เหตุใด Microsoft สามารถที่จะเอาชนะ Meta ในการเป็นผู้นำในโลก ​​metaverse ได้

เนื่องด้วยกระแสที่มาแรงของ metaverse ทำให้ผมติดตามข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้จากหลายสื่อ ซึ่งมีการวิเคราะห์ที่น่าสนใจจากสื่อหลาย ๆ แห่งทางด้านเทคโนโลยี ที่เห็นสอดคล้องกันว่า Microsoft ดูจะมีความพร้อมมากว่าในการเป็นผู้ชนะในโลกของ metaverse เมื่อเทียบกับ Meta (facebook)

ก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับ facebook ที่มองเห็นโอกาสที่จะชนะได้อย่างไม่ยากเย็นในโลกของ metaverse เนื่องจากมีทั้งเครือข่ายโซเชียลมีเดียที่เป็นฐานลูกค้าเดิมอยุ่แล้ว รวมถึงอุปกรณ์อย่าง oculus ที่ Meta พัฒนามาอย่างยาวนาน

แต่ก็ลืมคิดไปว่า ทางฝั่ง Microsoft ก็ดูเหมือนจะมีสรรพกำลังด้านนี้อยู่ที่ไม่ด้อยไปกว่า Meta เลยด้วยซ้ำ ซึ่งแน่นอนว่า metaverse มันคือเกมใหม่ที่ต้องมาแข่งขันกันใหม่

จากประวัติศาสตร์การแข่งขันของบริษัทเทคโนโลยี เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ใครเก่งด้านใด คู่แข่งก็ยากที่จะมาต่อกร เช่น การสร้าง google plus ที่ google คิดจะมาแย่งชิงตลาดโซเชียลมีเดีย ซึ่งสุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ไป

หรือ กรณีของ Microsoft ที่ส่ง Bing มาแข่งกับ Google ก็ดูเหมือนว่าจะยังตามห่าง Google อยู่อีกไกล ซึ่งแน่นอนว่า ในโลก metaverse ก็น่าจะคล้ายคลึงกันมันเป็นโลกใหม่ ที่แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งก็ต้องมาดูกันว่าใครจะเข้า Win ในศึก metaverse รอบใหม่ครั้งนี้

ความพร้อมของ Microsoft สู่โลก metaverse

metaverse เป็นโลกเสมือนจริงที่ผู้ใช้สามารถแบ่งปันประสบการณ์และโต้ตอบในแบบเรียลไทม์ภายในสถานการณ์จำลอง แต่ก็ยังไม่มีใครรู้ว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร ใช้ฮาร์ดแวร์อะไร หรือบริษัทใดจะเป็นผู้เล่นหลัก สิ่งเหล่านี้ยังเพิ่งเริ่มต้น 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แน่นอนคือ เทคโนโลยี VR จะมีบทบาทสำคัญในการเปิดใช้งาน เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ VR เช่น ตำแหน่งและการทำแผนที่พร้อมกัน (SLAM) การจดจำใบหน้า และการติดตามการเคลื่อนไหวจะมีความสำคัญต่อการพัฒนากรณีการใช้งานแบบ metaverse

ดูเหมือนว่า Microsoft จะเข้าใจดีกว่า Meta ว่าผู้คนใช้เทคโนโลยีอย่างไร และทาง Microsoft ก็มี Mesh ซึ่งเป็นเกตเวย์สู่ metaverse ของ Microsoft เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Microsoft Mesh อีกหนึ่งเกตเวย์ในการเข้าสู่โลก Metaverse ของ Microsoft(CR:Microsoft News)
Microsoft Mesh อีกหนึ่งเกตเวย์ในการเข้าสู่โลก Metaverse ของ Microsoft(CR:Microsoft News)

ด้วยการใช้เพียงแค่สมาร์ทโฟนหรือแล็ปท็อป ไม่จำเป็นต้องใช้ชุดหูฟังที่เกะกะหรือเทคโนโลยีราคาแพง ด้วยแนวทางนี้ Microsoft มุ่งเน้นที่ความสามารถที่มีอยู่และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือแอปพลิเคชันระดับองค์กรที่มีเหนือวิสัยทัศน์ของ Meta ในการปรับใช้กับไลฟ์สไตล์ใหม่ทั้งหมด

ขณะนี้ Microsoft Teams มีผู้ใช้งานมากกว่า 145 ล้านคนต่อวัน ในขณะที่ยอดรวมของชุดหูฟัง VR (HoloLens) ของ Microsoft ที่จำหน่ายไปนั้นมีประมาณ 17 ล้านชิ้น จากตัวเลขเหล่านี้เพียงอย่างเดียว Mesh for Microsoft Teams มีฐานผู้ใช้ที่เป็นไปได้มากกว่าถึงแปดเท่าของจำนวนผู้ใช้ที่ Meta ที่หวังว่าจะเข้าถึงได้ด้วยชุดหูฟัง VR (oculus) ของพวกเขา

ธุรกิจเกม กับปัจจัยสำคัญในการชี้ขาดผู้ชนะในโลก metaverse

ส่วนตัวผมมองว่าความพร้อมในเรื่องของธุรกิจเกม นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่เป็นปัจจัยชี้ขาดผู้ชนะได้อย่างนึงเลยทีเดียวสำหรับโลก metaverse

แน่นอนว่า ส่วนนี้ Meta เองที่แทบจะไม่เคยอยู่ในธุรกิจเกมจริง ๆ จัง ๆ มาก่อน ซึ่ง Microsoft นั้นได้เปรียบในส่วนนี้เป็นอย่างมาก เพราะมีการพัฒนาเครื่องเกมของตัวเองอย่าง Xbox หรือมีเกมในเครือข่ายของพวกเขาอยู่มากมาย ที่สามารถต่อยอดไปสู่โลกของ metaverse ได้อย่างรวดเร็ว

ซึ่งแน่นอนว่าโลก metaverse มันคงไม่ใช่เครือข่ายสังคมธรรมดา ๆ เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะเกมจะมีบทบาทสำคัญในโลกใหม่นี้ อย่างที่เราได้เห็นโลก metaverse ของเกมหลาย ๆ เกมที่เกิดขึ้นแล้ว เช่น Fortnite, Roblox , Minecraft ( ที่เป็นของ Microsoft) หรือ เกมอื่น ๆ อีกมากมาย ที่เป็นการจำลองโลกของ metaverse ได้ดีเลยทีเดียว

Minecraft ก็เป็นหนึ่งในการจำลองโลกของ Metaverse (CR:The verge)
Minecraft ก็เป็นหนึ่งในการจำลองโลกของ Metaverse (CR:The verge)

ซึ่งจะเห็นได้ว่า เมื่อมองภาพรวมจริง ๆ แล้วนั้น Microsoft มีอาวุธที่ครบมือมากกว่า Meta อย่างเห็นได้ชัด ทั้ง know how ในธุรกิจเกม หรือ การสามารถปรับใช้ไลฟ์สไตล์จากเครือข่ายของ Microsoft เพื่อเข้าสู่โลกของ metaverse ได้ดีกว่า

และที่สำคัญ ในเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่เคยเกิดปัญหาขึ้นในเครือข่ายโซเชียลมีเดียนั้น Microsoft เป็นผู้นำตลาดในด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และเมื่อจัดอันดับโดย 10 ธีมที่สำคัญที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมโซเชียลมีเดีย Microsoft อยู่ในอันดับที่สอง ตามรายงานสรุปสถิติเกี่ยวกับโซเชียลมีเดียของ GlobalData ซึ่ง Meta อยู่ในอันดับที่ 21 จากบริษัทเทคโนโลยีจำนวน 35 แห่งในดัชนีชี้วัดดังกล่าว

และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลจะส่งผลเสียอย่างมากต่อประสิทธิภาพในอนาคต ดังนั้นในขณะที่เรายังไม่เห็นภาพที่ชัดเจนว่าโลก metaverse ที่มีรูปแบบสมบูรณ์จะมีลักษณะอย่างไร แต่ถ้ามองกันที่องค์ประกอบรวมทั้งหมดดูเหมือน Microsoft จะมีความได้เปรียบ Meta อยู่มากเลยทีเดียวครับผม

References : https://qz.com/2084012/microsoft-is-rolling-out-its-own-metaverse-to-rival-facebook/
https://stratechery.com/2021/microsoft-and-the-metaverse/
https://venturebeat.com/2021/11/12/why-microsoft-may-beat-zuckerberg-to-the-metaverse
https://www.ign.com/articles/microsoft-metaverse-announcement

การเปลี่ยนแปลงสู่ Meta และธุรกิจที่จะถูก Disrupt ครั้งใหญ่จากโลก Metaverse ของ Facebook

ต้องบอกว่ายุคต่อไปคำว่า digital disruption อาจจะกลายเป็นคำล้าสมัยไป เมื่อมีการเกิดขึ้นของโลกเสมือนใหม่อย่างโลก metaverse ที่ facebook กำลังทุ่มเททุกสรรพกำลังพาบริษัทไปในทิศทางดังกล่าว ซึ่งแน่นอนก่อนหน้านี้ facebook เองก็ได้ทำการ disrupt ธุรกิจหลากหลายทั้งสื่อต่าง ๆ ที่ถูกพายุ digital โหม disrupt ทำให้โลกของสื่อยุคเก่าต้องสั่นสะเทือนพนักงานตกงานไปมากมาย

การเปลี่ยนแปลงครั้้งใหญ่นี้ ผมว่าไม่ใช่น่าเรื่องแปลกใจ เพราะ facebook เองกำลังถูกท้าทาย รวมถึงปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้าพวกเขาอย่างมากมาย ที่กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในสังคม ทั้งปัญหา fake news , การเป็นสถานที่ toxic ของ facebook เอง หรือปัญหากับกลุ่มวัยรุ่นของแพลตฟอร์มอย่าง instagram

ถึงเวลาที่ facebook ต้อง disrupt ตัวเองก่อน

ต้อบอกว่าปัญหาต่าง ๆ ที่กำลังรุมเร้านั้น คงไม่ใช่เหตุผลเดียว facebook จะลงทุนยกเครื่องบริษัทครั้งใหม่กับ metaverse ในครั้งนี้

แม้ดูตัวเลขเรื่องรายได้จะมีความมั่นคง จากผลประกอบการครั้งล่าสุด ที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดความร้อนแรงแต่อย่างใด แต่ ดูเหมือนสถานการณ์ในตอนนี้ facebook ต้องยอมรับความจริงที่ว่าพวกเขาเจอคู่แข่งแบบจริง ๆ จัง ๆ เป็นครั้งแรกนั่นก็คือ TikTok

คนรุ่นใหม่ตอนนี้แทบจะหนีออกจาแพลตฟอร์ม facebook เพราะมันไม่มีความ cool เหมือนในอดีตอีกต่อไป จะเห็นได้ว่า Tiktok กลายเป็นแพลตฟอร์มน้องใหม่ที่สามารถดึงดูดกลุ่มวัยรุ่นได้ดีมาก ๆ

Tiktok กำลังแย่งฐานผู้ใช้งานที่สำคัญที่สุดคือกลุ่มวัยรุ่นของ facebook (CR:CNBC)
Tiktok กำลังแย่งฐานผู้ใช้งานที่สำคัญที่สุดคือกลุ่มวัยรุ่นของ facebook (CR:CNBC)

และแน่นอน เหมือนตอนที่ facebook แจ้งเกิดจากกลุ่มวัยรุ่น ผู้คนในกลุ่มอื่น ๆ จะตามมาเอง ซึ่งตอนนี้มันเริ่มเกิดเหตุการณ์นั้นแล้วกับ Tiktok ตัวอย่างใกล้ตัวง่ายๆ คุณแม่ผมอายุ 60+ ตอนนี้เสพติด Tiktok ยิ่งกว่าอะไรดี เห็นได้ชัดว่าวัยรุ่นเป็นกลุ่มหลักที่จะผลักดันกลุ่มอื่นในช่วงวัยอื่น ๆ ให้เข้ามาใช้งานแพลตฟอร์มนั่นเอง

อีกเรื่องที่สำคัญ ความ cool ในการได้ร่วมงานกับ facebook นั้นคงจะเริ่มหมดมนต์ขลังลงไป ซึ่งเป็นเรื่องปรกติที่บริษัทที่เริ่มมีขนาดใหญ่มากขึ้นมักจะพบปัญหานี้ Microsoft , Google เอง ก็เคยเจอมาก่อน ต้องปรับภาพลักษณ์กันใหม่ ดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาทำงาน ซึ่ง facebook ก็คงมองถึงจุดนี้เหมือนกันในการรีแบรนด์ตัวเองครั้งใหญ่ครั้งนี้ให้กลายเป็น Meta

รวมถึงมันคงไม่มีอะไรที่เหมาะสมกว่านี้อีกแล้วที่ facebook ถึงเวลาที่จะต้อง disrupt ตัวเอง เพราะด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ทั้ง AR , VR รวมถึงเทคโนโลยีด้านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอย่าง 5G ที่พร้อมเริ่มเข้าสู่ตลาด mass ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ facebook จะต้องรีบเปิดตัว metaverse แพลตฟอร์มของตัวเองในตอนนี้

Metaverse disruption ที่จะกลายเป็นคลื่น disrupt ลูกใหม่

หากใครยังจำกันได้ว่ากระแส digital disruption นั้นเริ่มมีความรุนแรงตั้งแต่การถือกำเนิดขึ้นของ facebook นั่นเอง ที่ได้ทำลายล้างหลาย ๆ ธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจด้านสื่อให้ถึงขั้นล้มละลายกันได้เลยทีเดียว

เช่นกันผมมองว่า การเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมของโลก metaverse ในรอบนี้ หลังจากที่เราได้ฟัง concept เรื่องราวในโลกเสมือนมาอย่างยาวนาน แต่ยังไม่มีใครที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะผลักดันมันเข้าสู่ตลาด mass เหมือนที่ facebook กำลังจะทำได้

เรียกได้ว่าเป็นการ disrupt ตัวเองแบบเต็มตัว หาก facebook ผลักดัน metaverse จริง ๆ จัง ๆ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดมันคือเวลาของผู้ใช้งาน ที่ทุกแพลตฟอร์มต่างแย่งชิง eyeball และ เวลาของผู้ใช้งาน ที่ตอนนี้เรียกได้ว่าแย่งชิงกันอย่างดุเดือดจากทุกแพลตฟอร์ม

metaverse จะไม่ใช่แค่แย่งชิงเรื่อง eyeball จากสื่อดั้งเดิมอีกต่อไป ทั้งสื่อ out of home media , ทีวี , วิทยุ , เนื้อหาคอนเทนต์ออนไลน์ต่าง ๆ หรือ บริการสตรีมมิ่งชื่อดังต่างๆ ทั้ง netflix , disneyplus หรือ แม้กระทั่ง youtube เอง

เพราะ metaverse กำลังสร้าง full experience แบบสมจริง หากวิเคราะห์กันง่าย ๆ มันคือการ disrupt ธุรกิจที่ทำ digital disruption มาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น ecommerce , steaming , social media , game เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุุรกิจที่ต้องมีการแย่งชิงเวลาของผู้ใช้งาน

ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้จะมีการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในโลกของ metaverse ประสบการณ์ช็อปปิ้งออนไลน์ ก็จะถูกย้ายไปในรูปแบบ VR เสมือนจริงมากขึ้น ได้เลือกช็อปแบบสมจริงกันมากขึ้น เกมเองข่าวล่าสุดเกมชื่อดังอย่าง GTA ก็เตรียมพัฒนาบน metaverse ของ facebook แล้วเช่นกัน

GTA ก็เตรียมพัฒนาบน metaverse ของ facebook เช่นกัน (CR:Game News 24)
GTA ก็เตรียมพัฒนาบน metaverse ของ facebook เช่นกัน (CR:Game News 24)

เมื่อเวลามีจำกัด เพราะฉะนั้น คนก็จะย้ายถ่ายเทจากแพลตฟอร์มอื่น ๆ ทั้ง social media หรือ บริการอย่าง steaming ต่าง ๆ ที่ดึงเวลาและสร้างรายได้จากเวลาของผู้ใช้งาน ก็อาจจะได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ เช่นเดียวกัน

รวมถึงบริการที่เป็น physical ทั้งการออกกำลังกาย fitness หรือแม้กระทั่ง ประสบการณ์ในการดูภาพยนต์ ก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เรียกได้ว่า ผลกระทบต่อหลากหลายธุรกิจมาก ๆ หากไม่ปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลงก็อาจจะถึงคราล่มสลาย ๆ ได้เหมือนในยุค digital disruption นั่นเอง

บทสรุป

ผมยังเชื่อว่าสุดท้าย metaverse คงไม่สามารถมีได้หลากหลายแพลตฟอร์มได้ และผู้ชนะคงเป็นคนที่มีความพร้อมในทุก ๆ ด้านที่จะเข้าสู่โลก metaverse จริง ๆ ซึ่งแน่นอนว่าคนที่พร้อมกว่าใครนั่นก็คือ facebook นั่นเอง

พวกเขาลงทุนไปมหาศาลในการวิจัยและพัฒนาทั้งในเรื่อง hardware เองอย่าง oculus หรือแว่น rayban stories ที่จะเข้ามามีบทบาทกับโลก metaverse อย่างแน่นอน

ที่สำคัญฐานผู้ใช้งานเก่าที่มีมหาศาล ทำให้ไม่น่าเป็นเรื่องยากสำหรับ facebook เองที่จะทำให้พวกเขาเอาชนะในโลกของ metaverse ได้

ส่วนตัวผมก็เชื่อว่า นี่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงภาพลบครั้งใหญ่ของ facebook เอง รวมถึงผู้ก่อตั้งอย่าง mark zuckerberg ได้อีกครั้งหนึ่ง และหวังว่าคงไม่เกิดปัญหาเดิม ๆ เหมือนที่เกิดกับแพลตฟอร์ม facebook อีก

ผมก็ยังเชื่อว่า Mark Zuckerberg เองคงทำมันได้สำเร็จอีกครั้ง เหมือนที่เขาสามารถทำได้กับ facebook แต่ครั้งนี้มันจะเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่แบบที่หลาย ๆ คนอาจจะคิดไม่ถึง และจะส่งผลกระทบต่อหลากหลายธุรกิจอย่างที่ไม่คาดคิด และแน่นอนว่ามันก็จะเปิดโอกาสให้กับธุรกิจใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกมากมายมหาศาลในโลกเสมือนใหม่แห่งนี้นั่นเองครับผม

Credit : https://www.marketwatch.com/story/facebook-plans-to-hire-10-000-in-eu-to-help-build-its-metaverse-11634518473