Yahoo กับการละทิ้งวิทยานิพนธ์เพื่อฝันทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ของ Jerry Yang และ David Filo

ในช่วงต้นปี 1994 Jerry Yang และ David Filo นักศึกษาวิศวกรรมไฟฟ้าที่มหาวิทยาลัย Stanford ทั้งคู่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม โดยวิทยานิพนธ์ที่ทั้งสองกำลังทำนั้น เกี่ยวกับระบบซอฟต์แวร์ออกแบบอัตโนมัติ ซึ่งถือเป็นงานวิจัยที่ร้อนแรงมาก ๆ ในยุคนั้น

แต่ทั้งคู่ก็ได้มารู้จักกับ browser ตัวแรกของโลกที่กำลังเกิดขึ้นอย่าง Mosaic ที่ได้เปิดตัวไปเพียงไม่นาน และทั้งคู่ก็ได้ถลำลึกเข้าสู่โลกของ World Wide Web อย่างหัวปักหัวปำ

และเนื่องจาก Workstation ของ Yang นั้น มีการเชื่อมต่อกับ internet สาธารณะ ของ Stanford ทำให้ผู้คนทั่วไปสามารถที่จะเข้าถึง Workstation ของพวกเขาได้ผ่านทาง http://akebono.stanford.edu ซึ่งพวกเขาได้สร้าง เว๊บไดเร็คทอรี่ เล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า “Jerry’s Guide to the World Wide Web”

และสิ่งที่พวกเขาทำนั้น มันได้กลายเป็นที่นิยมในหมู่เพื่อน ๆ ของเขาอย่างรวดเร็ว และด้วยกระแสปากต่อปากทำให้มีคนเข้ามาเข้าเยี่ยมเว๊บไซต์ของพวกเขาเป็นจำนวนมาก และในไม่ช้า ก็มีเหล่าคนแปลกหน้า ส่ง email มาที่เขา เพื่อนแนะนำรายการเว๊บน่าสนใจไว้ด้วยกัน

และเพื่อให้สิ่งต่าง ๆ เกิดเป็นระเบียบมากขึ้น ทั้ง Yang และ Filo จึงได้พยายามแยกรายชื่อออกเป็นไดเรกทอรี่แบบลำดับชั้น แบ่งต่างหมวดหมู่ ไม่ว่าจะเป็น บันเทิง->เพลง->มิวสิควีดีโอ->MTV.com

จะเห็นได้ว่า idea ง่าย ๆ ที่พวกเขาคิด มันฮิตติดระเบิดอย่างรวดเร็ว พวกเขาได้สร้างการค้นหาง่าย ๆ และเพิ่ม เว๊บไซต์ใหม่ ๆ ที่มีด้วยตัวของพวกเขาเอง ซึ่งในสมัยนั้นต้องบอกว่าแ แทบจะไม่มีระบบอัตโนมัติ หรือ อัลกอริธึม อะไรที่มีความซับซ้อน

Yahoo ยุคเริ่มแรก ที่สร้างด้วย concept ง่าย ๆ
Yahoo ยุคเริ่มแรก ที่สร้างด้วย concept ง่าย ๆ

และนั่นทำให้พวกเขาต้องใช้เวลาหลายสิบชั่วโมงต่อวัน เมื่อ เว๊บไซต์เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าช่วงแรกพวกเขาสนุกมาก ๆ กับการทำสิ่งเหล่านี้ แต่เรื่องวิทยานิพนธ์ ต้องหยุดนิ่ง เพราะพวกเขาแทบจะไม่มีเวลาเลยด้วยซ้ำ

ภายในเดือนกันยายนปี 1994 ทั้งคู่ได้รวบรวมเว๊บไซต์มากกว่า 2,000 ไซต์ มีคนเข้ารับชมมากกว่า 50,000 ครั้ง ทำให้ทั้งคู่เห็นถึงโอกาส และพวกเขาต้องการตั้งชื่อที่ดีกว่า และค้นหาได้ง่ายกว่าเดิม

ในที่สุดพวกเขาก็ได้ชื่อใหม่ นั่นก็คือ Yahoo ซึ่งย่อมาจากคำว่า “Yet Another Hierarachical , Officious Oracle” และหลังจากนั้นเว๊บไซต์ทั้งคู่ก็ดังแบบฉุดไม่อยู่

เมื่อ NetScape เปิดตัว Browser ในปี 1994 จึงตัดสินใจให้ Yahoo เป็น link เริ่มต้น ทำให้ Yahoo ยิ่งติดลมบน มีจำนวนไซต์มากกว่า 10,000 ไซต์ มีผู้เข้าชมมากกว่า 100,000 คนต่อวัน เมื่อถึงปลายปี 1994

สำหรับ Yang และ Filo มันเป็นช่วงเวลาแห่งความจริง เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่พวกเขาแทบจะไม่สานต่อวิทยานิพนธ์ มันคือทางแยกชีวิตที่สำคัญของพวกเขา ที่ต้องตัดสินใจ ว่าต้องเลือกธุรกิจ หรือ การเรียนต่อไป

ในไม่ใช้มันก็เข้าถึงหูของนักลงทุน ที่เดินหน้าพร้อมที่จะมาพูดคุยกับสองหนุ่ม เพื่อร่วมลงทุน แม้ต้องบอกว่า ในตอนนั้น ยังไม่มี Business Model ที่ชัดเจนมากนักในโลกของ internet

และในที่สุดก็เป็น Mike Moritz ที่เป็นนักลงทุนจากบริษัท VC Sequoia Capital และให้เงินสนับสนุนธุรกิจชื่อดังมากมายไม่ว่าจะเป็น Apple , Atari , Cisco และ Oracle และเขาก็เชื่อในวิสัยทัศน์ของ Yang และ Filo ที่จะมีวิธีการทำเงินเมื่อมีผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ และมองว่า Yahoo จะกลายเป็น TV Guide สำหรับโลก Internet

Mike Moritz นักลงทุนกลุ่มแรก ๆ ของ Yahoo
Mike Moritz นักลงทุนกลุ่มแรก ๆ ของ Yahoo

โดยในปี 1995 ทาง Sequoia ได้ลงทุน 1 ล้านดอลลาร์ เพื่อแลกกับหุ้น 1 ใน 4 ของ Yahoo ที่จัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ โดย Yang และ Filo ได้นำเงินไปสร้างพื้นที่สำนักงานใหม่ขนาด 1,500 ตารางฟุต มีการว่าจ้างทีมงานวิศวกร รวมถึงเรื่องของค่า Server ที่ต้องเพิ่มอย่างด่วน เพื่อรองรับการเติบโต

และเงินส่วนนึง มาใช้ในการทำการตลาดให้มีการรู้จักเป็นวงกว้าง หลังจากนั้น Yahoo ก็เติบโตขึ้นมากกว่า 4 เท่า ภายในปี 1998 นั้น Yahoo เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคทั่วไปมากกว่า Microsoft เงินลงทุน 1 ล้านดอลลาร์ของ Sequoia กลายเป็นมูลค่ากว่า 8 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงต้นปี 1999 และทำให้ Yahoo กลายเป็นแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดรายแรกของยุค Internet นับจากวันนั้นเป็นต้นมานั่นเองครับผม

References : https://en.wikipedia.org/wiki/History_of_Yahoo!
https://www.infoworld.com/article/2650372/yahoo-started-small-and-grew-fast.html
https://www.wired.com/2015/11/once-upon-a-time-yahoo-was-the-most-important-internet-company/
https://medium.com/greatepicurean/the-history-of-yahoo-edf6ebfc725

PayPal Wars ตอนที่ 6 : Revolution – PayPal 2.0

JULY—OCTOBER 2000

เหมือนกับทุก ๆ startup ที่สร้างบริการในยุคนั้น ที่การออกแบบในครั้งแรกนั้น ไม่ได้สร้าง หรือถูกออกแบบมาให้รองรับการ scale ของผู้ใช้งานในระดับหลายล้านคน มาตั้งแต่ครั้งแรก ซึ่งแน่นอนว่า PayPal ก็สร้างมาในรูปแบบเดียวกันคือมุ่งเน้นไปที่การนำเวอร์ชั่นที่ใช้งานได้ออกไปสู่ตลาดให้เร็วที่สุด

Max Levchin ซึ่งเป็นผู้นำในการสร้าง PayPal version แรกนั้น ได้สร้างอยู่บนพื้นฐานของแพลตฟอร์ม Oracle แต่ Musk ต้องการให้ V2 ที่จะพัฒนาขึ้นมาใหม่นั้นอยู่บนพื้นฐานของ Windows NT

ซึ่งแน่นอนว่า X.com นั้นถูก Design มาบนสถาปัตยกรรมของ Windows NT ซึ่งทีมงานของ X.com ถนัดกว่า ส่วน ทางฝั่ง Confinity นั้นถนัด Unix ซึ่งพวกเขามองว่าเสถียร กว่าการใช้งานบน Windows

เกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงในเรื่องสถาปัตยกรรมหลัก ทางฝั่ง X.com นั้นมองว่าวิศวกรของ Confinity นั้นไม่รู้จัก Windows NT จริง ๆ และมองว่ามันไม่เสถียรเท่า Oracle แต่วิศวกรของ X.com นั้นมองว่า การพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ บน Windows NT นั้น จะเร็วขึ้นเนื่องจากมีเครื่องมือเพิ่มเติมสำหรับ Windows คอยช่วยเหลืออยู่มากมาย

Musk นั้นมองว่าสถานการณ์ค่อนข้างซีเรียส ที่จะต้องย้ายไป V2 ให้เร็วที่สุด และสั่งให้เริ่มการแก้ไขฟีเจอร์ใน V1 และสั่งลุยเปลี่ยนทรัพยากรของเครื่อง Server ทั้งหมดให้กลายเป็น V2 เพื่อให้สามารถขยายธุรกิจได้เร็วขึ้น และ รวมถึงเป้าหมายในการรวมฐานผู้ใช้งานของทั้ง PayPal และ X.com เข้าด้วยกันให้ได้ในที่สุด

ปัญหาใหญ่ของวิศวกรทั้งสองฝั่งระหว่าง Unix กับ Windows
ปัญหาใหญ่ของวิศวกรทั้งสองฝั่งระหว่าง Unix กับ Windows

Musk ได้ทำการประกาศรางวัลโบนัส 10,000 เหรียญ ให้กับทุกคนในทีมด้านผลิตภัณฑ์และเหล่าวิศวกร หากสามารถพา PayPal ขึ้นสู่ V2 ได้ก่อนวันที่ 15 กันยายน และหากทำล่าช้านั้น โบนัสจะลดลงไป 1,000 เหรียญในแต่ละวัน และจะหายไปทั้งหมดในวันที่ 25 กันยายน หากทีมงานของเขาทำงานไม่สำเร็จลุล่วงอย่างที่เขาต้องการ

ส่วนในเรื่องของเงินทุนนั้น แน่นอนว่า ด้วยอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เงินทุนที่ Thiel ได้หามาให้ 100 ล้านเหรียญนั้น ใกล้จะหมดลงเต็มที ซึ่งส่วนใหญ่นั้นจะเป็นค่าใช้จ่ายจากค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต ที่ลูกค้าส่วนใหญ่มักใช้ในการชำระเงิน ซึ่ง Musk ต้องวางแผนการเพื่อให้ผู้ใช้ทั่วไปนั้นอัพเกรดไปใช้บัญชีธุรกิจ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เป็นจำนวนมาก

แม้ว่าข้อตกลงในการใช้งาน PayPal ของผู้ใช้ นั้นมีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ลูกค้าที่มีการใช้งานในเชิงธุรกิจนั้น จำเป็นต้องอัพเกรดเป็นบัญชีธุรกิจที่มีค่าธรรมเนียม แต่ปัญหาคือ ระบบไม่ได้ระบุคำนิยามที่ชัดเจนของ “การใช้งานทางธุรกิจ” ทำให้มีช่องโหว่ให้ลูกค้า ไม่ต้องอัพเกรดไปใช้บัญชีธุรกิจได้

ปัญหาต่าง ๆ เริ่มรุมเร้าตัว Musk ซึ่งสถานการณ์ของบริษัท กำลังจะอยู่ในจุดวิกฤติในทุก ๆ ด้าน ความหวังในเรื่อง V2 นั้นต้องพังทลาย เพราะเหล่าวิศวกรยังทะเลาะกันอย่างไม่จบสิ้นในเรื่องสถาปัตยกรรมที่แตกต่างระหว่าง Oracle และ Windows รางวัลที่ Musk ตั้งไว้มันแทบไม่มีความหมาย V2 ถูก Delayed ออกไปและดูเหมือนจะไม่สำเร็จในเร็ววัน

ส่วนเรื่องแบรนด์ ที่ Musk ต้องการให้ X.com เป็น แบรนด์หลักนั้นก็ดูเหมือนจะไม่เป็นไปอย่างที่เขาคิด เพราะทีมผลิตภัณฑ์ได้ทดลองสำรวจแบบออนไลน์ ว่าลูกค้าเชื่อมั่นในแบรนด์ใดมากกว่ากัน ปรากฏว่า PayPal นั้นชนะอย่างขาดลอย Musk ต้องยอมรับความเป็นจริงที่ว่า PayPal คือแบรนด์หลักของบริษัทได้เสียที แม้เขาจะฉุนเฉียวกับเรื่องดังกล่าวมากมายแค่ไหนก็ตาม

และเป็น Sacks ที่เริ่มแผนการในการเลื่อยขาเก้าอี้ของ Musk เขาแอบประชุมลับ ๆ กับเหล่าผู้บริหาร และมีการเรียกร้องให้นำ Musk ออกไป Sacks มองว่าความมุ่งมั่นของ Musk ในการกำจัด PayPal นั้นเป็นอันตรายที่ร้ายแรงต่อบริษัท รวมถึงความเสี่ยงทางด้านเทคโนโลยีที่ต้องย้ายไปอยู่ใน แพลตฟอร์มใหม่ รวมถึงปัญหาเรื่องเงินสดในบริษัทที่ไม่มีทีท่าว่าจะแก้ไขได้ในเร็ววัน

และเพื่อเป็นการบังคับเหล่ากรรมการบริษัท ให้นำ Musk ออกไป Sacks และเหล่าผู้บริหารหลาย ๆ คนขู่ว่าจะลาออก เว้นแต่สมาชิกในคณะกรรมการของบริษัท จะบีบ Musk ออกไป และทำการตั้ง Peter Thiel กลับมาเป็น CEO แทน และสร้างเอกสารขึ้นมาเพื่อบังคับให้กรรมการบริษัท พร้อมใบลาออกของพวกเขาหากคณะกรรมการปฏิเสธที่จะกระทำการดังกล่าว

ส่วน Max Levchin ที่โกรธแค้นจากการตัดสินใจเรื่อง V2 ของ Musk ก็เข้าร่วมวงด้วย โดย Max ได้ไปพบกับ Sacks และ Reid Hoffmann เพื่อหาแนวร่วมเหล่าพนักงานในองค์กรที่เห็นด้วยที่จะเรียกร้องให้มีการปฏิว้ติ Elon Musk ลงจากตำแหน่ง

Max ได้รวมรวมทีมงานที่เป็นวิศวกรทั้งหมด ตอนนี้สถานการณ์ของ Musk นั้นอยู่บนเส้นด้ายแล้ว ซึ่งวันรุ่งขึ้น ทั้งสามคนได้รวมเอาจำนวนพนักงานทั้งหมดพร้อมลายเซ็นต์ และได้ร่างคำร้องไปยังคณะกรรมการ และไปยังห้องทำงานของคณะกรรมการอย่าง Mike Moritz เพื่อนำเสนอเรื่องดังกล่าว

Mike Moritz นักลงทุนหลักอีกคนที่ต้องมาตัดสินใจเรื่องสำคัญ
Mike Moritz นักลงทุนหลักอีกคนที่ต้องมาตัดสินใจเรื่องสำคัญ

ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น Musk ได้ลาพักเพื่อไปดูโอลิมปิกที่ออสเตรเลีย ซึ่งหลังจากที่เขาทราบเรื่องก็ได้บินด่วนกลับมาที่ ซิลิกอน วัลเลย์ ทันที

ดูเหมือนกลุ่มกบฏจะอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ เนื่องจาก Max ซึ่งเป็นพนักงานคนเดียวที่มีเก้าอี้ในคณะกรรมการ ที่นอกเหนือจาก Musk พร้อมที่จะลงคะแนนเพื่อดัง Peter Thiel กลับมา ส่วน Musk นั้นต้องการการสนับสนุนจากกรรมอิสระอย่างน้อยสองในสามคน : Moritz จาก Sequoia Capital , John Malloy จาก Nokia Ventures และ Tim Hurd จาก Medison Dearborn

ซึ่งสุดท้าย เหล่าคณะกรรมการของบริษัทเลือกวิธีการประนีประนอม ที่ทำให้ Thiel นั้นกลับมารับตำแหน่ง CEO ชั่วคราว เพื่อรอการค้นหาผู้บริหารเต็มรูปแบบสำหรับ CEO คนใหม่

ส่วน Musk นั้นก็ได้ส่งข้อความแสดงความพ่ายแพ้ของเขาไปให้พนักงานในบริษัทได้รับทราบ เขายอมรับแต่โดยดี เขากล่าวในถ้อยแถลงที่ส่งให้กับพนักงานทุกคนว่า ตอนนี้ถึงเวลาที่จะมองหาผู้บริหารที่จะสามารถพาบริษัทไปสู่ระดับต่อไป ขอขอบคุณพนักงานทุกคนสำหรับการทำงานหนัก และสัญญาว่าเขาจะไม่ได้หนีไปไหนยังคงวนเวียนอยู่ในสำนักงานแห่งนี้อย่างแน่นอน

ซึ่งต้องบอกว่า ถือเป็นการก้าวลงจากตำแหน่งอย่างสง่างามของ Musk ในครั้งนี้ เขาอุทิศการทำงานให้กับบริษัทอย่างเต็มที่จนถึงเวลาที่ต้องก้าวลงจากตำแหน่ง เหลือเพียงการถือหุ้นในบริษัท ที่เขาเป็นหุ้นส่วนใหญ่อยู่เท่านั้น

ส่วน Thiel ก็ได้แถลงขอบคุณ Musk สำหรับการทำงานหนักของเขาที่ผ่านมา ส่วนทิศทางของบริษัทชัดเจนว่า Thiel นั้นต้องการให้ PayPal เป็นแบรนด์หลักของบริษัท และลดบทบาทของ X.com ลงนั่นเอง

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อ Musk ต้องจากลาไป และการกลับมาอีกครั้งของ Peter Thiel จะทำให้สถานการณ์ของบริษัทดีขึ้นหรือไม่ แล้วปัญหาต่าง ๆ ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขนั้น Thiel จะจัดการกับมันอย่างไร โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 7 : Monopolist Strikes

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The New Recruit *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***