ประวัติ Bill Gates ตอนที่ 4 : The Downfall of IBM

ในช่วงปี 1983 Gates เริ่มมองเห็นอนาคตบางอย่างของระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ MS-DOS แต่เขาก็ได้คิดถึงแผนการในอนาคตของ Microsoft ว่าจะต้องสร้างระบบปฏิบัติการเชิงรูปภาพขึ้นมาแบบมี User Interface แทนที่จะใช้การ input แบบ terminal เหมือนใน MS-DOS

ซึ่งแน่นอนว่า หาก Microsoft ยังยึดติดอยู่กับ MS-DOS ซึ่งเป็นโปรแกรมแบบ Terminal ที่ต้อง input แบบตัวอักษร ผู้ใช้ต้องพิมพ์คำสั่งลงไปก่อนการประมวลผล และจะไปปรากฏบนหน้าจอ MS-DOS โดยไม่มีโปรแกรมรูปภาพหรือกราฟฟิกที่ช่วยให้ผู้ใช้ติดต่อกับโปรแกรมใช้งานอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย

โดยในขณะนั้น นักวิจัย จาก Xerox ที่ศูนย์วิจัย พาโลอัลโต ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ทำการทดลองสร้างวิธีการสื่อสารวิธีใหม่ระหว่างคอมพิวเตอร์กับมนุษย์ ซึ่งมีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ล่าสุดที่เรียกว่า ‘เมาส์’ ซึ่งสามารถเลื่อนไปมาบนโต๊ะเพื่อเลื่อนลูกศรไปมาบนจอภาพได้

แม้ในขณะนั้นในตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ก็ได้เริ่มนำเอาเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้บ้างแล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Apple Lisa ที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นมาโดย Steve Jobs นั่นเอง แต่เนื่องด้วยข้อจำกัดของราคาที่ค่อนข้างสูง

และ Jobs ก็สร้างโครงสร้างของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของ Apple ให้กลายเป็นระบบปิด มันจึงไม่สามารถดึงดูดความสนใจของบริษัทผู้ผลิต Software รายใหญ่ ๆ ให้หันมาเขียนโปรแกรมมาสนับสนุนระบบปฏิบัติการแบบใหม่นี้ได้

ซึ่งแม้ระบบปฏิบัติการแบบกราฟฟิกที่ได้รับความนิยมระบบแรก ๆ นั้นจะเป็น เครื่อง Macintosh ของ Apple ในปี 1984 ซึ่งการทำงานทุกอย่างนั้นแตกต่างจาก MS-DOS อย่างสิ้นเชิง เพราะมันทำงานผ่านกราฟฟิก และขับเคลื่อนด้วยการ input ข้อมูลแบบใหม่ผ่านเมาส์นั่นเอง

Macintosh ของ Apple ที่ดูดีหมดทุกอย่าง แต่เสียดายที่เป็นระบบปิด จนไม่สามารถแจ้งเกิดได้

ซึ่งแน่นอนว่า เครื่อง Mac นั้นประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น แต่ปัญหาคือเรื่องของ Software ที่มีอยู่อย่างมากมายในตลาดในขณะนั้น ยังไม่มาเข้าร่วมกับเครื่อง Macintosh ของ Apple ซึ่งเป็นระบบปิดนั่นเอง

ซึ่งเบื้องหลังนั้น Microsoft ก็ได้ร่วมงานกับ Apple เพื่อช่วยกันผลักดันระบบปฏิบัติการที่เป็นกราฟฟิกให้แจ้งเกิดขึ้นมาให้ได้ ซึ่ง Microsoft ก็ได้สร้างโปรแกรม Microsoft Word และ Excel ที่เป็นระบบกราฟฟิกครั้งแรกให้กับ Macintosh นี่เอง

แต่ความคิดของ Apple นั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง Jobs ไม่ยอมให้ผู้อื่นผลิต Hardware มาใช้ร่วมกับ Apple โดยเด็ดขาด ซึ่งเป็นแนวคิดที่ล้าสมัยมากในขณะนั้น และหากผู้ใช้ต้องการใช้ระบบปฏิบัติการ Mac ก็ต้องซื้อคอมพิวเตอร์จาก Apple เท่านั้น

ซึ่งการที่ Apple เป็บระบบปิด ไม่สามารถเชื่อมต่อกับใครได้ software ก็รันของตัวเอง ก็ทำให้ ครองส่วนแบ่งการตลาดได้น้อยมาก ๆ แม้จะวางจำหน่าย แมคอินทอช พร้อมระบบ Inteface ใหม่ พร้อม เม้าส์ ที่เป็นการปฏิวัติวงการในขณะนั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าสุดท้ายแล้ว Apple เป็นเพียงบริษัทเล็ก ๆ ไปเลยเมื่อเทียบกับตลาด PC ที่ IBM ครองตลาดอยู่ในตอนนั้น

ส่วนฟากฝั่งของ IBM นั้น เมื่อยอดขายของ PC ได้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ก็ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะย้อนกลับมาทำร้ายธุรกิจหลักของตัวเอง เพราะผู้ซื้อ PC ส่วนมากนั้นก็เป็นลูกค้าเก่าแก่ของ IBM แทบจะทั้งสิ้น ซึ่งเดิมทีนั้น IBM คิดว่า PC จะขายได้แต่ในตลาดผู้ใช้งานระดับล่างเพียงเท่านั้น

แต่เนื่องจากตัว Microprocessor ที่มีสมรรถนะที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ IBM จึงต้องเริ่มชะลอโครงการพัฒนา PC เพื่อป้องกันไม่ให้ไปทำลายตลาดเมนเฟรมซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ IBM ในขณะนั้น

แม้ในธุรกิจเมนเฟรมนั้น IBM จะคอนโทรลทุกอย่างได้ ทั้ง Hardware และ Software ที่ IBM นั้นผลิตขึ้นมาเองแทบจะทั้งหมด แต่ในตลาด PC ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว IBM ไม่สามารถโก่งราคา PC ได้ เพราะคู่แข่งสามารถสร้าง PC ที่มีคุณสมบัติเหมือนที่ IBM สร้างได้ในราคาที่ถูกกว่า

และนี่เองเป็นเหตุให้เกิดแบรนด์ใหม่อย่าง Compaq ซึ่งมาเปลี่ยนเกมส์ธุรกิจ PC ไปอย่างสิ้นเชิง โดย Compaq ได้เริ่มทำการผลิตตัว Compaq Portable ตัวแรกออกมา โดยใช้วิธีการ Reverse Engineer หรือ วิศวกรรมย้อนกลับจาก IBM PC  เนื่องจาก IBM ขณะนั้นประสบความสำเร็จ และขายได้ติดตลาดไปแล้ว แค่ทุกอย่างให้สามารถ Run Software ของ IBM ได้ทั้งหมด ก็จะเข้าถึงตลาดขนาดมหาศาลที่ IBM ได้เริ่มเปิดตลาดไว้แล้ว

น้องใหม่อย่าง Compaq Portable ที่เตรียมมาสู้กับพี่ใหญ่อย่าง IBM PC

ซึ่งแม้ IBM นั้นมักจะได้สิทธิ์ Exclusive กับ Chip ของบริษัท intel อยู่เสมอ แต่ แต่สำหรับ Chipset 386 นั้นถือเป็นครั้งแรกที่ IBM ถูกปฏิเสธโดย intel ซึ่ง Chipset 386 นั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมครั้งใหญ่ รวมถึงเรื่องของประสิทธิภาพการทำงานของ Chip ที่ ทำให้การทำงานของ PC ก้าวกระโดดไปอีกขั้น

เมื่อ intel ไม่ได้ Exclusive ตัว Chip 386 กับ IBM แล้ว  Compaq ก็เร่งในการสร้างผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่ใช้ Chipset 386 เพื่อออกสู่ตลาดให้เร็วที่สุด ก่อนหน้าที่ IBM จะออกตลาด เพราะตอนนั้น IBM ก็ดูจะยังตัดสินใจได้ไม่ชัดเจนว่าจะเอายังไงกันแน่กับตลาด PC

ซึ่งไม่เพียงแค่ Chipset intel 386 เท่านั้น เมื่อ Compaq ออกผลิตภัณฑ์อย่าง Desktop386 นั้น ได้ร่วมมือกับ Microsoft ของ Bill Gate ที่ยอมให้ระบบปฏิบัติการของเค้าสามารถรันได้บน Compaq แบบที่ว่าไม่ต้องไปทำการ Copy Chip Code ใด ๆ จาก IBM อีกต่อไป  เป็นการเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่างสิ้นเชิง และ ปลดแอ็ก จาก IBM ได้ในที่สุด

การแก้เกมส์ของ IBM คือ การต้องการออกแบบระบบใหม่ทั้งหมด เพื่อไม่ให้ Compaq สามารถลอกเลียนแบบได้ โดยออกระบบปฏิบัติการใหม่คือ PS2 ที่ยากที่คู่แข่งจะเลียนแบบ ซึ่งต้องบอกว่า IBM ต้องการฆ่าทุกคนในธุรกิจนี้เลยก็ว่าได้แม้กระทั่ง Microsoft เองก็ตาม

PS2 กับการสร้างหายนะด้วยน้ำมือตัวเองของ IBM

แต่หารู้ไม่ การสร้างระบบปฏิบัติการใหม่ ที่ไม่สามารถเข้ากับผลิตภัณฑ์ตัวเดิมของ IBM ได้เลยนั้น ถือเป็นการฆ่าตัวตายของ IBM เอง เพราะองค์กรใหญ่หลาย ๆ องค์กรในสหรัฐนั้น ได้สั่งซื้อเครื่อง computer ของ IBM ไปเป็นจำนวนมากแล้ว ซึ่ง หากต้องการเปลี่ยน ต้องมีการเปลี่ยนแบบยกองค์กร ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ทำให้องค์กรหลาย ๆ องค์กรไม่ต้องการซื้อ PS2 ของ IBM เพราะต้องมาเริ่มเรียนรู้กันใหม่หมด ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่มหาศาลมาก ๆ

เหมือนยื่นดาบให้ศัตรูมาฆ่าตัวเองเลยก็ว่าได้สำหรับ IBM ชัดเจนว่า ต่อจากนี้ ตลาด PC นั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว IBM ไม่ได้เป็นผู้กำหนดตลาดอีกต่อไป ซึ่งหลังจากนั้นได้มีการรวมตัวของผู้ผลิต PC ขนาดใหญ่จำนวน 9 ราย และได้มีการเจรจากับ Bill Gate จาก Microsoft และพัฒนามาตรฐานของพวกเค้าเองในชื่อ EISA (Extended Industry Standard Architecture) โดยที่ไม่เกี่ยวข้องใด  ๆ กับ IBM อีกต่อไป เป็นการถีบ IBM ออกจากตลาด PC อย่างเป็นทางการนับจากนั้นเป็นต้นมานั่นเองครับ

–> อ่านตอนที่ 5 : Windows to the World

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 A Revolution Begins *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

References : http://blog.stephengates.com/wp-content/uploads/2010/04/19842.jpg
https://hackaday.com/wp-content/uploads/2017/12/ibmpc.jpg

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

Apple ถูกกล่าวหาว่าขายข้อมูลการฟังของลูกค้าใน iTunes

Apple Inc. ถูกฟ้องร้องจากลูกค้าที่อ้างว่า บริษัท ได้ทำาการเปิดเผยข้อมูลที่ผิดกฎหมายเกี่ยวกับการซื้อ iTunes ของลูกค้า รวมถึงข้อมูลส่วนตัวของพวกเขา ซึ่งเป็นส่งที่ตรงกันข้ามกับคำสัญญาของ บริษัท ในการโฆษณาว่า “ What happens on your iPhone stays on your iPhone.”

ลูกค้า iTunes สามรายจาก Rhode Island และ Michigan ฟ้องในศาลรัฐบาลกลางในซานฟรานซิสโก เพื่อเป็นตัวแทนของผู้อยู่อาศัยในรัฐบ้านเกิดของพวกเขาหลายแสนคนซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีการเปิดเผยข้อมูลการฟังส่วนตัวโดยไม่ได้รับความยินยอมจากลูกค้า

การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า iTunes ไม่ได้ผิดกฎหมายเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นอันตรายได้เนื่องจากช่วยให้ Apple สามารถกำหนดเป้าหมายสมาชิกจากข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านั้นได้ตามการร้องเรียนที่เกิดขึ้น

บริการ iTunes ที่ถูกกล่าวหา
บริการ iTunes ที่ถูกกล่าวหา

“ ตัวอย่างเช่นบุคคลหรือนิติบุคคลใด ๆ สามารถเช่ารายชื่อที่มีชื่อและที่อยู่ของผู้หญิงที่จบการศึกษาอายุ 70 ​​ปีที่ยังไม่ได้แต่งงานและมีรายได้ครัวเรือนกว่า 80,000 ดอลลาร์ที่ซื้อเพลงคันทรี่จาก Apple ผ่านแอปพลิเคชั่นมือถือ iTunes Store ลูกค้ากล่าวว่า “ รายการข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวมีการวางจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ  136 ดอลลาร์ ต่อข้อมูลของลูกค้าหนึ่งพันรายที่มีรายละเอียดระบุไว้”

พวกเขาเสนอเงินจำนวน  250 ดอลลาร์ สำหรับลูกค้า iTunes ใน Rhode Island ที่มีการเปิดเผยข้อมูล และ 5,000 ดอลลาร์ สำหรับลูกค้าแต่ละคนในมิชิแกนภายใต้กฎหมายความเป็นส่วนตัวของแต่ละรัฐ

ตัวแทนของ Apple ไม่ได้ตอบกลับคำร้องขอความคิดเห็นในคดีทันที

กรณีนี้คือ Wheaton v Apple Inc. , 19-cv-02883, ศาลแขวงสหรัฐ, Northern District of California (ซานฟรานซิสโก)

References : 
https://www.staradvertiser.com/2019/05/24/breaking-news/apple-accused-of-selling-itunes-customers-listening-data/