ประวัติ Jho Low ตอนที่ 11 : Goldman and the Sheikh

เมื่อเข้าสู่เดือนมีนาคม ปี 2012 Tim Leissner ผู้บริหาร Goldman Sachs ของมาเลเซีย ได้บินไปยังอาบูดาบี เพื่อไปพบกับคนที่รวยที่สุดในโลกอย่าง Sheikh Mansour Bin Zayed ที่มีทรัพย์สินกว่า 40 พันล้านดอลลาร์ และเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเจ้าของสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในพรีเมียร์ลีก ของอังกฤษ

มันเป็นโอกาสที่น้อยมาก ๆ ที่จะมีโอกาสที่จะพบกับมหาเศรษฐีตัวจริงอย่าง Sheikh Mansour เพราะเขาไม่ได้เพียงแค่รวยมาจากธุรกิจน้ำมันเพียงเท่านั้น แต่ Sheikh Mansour ดำรงตำแหน่งประธานของบริษัท การลงทุนระหว่างประเทศ IPIC และกำลังมีการลงทุนที่แพร่ขยายไปยังทั่วทุกมุมโลก รวมถึงการเข้าไปอุ้มธนาคารยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ Barclays ที่แทบจะล้มจากวิกฤติทางการเงินในปี 2008

เหล่านักการธนาคารใน Wall Street ต่างจับจ้องท่าน Sheikh เพื่อหวังจะหาข้อเสนอทางการเงินให้กับบริษัทการลงทุน IPIC ของท่าน Sheikh แต่มีน้อยคนนักที่จะได้พบกับตัวจริงของ ท่าน Sheikh Mansour

Leissner เป็นหนึ่งผู้โชคดีคนนั้น แต่การที่เขาสามารถเข้าถึงบุคคลระดับนี้ได้นั้น ก็ต้่องขอบคุณ Connection ของ Low ผ่าน Khadem Al Qubaisi ผู้ช่วยชาวอาหรับของท่าน Sheikh ที่สามารถพาเข้าถึงท่าน Sheik Mansour ได้สำเร็จ

เนื่องจากจะมีการลงทุนขนาดใหญ่ใน มาเลเซีย ผ่านกองทุน 1MDB โดยทาง Leissner ที่เดินทางมาที่อาบูดาบีพร้อมกับ Low เพื่อคุยเรื่องโครงร่างข้อตกลง ที่ ธนาคารยักษ์ใหญ่จาก Wall Street กำลังเตรียมที่จะจำหน่ายพันธบัตรมูลค่า 3.5 พันล้านดอลลาร์สำหรับกองทุน 1MDB

แต่ปัญหาคือ 1MDB นั้นไม่เคยออกพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์ ให้กับเหล่านักลงทุนต่างชาติ และแทบไม่ติดอันดับความน่าเชื่อถือ ดังนั้น Leissner ที่เป็นตัวแทนของ Goldman Sachs มาเพื่อนำเสนอกับ IPIC ของท่าน Sheikh ที่เป็นองค์กรที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงเพื่อรับประกันปัญหานี้ นั่นจะทำให้นักลงทุนสบายใจ และ มั่นใจว่า 1MDB จะสามารถชำระหนี้คืนได้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด และแลกกับผลประโยชน์ที่ IPIC จะได้รับสิทธิ์ในการซื้อหุ้นใน บริษัท พลังงานที่จดทะเบียนในราคาที่เหมาะสม

Sheikh Mansour Bin Zayed เศรษฐีอันดับต้น ๆ ของโลกเจ้าของทีม แมน ซิตี้
Sheikh Mansour Bin Zayed เศรษฐีอันดับต้น ๆ ของโลกเจ้าของทีม แมน ซิตี้

ต้องบอกว่านี่เป็นพิมพ์เขียวใหม่ล่าสุดของ Low สำหรับ 1MDB ซึ่งเป็นหนทางที่กองทุนจะเข้าสู่ธุรกิจผลิตพลังงานไฟฟ้า โดยเงินจากการออกพันธบัตรดังกล่าวนั้น จะนำไปลงทุนในการซื้อโรงไฟฟ้าถ่านหินในมาเลเซีย และ ต่างประเทศ รวมถึงบริษัทมหาชนที่มีการทำ IPO ในตลาดหุ้นของมาเลเซีย

แต่มันก็เป็นแผนที่แปลกประหลาด ที่ทำไมกองทุนของรัฐบาลมาเลเซียจึงของรับประกันจากกองทุนที่คล้ายกันจากอีกประเทศหนึ่ง ทำไมรัฐบาลมาเลเซียถึงไม่ให้การรับประกันเอง ซึ่งเพื่อนร่วมงานของ Leissner ที่ Goldman Sachs ในดูไบ ซึ่งทำธุรกิจกับ IPIC เป็นประจำ ก็มองว่าเป็นเรื่องที่ผิดปรกติและปฏิเสธจะเข้าร่วม หรือแม้แต่ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินของ IPIC ก็ยังตั้งคำถามว่าทำไม IPIC ต้องไปเสี่ยงต่อธุรกิจกับกองทุนของประเทศอื่น ที่แทบจะไม่มีประวัติเลยมาก่อนด้วยซ้ำ

แต่นี่เป็นแผนการของ Low และเขาก็ได้ Connection ที่สำคัญอย่าง Khadem Al Qubaisi ที่ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของ IPIC เพื่อช่วยโน้มน้าวให้ Sheikh Mansour เห็นด้วยกับแผนการของ Low ซึ่งแน่นอนว่า Al Qubaisi นั้นก็จะได้รับผลตอบแทนจำนวนมหาศาลจาก Low อีกเหมือนเคย

และต้องบอกว่า Qubaisi นั้นไม่ใช่บุคคลธรรมดา เพราะ เขาเคยทำงานกับกองทุนความมั่งคั่งของอาบูดาบีมาก่อน หลังจากนั้นเขาก็ได้กลายมาเป็นกรรมการผู้จัดการของ IPIC และเขามีอำนาจที่แท้จริง เพราะเป็นหนึ่งในคนที่ Sheikh Mansour นั้นไว้วางใจเป็นอย่างมาก

Qubaisi นั้น จะเป็นคนตัดสินใจคนสุดท้ายสำหรับข้อเสนอที่สำคัญ เช่น ธุรกิจที่กำลังเติบโตที่น่าลงทุนอย่าง 1MDB และทาง Sheikh Mansour ได้มอบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จให้กับ Qubaisi ที่สามารถตกลงเข้าซื้อกิจการ โดยไม่ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการของ IPIC ซึ่งเรียกได้ว่า ลายเซ็นต์ของ Qubasi นั้นสามารถบรรลุข้อตกลงมูลค่าหลายพันดอลลาร์ได้ด้วยการตัดสินใจของเขาเพียงคนเดียว

“Qubaisi เป็นผู้ชายคนเดียวในโลกที่คุณสามารถโทรหาด้วยดีลมูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์ และเขาแค่พูดว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” ซึ่งเขาคิดว่าเขาเองนั้นคือพระเจ้าในโลกการเงิน” นักการเงินคนหนึ่งกล่าวถึง Qubaisi

IPIC นั้นก่อตั้งขึ้นในปี 1984 เพื่อลงทุนในบริษัท ที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน แต่ด้วยความสามารถของ Qubaisi ที่ดูแลกองทุน Aabar Investments และ บริษัทย่อยอื่น ๆ ได้มีส่วนร่วมในการลงทุนในหลายกิจการ หลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น บริษัทในอุตสาหกรรมรถยนต์อย่าง Benz , UniCredit , Virgin Galactic หรือ บริษัทอื่น ๆ หากมีข้อเสนอที่น่าสนใจ

แต่ Qubaisi เองนั้น ก็มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น ในปี 2009 เกิดคดีฟ้องร้องในอเมริกา เมื่อนักธุรกิจในอเมริกาสองคน อ้างว่า Qubaisi ได้ขอเงิน 300 ล้านดอลลาร์ ในระหว่างการเสนอราคาที่ล้มเหลวในการเข้าซื้อกิจการโรงแรมในเครือ Four Seasons (ซึ่งต่อมาโจทก์ได้ถอนฟ้อง)

ซึ่งหลังจากวิกฤติการเงินในปี 2008 นี่เองที่ทำให้กองทุนอย่าง IPIC นั้น มุ่งเข้าหาตลาดใหม่ ๆ เช่นในประเทศกำลังพัฒนาอย่างมาเลเซีย เพื่อชดเชยตลาดที่ซบเซาจากทางฝั่งยุโรป และ สหรัฐอเมริกา

ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากขึ้นของ Qubaisi ในการที่จะหาเงินจาก Wall Street ได้ง่าย ๆ เหมือนเมื่อก่อน ในปี 2011 Mohammed Bin Zayed ซึ่งเป็นพี่ชายของ Sheikh Mansour ได้มีการสั่งให้มีการออกตราสารหนี้ โดยผ่านหน่วยงานกลางเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ซ้ำซ้อนกับวิกฤติหนี้ในดูไบ

ซึ่งมีการออกโดยรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งแน่นอนว่าในขณะที่ Qubaisi นั้นกำลังหาวิธีการใหม่ ๆ ในการสร้างกระแสเงินสด และเพิ่มการลงทุนในประเทศที่กำลังพัฒนา มันก็เป็นช่องทางที่ทำให้เขาได้มาเจอกับ Jho Low ผู้ซึ่งอวดอ้างว่าเขาสามารถลงนามข้อตกลงมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในกองทุน 1MDB ได้นั่นเอง

ต้องบอกว่าแผนการของ Low นั้นใกล้ประสบความสำเร็จอีกครั้ง ซึ่งเขาต้องการให้พันธบัตรของ 1MDB ขายได้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่ได้การรับประกันจาก IPIC

ซึ่งโดยทั่วไปแล้วนั้น รูปแบบการออกพันธบัตรส่วนใหญ่นั้นจะมีการออกหุ้นสู่สาธารณะ ซึ่งธนาคารจัดให้มีการจัดการที่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนในวงกว้างมากที่สุด แต่ทางทางตรงกันข้ามหากต้องการความรวดเร็ว ก็สามารถที่จะเข้าหา สถาบันการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น กองทุนบำเน็จบำนาญ หรือ กองทุนป้องกันความเสี่ยงที่ต้องการผลตอบแทนที่สูง ซึ่งข้อได้เปรียบ คือ สามารถหาเงินได้อย่างรวดเร็ว และ ไม่ได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยเอเจนซี่ใหญ่ ๆ เช่น Moody’s และ Standard & Poor’s ซึ่งกระบวนการนี้จะเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบน้อยมาก ๆ

ซึ่งแผนการก็คือ กองทุน 1MDB นั้นตกลงที่จะจ่ายเงิน 2.7 พันล้านดอลลาร์ ให้กับโรงไฟฟ้าที่เป็นเจ้าของโดยมหาเศรษฐีชาวมาเลเซีย Ananda Krishnan จาก Tanjong Energy Holdings ซึ่งเป็นการซื้อกิจการครั้งแรกของกองทุน 1MDB

ซึ่งข้อตกลงนี้มันได้กลาเป็นว่า จะเป็นประโยชน์ต่อ Tanjong โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องจากข้อตกลงขายไฟฟ้าให้กับรัฐมาเลเซียนั้นกำลังจะหมดลงในไม่ช้า ซึ่ง Goldman Sachs ก็คิดไม่ออกว่าทำไมตัวเลขมันถึงออกมาสูงได้เช่นนี้ แต่ไม่มีทางเลือกอื่น Goldman Sachs จึงต้องกลายเป็นที่ปรึกษาให้กับ 1MDB รวมถึง ช่วยให้กองทุนระดมทุน และประเมินการลงทุนนี้ครั้งนี้ให้มีตัวเลขสูงที่สุด

ซึ่งเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่ Leissner มีการประชุมกับทางฝั่งอาบูดาบี ทางคณะกรรมการของ IPIC นั้นก็มีความสงสัย ในสิ่งที่ Goldman Sachs กำลังทำก็คือการขายพันธบัตรมูลค่า 1.75 พันล้านดอลลาร์ อายุ 10 ปี สำหรับกองทุน 1MDB ซึ่งแน่นอนว่า Goldman Sachs เองก็สามารถทำเงินได้มหาศาลกว่า 190 ล้านดอลาร์จากข้อตกลง หรือ ราว ๆ 11% ของมูลค่าพันธบัตร ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่สูงจนน่ากลัวมาก ๆ

Goldman Sachs ที่เข้ามาพัวพันด้วยผลประโยชน์มหาศาล
Goldman Sachs ที่เข้ามาพัวพันด้วยผลประโยชน์มหาศาล

ซึ่งหลังจากที่ Deal ทุกอย่างแล้วเสร็จ ในวันที่ 21 พฤษภาคมปี 2012 เงินฝากจากพันธบัตรมูลค่า 1.75 พันล้านดอลลาร์ ก็เข้าสู่บัญชีธนาคารของบริษัทย่อยด้านพลังงานของกองทุน 1MDB และเพียงอีกหนึ่งวันต่อมา เงินจำนวน 576 ล้านดอลลาร์ ก็ถูกโอนย้ายไปที่บัญชี
ธนาคาร BSI ของบริษัท Aabar Investments Ltd ที่ หมู่เกาะ British Virgin Islands

และนี่คือลูกไม้เดิม ๆ ของ Low เพราะ Aabar Investments Ltd นั้น มีชื่อคล้ายกับ Aabar Invesments PJS ซึ่งเป็นบริษัทที่มีอยู่จริงที่เป็นบริษัทในเครือของ IPIC ซึ่ง Low นั้นใช้แผนเดิม ๆ และบอกว่าเป็นการโอนเงินเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการชำระเงินเพื่อชดเชยให้กับกองทุนจากอาบูดาบี ซึ่งต้องบอกว่า มันเป็นการคิดกลอุบายที่แยบยลมากขึ้นโดย Low และ Qubaisi เพื่อรับเงินที่มากขึ้นจาก 1MDB นั่นเอง

ซึ่งผลจาก Deal ที่ทำได้สำเร็จดังกล่าวนั้น ทำให้ตัว Leissner นั้นได้รับเงินเดือนและโบนัสในปี 2012 มากกว่า 10 ล้านเหรียญ ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในพนักงานที่ได้รับผลตอบแทนสูงที่สุดของธนาคาร ซึ่งมันเป็นเวลาเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น ที่ Leissner ได้มาพบเจอกับ Low และได้เปลี่ยนความมั่งคั่งของเขา ให้มากขึ้นกว่าเดิมถึงหลายเท่านัก

แม้ Leissner นั้นจะยังไม่รู้ถึงเรื่องการฉ้อโกงที่ชัดเจน แต่ด้วยผลประโยชน์มหาศาลที่เขาได้รับ ก็ทำให้เขาไม่ได้สนใจเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด แม้จะระแคะระคายอยู่บ้าง ส่วน Qubaisi เองนั้นก็ได้รับเงินไปมหาศาลเช่นเดียวกัน ผ่านช่องทางการเงินที่ซับซ้อนที่ Low เป็นผู้สร้างสรรค์มันขึ้นมา

ถึงตอนนี้ Jho Low ได้ทำการปล้นครั้งสำคัญเป็นครั้งที่สองแล้ว ซึ่งแตกต่างจากช่วงแรกในปี 2009 กับ PetroSaudi จะเห็นได้ว่าเขาเริ่มมีการวางแผนที่ละเอียดถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น และใช้ความซับซ้อนทางการเงินมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ยากที่จะตามรอยเขาได้ และที่สำคัญทุกอย่างนั้นทำอย่างรวดเร็วเหมือนเคย และผู้สมรู้ร่วมคิด แม้จะรู้จริง หรือ อาจจะแค่ระแคะระคายว่าทั้งหมดเป็นเรื่องปาหี่ แต่พวกเขาก็มองข้ามและเห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวเองที่ได้รับจาก Deal เหล่านี้ ด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาลนั่นเองครับ

แล้ว เรื่องราวทั้งหมด มันจะถูกเปิดโปงเมื่อไหร่ เหล่าสื่อทั้งหลายเริ่มสืบสวนเรื่องดังกล่าวไปถึงไหน จะเกิดอะไรขึ้นกับ Low ต่อไป โปรดอย่าพลาดติดตามตอนหน้าครับผม

–> อ่านตอนที่ 12 : The Big Boss

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Prologue *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

References Image : http://fcpaprofessor.com/doj-announces-fcpa-related-enforcement-action-individuals-associated-goldman-sachs-connection-1mdb-fund/

ประวัติ Jho Low ตอนที่ 10 : Win Win Situation

ต้องบอกว่าธนาคารของสวิตเซอร์แลนด์อย่าง BSI นั้น เจริญรุ่งเรืองมาหลายชั่วอายุคนแล้ว เพราะการช่วยเหลือชาวยุโรปและอเมริกันที่ร่ำรวย ที่ต้องการซ่อนเงินสดในบัญชีส่วนตัวและหลบเลี่ยงการจ่ายภาษีในประเทศของเขา ทำให้ธนาคารแบบ BSI นั้นกลายเป็นที่พึ่งที่สำคัญของเหล่าเศรษฐีเหล่านี้

แต่อย่างไรก็ตามในช่วงกลางทศวรรษที่ 2000 ประเทศในยุโรปและอเมริกา ได้หมดความอดทนกับสวิตเซอร์แลนด์ และเริ่มกดดันให้ธนาคารเหล่านี้เริ่มส่งมอบข้อมูลเกี่ยวกับการโกงภาษี ซึ่งในท้ายที่สุด สหภาพยุโรปและสวิตเซอร์แลนด์ได้ลงนามในสนธิสัญญาที่บังคับให้ธนาคารในสวิตเซอร์แลนด์เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีที่ถือโดยพลเมืองของประเทศอื่นในยุโรป หรือ สหรัฐอเมริกา และทำให้ ธนาคารเล็ก ๆ แบบ BSI นั้นไม่เป็นที่ต้องการของเหล่ามหาเศรษฐีอีกต่อไป

BSI ก็ได้บุกมาที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2005 แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนัก เพราะต้องแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง UBS และ Credit Suisse แต่ต้องบอกว่ามันเหมือนโชคชะตาฟ้าลิขิตที่ทำให้ Low ต้องมาเป็นพันธมิตรกับ BSI

เพราะ ธนาคาร Coutts ที่เป็นธนาคารที่ทางครอบครัว Low นั้นใช้บริการมาตั้งแต่รุ่นพ่อของเขา โดย Yak Yew Chee นายธนาคารชาวสิงค์โปร์วัย 50 ปี ของ Coutts มีความผูกพันกับครอบครัวของ Low มาตั้งแต่รุ่นพ่อ ได้ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่ BSI ทำให้บัญชีของครอบครัวของ Low นั้นก็ได้ย้ายตามมาด้วย

Coutts Bank ที่ผูกพันกับครอบครัวของ Low มาตั้งแต่รุ่นพ่อ
Coutts Bank ที่ผูกพันกับครอบครัวของ Low มาตั้งแต่รุ่นพ่อ

ในปี 2009 ก็เป็น Yak นี่เองที่ช่วยเปิดบัญชีสำหรับบริษัทนอมินีของ Low อย่างบริษัท Good Star และเขาก็รู้ดีว่ามันเป็นบัญชีของบริษัทที่ได้รับเงินจำนวนมหาศาลที่ถูกถ่ายโอนมาจากกองทุน 1MDB ซึ่งมันเป็นความลับสุดยอด

และกองทุน 1MDB ยังได้ทำการเปิดบัญชีใหม่ที่ BSI ซึ่งมีโอกาสที่จะได้รับเงินอีกหลายพันล้านดอลลาร์ในอนาคตข้างหน้า และเพื่อให้มั่นใจว่าผู้บริหารระดับสูงของ BSI นั้นจะไม่มีปัญหา Low จึงได้ใช้ความระมัดระวังอย่างสูง โดยให้ Yak จัดการประชุมที่เมือง Lugano ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างเจ้าหน้าที่อาวุโสของ 1MDB กับผู้บริหารระดับสูงของ BSI เพื่อสร้างความมั่นใจกันทั้งสองฝ่าย

และมันทำให้ Low ได้พบเจอกับนายธนาคารเด็กหนุ่มรุ่นใหม่อีกหนึ่งคนที่มีชื่อว่า Yeo Jiawei ซึ่งเป็นนายธนาคารรุ่นใหม่ไฟแรงวัย 28 ปี ที่ BSI ต้องบอกว่า Yeo เป็นผู้เชี่ยวชาญในมุมมืดของระบบการเงินโลก โดยที่ BSI เขามีตำแหน่งในฐานะ “ผู้จัดการความมั่งคั่ง” ของเหล่ามหาเศรษฐีที่ต้องการบริการแบบพิเศษ

แต่ความเชี่ยวชาญที่แท้จริงของเขา คือ ความรู้ที่ซับซ้อนของวิธีที่จะช่วยให้ลูกค้าชั้นยอดลดค่าภาษี เช่นเดียวกับธนาคารเอกชนหลายแห่งในสิงค์โปร์ที่กำลังคิดค้นกลยุทธ์ดังกล่าว เช่นเดียวกัน เพื่อตอบสนองลูกค้าชาวอินเดีย และเศรษฐีชาวตะวันออกเฉียงใต้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งวิธีหนึ่งที่ Yeo ใช้ก็คือ การฟอกเงินของลูกค้าผ่านกองทุนในสถานที่ที่ห่างไกลนั่นเอง

ซึ่งแทนที่จะให้ Yeo จัดการกับการเลี่ยงภาษี Low ได้บอกกับ Yeo ว่าเขาจะได้รับงานที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม โดยจะเป็นงานลับของรัฐบาล แน่นอนว่าเป็นงานที่ท้าทายความสามารถของ Yeo เป็นอย่างยิ่ง

จากนั้นเขาก็ได้เริ่มทำในสิ่งที่ Low ต้องการ ในเดือนธันวาคมปี 2011 Yeo ได้มีการประชุมที่สิงค์โปร์กับ Jose Renato Carvalho Pinto ผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ชาวบราซิล ที่ Amicorp Group ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบริษัทการเงินขนาดเล็ก

Yeo อธิบายกับ Pinto ว่า BSI ทำงานอย่างไรเกี่ยวกับกองทุนรวมที่ลงทุนในมาเลเซียและตะวันออกกลาง และต้องการให้ Amicorp จัดตั้งกองทุนโครงสร้างต่าง ๆ ซึ่งหลังจากได้ฟังแนวคิดคร่าว ๆ Pinto ก็เริ่มมีความสนใจ

Amicorp นั้นได้รับการสนับสนุนจากนักการเงินชาวดัตช์ ที่มีชื่อว่า Toine Knipping ซึ่งทำงานมานานหลายปีในฐานะนักการเงินใน Curacao เกาะในแคริบเบียน ที่เคยเป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ ก่อนมาตั้งรกรากในสิงค์โปร์

Knipping นั้น เคยทำงานให้กับธนาคารในเวเนซุเอลา หนึ่งในความเชี่ยวชาญหลักของเขา คือ ใน Curacao ช่วงปี 1970 และ 1980 กลายเป็นศูนย์กลางนอกชายฝั่ง ที่สำคัญ เป็นสถานที่สำหรับการเคลื่อนยาเสพติดในอเมริกาใต้เพื่อเข้าสู่สหรัฐอเมริกา และเป็นแหล่งฟอกเงินที่สกปรกแห่งหนึ่งของโลกในยุคนั้น

ซึ่งในการประชุม Yeo อธิบายว่า BSI ต้องการความช่วยเหลือของ Amicorp ในการจัดตั้งโครงสร้างของกองทุนการลงทุนสำหรับกองทุน 1MDB ของมาเลเซีย โดย Pinto ต้องช่วยในการเคลื่อนย้ายเงินทุน โดยธุรกรรมแรกกว่า 100 ล้านดอลลาร์นั้นมาจากบัญชี BSI ที่ควบคุมโดย 1MDB ไปสู่กองทุนรวมที่บริหารโดย Amicorp ใน Curacao

ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นวิธีการฟอกเงินของลูกค้าผ่านสิ่งที่ดูเหมือนว่ามันคือ กองทุนรวม กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เงินสดออกมาจากด้านหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นการโอนมาจากกองทุนรวม ซึ่งนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเงิน 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่ง Enterprise Emerging Market Fund ส่งไปยังบริษัท เชลล์ที่ถูกควบคุมโดย Fat Eric ซึ่งเป็นบริษัทของ Low นั่นเอง

Curacao แหล่งฟอกเงินชั้นดีของเหล่าเศรษฐี
Curacao แหล่งฟอกเงินชั้นดีของเหล่าเศรษฐี

แม้ Yeo นั้นจะไม่เคยอธิบายเหตุผลทางธุรกิจที่ชัดเจน สำหรับการโอน มันมีความไม่ชอบมาพากลเป็นอย่างยิ่งที่กองทุนของรัฐเช่น 1MDB จะใช้โครงสร้างทางการเงินที่เป็นความลับ แต่ Pinto ก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะ BSI นั้นได้รับรอง 1MDB เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

ซึ่งต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ เงินที่ Low ดึงมาในล็อตแรก ๆ นั้น ค่อนข้างมีความเสี่ยงเพราะมีการส่งเงินสดโดยตรงจาก Good Star ไปยังบัญชีของเขาที่ BSI และเมื่อสื่อ เริ่มเพ่งเล็งตัวเขามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ The Edge ของ Tong Kooi Ong ทำให้เขาเริ่มหวาดระแวงมากยิ่งขึ้น และเริ่มสร้างวิธีการที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ด้วยการใช้ขั้นตอนผ่านตัวกลาง เช่น กองทุนใน Curacao ซึ่ง Low หวังว่ามันจะแนบเนียนมากยิ่งขึ้น และตามรอยเขาได้ยากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง

และมีอีกกองทุนหนึ่งที่ช่วยในการฟอกเงินครั้่งใหญ่ครั้งนี้ นั่นก็คือ Bridge Partners International ซึ่งเป็นของนักการเงินชาวฮ่องกงที่ชื่อ Lobo Lee โดย Bridge Partners ได้จัดตั้งกองทุนขึ้นที่เกาะเคย์แมน ที่มีชื่อว่า กองทุน Bridge Global

โดยกองทุน Bridge Global นั้นมีลูกค้ารายเดียวซึ่งก็คือ 1MDB และยังแทบไม่ได้จดทะเบียนกับหน่วยงานในเกาะเคย์แมนเพื่อขออนุญาตลงทุนเลยด้วยซ้ำ ซึ่ง 1MDB ได้อ้างสิทธิ์ในงบการเงิน โดยเฉพาะการลงทุนใน Bridge Global กว่า 2.3 พันล้านดอลลาร์ และ กำไร 500 ล้านดอลลาร์ จากเงินที่ PetroSaudi ให้ยืม

โดยกองทุน 1MDB จัดตั้งบริษัทย่อย ใหม่ชื่อว่า Brazen Sky ซึ่งเปิดบัญชีธนาคารกับ BSI เพื่อถือหน่วยลงทุนดังกล่าว แต่ต้องบอกว่าบริษัทใหม่นั้น มันไม่มีอะไรเลย นอกจากอาคารเปล่าๆ ไม่มีเงินสด มีเพียงหน่วยลงทุนเท่านั้น ที่คาดหวังผลกำไรจากการขายหุ้นในเรือขุดเจาะน้ำมันที่ไม่มีค่า

ซึ่งสุดท้าย ทุกคนก็จะปิดปากเรื่องดังกล่าว ด้วยผลประโยชน์ที่มหาศาล กองทุน 1MDB ตกลงที่จะจ่าย 4 ล้านเหรียญต่อปีให้กับ Bridge Partners Global และ 12 ล้านเหรียญต่อปีให้กับ BSI เพื่อจัดการเรื่องการฟอกเงินที่ซับซ้อนดังกล่าว ส่วนตัว Yeo นั้นก็ใช้ความอัจฉริยะของเขาดึงเงินหลายล้านดอลลาร์เข้าบัญชีส่วนตัวของเขา เรียกได้ว่าเป็นกระบวนการฟอกเงินที่ WIN-WIN-WIN ของ ทุก ๆ ฝ่ายได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับ

ถึงตอนนี้ เราจะได้เห็นถึงความซับซ้อนที่เพิ่มมากขึ้นของเส้นทางการเงิน เนื่องจาก Low เริ่มถูกจับตามอง และมีการสืบสวนโดยสื่อที่เป็นอริของ Najib Razak ทำให้เขาต้องหาวิธีการที่ตามรอยยากมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านระบบการเงินที่มีความซับซ้อนเช่นนี้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อกับเขา โปรดติตามต่อตอนหน้านะครับผม

–> อ่านตอนที่ 11 : Goldman and the Sheikh

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Prologue *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

References Image : https://www.freemalaysiatoday.com/category/nation/2017/07/14/ex-bsi-bankers-trial-opens-up-pandoras-box-regarding-1mdb/

ประวัติ Jho Low ตอนที่ 9 : The Wolf of Hollywood

หลังจากที่ได้เจอกับ Low ในทริปการพักผ่อนที่ Whistler ในประเทศแคนาดา McFarland ที่เป็นเพื่อนกับ Paris Hilton ก็ได้กลายมาเป็นเพื่อนกับ Low อย่างรวดเร็ว ด้วยความสามารถ และ Connection ที่กว้างขวางในวงการ Entertainment นั้น ทำให้เขากลายมาเป็นคนที่โปรดปรานของ Low เป็นอย่างมาก

Low และ McFarland เริ่มพูดคุยอย่างจริงจัง เกี่ยวกับการที่จะเริ่มต้นธุรกิจภาพยนตร์ฮอลลีวูด พร้อมกับ Riza Aziz ลูกเลี้ยงของนายกรัฐมนตรี Najib Razak พวกเขาจำเป็นต้องหา Connection ที่ใกล้ชิดกับนักแสดงและผู้กำกับชื่อดัง

ตัว Riza นั้นก็พอจะมี Connection อยู่บ้าง และเคยรู้จักกับ Jamies Foxx นักแสดงฮอลลีวูดชื่อดัง เพราะเขาเคยไปพูดคุยกับ Foxx เกี่ยวกับแนวคิดในเรื่องการลงทุนในการสร้างภาพยนตร์ ซึ่งมูลค่าการลงทุนสูงถึง 400 ล้านดอลลาร์

และด้วยเงินมหาศาลขนาดนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่ Foxx จะช่วยเปิดประตูต่อให้ Riza ได้พบกับ Avi Lerner ผู้ผลิตภาพยนตร์อิสระที่บริษัท Millennium Films ที่เพิ่งสร้างหนัง Righteous Kill โดยได้นักแสดงชื่อดังอย่าง Al Pacino และ Robert De Niro มารับบทนำ

Joe Gatta ผู้บริหารของ Millennium ได้มีโอกาสพบกับ Riza และ McFarland และชักชวนให้พวกเขาสร้าง บริษัท ผลิตภาพยนตร์ของตัวเองขึ้นมา

โดยในปี 2007 Di Caprio ได้ชนะการประมูล ที่มีการแข่งขันกับดาราชื่อดังอีกคนอย่าง Brad Pitt เพื่อสิทธิในเรื่องราวอัตถชีวประวัติของ Jordan Belfort นักลงทุนชื่อดังในยุค 1980-1990 ซึ่งต้องบอกว่าเขามีประวัติที่น่าสนใจมาก ๆ ในการทำเงินกับตลาดหุ้น และใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างสุดเหวี่ยง ทั้งปาร์ตี้ เล่นยา และ โสเภณี แต่สุดท้าย เขาก็ได้ถูกตัดสินจำคุกในปี 2004 ในข้อหาฉ้อโกง และถูกสั่งให้ชดใช้ให้กับเหล่านักลงทุนที่ถูกเขาหลอกลวง ก่อนที่จะถูกปล่อยตัวออกมาหลังจากนั้นเพียง 22 เดือน

ซึ่งนั่นก็คือที่มาของภาพยนตร์ The Wolf of Wall Street แม้ตัวเนื้อเรื่องเอง จะมีการเติมแต่งไปเป็นอย่างมาก จากเนื้อเรื่องต้นฉบับ เพราะ Belfort เองนั้นก็ไม่ได้อยู่ในแถบ Wall Street แต่อย่างใด เขาอยู่ห่างไปเป็นพัน ๆ ไมล์จาก Wall Street และเขาก็ไม่เคยถูกขนานนามว่าเป็น “The Wolf of Wall Street” เหมือนที่หนังกำลังสื่อถึง

แต่ตัว Belfort นั้น เป็นคนที่ศรัทธาในตัว Di Caprio เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และประทับใจ Di Caprio จากหนังอย่าง Catch Me If You Can และการรับบทบาท Jay Gatsby ในหนังดังอย่าง The Great Gatsby

ซึ่งต้องบอกว่าฮอลลีวูด นั้น หมกมุ่นอยู่กับเรื่องของ นักการเงินชายที่แสนโลภ และประสบความสำเร็จอย่างดีในการเสนอเนื้อหาแบบดังกล่าว ตั้งแต่ ยุค 1980 ไม่ว่าจะเป็น เรื่อง American Psycho และ Boiler Room มีเสียงตอบรับที่ดีจากแฟน ๆ ภาพยนตร์เสมอมา

แม้ตัว Martin Scorsese ที่ได้ถูกวางตัวให้มาเป็นผู้กำกับจะรู้สึกผิดหวัง กับบทของหนังดังกล่าว ซึ่งเขาต้องใช้เวลากว่า 5 เดือนในการเตรียมบท เพื่อเตรียมการถ่ายทำและได้เริ่มบ่นกับคนในวงการว่ามันเป็นการเสียเวลาเปล่ากับหนังอย่าง The Wolf of Wall Street

Martin Scorsese ผู้กำกับชื่อดังที่จะมากำกับ The Wolf of Wall Street
Martin Scorsese ผู้กำกับชื่อดังที่จะมากำกับ The Wolf of Wall Street

แต่ Low ก็จัดการเรื่องดังกล่าว ด้วยการเสนอเงินทุนที่ไม่มีลิมิต และ ปล่อยให้ Scorsese ทำในสิ่งที่อยากทำได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงานศิลปะ หรือ เงินทุนในการสร้าง Low พร้อมที่จะทุ่มเททุกอย่างให้ทั้้งหมด แค่ให้งานนี้สำเร็จ

ในเดือนกันยายนปี 2010 Riza Aziz และ McFarland ได้ก่อตั้งบริษัท Red Granite Productions (ซึ่งต่อมากลายเป็น Red Granite Pictures) โดย Riza นั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นประธาน และ McFarland เป็นรองประธาน ส่วน Low นั้นก็ไม่มีบทบาทอย่างเป็นทางการเช่นเดียวกับที่เขาทำในกองทุน 1MDB

Low นั้นอยู่เบื้องหลังอยู่เสมอ เขาจัดการระดมทุนครั้งแรกให้กับบริษัท มีการโอนเงินจำนวน 1.17 ล้านดอลลาร์ จาก บริษัท Good Star บริษัทนอมินีของเขาในหมู่เกาะบริติช เวอร์จิ้น ก่อนที่จะทยอยโอนเพิ่มเติมมาในภายหลัง เพื่อมาเป็นทุนในการสร้างหนังและค่าใช้จ่ายทางด้านการตลาด

ในเดือนพฤษภาคม ปี 2011 มีการจัดอีเว้นท์ มูลค่าหลายล้านดอลลาร์ที่เมืองคานส์ ประเทศ ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการในการสร้างหนัง The Wolf of Wall Street ของพวกเขา

Low เล่นใหญ่ด้วยการเปิดตัวที่เทศกาลหนังเมืองคานส์
Low เล่นใหญ่ด้วยการเปิดตัวที่เทศกาลหนังเมืองคานส์

ดูเหมือนว่าตัว Belfort เอง ก็เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ในงานอีเว้นท์ที่มีค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 3 ล้านดอลลาร์ เพื่อการเปิดตัว ในขณะที่ภาพยนตร์เรื่่องนี้ยังไม่ได้เริ่มผลิตเลยด้วยซ้ำ

แม้ในภายหลังนั้น Low จะเสนอเงินให้ Belfort กว่า 500,000 ดอลลาร์ เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมเปิดตัวหนังในลาสเวกัสกับ Di Caprio แต่ Belfort ก็เริ่มไม่ไว้วางใจคนกลุ่มนี้อีกต่อไป และพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปสุงสิงกับ Low ในภายหลัง

คนในฮอลลีวูด ต่างมีความสงสัยเกี่ยวกับบริษัทหน้าใหม่อย่าง Red Granite ที่มีเงินทุนมหาศาล และพวกเขาก็แทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับฮอลลีวูดมาก่อนหน้านี้เลยด้วยซ้ำ และแทบจะไม่มีใครรู้จัก Riza Aziz หรือ McFarland ที่อยู่ดี ๆ ก็กระโดดเข้ามาสร้างภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ด้วยทุนมหาศาลขนาดนี้

ซึ่งในเวลาหนึ่งสัปดาห์ในเทศกาลภาพยนตร์ที่คานส์ Low นั้นก็มีการเช่าเรือซุปเปอร์เรือยอชท์ ที่นำมาจอดเทียบท่าในน่านน้ำของทะเลเมดิเตอร์เรนียน ไม่ไกลจากเมืองคานส์ และนอกจากการมาเพื่อเปิดตัวบริษัทภาพยนตร์ของเขา Low ได้จัดให้ศิลปินชื่อดังอย่าง Pharrell Williams เข้ามาบันทึกเพลงในสตูดิโอชั่วคราวของเขาบนเรือยอชท์ด้วย

ไม่เพียงแค่วงการภาพยนตร์เท่านั้น Low ยังเข้าไปคลุกคลีกับวงการเพลง โดยเขาได้ก่อตั้งบริษัทผลิตเพลงที่ชื่อว่า Red Spring และเริ่มจ้างนักดนตรีที่เก่งที่สุดเพื่อช่วยสร้างอัลบั้ม ให้กับ Elva Hsiao ที่เป็นนักร้องชื่อดังจากไต้หวัน โดย Low อยากให้ Hsiao แจ้งเกิดได้ในอเมริกา

โดย Low ได้ตกลงจ่ายเงินกว่า 3 ล้านเหรียญ ให้ Pharrell Williams เพื่อสร้างเพลง 3 เพลงให้กับ Hsiao และจะปรากฏในมิวสิควีดีโอคู่กับเธอ นอกจากนี้ยังตกลงกับ Alicia Keys และสามีนักแต่งเพลงฮิปฮอปของเธอ Swizz Beatz โดยจ่ายเงินให้ทั้งคู่ 4 ล้านเหรียญ เพื่อให้ดูแลอัลบั้มและการเปิดตัวของ Hsiao ในอเมริกา

และเมื่อมาถึงจุดนี้ ต้องบอกว่า Jho Low นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ชายที่ ปาร์ตี้ อย่างบ้าระห่ำ และใช้เงินอย่างบ้าคลั่งเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เพราะตอนนี้ เขา และ Riza กำลังกลายเป็นผู้เล่นในฮอลลีวูด แบบเต็มตัว และเล่นใหญ่ ด้วยการสร้างหนังที่มีมูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์ ท่ามกลางความสงสัยจากคนในวงการบันเทิงฮอลลีวูด แล้วเขาทำทุกอย่างไปเพื่ออะไร จะเกิดอะไรขึ้นต่อกับชายที่ชื่อ Jho Low โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 10 : Win Win Situation

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Prologue *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

References Image : https://www.theaustralian.com.au/

ประวัติ Jho Low ตอนที่ 8 : Where’s Our Money?

เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2009 มีการประชุมพิเศษของบอร์ด 1MDB ซึ่งสถานการณ์ในตอนนั้นกองทุนที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นอย่างเร่งรีบ ยังไม่มีแม้กระทั่งสำนักงานถาวรของตนเองเลยเสียด้วยซ้ำ

การประชุมในวันนั้นถูกจัดขึ้นที่โรงแรม Royale Bintang โรงแรมสี่ดาวย่าน Mutiara Damansara ใกล้กับกรุงกัวลาลัมเปอร์เมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีหนึ่งในผู้บริหารคนใหม่คือ Bakke Salleh นักธุรกิจชื่อดัง ซึ่งนายกรัฐมนตรี Najib Razak เลือกให้มาเป็นประธานกรรมการ

ต้องบอกว่า Profile ของ Bakke นั้นไม่ธรรมดา เขาเป็นนักบัญชีระดับท็อป เรียนจบที่ London School of Economics ในเรื่องการคอร์รัปชั่น Bakke มีชื่อเสียงในการปราบปราบเรื่องราวทุจริตในหลาย ๆ องค์การจากประสบการณ์ของเขาที่ผ่านมา

และเป็น Bakke ที่ยิงคำถามเข้าใส่ในประเด็นที่ 1MDB มีการส่งเงิน 700 ล้านดอลลาร์ให้กับบริษัทอื่น และไม่ใช่บริษัทที่มีการร่วมทุนกับ PetroSaudi ได้อย่างไร? Bakke มองว่าทำไมบอร์ดถึงไม่ได้รับการแจ้งเกี่ยวกับหนี้ดังกล่าวที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรก เขาจึงสั่งต้องการให้ PetroSaudi ทำการคืนเงินเพื่อให้สามารถลงทุนในกิจการร่วมค้าได้ตามที่ตกลงกัน

เขามองว่า การลงทุนอย่างมีนัยยะสำคัญจำนวน 1 พันล้านดอลลาร์ ควรได้รับความคิดที่ละเอียดรอบคอบมากขึ้นและมีกระบวนการตรวจสอบอย่างรอบคอบ ซึ่ง Bakke ต้องการให้มีการตรวจสอบโดยอิสระเกี่ยวกับสินทรัพย์น้ำมันที่ PetroSaudi จะนำมาลงทุน เนื่องจากกระบวนการก่อนหน้านี้ มันดูเร่งรีบ และใช้เวลาน้อยเกินไป ในดีลขนาดใหญ่เช่นนี้

Bakke Salleh ที่ต้องการตรวจสอบเงินที่หายไป 700 ล้านดอลลาร์ (ภาพจาก GettyImage)
Bakke Salleh ที่ต้องการตรวจสอบเงินที่หายไป 700 ล้านดอลลาร์ (ภาพจาก GettyImage)

แต่ Low ก็เป็นฝ่ายโน้มน้าว Najib ไม่ให้รับแนวคิดของ Bakke เพราะจะเป็นการเสียเวลาหากต้องมีการประเมินมูลค่าสินทรัพย์รอบสอง ซึ่งต้องใช้ระยะเวลายาวนาน และดูเหมือนว่า Naijb จะโอนอ่อนคล้อยตามคารมของ Low อีกครั้ง

Bakke ทนไม่ไหวกับเรื่องดังกล่าว และไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องราวที่ยุ่งเหยิงที่เขารู้ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต จึงได้ตัดสินใจลาออกทันที แต่ทาง Najib ได้ขอไว้ให้เขาออกไปในสองสามสัปดาห์ เพื่อไม่ให้เป็นข่าวคึกโครมจนเกินไป

ดูเหมือนสถานการณ์ในตอนนี้ Najib ก็เริ่มทราบว่า 1MDB จะมีโอกาสเป็นปัญหาทางการเมืองของเขาในอนาคต การที่เขาปล่อยให้เด็กที่ยังแทบไม่ผ่านการทดลองงานอย่าง Low ทีมีอายุเพียงแค่ 28 ปี มาดำเนินการโครงการที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ มันมีความเสี่ยง

แต่ดูเหมือนเขายังมองว่าอย่างน้อยมันจะเป็นการเปิดทางให้กับแหล่งเงินทุนจากตะวันออกกลาง และที่สำคัญต้องบอกว่า Low นั้นเข้าถูกทาง เพราะคอยปรนนิบัติกับทั้งภรรยา และ ลูกเลี้ยงของเขา Riza Aziz เป็นอย่างดี Najib จึงยังคงจงใจไม่สนใจสิ่งที่เด็กหนุ่มอย่าง Low กำลังทำอยู่ แม้ว่าจะมีรายงานเกี่ยวกับการใช้จ่ายใน นิวยอร์ก เวกัส หรือที่อื่น ๆ รวมถึงการที่นักธุรกิจผู้มีชื่อเสียงอย่าง Bakke ส่งเสียงเตือนมาก็ตาม

และเพื่อรักษาความไว้วางใจของ Najib Low จึงได้จัดให้มีการเยือนประเทศซาอุดิอาระเบียอีกครั้งในเดือนมกราคมปี 2010 ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ Low ต้องการปิดปากเหล่าคณะกรรมการ 1MDB จำนวนหนึ่งที่ยังคงบ่นถึงจำนวนเงินของกองทุนที่หายไป

เขาได้กล่าวกับคณะกรรมการของ 1MDB ว่า การถามคำถามมากเกินไปเกี่ยวกับข้อตกลงกับ PetroSaudi ซึ่งเขาได้อธิบายว่า อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างมาเลเซียกับ ซาอุดิอาระเบียแย่ลงไปได้

Low มักจะไปนั่งทางกาแฟกับเหล่าคณะกรรมการของกองทุน 1MDB เป็นประจำ และพยายามทำตัวว่าเขาเป็นตัวแทนของนายกรัฐมนตรี Najib ในการจัดการกองทุน 1MDB แม้เขาจะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการก็ตามที

ด้วยความใกล้ชิด และความไว้วางใจอย่างสูงจาก Najib ทำให้ Low ดูมีอำนาจมากยิ่งขึ้น และนั่นคือสิ่งที่เขาใช้เป็นประโยชน์ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของเขาอีกต่อไปนั่นเอง

และเพื่อให้แทนที่ตำแหน่งที่ว่างลงของ Bakke ทาง Low เองได้นำเสนอ Najib ให้แต่งตั้งหุ้นส่วนทางธุรกิจของพ่อเขา Lodin Wok Kamaruddin ผู้ที่ภักดีต่อพรรค UMNO ให้กลายมาเป็นประธานคนใหม่ของ 1MDB ซึ่งเมื่อถึงตอนนี้ เขาก็สามารถควบคุมได้ทุกอย่างได้สำเร็จ

ซึ่งต้องบอกว่าหลังจากการลาออกของ Bakke ในเหล่าชนชั้นสูงของมาเลเซีย ก็พอได้ยินข่าวเกี่ยวกับการลาออกของ Bakke ซึ่งแน่นอนว่ามันมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่เนื่องจากการที่ Najib นั้นสามารถควบคุมสื่อกระแสหลักได้หมด ทำให้ปัญหาของกองทุนยังไปไม่ถึงสาธารณชน

แต่ก็มีสื่อบางรายที่ Najib ไม่สามารถ Control ได้ Tong Kooi Ong เจ้าของสื่อ Edge หนังสือพิมพ์ธุรกิจรายสัปดาห์ภาคภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นหนังสือด้านพิมพ์ด้านธุรกิจชั้นนำของประเทศมาเลเซีย

The Edge สื่อที่ Najib ไม่สามารถ Control ได้
The Edge สื่อที่ Najib ไม่สามารถ Control ได้

Tong เป็นเพื่อนกับ อันวาร์ อิบราฮิม อดีตรองนายกรัฐมนตรี แต่ในช่วยปลายยุค 90 อันวาร์หลุดพ้นตำแหน่งเนื่องจากนายก มหาธีร์ โมฮัมหมัด ได้ทำการปลดเขาออก จากการที่อันวาร์ โดนกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมรักร่วมเพศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฏหมายในประเทศมาเลเซีย

หลายปีที่ผ่านมา Tong ถือเป็นกลุ่มกบฏของชุมชนธุรกิจของมาเลเซีย ที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับ Najib เหมือนสื่ออื่น ๆ เมื่อ Tong ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลของ 1MDB เขาจึงสั่งให้ทีมนักข่าวเริ่มสืบสวนในเรื่องดังกล่าวทันที

Tong นั้นเริ่มได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับ 1MDB ตั้งแต่เริ่มต้น ชาวมาเลย์ชนชั้นสูงต่างซุบซิบนินทาเกี่ยวกับการจัดการของ Najib ในเรื่องกองทุน 1MDB เหล่านักการทูตมาเลเซียบ่นเรื่องการจัดทริปชอปปิ้งของ Rosmah ภรรยาของ Najib เมื่อเธอไปยังต่างประเทศ รวมถึงเรื่องการลาออกของ Bakke

โดยในเดือนธันวาคม 2009 หนังสือพิมพ์ Edge ของ Tong เริ่มเผยแพร่ข่าว เกี่ยวกับคำถามที่ว่า ทำไม Bakke ถึงลาออกจากคณะกรรมการของ 1MDB หลังจากกองทุนเพิ่งเริ่มต้นได้เพียงไม่นาน และอะไรคือจุดประสงค์ที่แท้จริงของ 1MDB และจะใช้เงินลงทุนไปกับอะไรกันแน่?

ถึงตอนนี้แม้ Low จะพยายามเข้าไป Control ทุกสิ่งใน 1MDB ได้สำเร็จ แต่ตอนนี้เขาต้องพบกับอุปสรรคสำคัญ ซึ่งก็คือ สื่อที่กำลังได้เริ่มกลิ่นตุ ๆ ของความไม่ชอบมาพากลของกองทุน 1MDB แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับ Low เขาจะอธิบายสิ่งเหล่านี้กับสาธารณชนชาวมาเลเซียได้อย่างไร โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 9 : The Wolf of Hollywood

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Prologue *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

References Image : http://cempedakcheese.com/najib-tahu-jho-low-curi-wang-1mdb-sejak-2015/

ประวัติ Jho Low ตอนที่ 7 : Money Magic

ในวันที่ 22 ตุลาคม 2009 เพียงแค่สามสัปดาห์หลังจากที่ Low ได้ยักยอกเงินมูลค่ากว่า 700 ล้านดอลลาร์ จากกองทุน 1MDB เขาก็ได้บินไปฉลองที่อเมริกาทันที และที่นั่นก็คือเมืองแห่งแสงสีอย่าง ลาสเวกัส

และก็เป็นหนึ่งในโรงแรมใหม่ล่าสุดอย่าง Palazzo โรงแรมระดับหรู และมีคาสิโนที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแห่งที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา Low ได้มีการจ้างนางแบบสาวในลาสเวกัสกว่า 20 คนมาร่วมงานปาร์ตี้ฉลอง ที่เป็นความลับ

เมื่อถึงเวลา 20.00 น. เหล่าสาว ๆ ก็เข้ามาถึงห้อง VIP โดยข้างใน รอบ ๆ โต๊ะมีชาวเอเชียจำนวนหนึ่งกำลังเล่นโป๊กเกอร์พร้อมด้วย Leonardo DeCapio แม้เหล่านางแบบหลายคนจะเคยพบกับนักแสดงชื่อดังมาก่อน แต่การปรากฏตัวของเขาในงานนี้ทำให้บางคนรู้สึกประหลาดใจ

โดยในห้องนั่งเล่นของห้องสวีทดังกล่าว มีโซฟานุ่ม ๆ และประตูที่เปิดออกไปที่ระเบียงสระว่ายน้ำ ที่สามารถมองเห็นบรรยากาศเมืองลาสเวกัสยามค่ำคืน พนักงานโรงแรมได้สร้างฟลอร์เต้นรำแบบชั่วคราวพร้อมกับลูกบอลดิสโก้ห้อยอยู่เหนือศรีษะ และทาง Palazzo นั้นได้มีการจัดการ์ดมาคุมเข้มให้กับแขก VIP กลุ่มนี้ เป็นพิเศษ

ต้องบอกว่าในช่วงเวลานั้น ช่วงปลายปี 2009 Low สามารถเข้าถึงเงินสดได้มากกว่าใครในโลก และเขาไม่อายที่จะใช้จ่ายมันอย่างบ้าคลั่ง Low ได้เริ่มจัดปาร์ตี้ พบปะคนสำคัญทั้งดารา นักธุรกิจ นายธนาคาร และบุคคลสำคัญอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้าง Connection ใหม่ ๆ

ต้องบอกว่าแผนการของ Low ในศตวรรษที่ 21 นั้น เป็นความพยายามระดับโลกที่ทำได้สำเร็จอย่างแท้จริง ที่เขาแทบจะไม่ต้องผลิตสินค้าใด ๆ เลย กับการเสกเงินเหมือนมีเวทมนต์ ด้วยการเปลี่ยนเงินสดจากกองทุนของรัฐที่มีการควบคุมที่หละหลวมในประเทศกำลังพัฒนา และ เคลื่อนย้ายมันไปสู่มุมมืดของระบบการเงิน

ในระหว่างเดือนตุลาคม 2009 ถึง มิถุนายนปี 2010 ในระยะเวลาเพียงแค่ 8 เดือน Low และ ผู้ติดตามของเขาใช้เงินไปกว่า 85 ล้านดอลลาร์ในการเล่นการพนันในเวกัส , เครื่องบินไอพ่นส่วนตัว , เช่าบ้านพักตากอากาศ รวมถึง Apartment สุดหรูใจกลางกรุงนิวยอร์ก Park Imperial

แต่เขาก็มีความฝันอย่างนึงตั้งแต่เรียนที่ Wharton ที่อยากจะพบเจอนางแบบคนดัง ที่เขาใฝ่ฝัน ซึ่งเธอผู้นั้นก็คือ Paris Hilton

ซึ่งตอนนี้เรื่องเงินก็ไม่ใช่ปัญหาของ Low อีกต่อไป ในเดือนพฤศจิกายนปี 2009 Low ได้ส่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวไปที่ LA เพื่อพา Paris Hilton ไปยังแวนคูเวอร์ เพื่อพาเธอไปยัง Whistler สกีรีสอร์ตชื่อดังของแคนาดา

Paris Hilton สาวในฝัน ของ Jho Low
Paris Hilton สาวในฝัน ของ Jho Low

โดย Low ได้ติดต่อผ่านผู้จัดการส่วนตัวของ Hilton โดยจ่ายเงินประมาณ 100,000 ดอลลาร์ เพื่อมาพักผ่อนที่ โดย Hilton ได้พาเพื่อนของเธอ Joey McFarland ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการจ้างดาราสำหรับงานปาร์ตี้และอีเว้นท์มาด้วย

ที่รีสอร์ตดังกล่าว มีการรวมตัวกันของเหล่าคนสนิทของ Low เพื่อมาพักผ่อน ที่สกีรีสอร์ตแห่งนี้ Low ได้พาเพื่อนสนิท ทั้ง Al Wazzan เพื่อนร่วมชั้น Wharton ชาวคูเวต รวมถึง Riza Aziz ลูกเลี้ยงของนายกรัฐมนตรี Najib มาร่วมพักผ่อนในทริปนี้ด้วยกัน

ซึ่ง Riza นั้น อาศัยอยู่ในลอสแองเจลิส และพร้อมที่จะช่วย Low ลงทุนเงินบางส่วน ซึ่งที่ รีสอร์ต Whistler นีเองที่ทำให้ทั้งคู่คิดไอเดียเกี่ยวกับการสร้างภาพยนต์ ซึ่งมี McFarland ที่มีความสนใจในเรื่องดังกล่าวมาร่วมกันออกไอเดียด้วย

ซึ่งหลังจากจบทริปที่แคนาดา Low ก็ได้เริ่มทำความสนิทสนมกับ Hilton อย่างต่อเนื่อง มีการจ่ายเงินให้เธอจำนวนมหาศาล ในงานฉลองวันเกิดของ Hilton มีของขวัญวันเกิดอย่าง นาฬิกา Cartier สุดหรู พร้อมด้วยเงินสดกว่า 250,000 ดอลลาร์ให้ Hilton เพื่อไปใช้เล่นบาคาร่า เรียกได้ว่า Low จ่ายเงินให้ Hilton อย่างเต็มที่ โดยไม่ได้สนใจอะไรเลยด้วยซ้ำ

ด้วยความที่เขาเป็นคนจ่ายหนัก โดยเฉพาะที่คาสิโน ทำให้หลาย ๆ คนเริ่มจับตามามอง Low เพราะเขาดูเหมือนไม่สนใจอะไรเลยกับการจ่ายเงินจำนวนมหาศาล แม้จะเสียการพนันสูงถึง 2 ล้านดอลลาร์ เขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายแต่อย่างใด มีข่าวลือในแวงวงคาสิโนว่า เขาอาจจะเป็นพ่อค้าอาวุธ หรือ อาจจะเป็นทายาทกษัตริย์แห่งมาเลเซีย เลยเสียด้วยซ้ำในขณะนั้น

เมื่อเข้าสู่ปี 2010 Low ก็ได้ซื้อบ้านหรูมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ใน ลอนดอน ลอสแองเจลิส และ นิวยอร์ก ให้กับ Najib และครอบครัวของเขา โดยมีการซื้อ อาคาร Park Laurel ในเมืองนิวยอร์ก ที่มีมูลค่ากว่า 36 ล้านดอลลาร์ สำหรับ Riza Aziz ลูกเลี้ยงของ Najib

เรียกได้ว่าเป็นการเอาใจ Najib อย่างเต็มที่ เพราะท้ายที่สุดอสังหาเหล่านี้ Riza ก็จะกลายเป็นเจ้าของในท้ายที่สุด ซึ่งเงินส่วนใหญ่ก็มาจากเงินที่ขโมยมาจากกองทุน 1MDB นั่นเอง โดยที่ทาง Najib เองนั้น ก็ไม่ได้สนใจถึงแหล่งที่มาของเงินในการซื้อสินทรัพย์เหล่านี้ ในขณะนั้น

แม้จะซื้อบ้านหลายหลัง แต่ Low ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเดินทางไปทั่วโลก มีการเดินทางไปยัง มาเลเซียเพื่อพบนายกรัฐมนตรี Najib และเขาจะบินต่อไปยัง สิงค์โปร์ ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ รวมถึง อาบูดาบี สวิส แล้วบินวนกลับมาที่ลอสแองเจลิส เพื่อเดินทางไปเล่นการพนันที่เวกัส เรียกได้ว่าเป็นตารางการบินที่บ้าคลั่งมาก ๆ ที่คนส่วนใหญ่คงไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน

Bombardier Global 5000 เปรียบเหมือนบ้านหลังที่สองของ Low
Bombardier Global 5000 เปรียบเหมือนบ้านหลังที่สองของ Low

ซึ่งการเดินทางที่เยอะขนาดนี้ ทำให้ Low ได้ตัดสินใจซื้อเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว Bombardier Global 5000 เครื่องบินสุดหรูของเหล่ามหาเศรษฐี เนื่องด้วยเขาอาศัยอยู่ในเครื่องบินเจ็ตมากกว่าบ้านหลาย ๆ หลังที่เขาซื้อมา ทำให้ภายในเครื่องบินนั้นตกแต่งเต็มไปด้วย เตียง และ ออฟฟิสขนาดเล็ก เครื่อง Fax และ WI-FI ซึ่งเขาใช้เวลาทำงานส่วนใหญ่อยู่บนเครื่องบิน

ต้องเรียกได้ว่า มันเป็นชีวิตที่ไม่ธรรมดา Low ได้สร้างความประทับใจที่แตกต่างให้กับเหล่าผู้คนที่ได้มีโออาสพบเขา ซึ่งต้องบอกว่า แผนการของ Low นั้นประสบความสำเร็จอย่างสูงมาก ๆ และมาไกลเกินกว่าที่เขาคิดไว้ เพราะทุกอย่างมันดูเหมือนง่ายไปหมดสำหรับเขา แต่หารู้ไม่ว่า สถานการณ์ที่ มาเลเซีย เริ่มมีความสงสัย ถึงทรัพย์สินที่ได้มาของ Low และ วิธีการลงทุนของ 1MDB ของ Low เสียแล้ว แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อ กับผู้ชายที่เสกเงินได้ดั่งมีเวทย์มนต์อย่าง Jho Low โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 8 : Where’s Our Money?

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Prologue *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

References Image : https://www.businesstimes.com.sg/asean-business/malaysian-playboy-financier-jho-low-in-cross-hairs-after-poll-upset