Movie Review : Spotlight


Review

เข้าสู่เทศกาลหนังรางวัลออสการ์ประจำปี 2016  ก็ขอแสดงความยินดีกับ Spotlight ที่ได้รับรางวัล ภาพยนตร์ ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นรางวัลใหญ่ที่สุดไปครองตามความคาดหมาย

สำหรับหนัง Spotlight นั้นกำกับโดย Tom Mccarthy ซึ่งเป็นนักแสดงที่ผ่านผลงานมากมายในอดีต รวมถึงการหันเหมาเป็นผู้กำกับในช่วงหลัง ส่วนนักแสดงนำนั้น ก็มีหนึ่งในขวัญใจของผมอย่าง Mark Ruffalo ซึ่งก็อยากให้พี่แกได้รับรางวัลออสการ์เสียที แต่เสียดายรอบนี้ไม่ได้ไป รวมไปถึง Michael Keaton ที่ฝากผลงานที่น่าจดจำอย่าง Birdman ในปีที่แล้วที่ได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปครอง ส่วนดารานำอีกคนคือ สาวน้อยมากความสามารถอย่าง Rachel Mcadams

สำหรับหนังเรื่อง Spotlight นั้นเป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องราวของทีมข่าวสืบสวนแห่งเมือง Boston ในนาม ทีม Spotlight ซึ่งมีชื่อเสียงในการสืบสวนสอบสวนเรื่องราว ๆ ต่าง ๆ แล้วมาตีแผ่เรื่องราวผ่านตัวอักษรในหนังสือพิมพ์ Boston Globe ซึ่งเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งหนึงในเมือง Boston แต่ในครั้งนี้ทีมได้เปิดประเด็นเรื่องราวการกระทำชำเราเด็กของคริสศาสนจักร ซึ่งเป็นประเด็นที่อ่อนไหวต่อเมือง Boston เป็นอย่างมาก โดยต้องสู้รบกับ อำนาจแห่งศรัทธาของปวงชน ที่รู้ทั้งรู้ว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าว แต่เลือกที่จะเงียบไว้ไม่ให้ ชื่อเสียงของศาสนจักรเสื่อมเสีย รวมถึงการต่อสู้กับกลุ่มอำนาจต่าง ๆ ที่ต้องการให้เรื่องเหล่านี้ไม่แพร่งพรายออกสู่สาธารณชน

สำหรับการแสดงนั้นส่วนตัวชอบการแสดงบทบาทของ Mark Ruffalo ในเรื่องนี้ที่สวมบทบาทได้อย่างลงตัวกับบทนักข่าวที่เป็นทีมสืบสวนสอบสวน โดยทั้งการแสดงสีหน้า ท่าทาง รวมถึงนิสัยต่าง ๆ ในเรื่องนี้ สามารถถ่ายทอดความเป็นนักข่าวได้อย่างสมจริงเป็นอย่างมาก ทำให้อินกับบทบาทการแสดงของเขาเป็นอย่างยิ่ง โดยเมื่อรวมกับ Micheal Keaton แล้ว ถือว่าเป็นการวางตัวแสดงที่ลงตัวอย่างมากสำหรับเรื่อง Spotlight

โดยภาพรวมนั้นหนังเลือกที่จะถ่ายทอดเรื่องราว โดยเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในช่วง ทศวรรษที่ 80 เป็นต้นมาที่พบพระในคริสศาสนจักร จำนวนมากที่มีพฤติกรรมดังกล่าว โดยเฉพาะส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในเมือง boston ประเด็นนี้ถือเป็นประเด็นใหญ่มากในอเมริกาในช่วงนั้น ซึ่งเป็นการท้าทายอำนาจโดยตรงต่อศาสนจักรที่ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ซึ่งก็น่าจะเหมือน ๆ กับในศาสนาอื่นๆ  ที่ก็คงมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นแต่ไม่มีใครกล้าที่จะมาเล่นโดยตรงเนื่องจากเกรงว่าจะกระทบต่อศรัทธาของผู้ที่นับถือ ซึ่งจะมีผลวงกว้างต่อสังคม หากสถาบันหลักของชาติ มีปัญหาในทำนองนี้

เก็บตกจากหนัง

  • หนังเล่นเรื่องที่เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนอย่างการประพฤติผิดในกามของพระ
  • ถ่ายทอดจากเรื่องจริงทั้งหมด
  • Mark Ruffalo สามารถถ่ายทอดการเป็นนักข่าวได้อย่างสมจริง

คะแนน

9/10


สรุป
“หนังยอดเยี่ยมออสการ์ คงไม่ต้องพูดอะไรมากไปกว่าการได้ดูด้วยตาตัวเอง”

Movie Review : Birdman


Review

เนื่องจากเพิ่งได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก Oscar 2015 มาหมาด ๆ สำหรับหนังเรื่องนี้ จึงไม่ควรที่จะพลาดชมเป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวในอีกหลาย ๆ เรื่อง ๆ ของ series oscar 2015 ที่ผมได้พยายามทยอยเก็บในช่วงนี้

สำหรับ Birdman นั้นเป็นผลงานของผู้กำกับ  Alejandro Gonzalez Innaritu ผู้กำกับชาวสเปน ที่เน้นแนวหนัง indy ซะเป็นส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีการกำกับหนังใหญ่ที่ทำเงินได้เท่าไหร่นัก  ซึ่งเรื่องนี้ได้ดารานักแสดงนำชายคือ  Micheal Keaton  ที่หายหน้าหายตากับบทนำไปนานพอสมควรมารับบท Riggan ดารารุ่นใหญ่ผู้ตกอับจากผลงานการแสดงที่โด่งดังจากเรื่อง Birdman ในอดีต ร่วมด้วย Edward Norton ที่รับบท Mike ที่มาร่วมเป็นนักแสดงของ Riggan ในเรื่องนี้ รวมถึงได้นักแสดงดัง ๆ อย่าง Emma Stone , Naomi Watts เข้าร่วมด้วย ทำให้หนังเรื่องนี้ถึงแม้จะเป็นแนวหนังที่ไม่หนังกระแสหลัก แต่ดาราที่เข้าร่วมงานนั้นถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

สำหรับเรื่องเนื้อหาของหนังเรื่องนี้ เป็นหนังที่เสียดสี เรื่องราวของวงการ hollywood ได้เจ็บแสบเลยทีเดียวหนังมีการล้อเลียนตัวพระเอกในเรื่องอย่าง Micheal Keaton ซึ่งเคยโด่งดังจากภาพยนต์ชุุด Batman ใน สองภาคแรก คือ Batman ภาคแรกในปี 1989 รวมถึง Batman Returns ในปี 1992 ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดในการแสดงของ Micheal Keaton ทั้งในชีวิตจริง และที่หนังนำมาเสียดสีในเรื่อง Birdman เรื่องนี้โดยส่วนตัวชอบบทบาทการแสดงของ Edward Norton มาก เป็นตัวที่รับบทเด่นในหนังเรื่องนี้ ซึ่งช่วยส่งให้การแสดงของ Miceal Keaton นั้นโดดเด่นขึ้นมาเลยทีเดียว  เรื่องนี้เป็นหนังที่ถ้ามองดูให้ดี ๆ จะเสียดสีไปหลายอย่างมาก ทั้งเรื่องของ Hollywood การแสดงต่อหน้าผู้ชม แต่พอลงเวทีก็กลายเป็นอีกเรื่องนึงไปเรย รวมถึงมีการเสียดสีสังคม รวมถึง social network ด้วย ตัวพระเอกนั้นไม่สนใจการเปลียนแปลงของโลกปัจจุบันและไม่ทราบถึง impact ของ social network ในปัจจุบันที่มีผลกระทบค่อนข้างสูงต่อดารา หรือ นังแสดงหรือนักกีฬาจำนวนมาก ซึ่งเนื้อเรื่องนั้นพยายามสื่อถึงการหลอนถึงภาพในอดีตที่เค้าโด่งดังจากการเป็น super star ของหนังเรื่อง Birdman ซึ่งเช่นเดียวกับชีวิตจริงของ keaton ที่แทบจะโด่งดังมาก ๆ จากหนังเพียงเรื่องเดียวคือ Birdman และก็ตกต่ำเรื่อย ๆ ทั้งในชีวิตจริงและในหนังเรื่องนี้

ส่วนสำคัญอีกอย่างของหนังเรื่องนี้การถ่ายทำแบบ long take และมีการตัดฉากได้เนียนมาก ซึ่งเมื่อดูในเรื่องนั้นแทบจะดูไม่ออกต้องถือว่าการตัดต่อของหนัง และการถ่ายทำแบบ long take ของหนังเรื่องนี้ทำได้ดีมาก ต้องยกความดีให้ผู้กำกับของหนังเรื่องนี้ ที่ทำออกมาได้สมบูรณ์แบบมาก และคิดว่าเป็นส่วนนึงที่ทำให้หนังเรื่องนี้ได้รับรางวัลภาพยนต์ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นรางวัลใหญ่ที่่สุดของ Oscar 2015 ในปีนี้

สรุปคือหนังเรื่องนี้ได้ให้หลายแง่มุมที่น่าสนใจของวงการ hollywood ซึ่งไม่ค่อยจะมีหนังเรื่องไหนได้ทำกันซึ่งถือว่า ได้สร้างความแปลกใหม่ และได้รสชาติใหม่ของการดูหนังได้อย่างดีเยี่ยม เรื่องนี้อาจจะดูยากนิดนึง แต่ถ้าทำความเข้าใจว่าผู้กำกับต้องการสื่อถึงอะไรนั้น ถือว่าเป็นหนังที่ประทับใจที่สุดเรื่องนึงของผมเลยทีเดียว

เก็บตกจากหนัง

  • หนังเรื่องนี้ต้องอ่านข้อมูลมาบ้างพอสมควรเพื่อให้เข้าใจว่าผู้กำกับต้องการเสียดสีเรื่องอะไรไว้บ้าง
  • ฉาก long take นั้นทำให้ดีมากจนต้องยกนิ้วให้
  • สำหรับ keaton นั้นก็ไม่ถึงกับแสดงได้ดีที่สุด ผมมองว่า edward norton นั้นแสดงได้ดีกว่า ซึ่งไม่แปลกใจว่าทำไมถึงไม่ได้ดารานำชายยอดเยี่ยม แต่เสียดายตัว edward norton ที่น่าจะได้รางดาราสมทบชาย

คะแนน

9.5/10


สรุป
“เหมาะสมกับการเป็นภาพยนต์ยอดเยี่ยมของ Oscar 2015 ทุกประการ”