Thailand E-commerce War

ต้องบอกว่า ศึก E-Commerce Platform ของไทยระหว่างยักษ์ใหญ่ทั้งสามเจ้า ไม่ว่าจะเป็น Lazada ยักษ์ใหญ่ที่มี Alibaba หนุนหลัง , Shopee น้องใหม่ไฟแรงที่อัดงบการตลาดอย่างบ้าคลั่ง รวมถึง JD.com ที่เพิ่งเข้ามาทำตลาดในปีแรก หลังจากการร่วมมือกับ Central ของประเทศไทย เรามาลองส่องงบการเงิน ธุรกิจยักษ์ใหญ่ E-Commerce ไทยทั้ง 3 เจ้า กันดูครับว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

JD Central (เริ่มปีแรก)

  • รายได้ 458 ล้านบาท
  • ขาดทุน 944 ล้านบาท

Lazada

  • รายได้ 8.16 พันล้านบาท
  • ขาดทุน 2.64 พันล้านบาท

Shopee (หนักสุด)

  • รายได้ 165 ล้านบาท
  • ขาดทุน 4.11 พันล้านบาท

จะเห็นได้ว่า ธุรกิจ E-Commerce ที่หวังจะใช้สูตร Winner take all มันดูจะไม่ง่ายซะแล้ว เพราะต่างฝ่ายต่างสู้กันอย่างเต็มที่เหมือนกัน ไม่ยอมลดราวาศอก กันเลยทีเดียวเรียกได้ว่าอัดงบกันเต็มที่ ทั้ง 3 Platform

ศึกนี้ดูแล้ว รอแค่จะเหลือใครเป็นรายสุดท้ายที่จะรอดจากมหาสงครามครั้งนี้ ต้องบอกว่า คงพูดไม่เกินเลยนักว่า Platform เหล่านี้เอาเงินมาแจกคนไทยเล่น เลยก็ว่าได้ ผ่านโปรโมชั่น ส่วนลดต่าง ๆ แลกกับ Data ที่พวกเขาได้รับไป ก็ต้องดูกันยาว ๆ ว่าจะคุ้มค่ากับที่ลงทุนไปหรือไม่ 

ซึ่งต่อให้เค้าหว่านเงินจนเราใช้กันจนติดหนึบก็จริง แต่คนไทยก็พร้อมจะเปลี่ยนเสมอเหมือนกัน หากได้โปรโมชั่นที่ดีกว่า คนไทยไม่ได้ Royalty ขนาดนั้นกับธุรกิจ E-Commerce มันไม่ง่ายเหมือนตลาดอื่น ๆ เลยสำหรับ E-Commerce ในไทย เหมือนยิ่งโต ก็ยิ่งขาดทุน และคนไทยพร้อมจะ Switch ไปที่อื่นทันทีหากเจอ Promotion ที่ดีกว่า

แต่สิ่งสำคัญสำหรับการเติบโตของ E-Commerce ทั้ง 3 Platform คือ มันช่วยให้ธุรกิจใน Ecosystem ของ E-Commerce ทำกำไรเสียมากกว่า อย่าง Kerry, ไปรษณีย์ บริการคลังสินค้า ระบบบริหารงานสินค้า Chatbot รวมถึง Order Fullfillment Service ต่างๆ ที่โตเอา ๆ

แต่ก็มีส่วนที่คนไทยเราเสียให้กับแพตฟอร์มเหล่านี้คือ เหล่าพ่อค้าแม่ค้าชาวจีนที่หลั่งไหลกันเข้ามาเปิดร้านในแพล็ตฟอร์มเหล่านี้ จนพ่อค้าแม่ค้าชาวไทยเราขยาด เนื่องจากการทำราคาที่ต่ำมาก เพราะส่งมาจากจีนโดยตรง ทำให้พ่อค้าแม่ค้าที่คิดจะขายสินค้าจากจีนนั้นแทบจะล้มหายตายจากไปเลยก็ว่าได้

แต่ถ้าให้ ด.ดล ฟันธง รายที่น่าจะไปก่อนเพื่อนในศึกนี้น่าจะเป็น Shopee ที่ดูแล้วขาดทุนหนักสุด และหนักมาหลายปีแล้ว ยิ่งทุ่มยิ่งเสีย ซึ่งต่างจาก Lazada กับ JD ที่มีพี่ใหญ่จากจีนคอยหนุนหลัง ซึ่งเศษเงินแค่นี้ คงไม่ซีเรียสกันเท่าไหร่

สุดท้ายไทยน่าจะเหลือแค่ 2 เจ้า คือ Lazada กับ JD ที่น่าจะสู้กันต่อเหมือนในจีน ที่ไม่ยอมแพ้กันเลย ในหลาย ๆ ธุรกิจ

และยังไม่พูดถึง ยักษ์ใหญ่จากอเมริกาอย่าง Amazon ที่เหมือนจะซุ่มดูตลาดบ้านเราอยู่เหมือนกัน และพร้อมที่จะลงมาเล่นทุกเมื่อเหมือนกัน ขนาดตลาดญี่ปุ่นที่ว่าแน่ ๆ Amazon ยังตีได้สำเร็จมาแล้ว

และแน่นอนเหมือนทุก ๆ ครั้งหาก Amazon เข้ามาจริง ๆ ในบ้านเรา ก็ต้องมาพร้อมอัดโปรโมชั่นสู้อย่างแน่นอน ซึ่งคนไทยก็พร้อมที่จะ Switch ไปอยู่เสมออยู่แล้ว หากโปรโมชั่นมันโดนจริง ซึ่งดูแล้ว ตลาด E-Commerce น่าจะเป็นตลาดที่หลาย ๆ แพลตฟอร์มเหนื่ยแน่นอนกว่าจะทำกำไรได้จริง ๆ จากคนไทย

Image References : https://www.prachachat.net/wp-content/uploads/2018/11/collage.jpg
https://www.facebook.com/pawoot

China’s AI Awakening การเติบโตอย่างเฟื่องฟูของ AI ในประเทศจีน

ที่เกาะไหหนาน ประเทศจีน ได้มีการแข่งขัน Poker Tournament ขึ้น  โดย AI ที่มีชื่อว่า “Lengpudshi”  สามารถเอาชนะผู้เล่นได้มากมายใน tournament นี้ จนถูกขนานนามว่า “Cold poker master” ซึ่ง การพัฒนา Lengpudshi นั้นมีใช้เทคนิคของ artificial-intelligence และ Machine Learning

การแข่งขันนี้จัดขึ้นในเขต technology park ของเมือง Haikou  เมืองหลวงของเกาะไหหนาน ซึ่งมีผู้เล่นมากหน้าหลายตา ทั้ง แชมป์ poker  , เหล่านักลงทุนชาวจีน รวมถึง ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ไปจนถึงกระทั่ง CeOs ผู้ซึ่งชื่นชอบการเล่นไพ่ Poker ซึ่งได้มีการถ่ายทอดสด online  และมีผู้ชมกว่าล้านคน ซึ่งงานนี้แสดงให้เห็นถึง สัญลักษณ์ ของความกระตือรือร้นในการสร้างปัญญาประดิษฐ์ในประเทศจีน

แต่ Lengpudshi AI ที่สามารถเอาชนะผู้เล่นมากมายในการแข่งขันครั้งนี้ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในประเทศจีน แต่กลับถูกสร้างขึ้นในเมือง Pittsburgh ประเทศสหรัฐอเมริกา

ขณะที่กระแสของเทคโนโลยีทางด้าน AI ซึ่งกำลังมีบทบาทอยู่ในทั่วโลกนั้น จีนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ  กำลังดำเนินการในการสร้างและพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทางรัฐบาลของจีนได้ทำการเทเงินกว่า หนึ่งแสนล้านหยวน หรือ ประมาณ หนึ่งหมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐ ในเทคโนโลยีดังกล่าว

ขณะที่ภาคเอกชนของจีน ก็ทำการลงทุนขนาดใหญ่กับ AI เทคโนโลยีของอนาคต ซึ่งถ้าหากความพยายามดังกล่าวของจีนประสบความสำเร็จนั้น และขณะนี้ก็มีสัญญาณหลายอย่างที่ปรากฏว่าจีน จะกลายเป็นผู้นำด้าน AI ในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งก็จะทำให้สามารถเพิ่ม productivity ของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของจีน ซึ่งปัจจุบันจีน แทบจะกลายเป็นโรงงานของโลกเรา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี และยังมีโอกาสที่จะสร้างธุรกิจใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นได้ ซึ่งทั้งภาครัฐและเอกชนของจีนก็เชื่อว่า AI นั้นจะเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญสำหรับการเจริญเติบโตในอนาคตอย่างแน่นอน ซึ่งความสำเร็จของจีนในด้านนี้นั้น จะช่วยเสริมสร้างฐานะทางเศรษฐกิจที่สำคัญของจีนในระดับโลก

ซึ่งผู้นำทางการเมืองของจีน และ ผู้นำภาคธุรกิจของจีน ก็ต่างรู้กันดีว่า AI นั้น จะเป็นส่วนสำคัญในการก้าวข้ามผ่านทศวรรษใหม่ของจีน หลังจาก ผ่านยุคของการผลิต และ การปฏิรูประบบตลาดให้เสรีของประเทศจีน ซึ่งการส่งเสริมการค้าและการลงทุนของประเทศจีนนั้น ก็ทำให้ผู้คนหลายร้อยล้านคนหลุดพ้นจากความยากจน จนสามารถสร้างอาณาจักรทางธุรกิจ รวมถึงยังช่วยเปลี่ยนแปลงสังคมจีนได้

และเนื่องมาจากในปัจจุบันนั้น ภาคการผลิตของจีนเริ่มที่จะชะลอตัว และ ประเทศกำลังมองไปสู่อนาคต ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง  ซึ่งการนำเอา AI หรือ ระบบปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยนั้นอาจจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีนในยุคต่อไป ในขณะที่โลกตะวันตกมองว่า AI นั้นจะเข้ามาแย่งงานคน จีนกลับมองในทางตรงกันข้าม จากความมุ่งมั่นของรัฐบาลว่าจะให้จีนสามารถพัฒนา AI ได้เทียบเท่าเทคโนโลยีจากฝั่งตะวันตกภายในสามปี โดยให้เหล่านักวิจัยทางด้าน AI ของจีนนั้น ทำการวิจัย AI ที่จะสร้างความเปลี่ยนเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ ภายในปี 2025 และ ภายในปี 2030 นั้นโลกจะต้องตกตะลึงกับเทคโนโลยีทางด้าน AI ของจีน

ซึ่งสิ่งที่กล่าวนั้นมีปัจจัยสนับสนุนที่ดีที่จะทำให้วิสัยทัศน์ดังกล่าวเป็นจริงได้ ในช่วงต้นปี 2000 นั้น จีนเคยกล่าวไว้ว่าต้องการสร้างเครือข่ายรถไฟความเร็วสูง เพื่อที่จะกระตุ้นการพัฒนาด้านเทคโนโลยี และ เป็นการปรับปรุงระบบขนส่งของประเทศครั้งยิ่งใหญ่ ตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าจีน ที่แทบจะยังไม่มีเทคโนโลยีทางด้านรถไฟความเร็วสูงจะทำได้ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า จีนเป็นประเทศที่มีเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงที่ยาวที่สุดในโลกไปแล้ว ซึ่ง Andrew Ng ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการเป็นผู้ดูแล ยุทธศาสตร์ทางด้าน AI ของบริษัท online ยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Baidu ได้กล่าวเอาไว้ว่า “นี่เป็นสัญญาณที่ดีมากสำหรับทุกคนว่าสิ่งเหล่านี้กำลังจะเกิดขึ้นได้”

ซึ่งการเข้ามา action ของรัฐบาลจีนนั้นจะเป็นตัวเร่งที่จะทำให้วิสัยทัศน์ดังกล่าวเป็นจริงได้เร็วขึ้น  ซึ่งบริษัทด้านเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตของจีน ที่นำโดย Baidu , Alibaba และ Tencent นั้นกำลังจ้างผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และมีการลงทุนในการสร้างศูนย์วิจัยใหม่ ๆ ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงกับบริษัทางตะวันตกอย่าง Amazon , Google หรือ Microsoft และยังมีแหล่งเงินทุนที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างนับไม่ถ้วน เนื่องจาก ผู้ประกอบการและนักลงทุนต่าง ๆ ในจีนนั้น มองว่า AI เป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

ประเทศจีนนั้นมีข้อได้เปรียบบางอย่างในเทคโนโลยีด้าน AI  ประเทศจีนมีวิศวกร และ นักวิทยาศาสตร์ ที่มีพรสวรรค์มากมาย นอกจากนั้นยังอุดมไปด้วยข้อมูลที่สำคัญในการ Train ระบบ AI เนื่องจากข้อมูลมหาศาลผ่านระบบ internet ในจีนโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง  3 คือ Baidu , Alibaba และ Tencent ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีขนาดใหญ่มาก ๆ ที่ไม่มีในประเทศอื่นอย่างแน่นอน ซึ่งเราจะเห็นได้จากการเติบโตของระบบจดจำใบหน้าผ่าน Machine Learning ซึ่งตอนนี้จีนนั้นสามารถ implement ที่จะให้สามารถระบุตัวตนพนักงาน รวมถึงลูกค้าในร้านค้า และทำการยืนยันตัวตนผ่าน mobile apps ได้สำเร็จแล้ว

ความสนใจจากทั่วประเทศในการแข่งขันไพ่ poker ที่ไห่หนาน สะท้อนให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของประเทศจีนต่อการค้นพบนวัตกรรมใหม่ทางด้าน AI เนื่องจาก poker นั้นไม่เหมือนเกมส์อื่นๆ  poker นั้นเล่นกับข้อมูลที่มีอยู่อย่างจำกัด และความไม่แน่นอน และพฤติกรรมที่ไม่อาจคาดเดาจากฝั่งตรงข้ามได้ ซึ่งกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการที่จะประสบความสำเร็จกับการเล่น Poker นั้นจะต้องใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบ  ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไม่ง่ายเลยที่จะพัฒนา AI ให้เก่งในเกมส์ Poker ซึ่ง “Lengpudashi” นั้นสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้ผู้คนต่างทึ่งในความสามารถของมัน  ซึ่งการพัฒนา AI มาเล่น Poker นั้นยังสามารถไปปรับใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ เช่น การเจรจาทางธุรกิจ หรือ การเจรจาทางด้านการเงิน ที่อาจจะสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจให้เกิดขึ้นได้

Look East

หนึ่งในผู้ที่มีบทบาทที่สำคัญของเทคโนโลยีทางด้าน AI ของจีน คือ Kai-Fu Lee ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ และ เป็นผู้ลงทุนด้านเทคโนโลยี AI ที่สำคัญของประเทศจีน และเป็นหนึ่งในผู้จัดการแข่งขัน poker tournament ขึ้นที่ ไห่หนาน โดยเขาได้มารับสมัครนักศึกษาใหม่ ของสถานบันการศึกษาที่บริษัท Sinovation Ventures ของเขากำลังก่อสร้างขึ้นที่เมืองหลวงของจีนที่ปักกิ่ง

โดย Lee ได้ทำการพูดคุยกับนักเรียนจีนประมาณ 300 คนในหอประชุมใน poker tournament ดังกล่าว โดยการพูดคุยนี้มีความเกี่ยวข้องกับกับเทคโนโลยีทางด้าน AI  ประสิทธิภาพทางด้านการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน รวมถึง อัลกอริธึมใหม่ ๆ ที่แสนฉลาด รวมถึง Big Data ซึ่งเขาได้กล่าวไว้ว่าจีนจะสามารถสร้างประโยชน์จากความก้าวหน้าเหล่านี้ได้เต็มที่อย่างแน่นอน

Lee ได้กล่าวไว้ว่า ถึงแม้ว่าในสหรัฐและแคนาดานั้นจะมีนักวิจัยทางด้าน AI ที่ดีที่สุดในโลกก็ตาม แต่จีนก็มีเหล่านักวิจัยหลายร้อยคนที่สามารถที่จะก้าวขึ้นไปสู้นักวิจัยจากตะวันตกได้ ซึ่งเขาได้กล่าวไว้ว่า AI นั้นเป็นเทคโนโลยีที่ดี ที่จะพัฒนาอัลกอริธึมและข้อมูลจำนวนมหาศาลเข้าด้วยกันได้ซึ่งยิ่งมีข้อมูลจำนวนมากเท่าไหร่ในการ Train AI นั้นก็จะทำให้เกิดความแตกต่างได้มากขึ้น

ในปี 1998 นั้น Lee ได้ก่อตั้งห้องวิจัยของบริษัทไมโครซอฟท์ ในกรุงปักกิ่ง จากนั้นในปี 2005 เขาก็ได้กลายเป็นประธานคนแรกของ Google China ซึ่ง Lee มีชื่อเสียงในด้านการให้คำปรึกษาแก่เหล่าผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และเขามีผู้ติดตามกว่า 50 ล้านคนใน social network ของจีนอย่าง Sina Weibo

ในสถาบันของ Lee หรือที่ Sinovation Ventures ณ กรุง ปักกิ่งนั้น สถานที่ตั้งได้คัดเลือกมาอย่างดี โดยสามารถมองเห็น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง รวมถึง มหาวิทยาลัย Tsinghua ซึ่งเป็นสถานบันการศึกษาชั้นนำของจีนทั้งสองแห่ง Sinovation มีเครื่องมือต่าง ๆ สำหรับการเรียนรู้ของวิศวกรชาวจีน และยังมีความเชี่ยวชาญในการปรึกษา สำหรับบริษัทในจีนที่หวังจะใช้ AI ในการสร้างความแตกต่างทางด้านธุรกิจ ซึ่ง สถาบันแห่งนี้มีพนักงานเต็มเวลาประมาณ 30 คน และมีแผนที่จะจ้างงานกว่า 100 คนในปีหน้า เพื่อฝึกอบรมให้กับผู้เชี่ยวชาญด้าน AI จำนวนหลายร้อยคนในแต่ละปี โดย 80% ของเงินลงทุนใน Sinovation Ventures นั้นเน้นไปที่เทคโนโลยีด้าน AI ส่วนที่เหลือก็มุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีอื่น ๆ รวมถึงเป็นแหล่งบ่มเพาะเหล่า startup หน้าใหม่ของจีนให้อีกด้วย

ซึ่งเป้าหมายใหญ่นั้น ไม่ใช่การคิดค้น new Alphago แต่เป็นการยกระดับบริษัทหลายพันบริษัทในจีนโดยใช้เทคโนโลยีของ AI ซึ่งลีได้กล่าวไว้ว่า ธุรกิจของชาวจีนจำนวนมาก รวมถึง รัฐวิสาหกิจที่มีขนาดใหญ่ กำลังถอยหลังลงคลอง ซึ่งธุรกิจพวกเขาเหล่านั้นไม่มีความชำนาญด้าน AI ซึ่งเทคโนโลยี AI นั้นจะสร้างโอกาสที่ยิ่งใหญ่ทางด้านธุรกิจให้กับบริษัทเหล่านี้ และสามารถแข่งขันกับบริษัทจากตะวันตกได้

AI Everywhere

ในเมืองหลวงของจีนอย่างปักกิ่งนั้น เราได้เห็นความน่าสนใจหลายอย่างในการใช้เทคโนโลยีทางด้าน AI เช่นในร้านอาหาร มีเครื่องที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลทางด้านสุขภาพ โดยใช้เพียงแค่รูปภาพ ซึ่งมีบริษัทแห่งหนึ่งในปักกิ่งที่น่าจะกล่าวถึงคือ SenseTime ซึ่งก่อตั้งในปี 2014 โดยกำลังกลายเป็นบริษัทหนึ่งที่จะมีมูลค่ามากที่สุดในโลกในด้าน AI  ซึ่งก่อตั้งโดยนักวิจัยจาก Chinese University of Hong Kong ซึ่ง SenseTime นั้นได้บริการเทคโนโลยี computer-vision ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีน ทั้งบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง China Mobile รวมถึงยักษ์ใหญ่ทางด้าน E-commerce อย่าง JD.com  ซึ่งในขณะนี้บริษัทกำลังศึกษาตลาดใหม่ ๆ เช่น ตลาดยานยนต์  โดยในเดือนกรกฎาคม SenseTime ได้รับเงินลงทุนกว่า 410 ล้านเหรียญ โดยทำให้บริษัทมีมูลค่าสูงถึง หนึ่งหมื่นห้าพันล้านเหรียญ

Qing Luan ผู้บริหารที่ดูแลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางด้านเทคโนโลยี Augmented-Reality หรือ AR  ของ SenseTime ซึ่งเคยเป็นคนที่พัฒนา office apps ของ Microsoft ที่สำนักงานใหญ่ของ Microsoft มาก่อน ซึ่งเธอได้กล่าวว่า เธอกลับมาที่ประเทศจีน เพราะดูเหมือนจะมีโอกาสที่ใหญ่กว่ามาก  ซึ่งเธอได้คุยกับเพื่อนเธอที่กำลังทำ startup ในประเทศจีนตอนอยู่ microsoft ว่า เธอกำลังดิ้นรนเพื่อหา users มาใช้งาน app หลายพันคน แต่เพื่อนเธอที่จีนกลับกล่าวว่า  สามารถหา users ผู้ใช้งาน apps หลักล้านคนภายในไม่กี่วันในประเทศจีน  นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เธอได้หันกลับมาทำงานที่จีนกับ SenseTime ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่นานนั้น วิศวกรของ SenseTime ได้พัฒนาเทคนิคการประมวลผลภาพแบบใหม่เพื่อให้สามารถขจัดหมอกหรือควัน รวมถึงฝน จากภาพได้โดยอัติโนมัติ โดยใช้กล้องถ่ายรูปเพียงตัวเดียว ซึ่งเธอก็เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ในปีที่แล้วสามารถคว้ารางวัลได้ใน international computer-vision award ซึ่งเป็นรางวัลระดับโลก

Manufacturing Intelligence

ในโลกตะวันตกนั้น ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลาย ๆ แห่ง เริ่มชะลอการลงทุนใน AI และเริ่มเปลี่ยนแปลการดำเนินธุรกิจของตัวเองใหม่ แต่ในจีนนั้นดูเหมือนจะมีความรู้สึกที่จะอยากเร่งการปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปในทุก ๆ อุตสาหกรรม และเริ่มลงทุนอย่างหนักในด้านการวิจัยและพัฒนา ซึ่ง Andrew Ng ผู้นำด้าน AI ของ Baidu ยักษ์ใหญ่ทางด้าน internet ของจีนนั้นได้กล่าวไว้ว่า ผู้นำธุรกิจในจีนนั้นเข้าใจดีถึงความจำเป็นที่จะต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และควรที่จะปรับตัวให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้น คนอื่นก็อาจจะมาล้มธุรกิจของพวกเค้าได้

Baidu นั้นได้คาดการณ์ถึงศักยภาพของ AI และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าวสร้างธุรกิจใหม่ทั้งหมด โดยในปี 2014 นั้น บริษัทได้สร้าง Lab ในการใช้พัฒนา Deep Learning ในการเรียนรู้ธุรกิจของตนเอง ซึ่งไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้น Microsoft ได้พัฒนาระบบที่มีประสิทธิภาพในการจดจำเสียงพูดได้ดีกว่ามนุษย์ ซึ่งหลายคนยังไม่รู้ว่า  Baidu นั้นสามารถพัฒนาเทคโนโลลีดังกล่าวได้ก่อนหน้าแล้ว

สำหรับบริษัททางด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ ของจีนก็กำลังมองหาการพัฒนา AI กับธุรกิจของตนเอง ผู้นำด้าน internet อย่าง Tencent ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่เมืองเซินเจิ้นก็เป็นหนึ่งในนั้น

เซินเจิ้นนั้นอยู่ทางใต้ของประเทศจีน ถัดจากฮ่องกง  ซึ่งปี 1980 เมืองแห่งนี้ได้ถูกพัฒนาให้กลายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นแห่งแรกของประเทศจีน โดยให้สิทธิพิเศษทางด้านภาษี และลดหย่อนกฏระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้บริษัทต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุนได้ง่ายขึ้น ซึ่งตอนนี้เมืองเซินเจิ้นแทบจะกลายเป็นโรงงานของโลก ที่เมืองนี้มีการผลิตแทบจะทุกอย่าง ประชากรก็เพิ่มจาก 30,000 คนในปี 1980 จนกลายเป็นกว่า 11 ล้านคนในปัจจุบัน ซึ่งเมืองแห่งนี้ได้สะท้อนถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีน และปัจจุบันได้กลายเป็นที่ตั้งของบริษัทระดับโลกหลายบริษัท เช่น Huawei ZTE  รวมถึงบริษัท รถยนต์ไฟฟ้าอย่าง BYD

สำนักงานใหญ่ของ Tencent นั้นอยู่ในย่าน Nanchan ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ ซึ่งประวัติของ Tencent นั้นต้องย้อนกลับไปในปี 2011 บริษัทได้เปิดตัว application ด้านการส่งข้อความแบบง่าย ๆ ขึ้นซึ่งเลียนแบบจากผลิตภัณฑ์ของอเมริกาอย่าง ICQ และวิวัฒนการกลายมาเป็น WeChat ซึ่งเป็น platform ในโทรศัพท์มือถือ โดยครอบคลุมไปทั้ง social network , messgenging app ข่าว เกมส์ รวมถึงการชำระเงินผ่านมือถือ หรือ e-payment ด้วยจำนวนผู้ใช้งานมากกว่า 889 ล้านราย WeChat จึงได้รับความสนใจอย่างมากในตลาดทางด้าน internet ของประเทศจีน

แม้ว่า Tencent นั้นได้เริ่มทำการสร้างห้องวิจัยทางด้าน AI ไปเมื่อปีที่แล้ว และได้จ้างนักวิจัยเป็นจำนวนมากรวมถึงไปเปิดที่เมืองซีแอตเติลของอเมริกา ซึ่งนักวิจัยของบริษัทได้ทำการคัดลอกนวัตกรรมด้าน AI จากทางฝั่งตะวันตกไปแล้ว รวมถึง Alphago ของ Deepmind ซึ่งห้องปฏิบัติการทางด้าน AI ของ Tencent นั้นนำโดย Tong Zhang ซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำงานให้กับ Baidu รวมถึงเคยเป็นอาจาารย์ที่ Rutgers University โดยนิสัยส่วนตัวแล้วนั้น Tong Zhang จะเป็นคนเงียบ ๆ โดยเขาจะคอยอธิบายว่า AI จะมีส่วนสำคัญต่อแผนการของ Tencent ในการเติบโตโดยเฉพาะอย่างยิ่งนอกประเทศจีน ซึ่ง AI จะเป็นความสำคัญต่อธุรกิจของ Tencent ในการที่จะขยายธุรกิจไปนอกประเทศ ซึ่ง Tencent นั้นเป็นเจ้าของเกมที่ได้รับความนิยมหลายเกม รวมถึง League of Legends ซึ่งมีผู้เล่นมากกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก

Thing Big

ปัญหาใหญ่ของทั้งสหรัฐและจีน ที่จะได้เจอคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจ แม้ว่า AI นั้นจะเกิดมาเพื่อกำจัดงานบางอย่างออกไปที่ AI สามารถทำได้ดีกว่ามนุษย์ ซึ่งอาจจะมีผลต่อการตกงาน ปัญหาเรื่องการว่างงานที่จะเพิ่มขึ้นตามมา แต่ AI ก็มีศักยภาพในการขยายระบบเศรษฐกิจ ด้วยการทำให้หลาย ๆ อุตสาหกรรมนั้นมีประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผลในการผลิตที่ดีขึ้น จึงทำให้จีนมีความกระหายต่อเทคโนโลยีด้าน AI มากกว่าทางด้านตะวันตก แต่การพัฒนาทางเศรษฐกิจจากเทคโนโลยีของ AI นั้นก็อาจจะเกิดกับประเทศอื่นขึ้นด้วยก็ได้ หากประเทศเหล่านั้นกระตือรือร้นที่จะนำเทคโนโลยีด้าน AI มาใช้อย่างที่จีนทำ

ประเทศจีนนั้นอาจจะมีทรัพยกรจำนวนมหาศาลที่ยังไม่ได้นำมาใช้ แต่ฝั่งตะวันตกนั้นก็มีความเชี่ยวชาญระดับโลก และมีวัฒนธรรมการวิจัยที่แข็งแกร่ง ที่มีมาตั้งแต่อดีตตั้งแต่ยุคสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้โลกเราเปลี่ยนแปลงไปมากจากการวิจัยและพัฒนาของเทคโนโลยีจากฝั่งตะวันตก ซึ่งแทนที่ประเทศตะวันตกจะวิตกกังวลเกี่ยวกับความก้าวหน้าของประเทศจีนนั้น ก็ควรที่จะใช้จุดแข็งของตัวเองในเรื่องการวิจัย รวมถึงการศึกษา ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับการเปลี่ยนของเทคโนโลยที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะที่มาจากประเทศจีนได้  ซึ่งบริษัทชั้นแนวหน้าจากตะวันตกอย่าง google หรือ facebook ก็มีการพัฒนาและวิจัยด้าน AI ที่แข็งแกร่งอยู่ แต่ ก็ไม่เพียงพอที่จะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจทั้งหมดได้ ซึ่งต่างจากจีน ซึ่ง AI จะให้ผลประโยชน์กับประเทศจีนมากกว่า โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านการผลิต ที่จีนตอนนี้ก็เปรียบเสมือนโรงงานของโลก ที่จะได้รับผลประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้เหล่านี้มากกว่านั่นเอง

จากเรื่อง Poker tournament ในเมืองไห่หนาน สะท้อนให้เห็นว่าโลกเรานั้นควรที่จะนำแรงบรรดาลใจจาก “Lengpudashi” AI ที่เล่น Poker ชนะผู้คนมากมาย ซึ่งทุกคนก็ควรที่จะตระหนักถึงเทคโนโลยีทางด้าน AI ที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์เราในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งก็ถึงเวลาแล้ว ที่ประเทศของเราต้องทำตามประเทศจีนที่ภาครัฐรวมถึงภาคเอกชนมองเห็นถึงความสำคัญของ AI ที่กำลังก้าวเข้ามามีบทบาทต่อเศรษฐกิจ และในที่สุดแล้วนั้นก็เพื่อให้ประเทศของเราสามารถแข่งขันในระดับโลกได้เมื่อโลกเราได้เข้าสู่ยุคของ AI

References : www.technologyreview.com

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol