Tim Cook กับความอัจฉริยะในการยกระดับ Apple สู่ขีดสูงสุด

Tim Cook ได้เข้าร่วมงานกับ Apple เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ปี 1998 สถานการณ์ของ Apple ในขณะนั้น ไม่ใช่บริษัทที่น่าไปร่วมงานแต่อย่างใด สถานการณ์ทางการเงินอยู่ใกล้ภาวะล้มละลายเต็มที และขวัญกำลังใจของเหล่าพนักงานก็เริ่มต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ๆ

ตัว Steve Jobs เองเพิ่งกลับมาร่วมงานกับ Apple อีกครั้ง ในฐานะ CEO ชั่วคราว หรือ iCEO เรียกได้ว่าสิ่งเดียวที่ Apple เหลืออยู่ในขณะนั้นก็คือจิตวิญญาณ “Think Different” ที่กำลังมาอีกครั้งจาก Jobs แต่บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงภายในมากมาย และสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับคู่แข่งในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะสินค้าหลักอย่างคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล

ส่วนแบ่งทางการตลาดในตลาดคอมพิวเตอร์ของ Apple นั้นลดลงจากร้อยละ 10 เหลือมาอยู่เพียงแค่ร้อยละ 3 เท่านั้น CEO ในขณะนั้นอย่าง Amelio ต้องทำการดึงตัว Steve Jobs กลับมากู้วิกฤติที่แสนสาหัสนี้อีกครั้ง

Jobs ต้องนำพา Apple กลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง และเริ่มแก้ไขสถานการณ์โดยยอมรับความจริงที่ว่า Amelio นั้น ทำสิ่งที่ผิดพลาด โดย Jobs เริ่มจัดการเหล่าผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำกำไร เช่น นิวตัน คอมพิวเตอร์มือถือรุ่นแรก ของ Apple ผลงานการสร้างสรรค์ของ John Sculley ผู้ซึ่งเป็นคนทำให้ Jobs ต้องออกจาก Apple ไปในครั้งแรก

Jobs เริ่มตัดสายของผลิตภัณฑ์ที่ไม่จำเป็นออกไปจนเหลือเพียงแค่ 4 รุ่น โดยสองรุ่นแรกคือเครื่องคอมพิวเตอร์ Desktop สำหรับผู้บริโภคทั่วไป และ มืออาชีพ ส่วนอีกสองจะเป็นส่วนของเครื่องแบบพกพา แม้จะดูเสี่ยงมาก ๆ เพราะถ้าตัดเหลือ 4 รุ่นแล้วล้ม ความหมายก็คือ Apple คงเหลือไว้เพียงแค่ชื่อ เข้าสู่ภาวะล้มละลายอย่างแน่นอน

Jobs พยายามตัดผลิตภัณฑ์ของ Apple ให้เหลือน้อยที่สุด
Jobs พยายามตัดผลิตภัณฑ์ของ Apple ให้เหลือน้อยที่สุด

และแน่นอนว่าปัญหาใหญ่ของ Apple ที่เผชิญมาตลอดนั่นก็เรื่องของการวางแผนการผลิต รวมถึงเรื่องการจัดการสินค้าคงคลังต่าง ๆ ส่วนใหญ่นั้น Apple มักจะจ้างซัพพลายเออร์เฉพาะของตัวเองเท่านั้น เนื่องจากส่วนใหญ่จะเป็นชิ้นส่วนประกอบที่กำหนดเองและมีประสิทธิภาพสูง ไม่มีการวางจำหน่ายให้คู่แข่ง และ ไม่สามารถคัดลอก หรือ เลียนแบบได้ง่าย

แต่มันเหมือนเป็นดาบสองคม เพราะ การวางแผนการผลิตจะยากมาก ๆ ความยืดหยุ่นในการผลิตน้อย การประเมินคำสั่งซื้อล่วงหน้าเป็นไปได้ยาก และจะเกิดหายนะขึ้นทันทีหากมีการคาดการคำสั่งซื้อที่ผิดพลาด

เกิดเหตุการณ์ที่เหล่านักลงทุนของ Apple เกลียดอยู่บ่อยครั้ง นั่นก็คือ เมื่อยามที่ Apple มีผลิตภัณฑ์ที่ร้อนแรง แต่มันไม่สามารถส่งไปถึงมือลูกค้าได้เนื่องจากปัญหาเรื่องการผลิตของ Apple นั่นเอง

และเมื่อ Jobs กลับมาอีกครั้งในปี 1997 เขาตั้งใจแน่วแน่ ว่าจะไม่ให้เห็นความผิดพลาดเดิมเกิดขึ้นซ้ำอีก และเริ่มมองหาการเปลี่ยนแปลงทุก ๆ ด้านในเรื่องการปฏิบัติการของ Apple

แม้ก่อนหน้านั้น Cook จะปฏิเสธนายหน้าของ Apple หลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม เพราะตัว Cook เองก็มีความสุขดีที่ Compaq แต่อย่างน้อยเขาคิดว่าควรจะเข้าไปเจอ Jobs ซักครั้งเพราะชายผู้นี้ เป็นหนึ่งในตำนานผู้สร้างอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์นี้ขึ้นมานั่นเอง

แต่เมื่อเขาได้เข้าไปนั่งฟังกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ของ Jobs สำหรับ Apple ในการพบกันจริง ๆ ครั้งแรก เขาก็ถูกโน้มน้าวโดย Jobs ให้มามีส่วนร่วมของภารกิจเปลี่ยนโลกครั้งใหม่ของ Jobs ซึ่งจะเปลี่ยนแนวคิดของคอมพิวเตอร์ให้กลายเป็นแนวคิดที่ไม่เหมือนกับคอมพิวเตอร์ที่เคยเห็นมาก่อน

และเมื่อ Jobs ได้เจอกับ Cook นั้น เขาก็เข้าใจทันทีว่าพวกเขาแบ่งปันมุมมองเดียวกันในเรื่องการผลิต ซึ่งสุดท้ายทำให้ให้ Cook คล้อยตามและมาร่วมเปลี่ยนแปลงโลกกับ Jobs ในที่สุด และถือเป็นการจับคู่ที่สมบูรณ์แบบที่สุดครั้งนึงในวงการคอมพิวเตอร์โลก

ในขณะนั้น Cook มีอายุ 37 ปี ได้เข้ามาร่วมงานกับ Apple ในตำแหน่ง รองประธานอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการทั่วโลก ซึ่งเขาได้รับงานใหญ่มาก ๆ ในการรื้อระบบการผลิต และจำหน่ายของ Apple ทั้งหมด และุถือว่าเป็นงานที่ท้าทายเขาที่สุดตั้งแต่เริ่มทำงานมาเลยก็ว่าได้

ซึ่งเพียงแค่ 7 เดือนหลังจากที่ Cook ได้เข้ามาร่วมงานกับ Apple เขาก็สามารถที่จะลดสินค้าคงคลัง จากราวๆ 30 วัน เหลือเพียงแค่ 6 วันเท่านั้น ซึ่งในช่วงเวลาสั้น ๆ เขาได้ทำการปรับปรุงระบบการปฏิบัติการของ Apple โดยให้ความสำคัญกับรายละเอียดแทบจะทุกขั้นตอนการผลิต

Cook นั้นได้เน้นการลดซัพพลายเออร์ลงให้เหลือเพียงไม่กี่ราย เขาไปเยี่ยมซัพพลายเออร์แต่ละราย ตัวอย่างที่ชัดเจนเรื่องนึงเช่น การที่ Cook โน้มน้าวให้ NatSteel ผู้ผลิตแผงวงจรที่เป็น Outsource ของ Apple ย้ายมาตั้งโรงงานใกล้กับโรงงานของ Apple ใน ไอร์แลนด์ แคลิฟอร์เนีย และ สิงคโปร์

ซึ่งการย้ายซัพพลายเออร์เข้ามาใกล้โรงงานนั้นทำให้กระบวนการ JIT (Just-in-time) ทำได้ง่ายขึ้นมาก เนื่องจากส่วนประกอบสามารถส่งมอบได้รวดเร็วขึ้นและมีความถี่ที่มากขึ้นนั่นเอง

และอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญก็คือการ outsource ออกไปให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของ Apple นั่นคือ ปัญหาเรื่องสินค้าคงคลัง ซึ่งสร้างภาระค่าใช้จ่ายมหาศาลให้กับ Apple ซึ่งต้นทุนสินค้าคงคลังเหล่านี้เองที่ทำให้ Apple เกือบเข้าสู่ภาวะล้มละลายมาแล้ว

และเพื่อรองรับการคาดการณ์การผลิต Cook ได้ลงทุนในระบบวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) ที่ทันสมัยที่สุดจาก SAP ที่สามารถเชื่อมโยงโดยตรง เข้าสู่ระบบไอที ที่เหล่าซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนของ Apple ใช้งานอยู่

Tim Cook ได้ปรับมาใช้ ซอฟต์แวร์อย่าง SAP เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต
Tim Cook ได้ปรับมาใช้ ซอฟต์แวร์อย่าง SAP เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต

ไม่ว่าจะเป็นโรงงานประกอบ หรือ ทางฝั่งร้านค้าปลีก ระบบที่ซับซ้อนทำให้ทีมปฏิบัติงานของ Cook ได้เห็นมุมมองที่ชัดเจนของห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด ตั้งแต่วัตถุดิบ จนถึงคำสั่งซื้อของลูกค้าที่ร้านค้าออนไลน์ใหม่ของ Apple ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปเพียงไม่นาน

R/3 ERP เป็นระบบประมวลผลส่วนกลางของการผลิตแบบใหม่ ที่รวดเร็วและทันเวลาของ Apple ชิ้นส่วนถูกสั่งจากซัพพลายเออร์เมื่อจำเป็นเท่านั้น และโรงงานผลิตก็สามารถสร้างกำลังการผลิตที่เพียงพอที่จะตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ทันที

ภายใต้การนำของ Cook เวลาในสินค้าคงคลังของ Apple ลดลังจากเป็นเดือน ๆ เหลือเพียงไม่กี่วัน เพียงแค่ 7 เดือน ต้นทุนในการจัดการเรื่องสินค้าคงคลังลดลงจาก 400 ล้านเหรียญ เหลือเพียงแค่ 78 ล้านเหรียญ

Cook ได้รับเครดิตเป็นอย่างมาก ในการมีบทบาทสำคัญให้ Apple สามารถกลับมาทำกำไรได้สำเร็จ ซึ่งระบบที่เขาได้วางไว้นั้นเป็นตัวกระตุ้นการเติบโตของ Apple ในอีกหลายปีต่อมา ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่า Apple จะไม่มีวันเติบโตอย่างยิ่งใหญ่และมั่นคงมาได้จนถึงทุกวันนี้หากปราศจากความเป็นเลิศของชายที่ชื่อ Tim Cook ที่ช่วยกู้สถานการณ์ด้านการปฏิบัติการในเรื่องการผลิตของ Apple ไว้ได้สำเร็จนั่นเองครับ

References : https://appleinsider.com/articles/20/08/10/apple-ceo-tim-cook-is-now-a-billionaire

ประวัติ Tim Cook ตอนที่ 4 : The Operations Guy

Tim Cook ได้เข้าร่วมงานกับ Apple เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ปี 1998 สถานการณ์ของ Apple ในขณะนั้น ไม่ใช่บริษัทที่น่าไปร่วมงานแต่อย่างใด สถานการณ์ทางการเงินอยู่ใกล้ภาวะล้มละลายเต็มที และขวัญกำลังใจของเหล่าพนักงานก็เริ่มต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ๆ

ตัว Steve Jobs เองเพิ่งกลับมาร่วมงานกับ Apple อีกครั้ง ในฐานะ CEO ชั่วคราว หรือ iCEO เรียกได้ว่าสิ่งเดียวที่ Apple เหลืออยู่ในขณะนั้นก็คือจิตวิญญาณ “Think Different” ที่กำลังมาอีกครั้งจาก Jobs แต่บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงภายในมากมาย และสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับคู่แข่งในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะสินค้าหลักอย่างคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล

ส่วนแบ่งทางการตลาดในตลาดคอมพิวเตอร์ของ Apple นั้นลดลงจากร้อยละ 10 เหลือมาอยู่เพียงแค่ร้อยละ 3 เท่านั้น CEO ในขณะนั้นอย่าง Amelio ต้องทำการดึงตัว Steve Jobs กลับมากู้วิกฤติที่แสนสาหัสนี้อีกครั้ง

Jobs ต้องนำพา Apple กลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง และเริ่มแก้ไขสถานการณ์โดยยอมรับความจริงที่ว่า Amelio นั้น ทำสิ่งที่ผิดพลาด โดย Jobs เริ่มจัดการเหล่าผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำกำไร เช่น นิวตัน คอมพิวเตอร์มือถือรุ่นแรก ของ Apple ผลงานการสร้างสรรค์ของ John Sculley ผู้ซึ่งเป็นคนทำให้ Jobs ต้องออกจาก Apple ไปในครั้งแรก

นิวตัน เครื่องคอมพิวเตอร์พกพาที่ Jobs เกลียดเข้าไส้
นิวตัน เครื่องคอมพิวเตอร์พกพาที่ Jobs เกลียดเข้าไส้

Jobs เริ่มตัดสายของผลิตภัณฑ์ที่ไม่จำเป็นออกไปจนเหลือเพียงแค่ 4 รุ่น โดยสองรุ่นแรกคือเครื่องคอมพิวเตอร์ Desktop สำหรับผู้บริโภคทั่วไป และ มืออาชีพ ส่วนอีกสองจะเป็นส่วนของเครื่องแบบพกพา แม้จะดูเสี่ยงมาก ๆ เพราะถ้าตัดเหลือ 4 รุ่นแล้วล้ม ความหมายก็คือ Apple คงเหลือไว้เพียงแค่ชื่อ เข้าสู่ภาวะล้มละลายอย่างแน่นอน

และแน่นอนว่าปัญหาใหญ่ของ Apple ที่เผชิญมาตลอดนั่นก็เรื่องของการวางแผนการผลิต รวมถึงเรื่องการจัดการสินค้าคงคลังต่าง ๆ ส่วนใหญ่นั้น Apple มักจะจ้างซัพพลายเออร์เฉพาะของตัวเองเท่านั้น เนื่องจากส่วนใหญ่จะเป็นชิ้นส่วนประกอบที่กำหนดเองและมีประสิทธิภาพสูง ไม่มีการวางจำหน่ายให้คู่แข่ง และ ไม่สามารถคัดลอก หรือ เลียนแบบได้ง่าย

แต่มันเหมือนเป็นดาบสองคม เพราะ การวางแผนการผลิตจะยากมาก ๆ ความยืดหยุ่นในการผลิตน้อย การประเมินคำสั่งซื้อล่วงหน้าเป็นไปได้ยาก และจะเกิดหายนะขึ้นทันทีหากมีการคาดการคำสั่งซื้อที่ผิดพลาด

เกิดเหตุการณ์ที่เหล่านักลงทุนของ Apple เกลียดอยู่บ่อยครั้ง นั่นก็คือ เมื่อยามที่ Apple มีผลิตภัณฑ์ที่ร้อนแรง แต่มันไม่สามารถส่งไปถึงมือลูกค้าได้เนื่องจากปัญหาเรื่องการผลิตของ Apple นั่นเอง

และเมื่อ Jobs กลับมาอีกครั้งในปี 1997 เขาตั้งใจแน่วแน่ ว่าจะไม่ให้เห็นความผิดพลาดเดิมเกิดขึ้นซ้ำอีก และเริ่มมองหาการเปลี่ยนแปลงทุก ๆ ด้านในเรื่องการปฏิบัติการของ Apple

แม้ก่อนหน้านั้น Cook จะปฏิเสธนายหน้าของ Apple หลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม เพราะตัว Cook เองก็มีความสุขดีที่ Compaq แต่อย่างน้อยเขาคิดว่าควรจะเข้าไปเจอ Jobs ซักครั้งเพราะชายผู้นี้ เป็นหนึ่งในตำนานผู้สร้างอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์นี้ขึ้นมานั่นเอง

แต่เมื่อเขาได้เข้าไปนั่งฟังกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ของ Jobs สำหรับ Apple ในการพบกันจริง ๆ ครั้งแรก เขาก็ถูกโน้มน้าวโดย Jobs ให้มามีส่วนร่วมของภารกิจเปลี่ยนโลกครั้งใหม่ของ Jobs ซึ่งจะเปลี่ยนแนวคิดของคอมพิวเตอร์ให้กลายเป็นแนวคิดที่ไม่เหมือนกับคอมพิวเตอร์ที่เคยเห็นมาก่อน

และเมื่อ Jobs ได้เจอกับ Cook นั้น เขาก็เข้าใจทันทีว่าพวกเขาแบ่งปันมุมมองเดียวกันในเรื่องการผลิต ซึ่งสุดท้ายทำให้ให้ Cook คล้อยตามและมาร่วมเปลี่ยนแปลงโลกกับ Jobs ในที่สุด และถือเป็นการจับคู่ที่สมบูรณ์แบบที่สุดครั้งนึงในวงการคอมพิวเตอร์โลก

ในขณะนั้น Cook มีอายุ 37 ปี ได้เข้ามาร่วมงานกับ Apple ในตำแหน่ง รองประธานอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการทั่วโลก ซึ่งเขาได้รับงานใหญ่มาก ๆ ในการรื้อระบบการผลิต และจำหน่ายของ Apple ทั้งหมด และุถือว่าเป็นงานที่ท้าทายเขาที่สุดตั้งแต่เริ่มทำงานมาเลยก็ว่าได้

ซึ่งเพียงแค่ 7 เดือนหลังจากที่ Cook ได้เข้ามาร่วมงานกับ Apple เขาก็สามารถที่จะลดสินค้าคงคลัง จากราวๆ 30 วัน เหลือเพียงแค่ 6 วันเท่านั้น ซึ่งในช่วงเวลาสั้น ๆ เขาได้ทำการปรับปรุงระบบการปฏิบัติการของ Apple โดยให้ความสำคัญกับรายละเอียดแทบจะทุกขั้นตอนการผลิต

Cook นั้นได้เน้นการลดซัพพลายเออร์ลงให้เหลือเพียงไม่กี่ราย เขาไปเยี่ยมซัพพลายเออร์แต่ละราย ตัวอย่างที่ชัดเจนเรื่องนึงเช่น การที่ Cook โน้มน้าวให้ NatSteel ผู้ผลิตแผงวงจรที่เป็น Outsource ของ Apple ย้ายมาตั้งโรงงานใกล้กับโรงงานของ Apple ใน ไอร์แลนด์ แคลิฟอร์เนีย และ สิงคโปร์

ซึ่งการย้ายซัพพลายเออร์เข้ามาใกล้โรงงานนั้นทำให้กระบวนการ JIT (Just-in-time) ทำได้ง่ายขึ้นมาก เนื่องจากส่วนประกอบสามารถส่งมอบได้รวดเร็วขึ้นและมีความถี่ที่มากขึ้นนั่นเอง

และอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญก็คือการ outsource ออกไปให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของ Apple นั่นคือ ปัญหาเรื่องสินค้าคงคลัง ซึ่งสร้างภาระค่าใช้จ่ายมหาศาลให้กับ Apple ซึ่งต้นทุนสินค้าคงคลังเหล่านี้เองที่ทำให้ Apple เกือบเข้าสู่ภาวะล้มละลายมาแล้ว

และเพื่อรองรับการคาดการณ์การผลิต Cook ได้ลงทุนในระบบวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) ที่ทันสมัยที่สุดจาก SAP ที่สามารถเชื่อมโยงโดยตรง เข้าสู่ระบบไอที ที่เหล่าซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนของ Apple ใช้งานอยู่

ไม่ว่าจะเป็นโรงงานประกอบ หรือ ทางฝั่งร้านค้าปลีก ระบบที่ซับซ้อนทำให้ทีมปฏิบัติงานของ Cook ได้เห็นมุมมองที่ชัดเจนของห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด ตั้งแต่วัตถุดิบ จนถึงคำสั่งซื้อของลูกค้าที่ร้านค้าออนไลน์ใหม่ของ Apple ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปเพียงไม่นาน

R/3 ERP เป็นระบบประมวลผลส่วนกลางของการผลิตแบบใหม่ ที่รวดเร็วและทันเวลาของ Apple ชิ้นส่วนถูกสั่งจากซัพพลายเออร์เมื่อจำเป็นเท่านั้น และโรงงานผลิตก็สามารถสร้างกำลังการผลิตที่เพียงพอที่จะตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ทันที

Tim Cook มีบทบาทสำคัญในการพลิกกลับมาทำกำไรได้อีกครั้งของ Apple
Tim Cook มีบทบาทสำคัญในการพลิกกลับมาทำกำไรได้อีกครั้งของ Apple

ภายใต้การนำของ Cook เวลาในสินค้าคงคลังของ Apple ลดลังจากเป็นเดือน ๆ เหลือเพียงไม่กี่วัน เพียงแค่ 7 เดือน ต้นทุนในการจัดการเรื่องสินค้าคงคลังลดลงจาก 400 ล้านเหรียญ เหลือเพียงแค่ 78 ล้านเหรียญ

Cook ได้รับเครดิตเป็นอย่างมาก ในการมีบทบาทสำคัญให้ Apple สามารถกลับมาทำกำไรได้สำเร็จ ซึ่งระบบที่เขาได้วางไว้นั้นเป็นตัวกระตุ้นการเติบโตของ Apple ในอีกหลายปีต่อมา ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่า Apple จะไม่มีวันเติบโตอย่างยิ่งใหญ่และมั่นคงมาได้จนถึงทุกวันนี้หากปราศจากความเป็นเลิศของชายที่ชื่อ Tim Cook ที่ช่วยกู้สถานการณ์ด้านการปฏิบัติการในเรื่องการผลิตของ Apple ไว้ได้สำเร็จ

ซึ่งในที่สุดมันก็ได้ทำให้สถานการณ์ของ Appleกลับมาอยู่ในจุดที่ควรจะเป็นอีกครั้ง สามารถผ่านจุดวิกฤติครั้งสำคัญที่เกือบจะล้มละลายมาได้สำเร็จ เริ่มสร้างกำไรได้ และพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งเสียที แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกับ Cook และ Apple อย่าพลาดติดตามต่อตอนหน้าครับผม

–> อ่านตอนที่ 5 : The Outsourcer

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : The Death of God *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

ประวัติ Tim Cook ตอนที่ 3 : Jobs in Time

ต้องบอกว่าการได้งานที่ IBM ถือเป็นช่วงเวลาที่โชคดีอย่างยิ่งของ Cook เพราะอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์กำลังอยู่ในช่วงเริ่มเฟื่องฟู ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 เหล่าผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลต่างกำลังต่อสู้เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่กำลังคิดจะมีคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องแรก

คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของ IBM ถือเป็นเครื่องจักรที่ล้ำสมัยในยุคนั้น ที่ราคาขายราว ๆ 1,565 เหรียญ การใช้งานภาษา BASIC ซึ่งเป็นภาษาเขียนโปรแกรมยอดนิยมในยุคนั้น และให้ความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพสูง มีการใช้งานไมโครโพรเซสเซอร์ขนาด 16 บิต , Ram 16 กิโลไบต์ และสามารถเก็บข้อมูลได้ 40 กิโลไบต์ ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่มาก ๆ ในยุคสมัยนั้น

โดยแผนกคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของ IBM ตั้งอยู่ในโรงงานขนาดใหญ่ที่ Research Triangle Park โดยกลยุทธ์ของ IBM ก็คือการว่าจ้างบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยดัง ๆ จำนวนมาก มาฝึกอบรม และมาทำการโปรโมตเลื่อนตำแหน่งในกลุ่มของตนเอง

และ Cook ก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับบัณฑิตจบใหม่เหล่านั้น เขาได้ร่วมงานที่โรงงาน RTP ที่มีขนาดกว่าหกแสนตารางฟุต มีจำนวนการผลิต ถึง 6 สายการผลิตทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ สามารถผลิตคอมพิวเตอร์ได้ราว ๆ นาทีละเครื่อง

โดยประมาณครึ่งหนึ่งของพนักงานในโรงงานทั้งหมด 12,000 คนนั้น เป็นผู้ประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ และแทบจะทั้งหมดนั้นทำด้วยมือ โดยสามารถประกอบคอมได้ราว ๆ 6-8 พันเครื่องต่อวัน และอาจเพิ่มขึ้นถึงหมื่นเครื่องต่อวันในช่วงพีค

IBM PC ที่เป็นเจ้าตลาดและทันสมัยมากในยุคนั้น
IBM PC ที่เป็นเจ้าตลาดและทันสมัยมากในยุคนั้น

โดยโรงงานของ IBM ใช้แนวคิดการผลิตแบบลีน โดยใช้ระบบการผลิตแบบทันเวลา (JIT) โดยปรัชญาของ JIT ในสหรัฐอเมริกาได้รับการออกแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพในขณะที่หลีกเลี่ยงสินค้าส่วนเกิน ซึ่งมันได้รับความนิยมในประเทศญี่ปุ่นในช่วงปี 1960 และ 1970 ซึ่งนำโดยบริษัทผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota ที่ใช้ JIT เป็นเสาหลักของระบบการผลิตทั้งหมดเพื่อให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพมาขึ้นและให้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงนั่นเอง

และเป็นบทบาทแรกของ Cook ที่ IBM ที่เขาได้เรียนรู้ความซับซ้อนของ JIT (just-in-time) ซึ่งเขาจะใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตทั้งหมดของ Apple ในภายหลัง ซึ่งานแรกที่ IBM นั้นเขาอยู่ในสายการผลิตจากโรงงาน และเขามีหน้าที่ในการจัดการไปป์ไลน์เพื่อให้แน่ใจว่าโรงงานมีชิ้นส่วนเพียงพอที่จะสร้างคอมพิวเตอร์ ซึ่งถือเป็นงานที่ท้าทายมาก ๆ งานแรกที่ Cook ได้ทดสอบฝีมือ

และเพียงแค่ 2-3 ปีหลังจากได้เข้าร่วมงานกับ IBM ตัว Cook เองก็ได้รับการประเมินให้เป็นพนักงานที่มีศักยภาพสูงหรือ “HiPo” ซึ่งเป็นศัพท์เฉพาะของ IBM ซึ่งเป็นการวางเส้นทางสำหรับผู้นำในอนาคตของบริษัท ซึ่งในทุก ๆ ปีนั้นผู้บริหารระดับสูงในโรงงานจะเขียนรายชื่อพนักงานที่มีแนวโน้มมากที่สุด 25 คน โดยมีรายเอียดของสิ่งต่าง ๆ เช่น ประสิทธิภาพการทำงาน ความรับผิดชอบ ศักยภาพในการเป็นผู้นำ และแน่นอนว่าที่นั่น Cook คะแนนมาเป็นอันดับหนึ่งอยู่เสมอ

ซึ่งต้องบอกว่าเพื่อนร่วมงานหลายคนก็พูดในทำนองเดียวกันถึงความโดดเด่นของ Cook เพราะเขาฉายแววผู้นำมาตั้งแต่เข้าทำงานใหม่ ๆ เขามีความโดดเด่น แต่มีความสุภาพ ซึ่ง IBM ก็ช่วยส่งเสริมเขาในเรื่องความเป็นผู้นำ และเริ่มสร้างเสริมทักษะเขาด้วยการส่ง Cook ไปศึกษาเพิ่มเติมด้านธุรกิจที่มหาวิทยาลัย Duke

โดยตัว Cook นั้นได้เข้าเรียนตอนเย็นที่ Fuqua School of Business ของ Duke University ซึ่งทำให้เขาได้รับปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจในปี 1988 และการได้ดีกรีด้านบริหารธุรกิจนี่เองที่ช่วยพัฒนาอาชีพของเขาที่ IBM ที่ทำให้เขาเรียนรู้เรื่องของธุรกิจมายิ่งขึ้น ไม่ใช่เก่งเพียงแค่ทางด้านวิศวกรรมอย่างเดียวอีกต่อไป

เมื่อ Cook ทำงานกับ IBM เป็นเวลา 12 ปี เขาก็ได้เริ่มหาความท้าทายใหม่โดยมารับบทบาทหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของแผนกผู้จำหน่ายคอมพิวเตอร์ที่บริษัท Intelligent Electrics ในเมืองเดนเวอร์ มันดูเหมือนอาชีพเขาจะ Drop ลงหลังจากย้ายมาอยู่กับบริษัทเล็ก ๆ เมื่อเทียบกับ IBM ที่เป็นยักษ์ใหญ่วงการเทคโนโลยีโลก

เขาช่วยให้ Intelligent Electrics เปิดตัวโปรแกรมที่เรียกว่า PowerCorps ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ Apple ผ่านตัวแทนจำหน่ายของ Intelligent Electrics โดยทำให้รายรับของ Intelligent Electrics มีรายรับเพิ่มขึ้น 21% แต่สุดท้าย Intelligent Electrics ก็เจอปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเกี่ยวกับการขยายราคาหุ้นทำให้ตัว Cook เองแนะนำให้ผู้บริหารขายบริษัทให้กับ General Electric ในราคา 136 ล้านเหรียญ

และมันได้ทำให้เขาพบกับจุดเปลี่ยนสำคัญในอาชีพซึ่งก็คือ การได้เข้ามาร่วมงานกับ Compaq ในตำแหน่งรองประธานฝ่ายสื่อสารองค์กร เนื่องจาก Compaq เองเป็นซัพพลายเออร์รายหนึ่งของ Intelligent Electrics หลังจากขายกิจการสำเร็จ Compaq จึงได้ดึงตัว Cook เข้ามาร่วมงานเนื่องจากมองเห็นในศักยภาพของเขา

ในช่วงนั้น Compaq ได้กลายเป็นผู้ผลิต PC รายใหญ่ที่สุดของโลก แซงหน้า Apple และ IBM ได้สำเร็จ ทำให้ดูเหมือนชีวิตของ Cook จะเข้าสู่วงโคจรที่รุ่งโรจน์อีกครั้ง

สถานการณ์การแข่งขันในขณะนั้น ได้มีแนวคิดในการสร้างคอมพิวเตอร์ในราคาไม่แพงที่ต่ำกว่า 1,000 เหรียญออกมาแข่งกัน ซึ่งแน่นอนว่าทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าถึงได้มากขึ้นทำให้ตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้น

Compaq ที่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของโลกในยุคนั้น
Compaq ที่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของโลกในยุคนั้น

Intel ได้เปิดตัว Celeron ซึ่งเป็น CPU ราคาประหยัดในเดือนเมษายน ปี 1998 รวมถึง AMD ก็ผลิตชิปในราคาถูกเข้ามาแข่งขัน ทำให้ราคาของเครื่องคอมพิวเตอร์ลดลงเป็นอย่างมาก

และแน่นอนว่า ราคา PC ที่ลดลงส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อ Apple เป็นอย่างมาก ในขณะที่เครื่อง PC ราคาถูกลง ทำให้ผู้คนเมินที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่มีราคาแพง ทำให้มีสินค้าของ Apple ขายไม่ออกและค้างอยู่ในโกดังเป็นจำนวนมาก

ตัว Cook เองในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งที่ Compaq นั้น ได้ช่วยให้บริษัท เปลี่ยนไปสู่รูปแบบการผลิตตามคำสั่ง ซึ่งเป็นแนวคิดต่อยอดจาก JIT ที่เขาเคยได้เรียนรู้ที่ IBM นั่นเอง โดยใช้ชื่อว่า “Optimized Distribution Model” ซึ่งแทนที่จะลงทุนสร้างเครื่องจักรเพื่อคาดการณ์อุปสงค์ แต่ Compaq จะเริ่มกระบวนการผลิตหลังจากได้รับคำสั่งซื้อแทน

สิ่งนี้นี่เองที่ทำให้การผลิตคอมพิวเตอร์ของ Compaq มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และช่วยลดปริมาณสินค้าคงคลัง แต่ในทางกลับกัน บริษัทต้องจัดการซัพพลายเออร์ของตนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการได้อย่างรวดเร็วและคุ้มค่า

Cook เป็นผู้ที่บทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลง Optimized Distribution Model ที่ Compaq และทำให้ชื่อของเขากลายเป็นที่จับตามองในวงการผลิตคอมพิวเตอร์ ซึ่งที่ Compaq นี่เอง ที่ Cook ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับเหล่าซัพพลายเออร์ เพื่อให้เปลี่ยนมาใช้รูปแบบ Model ใหม่ดังกล่าว

และสถานการณ์ในขณะนั้นบริษัทอย่าง Apple ที่เริ่มหมดหวังกับการที่จะปรับปรุงกระบวนการผลิตที่สุดยุ่งเหยิงของตัวเอง เพื่อให้สามารถกลับมาแข่งขันกับคู่แข่งในวงการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ที่ดูเหมือนจะเริ่มหมดหวังเข้าไปทุกที สถานการณ์ของบริษัทย่ำแย่ถึงภาวะใกล้ล้มละลาย

แต่ก็เป็น Steve Jobs ที่ได้กลับมากุมบังเหียน Apple ในรอบที่สองอีกครั้ง และงานสำคัญของเขาก็คือมองหาวิธีแก้ไขปัญหา ในเรื่องการผลิต และหาคนที่เหมาะสมสำหรับงานดังกล่าว และ Cook เองก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดที่จะช่วยพลิก Apple ให้กลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้ง

ต้องบอกว่า เมื่อทั้งสองได้มาเจอกัน มันคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของวงการคอมพิวเตอร์ ที่ Jobs และ Cook สองผู้นำที่แตกต่างกันจะมาร่วมมือกันเพื่อสร้างระบบการผลิตแบบ Just-in-Time ให้กับ Apple จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อสองผู้นำที่จะได้มาร่วมมือกันเปลี่ยนโลกอีกครั้งให้กับ Apple ที่ใกล้ล้มละลายเต็มที โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 4 : The Operations Guy

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Death of God *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol