Geek Monday EP36 : Data Science กับการยกระดับการเล่นของทีม Liverpool

เราจะเห็นได้ว่า ลิเวอร์พูล ในชุดนนี้ของ Klopp นั้น เล่นอะไรก็ดูเหมือนง่าย ๆ ไปเสียหมด การรุกที่จังหวะไม่มากนัก แต่มีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง แนวป้องกัน ที่ยากที่จะเจาะเข้าไปทำลาย ซึ่งแม้กระทั่งเป๊บ กุนซือมากความสามารถ ก็ยังต้องยอมศิโรราบให้กับลิเวอร์พูลในยุคนี้

แน่นอนว่าทีมอื่น ๆ ก็ต้องมาเริ่มโฟกัสกับเรื่องของข้อมูล โดยเฉพาะงานด้าน Data Science ให้มากยิ่งขึ้น เพราะนับวันทีมลิเวอร์พูลจะทิ้งห่างคู่แข่งออกไปเรื่อย ๆ เมื่อส่วนผสมของพวกเขาลงตัวในทุก ๆ จุด

และส่วนผสมที่สำคัญระหว่างศาสตร์ทางด้านฟุตบอลของ Klopp และ ศาสตร์ด้านข้อมูลที่มาจากทีมงาน Data Science ของพวกเขา กำลังแสดงให้โลกเห็นว่า ข้อมูลนั้นสำคัญเพียงใดกับเกมส์ฟุตบอล ซึ่งสุดท้ายมันอาจจะทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ และยากที่จะมีคู่แข่งมาต่อกร ไปอีกนานแสนนานเลยทีเดียวนั่นเองครับผม

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน Podbean : http://bit.ly/36S1HpM

ฟังผ่าน Apple Podcast :  https://apple.co/2lEqPPg

ฟังผ่าน Google Podcast : http://bit.ly/2ROaYea

ฟังผ่าน Spotify :  https://spoti.fi/31gYv5M

ฟังผ่าน Youtube : https://youtu.be/4MUeowwlIoI

References : https://www.liverpool.com/liverpool-fc-news/features/liverpool-transfer-news-jurgen-klopp-17569689

ในปีที่แรงปลาย

ผ่านเกมส์ใหญ่ไปอย่างน่าประใจสำหรับ อาเซน่อลในเกมส์พบกับ liverpool เมื่อคืนนี้ ก่อนเกมส์นั้นก็มองว่าเกมส์นี้น่าจะออกได้ทั้ง 3 หน้า เนื่องจาก liverpool หลังปีใหม่มานี่ก็ฟอร์มแจ่มไม่ใช่เล่น เพิ่งมาสะดุดในเกมส์ที่แล้วที่แพ้แมนยู คาบ้านมาเท่านั้นเอง เกมส์เมื่อคืนนี้ก็ไม่ได้ถือว่าเล่นได้ดีเท่าไหร่นัก ดูโอกาสการทำประตูของทั้งสองทีมก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่ จุดเด่นในปีนี้ของอาเซน่อลคือ จังหวะการทำประตูนั้นมีความคมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งมีการปรับรูปแบบการเล่นเพื่อความแน่นอนมากขึั้น จะไม่เห็นการพยายามต่อบอลจนไปถึงประตูหน้ากรอบประตูเหมือนเมื่อก่อน เริ่มมีความหลากหลายของการทำเกมส์รุกมากขึ้นซึ่งถือว่า ลงตัวเลยทีเดียว ไม่ต้องคอยชิ่งไปมาหน้ากรอบประตูเหมือนเมื่อก่อน อีกส่วนที่สำคัญก็คือเกมส์รับนั้นถือว่า ได้ ก๊อกโกแลง มาถือว่าเป็นจิ๊กซอว์ ชิ้นสำคัญเลยก็ว่าได้ที่ทำให้ทีมฟอร์มดีอย่างต่อเนื่องถึงตอนนี้ เพราะไม่ต้องมานั่่งกังวลกับเกมส์รับมากมาย ตัวรุกของทีมก็รุกกันได้อย่างสบายใจเมื่อมีคนคอย screen หลังให้ ก่อนจะถึงกองหลัง ซึ่งก็ออกมาเป็นผลงานอย่างที่เห็นที่เจอกับลิเวอร์พูล

ปรกติในหลาย ๆ ฤดูกาลหลังในช่วงนี้ของฤดูกาลคือ ช่วง มีนาคม – เมษายน นั้น อาเซน่อลจะฟอร์มแผ่วในทุก ๆ ปีและจะประสบกับปัญหานักเตะบาดเจ็บในช่วงนี้ของทุก ๆ ปี แต่ปีนี้ถือว่ามาแปลกเลยทีเดียวที่ตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมานั้น ถือว่าเป็นทีมที่ฟอร์มยอดเยี่ยมที่สุดในลีคเลยก็ว่าได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าเซอร์ไพรซ์ ไม่น้อยสำหรับฟอร์มช่วงหลังของอาเซน่อล  แต่ที่ผิดหวังคือทำไมต้องมาแรงช่วงปลายฤดูกาล หรือ ต้นฤดูกาลสลับกันแบบนี้ อยากให้เป็นอย่างงี้ตั้งแต่ต้นฤดูกาลบ้างจนจบ  คิดว่าคงได้แชมป์แน่ ๆ หากเล่นได้แบบนี้ตั้งแต่ต้นฤดูกาล ซึ่งก็เข้าใจได้สำหรับในปีนี้นั้น ช่วงแรก ๆ อาจจะมีฟอร์มสะดุด เนื่องจากพบปัญหานักเตะบาดเจ็บเป็นหางว่าว ถือว่าเป็นคราวซวยซ้ำซวยซ้อนของอาเซน่อล ที่ต้องมีช่วงนึงของฤดูกาลที่นักเตะเจ็บกันเป็นพรวน ๆ  แต่พอหายเจ็บก็หายเจ็บกลับมาพร้อม ๆ กัน ทำให้ฟอร์มเริ่มดีขึ้นอย่างที่เห็น

ถ้าดูจากทีมเชลซี จ่าฝูงนั้น จะพบว่าไม่ค่อยพบกับปัญหานักเตะบาดเจ็บยาว ๆ เลย ทีมค่อนข้างไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นฤดูกาล มีเจ็บนิด เจ็บหน่อย หรือ อาจจะโดนแบน 1-2 เกมส์แล้วก็กลับมาทำให้ฟอร์มของทีมเชลซีนั้นค่อนข้างแน่นอนมาตั้งแต่ต้นฤดูกาล ซึ่งปีนี้ก็คิดว่าไม่น่าจะพลาดในตำแหน่งแชมป์ ถึงแม้ตามทฤษฏีแล้ว อาเซน่อลก็ยังมีโอกาสที่จะแซงได้ในเกมส์ที่เหลือ แต่ถ้ามองถึงความเคี่ยวของ มูรินโย่ แล้วนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ในการตามหลังถึง 7 คะแนนและแข่งมากกว่า 1 นัดแบบนี้

ในปีหน้าอาเซน่อลน่าจะพร้อมที่จะล่าแชมป์อย่างเต็มตัว หลังจากได้เติมผู้เล่นระดับเกรด A อย่างอเล็กซิซ ซานเชส และ เมซุต โอซิลเข้ามาร่วมทีม ปีหน้าก็ภาวนาอย่างยิ่งว่า จะไม่มีนักเตะหลัก ๆ เจ็บพร้อม ๆ กันเหมือนกับในหลาย ๆ ฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้อาเซน่อลเป็นคู่แข่งสำคัญในการลุ้นแชมป์ในปีหน้านั่นเองครับ

ควันหลงแดงเดือด

เวียนมาบรรจบอีกครั้งสำหรับ ศึกแดงเดือด ที่พลาดไม่ได้ทั้งปวงของสาวก แมนยู และ ลิเวอร์พูล ซึ่งนัดนี้มีความหมายอย่างยิ่งสำหรับ Steven Gerrard เพราะจะเป็น match สุดท้ายที่จะได้เล่นศึกแดงเดือดที่เกาะอังกฤษ ก่อนที่จะย้ายไปเล่นในอเมริกาในปีหน้า

นัดนี้ถือว่ามาเจอกันได้ถูกที่ ถูกเวลาเสียจริง ๆ เพราะทั้งสองทีมนั้น ผลงานเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะ ลิเวอร์พูลที่มาแรงมากตั้งแต่ขึ้นปี 2015 ขึ้นมายังไม่พบกับความพ่ายแพ้ทีมใดเลย ส่วนแมนยูนั้น ก็เพิ่งถล่ม สเปอร์มาในนัดที่แล้ว ก็ถือได้ว่าเรียกความมั่นใจได้พอสมควรสำหรับการแข่งขันนัดนี้ ซึ่งเดิมพันก็สำคัญไม่แพ้กัน คือ โอกาสของตั๋วไปแชมเปี้ยนลีคในปีหน้า ซึ่งจะทำให้ได้เงินเข้าสโมสรอีกมากโข

รูปเกมส์นั้น แมนยูถือว่าวางแท็กติก มาได้ดีกว่ามาก ๆ  เหมือนกับจะพบชุดที่ลงตัว ซึ่งเป็นชุดเดียวกับเกมส์ถล่ม สเปอร์ ไป 3-0 ส่วน ลิเวอร์นั้น กำลังใจดีขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากผ่านปีใหม่มา  แต่มาในเกมส์นี้นั้นเล่น เหมือน กล้า ๆ กลัว ๆ ยังไม่ไม่รู้ ไม่ค่อยลุยไปข้างหน้าซักเท่าไหร่ การครอบครองเป็นของแมนยูซะมากกว่า จนได้ประตูนำไปได้ในครึ่งแรก ซึ่งก็ถือว่าสมควร เพราะแมนยูเป็นฝ่ายเล่นดีกว่าจริง ๆ

กลับมาในครึ่งหลัง แบรนดอน รอดเจอร์ ปรับเกมส์ส่ง Gerrard เข้ามาหวังจะกระตุ้นทีมให้คึกคัก สู้กับแมนยู แต่เหตุการณ์กลับหักมุมอย่างเหลือเชื่อ Gerrard ลงไปได้แค่ 38 วินาที  แล้วก็โดยใบแดงไล่ออกจากสนามไปเฉย ๆ  ซึ่งคิดว่าคนที่ดูแมตช์ นี้คงจะอึ้งกันทุกคน  นักเตะเก๋าเกมส์อย่าง Gerrard นั้นอารมณ์หลุดไปได้ในไงในเกมส์ที่มีความสำคัญขนาดนี้ ซึ่งก็ตามคาดหลังจากเหลือผู้เล่นเพียงแค่ 10 คนนั้น ก็แทบจะสู้ไม่ได้ และโดยนำไปอีกเป็น 2-0 ช่วงท้ายเกมส์ แมนยูก็เริ่มถอยลงไปตั้งรับเน้นผลการแข่งขัน  และ ลิเวอร์พูลเหมือนจะกลับมาเมื่อได้ประตูตีไข่แตกมากได้ แต่ก็ไม่ทันในที่สุดก็พ่ายไป 2-1  ซึ่งถือว่าตามรูปเกมส์ แมนยู นั้นสมควรเป็นผู้ชนะอย่างไม่ต้องสงสัย

เกมส์นี้มีเก็บตกหลังเกมส์ค่อนข้างเยอะ ทั้ง เรื่อง Gerrard โดนไล่ออก  ,  การกลับมาฟอร์มยอดเยี่ยมอีกครั้่งของ Mata รวมถึงการยิงจุดโทษไม่เข้าของ รูนี่ย์  ซึ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นเสน่ห์ที่สำคัญของฟุตบอลอังกฤษเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ได้รับความนิยมอย่างมากมายในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าการดูบอลพรีเมียลีคนั้น จะมีเหตุการณ์ drama อยู่ตลอดเวลา ทั้งในเกมส์ เล็ก ๆ หรือ เกมส์ใหญ่ ซึ่งจะต่างจากลีค อื่น ๆ ในยุโรป ที่ไม่ค่อยจะมีเหตุการณ์ น่าระทึก หรือ ทำให้ตื่นเต้นเท่าไหร่ ซึ่งนี่คงเป็นเสน่ห์ที่สำคัญ ที่ทำให้ให้ลีก อังกฤษ มีความมันส์กว่าลีคอื่น ๆ ในยุโรป