซึ่งหลังจากได้มีการพูดคุยกับ Najib เขาก็เห็นด้วยกับข้อตกลงและทั้งสองฝ่ายก็ลงนามข้อตกลงดังกล่าวอย่างเป็นทางการ

และอีกหนึ่งพันธมิตรที่สำคัญของ Low อย่าง Otaiba ก็เริ่มกังวลเกี่ยวกับข้อสงสัยที่เขาได้รับจากธนาคาร BSI ซึ่งทางการสิงคโปร์ได้เริ่มเข้ามาสอบสวนโดยให้ BSI แสดงการตรวจสอบบัญชีทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ 1MDB ซึ่งทาง BSI ได้ไล่ Yak Yew Chee ผู้จัดการที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับ Low ออกในทันที

Yak จึงได้หนีไปยังเขตชนบทของประเทศจีน เพื่อพักจากเรื่องราวทั้งหมด เพราะเขาตกอยู่ในภาวะเครียดอย่างหนักจากเรื่องราวที่เกิดขึ้น แผนกกำกับดูแลของธนาคารได้เริ่มการตรวจสอบธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Low ทั้งหมด ที่แสดงให้เห็นการเชื่อมโยงไปยัง Otaiba อย่างชัดเจน

ซึ่ง Low ได้พยายามโยกย้ายเงินไปยังธนาคาร Amicorp แทน รวมถึงมองหาสถานที่ใหม่ ๆ ที่จะซ่อนเงินมหาศาลที่เขายักยอกมา เขาได้หันไปหา Tim Leissner อีกครั้ง ซึ่งนายธนาคารของ Goldman ก็ยินดีที่จะช่วยเหลือโดยส่งจดหมายอ้างอิงไปที่ Banque Havilland ซึ่งเป็นธนาคารเอกชนขนาดเล็กของประเทศ ลักเซมเบิร์ก โดยในจดหมายของ Leissner ได้ระบุว่า Goldman ได้ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดเกี่ยวกับธุรกรรมของ Low เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้ให้หลักประกันแก่เขา

ดูเหมือนสถานการณ์ในตอนนี้มันเริ่มลุกลามไปยังผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเสียแล้ว Low ก็ยังพยายามหนีให้ไกลที่สุด เพื่อซ่อนเงินของเขา และปิดความเชื่อมโยงของเขากับ 1MDB ให้ได้ ดูเหมือนสถานการณ์ในตอนนี้จะใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของเรื่องราวทั้งหมดแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับเรื่องราวทั้งหมด ของการยักยอกและโกงเงินระดับโลก ที่แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โปรดอย่าพลาดติดตามตอนหน้าครับผม

–> อ่านตอนที่ 17 : The Empire Strikes Back

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Prologue *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

References Image : https://anticorruptiondigest.com/2019/03/29/malaysia-sets-date-for-najib-razaks-1mdb-corruption-trial/

ประวัติ Jho Low ตอนที่ 14 : The Secret Source

บนเรือสำราญ Topaz ของ Sheikh Mansour ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจาก French Riviera ถือเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการฉลองชัยชนะการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของ Najib Razak เขานั่งอยู่บนเก้าอี้เกือกม้าในห้องโถงของเรือยอชต์ ในขณะที่กำลังคุยธุรกิจกับ Sheikh Mohammed เจ้าชายแห่งอาบูดาบี ซึ่งเป็นพี่ชายของ Sheikh Mansour

ซึ่งก็เหมือนทุก ๆ ครั้ง Low เป็นคนจัดแจงให้เกิดการประชุมขึ้นในเดือนกรกฏาคมปี 2013 ซึ่งการประชุมครั้งนี้ประกอบไปด้วย Michael Evans รองประธานของ Goldman Sachs และ Tim Leissner ซึ่งต้องบอกว่าเงินที่ Low นำมาช่วยเหลือ Najib นั้นก็ทำให้เขาได้อยู่ในอำนาจอย่างปลอดภัย ต่อไปอย่างน้อยอีกหนึ่งสมัย

และตอนนี้ อาบูดาบี กำลังเตรียมที่จะเทเงินเข้าไปในศูนย์กลางทางการเงินใหม่ในกัวลาลัมเปอร์ ที่จะนำตระกูล Razak ไปสู่ความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง และจะทำให้ฝันในเรื่องการนำพาประเทศมาเลเซียก้าวข้ามเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้ตามความฝันของ Najib สำเร็จได้เสียที

และในช่วงเวลาเดียวกัน ในขณะที่ Topaz กำลังแล่นอยู่นอกชายฝั่งของฝรั่งเศส Lorraine Schwartz ช่างอัญมณีชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ก็ได้บินมายัง โมนาโก และ Low ก็ได้พาเธอไปที่เรือยอชต์ ซึ่ง Low นั้นซื้อเครื่องประดับจาก Schwartz มาเป็นเวลาหลายปีทำให้มีความคุ้นเคยกับ Larraine เป็นอย่างดี

และ Low ก็พาเธอไปพบกับ Rosmar ภรรยาของ Najib เพื่อโชว์เครื่องประดับสุดหรู เป็นสร้อยคอเพชรยี่สิบกะรัต แน่นอนว่า Low นั้นไม่มีทางลืม Rosmar หลังจากพา Najib ไปสู่ฝั่งฝันเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง รวมถึง พาลูกเลี้ยงอย่าง Riza Aziz แจ้งเกิดในวงการสร้างภาพยนตร์ ฮอลลีวูด ได้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ Rosmar ที่ Low ต้องเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ เมื่อ Rosmar และกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกันได้เห็นเพชรของ Schwartz ที่ Larraine นำมาด้วยนั้น ทุกคนก็ถึงกับอ้าปากค้าง เป็นเพชรที่งามเด่น แบบที่พวกเธอไม่เคยเห็นมาก่อน และนี่เป็นสิ่งที่ Low ต้องมอบให้กับเธอเพื่อฉลองความสำเร็จของสามีของเธอนั่นเอง

แต่แน่นอนว่า การซื้อเครื่องประดับมูลค่าขนาดนี้ ก็ต้องใช้เส้นทางการเงินลึกลับเหมือนเคย เมื่อผ่านไปสองเดือนหลังจากจบทริปล่องเรือที่ฝรั่งเศส Najib ต้องมาประชุมที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในเมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา

Najib ต้องมาประชุมที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในเมืองนิวยอร์ก
Najib ต้องมาประชุมที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในเมืองนิวยอร์ก

Low ก็ได้ใช้โอกาสนี้ เพื่อจัดการเรืองเพชรของ Schwartz โดยไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้า Low ได้ส่ง email ไปหา Lorraine Schwartz โดยใช้ชื่อบัญชี Gmail ของ Eric Tan และขอให้ทาง Larraine นั้นมอบสร้อยคอกับ Rosmar เมื่อเธอเดินทางไปพร้อมกับสามีที่เมืองนิวยอร์ก

โดย Low ขอให้ Schwartz นั้นออกใบแจ้งหนี้ไปที่ Blackrock Commodities (Global) บริษัท เชลล์อีกแห่งหนึ่งที่ Low เป็นเจ้าของ ที่ตั้งชื่อให้คล้ายกับบริษัทด้านการลงทุนของสหรัฐอเมริกา

ต้องบอกว่าเงินบางส่วนหลังจากการเลือกตั้งนั้นอยู่ในบัญชี Blackrock ในธนาคาร DBS ของประเทศสิงคโปร์ การใช้ที่อยู่ email ของ Eric Tan ตัว Low เองได้บอกกับ DBS ว่า Blackrock เป็นผู้ค้าส่งเครื่องประดับรายหนึ่ง เพื่อแสดงให้เห็นถึงการไหลเข้าของเงินจำนวนหลายสิบล้านดอลลาร์ โดยราคาของสร้อยเพชรเม็ดงามนั้น อยู่ที่ 27.3 ล้านดอลลาร์ ทำให้เป็นหนึ่งในชิ้นส่วนเครื่องประดับที่แพงที่สุดในโลก

ซึ่งดูเหมือนทุกอย่างจะราบรื่นสำหรับ Low หลังจากได้เงินมาอีกครั้งจาก Goldman Sachs ด้วยรูปแบบวิธีการที่แทบไม่ต่างจากเดิม แต่เพิ่มความซับซ้อนในเรื่องการทำธุรกรรมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ Low นั้นมั่นใจว่า คงไม่มีใครที่จะสามารถตามรอยเขาได้

แต่เรื่องราวที่น่าหวั่นวิตกสำหรับ Low ก็เกิดขึ้นจนได้ นับตั้งแต่ออกจาก PetroSaudi ในปี 2011 Xavier Justo หนึ่งในผู้เกี่ยวข้องที่สำคัญของการปล้นครั้งแรกของ Low พยายามที่จะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องราวในครั้งนั้น

แม้จะมีส่วนร่วมในการปล้นครั้งแรก แต่ดูเหมือน Justo จะถูกหักหลัง เขาหนีมาใช้ชีวิตบนเกาะสมุย ของประเทศไทย โดยเขาหันเหชีวิตมาพัฒนาวิลล่าสุดหรูในเกาะแห่งนี้ มันเป็นเกาะในฝันของใครหลาย ๆ คนรวมทั้ง Justo เอง เขาหวังที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ แต่ดูเหมือนแผนการสำหรับการลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของเขาจะเจอกับปัญหาเสียแล้ว

Justo ที่หนีมาใช้ชีวิต ที่เกาะสมุยในประเทศไทย
Justo ที่หนีมาใช้ชีวิต ที่เกาะสมุยในประเทศไทย

เนื่องจากต้นทุนการก่อสร้างที่สูง ทำให้ Justo เอง เริ่มคิดถึงเงินที่ PetroSaudi เคยสัญญาไว้ แต่ไม่เคยจ่ายให้เขา กับค่าส่วนแบ่งในการปล้นครั้งแรกของ Low ซึ่งเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว ที่เขารู้สึกท้อแท้ผิดหวัง เขารู้สึกขมขื่นกับวิธีที่ Tarek Obaid เพื่อเก่าของเขาได้เฉดหัวเขาทิ้งจาก PetroSaudi และไม่ได้จ่ายเงินตามที่ได้ตกลงกันไว้

ในช่วงปี 2013 Justo จึงได้ทำการติดต่อกับ Patrick Mahony ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนของ PetroSaudi ทาง email ว่า เขามีข้อมูลที่เป็นอันตราย ซึ่งเขาได้ copy ข้อมูลจาก server ของ PetroSaudi ข้อมูลขนาด 140 GB ที่มีทั้ง email และเอกสารที่เกี่ยวข้องเกือบ 5 แสนฉบับจาก PetroSaudi

ซึ่งในเนื้อหาของ email และเอกสารนั้น ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับ Low , Mahony และ Obaid ที่ทำการยักยอกเงินจาก 1MDB ซึ่งตอนนี้ตัว Justo เริ่มหมดความอดทน และรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง จึงได้นัดพบกับ Mahony ที่กรุงเทพ

ทั้งคู่นัดพบเจอกันที่โรงแรมแชงกรีลา ใจกลางกรุงเทพ เมืองหลวงของประเทศไทย Justo ได้เล่าให้ Mahony ฟังว่าเขารู้สึกอย่างไร PetroSaudi ที่ตกลงจะจ่ายเงินนับล้านฟังก์สวิสให้เขา แต่จำนวนเงินที่ได้จริงกลับลดน้อยลงมาก ไม่เป็นไปตามข้อตกลง

ตอนนี้เขาต้องการเงิน 2.5 ล้านฟรังก์สวิส เงินที่เชื่อได้ว่าเขาควรจะได้รับ แต่ Mahony เป็นคนเย็นชาต่อข้อเรียกร้องของ Justo ตัว Mahony มองว่าไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่ามีการยักยอก หรือ การกระทำใดผิด เขาจึงบอกกับ Justo ว่า PetroSaudi จะไม่จ่ายเงินให้อย่างแน่นอน สุดท้ายพวกเขาก็แยกย้ายกันโดยไม่มีข้อตกลงใด ๆ เกิดขึ้น

ดูเหมือนหนทางของ Justo จะมืดมน หลังจากถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดีจาก PetroSaudi ในเงินที่เขาควรได้รับ ทำให้เขาเริ่มมองหาผู้ซื้อคนอื่นที่เหมาะสม สำหรับข้อมูลสุด Exclusive ที่เขามีอยู่ และมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่นักข่าวสาวชาวอังกฤษคนหนึ่ง กำลังสนใจเรื่องราวของ Jho Low แบบพอดิบพอดี

Clare Rewcastle-Brown นักข่าวสาววัย 54 ที่แต่งงานกับพี่ชายของอดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ Gordon Brown เธอเป็นนักข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน ที่มีความเชื่อมั่นอย่างนึงว่า นักการเมืองที่กระทำการใด ๆ ที่ส่อเค้าทุจริตนั้น จะต้องได้รับผลกรรมจากการกระทำดังกล่าว

ในช่วงธันวาคมปี 2013 Rewcastle-Brown เริ่มได้ยินข่าวลือจากแหล่งข่าวในมาเลเซียเกี่ยวกับ Red Granite บริษัทผลิตภาพยนตร์ ที่ดำเนินการโดย Riza Aziz ลูกเลี้ยงของ Najib Razak

Rewcastle-Brown ได้รับการซุบซิบนินทาในกรุงกัวลาลัมเปอร์ว่า หน่วยงานของรัฐบาลมาเลเซียอาจสนับสนุนทางการเงินให้กับ บริษัท Red Granite ของ Riza Aziz เธอจึงได้เดินทางไปยังเมืองลอสแองเจอลิสเพื่อรวมรวมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Red Granite

ซึ่งในช่วงดังกล่าวนั้น มีคดีความฟ้องร้องของบริษัท Red Granite พอดิบพอดี เมื่อ Red Granite ได้ซื้อสิทธิ์ในภาพยนตร์ในตำนานอย่าง Dumb and Dumber ภาพยนตร์ตลกชื่อดังในช่วงยุคปี 1994 ที่นำแสดงโดย Jim Carrey

ในเดือน กรกฏาคมปี 2013 Red Granite ได้ยื่นฟ้องคดี ในความพยายามที่จะแยกผู้ผลิต Steve Stabler และ Brad Krevoy ออกจากการมีส่วนร่วมในภาพยนตร์ ซึ่งทาง Stabler และ Krevoy นั้นโต้เถียงโดยอ้างสิทธิ์ตามสัญญาที่จะมีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวไม่ว่ากรณีใด ๆ

ต้องบอกว่า การฟ้องร้องกันในเรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องอื้อฉาวไปทั่ว ฮอลลีวูด ดูเหมือนว่า ทั้ง Riza และ McFarland นั้นจะขาดประสบการณ์ในการผลิตภาพยนตร์ แม้ Red Granite นั้นจะมีเงินจากครอบครัวของ Aziz แต่กิจการก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จได้ด้วยเงินเพียงอย่างเดียว

แน่นอนว่าเมื่อ Rewcastle-Brown ได้ยินเรื่องดังกล่าว ก็คิดว่าต้องมีบางอย่างไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน เพราะดูเหมือนว่าข้อมูลที่ Rewcastle-Brown ได้มาจากการเดินทางไปยังเมืองลอสแองเจลลิส นั้น พบว่า ข้อมูลที่สำคัญก็คือ ทั้ง Riza Aziz และ McFarland ที่กำลังใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลกับ Red Granite บริษัทผลิตภาพยนตร์ของพวกเขา

โดยทั้งคู่ต่างไม่เคยที่จะเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องราวทางการเงิน หรือแหล่งที่ได้มาของเงินในการใช้จ่ายกับบริษัท Red Granite ทำให้ผู้คนในฮอลลีวูด ต่างเริ่มสงสัยในตัวของพวกเขา ซึ่งพวกเขามักให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับแหล่งที่มาของเงินทุนจากตะวันออกกลางและเอเชียอย่างคลุมเคลือ และแทบจะไม่ให้รายละเอียดเพิ่มเติมกับแหล่งที่มาของเงิน

ซึ่งสิ่งเหล่นี้ Rewcastle-Brown มองว่า มันเป็นอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง เด็กหนุ่ม Riza Aziz ที่มี Najib Razak นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียเป็นพ่อเลี้ยง จะมีเงินทุนเพียงพอที่จะเปิดตัวบริษัทภาพยนตร์ ด้วยทุนสร้างมหาศาลเหล่านี้ได้อย่างไร และนี่คือปริศนาที่เธอต้องแก้ไข ซึ่งปริศนาเริ่มต้นเหล่านี้ กำลังพาเธอไปพบกับข้อมูลอื่น ๆ ที่น่าตกใจ แล้วเธอได้พบเจอข้อมูลอื่น ๆ ที่มากกว่าที่เธอคิดได้อย่างไร โปรดอย่าพลาดติดตามต่อตอนหน้านะครับผม

–> อ่านตอนที่ 15 : Out Of Control

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Prologue *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

References Image : https://malaysiadailynews.com/xavier-justo-says-jho-lows-website-is-like-a-comic-book-and-lacks-any-proof/