Movie Review : Only the Brave

Featured Video Play Icon

ต้องบอกตามตรงว่าไม่ได้ Feeling ที่อินกับหนังในโรงมานานแสนนานมากแล้ว เพราะส่วนใหญ่หนังที่ได้ดูในโรงจะเป็นหนังตลาดเท่านั้น ส่วนหนังดี ๆ บทดี ๆ ส่วนใหญ่ จะได้ดูผ่านทางช่องทางอื่นซะมากกว่า โดยเฉพาะพวกหนังรางวัลต่าง ๆ ที่แทบจะมีโอกาสดูในโรงหนังน้อยมาก ๆ

สำหรับเรื่อง Only the brave นั้น ผมก็ไม่เคยได้สนใจหนังเรื่องนี้มาก่อนเลยก็ว่าได้ ไม่ได้ข่าวคราวมาก่อน เข้าโรงไปโดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนังเป็นหนังเกี่ยวกับอะไร เป็นเรื่องที่ดูในโรงโดยที่ไม่มีข้อมูลมาก่อนเป็นเรื่องแรก ๆ เลยก็ว่าได้ เพราะแฟนชวนไปดู กอรปกับ งานหนักในสัปดาห์นี้ยังไม่ได้พัก จึงอยาก Relax ด้วยการดูหนังจึงชวนแฟนไปดูเรื่องนี้

สำหรับ Only the brave นั้นเป็นผลงานการกำกับของ Joseph Kosinski ซึ่งผ่านงานที่เคยคุ้นเคยน่าจะเป็นเรื่อง Oblivion ซึ่งเป็นหนังเรื่องนึงที่ผมดูไม่จบเรื่อง เพราะยังไม่ถูกจริต กับหนังแนวนี้ซักเท่าไหร่  ส่วนนักแสดงนำนั้นได้นักแสดงมากความสามารถอย่าง Josh Brolin ที่มารับบทนำ Eric Marsh หัวหน้าหน่วยดับเพลิงไฟป่า รวมถึงขวัญใจของผมอย่าง Jennifer Connelly ซึ่ง ผมเพิ่งได้มีโอกาสได้ดูหนังเรื่อง Dark Water ผ่านช่อง HBO ซึ่งติดใจการแสดงของเธอมาก ๆ และเป็นโอกาสดีที่ได้มาดูการแสดงอีกครั้งกับ only the brave ที่เธอรับบท Amanda Marsh แฟนสาวของ Eric Marsh

นักแสดงที่ผ่านบทวัยรุ่นมามากมายอย่าง Miles Teller นั้นต้องยอมรับว่าเค้าได้รับบทบาทมาหลากหลายในก่อนหน้านี้ เราอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตากันได้ แต่สำหรับเรื่องนี้ที่ Teller มารับบท Brendan McDonough ใน only the brave นั้นต้องบอกว่าเป็นการพลิกบทบาทการแสดงอย่างสิ้นเชิง เค้าต้องมารับบท อดีตเด็กติดยา ที่ต้องเจอกับความเปลี่ยนแปลงของชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ หลังจากพบว่าตัวเองนั้น จะกลายเป็นพ่อคน ซึ่งต้องหันเหชีวิตที่หักมุมครั้งหนึ่งจากการใช้ชีวิต เป็นวัน ๆ กลายมาเป็นคนที่ต้องมากลายเป็นพ่อคน และต้องเริ่มทำมาหากินเพื่อเลี้ยงดูลูกน้อย

ยอมรับตรง ๆ ว่าไม่เคยรู้กับวิธีการ ดับไฟป่ามาก่อน ว่าต้องใช้วิธีไฟดับไฟ จนมาได้เรียนรู้จากหนังเรื่องนี้ ทั้งนี้ไม่ใช่แค่บทบาทของการเป็นนักดับไฟป่าเท่านั้น ที่เป็นตัวดำเนินเรื่อง แต่เป็นภูมิหลังของตัวละครแต่ละคนต่างหาก ที่มาดำเนินเรื่องราว ให้หนังกลายเป็นหนัง Drama ที่เข้มข้นมาก โดยเฉพาะการแสดงของทั้งสามตัวหลักที่มีภูมิหลังของชีวิตที่แตกต่างกัน ซึ่งเหตุผลอีกอย่างที่ทำให้อิน กับหนังเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ ก็น่าจะเป็นเพราะหนังเรื่องนี้มีการสร้างอ้างอิงมากจากเรื่องจริงของหน่วยดับไฟป่า ดังกล่าว

การที่หนังถ่ายทอดมาจากเรื่องจริง ก็ทำให้เราอินกับหนังเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น ซึ่งแม้ว่าบทบางอย่างอาจจะมีการเติมแต่งเข้าไปบ้าง แต่โดยรวมก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งต้องยอมรับว่าทำให้บีบหัวใจคนดูได้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงท้ายของเรื่องที่ทุกอย่างมันบีบคั้นสุด ๆ ทำให้หลายคนในโรงมีน้ำตาไหล ได้ยินเสียงร้องไห้อย่างชัดเจนจากผู้คนในโรง  ซึ่งยอมรับตามตรงว่าไม่ค่อยจากหนังเรื่องไหนที่เคยดูมาก่อน แม้จะเป็นที่ Drama มากมายเพียงใด แต่เรื่องนี้ต้องยอมรับว่ามันบีบด้วยปัจจัยหลายอย่างจริง ๆ รวมถึงการแสดงที่เข้าถึงบทได้อย่างยอดเยี่ยมของนักแสดงทุกคน ทำให้ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ประทับใจที่สุดในรอบปีนี้เลยก็ว่าได้

 

เก็บตกจากหนัง

  • นักแสดงทุกคนสวมบทบาทได้อย่างยอดเยียมมากจนคิดว่าเป็นคนนั้นจริง ๆ
  • เป็นหนังที่ถ่ายทอดมากจากเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
  • เราจะไม่ค่อยเห็นบทบาทแบบนี้กับนักแสดงอย่าง Miles Teller
  • ช่วงท้ายของหนังต้องยอมรับว่าบีบคั้นหัวใจมากที่สุดเรื่องนึงเลยทีเดียว

คะแนน

9.5/10


สรุป
“เป็นหนังที่จะทำให้คุณเสียน้ำตา”

Movie Review : Whiplash


Review

ต่อเนื่อง Series Oscar 2015 ด้วยเรื่อง Whiplash จากผลงานการกำกับ ของ Demien Chazelle  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้รับการเข้าชิงในหลายสาขา และ สาขาใหญ่ที่ได้รับรางวัลคือ ดาราสมทบชายยอดเยี่ยมจาก J.K. Simmons  ที่รับบท Fletcher Conductor ผู้ควบคุมวงที่รับบทบาทโหดได้อย่างสมจริง และส่งให้เขาได้รับรางวัลดังกล่าวไป

หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวงดนตรี และ นักดนตรี โดยเฉพาะมือกลองที่พระเอกคือ Miles Teller ที่รับบท Andrew หนุ่มที่ใฝ่ฝันที่จะได้เป็นมือกลองอาชีพ แต่ถูกขัดขวางโดนผู้เป็นผู้ที่ไม่อยากให้ลูกประกอบอาชีพนี้  เรื่องนี้ทำให้ลืมบทเก่า ๆ ที่ได้รับของ Miles Teller ไปเลยที่ส่วนใหญ่จะรับบทที่เป็นวัยรุ่นทั่วไป ซึ่งไม่ได้ทำให้เค้าได้แสดงศักยภาพการแสดงออกมาเต็มที่เท่าไหร่ แต่เรื่องนี้ทำให้เราได้เห็นถึงการเล่นบท Drama ของเขาที่ถือว่าเป็นการแสดงที่ดีที่สุด เท่าที่เคยได้เล่นมาเลยในตลอดช่วงหลายปีให้หลังเลยก็ว่าได้

ส่วน J.K Simmons นั้นการันตีด้วยรางวัลที่ผ่านมามากมาย ไม่ต้องห่วงเรื่องการแสดง และเรื่องนี้ก็เป็นบทพิสูจน์ถึงความเป็นนักแสดงคุณภาพของเขาที่ได้รับรางวัลใหญ่อย่าง ดาราสมทบชายยอดเยี่ยม ซึ่งความจริงนั้น เรื่องนี้เค้าแทบจะแบกรับหนังทั้งเรื่องไว้ และส่งการแสดงให้กับ Miles Teller ทำให้แสดงได้อย่างดีมาก ๆ

ตัวหนังนั้นเป็นหนัง Drama โดยผสมผสานเรื่องของความรัก และ ครอบครัวเข้ามา และสิ่งสำคัญของเรื่องนี้ที่ขาดไม่ได้คือ ดนตรี Jazz ซึ่งเป็นส่วนที่ผสมที่ลงตัวเอามาก ๆ แต่จะเสียดายตรงตอนจบของหนังนิดหน่อยที่มันยังไม่ค่อยสุดเท่าไหร่ น่าจะมีบทการจบของหนังที่ดีกว่านี้ แต่เนื่องจากเป็นหนังที่ปูทางเรื่องของดนตรีมาทั้งเรื่องทำให้ นักดนตรีหรือคนที่เกี่ยวข้องกับวงดนตรี ( โดยเฉพาะ Jazz) อาจจะอินกับหนังเรื่องนี้ได้ดีกว่าคนทั่วไป แต่ก็เป็นหนังที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งครับ

เก็บตกจากหนัง

  • การเล่นดนตรี Jazz นั้นไม่ใ่ช่เรื่องง่าย
  • จังหวะของเพลง Caravan หรือ Whiplash ที่เป็นจังหวะกลองนั้นโหดน่าดู
  • ดูเรื่องนี้จะอินกับบทบาทการเล่นของ J.K. Simmons มาก ๆ
  • หนังเรื่องนี้สื่อให้เราทราบถึงอาชีพของนักดนตรีหรือศิลปินนั้นก็เปรียบเป็นอาชีพที่เต้นกินรำกินที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวซักเท่าไหร่ ไม่ต่างจากในประเทศไทย

คะแนน

9/10


สรุป
“ดนตรี jazz , ความรัก , ครอบครัว คือส่วนผสมที่ลงตัวสำหรับหนังเรื่องนี้”