Chinapages กับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของ Jack Ma

หลายคนน่าจะทราบกันดีว่าเดิมทีนั้น Jack Ma เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ที่เมืองหังโจว ของประเทศจีน แต่ ครูสอนภาษาอย่างเขา เจอจุดเปลี่ยนอะไรที่ทำให้ กลายมาเป็นเจ้าพ่อบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Alibaba ที่เราได้เห็นกันในวันนี้

เรื่องมันเริ่มต้นจากในต้นปี 1995 นั้น เมืองหังโจวเกิดดีความสัญญากับต่างประเทศขึ้นมาคดีหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องการลงทุนสร้างทางด่วนกับบริษัทในอเมริกา ซึ่งมีข้อพิพาทกัน ทำให้เทศบาลเมืองหังโจวต้องตัดสินใจส่งตัวแทนไปติดต่อกับฝ่ายอเมริกัน เพื่อไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

ซึ่งมันกลายเป็นภารกิจของแจ๊ค ที่ขณะนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาษาอังกฤษที่สุดแห่งสำนักแปลไห่โป่ ที่ต้องไปช่วยเหลือเทศบาล โดยเขาต้องเดินทางไปยังอเมริกาที่เมือง ลอสแองเจลลิส

ตอนอยู่ประเทศจีนมีครูต่างชาติคนหนึ่งที่ชื่อฟิล ซึ่งเคยเล่าเรื่องลูกเขยของเขาให้ฟัง ว่ากำลังทำอะไรบางอย่างกับ “internet” อยู่ที่เมือง ซีแอตเทิล

นั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นที่แจ๊ค ได้ถือโอกาส ไปทำความรู้จักกับ internet โดยหลังจากภารกิจเสร็จ แจ๊คไปตามที่อยู่ที่ฟิลได้ให้ไว้ และไปพบกับลูกเขยของเพื่อนอย่างรวดเร็ว เขาคือแซม ที่ขณะนั้น กำลังก่อตั้งบริษัท VBN บริษัทขนาดเล็ก ซึ่งตอนนั้นกำลังให้บริการ ISP เจ้าแรกแห่ง Silicon Valley แถมยังเป็นบริษัทแรกที่ทำธุรกิจนี้ในอเมริกาอีกด้วย

และนี่เป็นครั้งแรกที่แจ๊ค ได้เห็นเจ้า internet กับตาตัวเอง ซึ่งคอมพิวเตอร์ที่แจ๊คเห็นตอนนั้นคือเครื่อง PC386 ที่ทันสมัยที่สุดในโลกของยุคนั้น ซึ่งมีราคาอยู่ที่ประมาณ 600-700 เหรียญ

PC 386 เครื่องคอมพิวเตอร์สุดแรงในยุคนั้น
PC 386 เครื่องคอมพิวเตอร์สุดแรงในยุคนั้น

แจ๊คซึ่งตอนนั้นแทบจะไม่เคยเห็นเจ้าคอมพิวเตอร์มาก่อนเลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึง internet ซึ่งเป็นสิ่งที่ใหม่มากในยุคนั้น และเริ่มทดลองใช้มัน โดยลองพิมพ์คำว่า “Beer” ลงใน Search Engine ของ Yahoo ซึ่งต้องบอกว่าตอนนั้น Yahoo ในยุคก่อนการเกิดของ Google นั้นถือเป็น Search Engine ที่ทันสมัยที่สุดในโลก internet เลยก็ว่าได้

แต่สิ่งที่ทำให้แจ๊คสงสัยมากที่สุด คงจะเป็น ทำไมถึงไม่มีเบียร์จีนโผล่ขึ้นมาเลย แจ๊คนึกในใจว่า หรือเบียร์ฝรั่ง จะมีชื่อเสียงมากกว่าเบียร์จีน พวกฝรั่งคงรู้จักแต่เหมาไถของกุ้ยโจว แต่ไม่รู้จักเบียร์จีนกันอย่างแน่แท้

แต่เขาก็คิดอีกว่า ต่อให้ไม่พบเบียร์จีนใน internet แต่ถ้าจะหา ประเทศจีน ที่มีประชากรถึง 1 ใน 5 ของโลกและมีเนื้อที่ใหญ่โตมหาศาล คงจะหาเจอละมั๊ง

และแล้ว เขาจึงบรรจง คีย์คำว่า “China” ลงในช่อง search engine ของ yahoo อีกครั้ง ผลปรากฏว่าบนจอขึ้นคำที่เหลือมากคือ “no data” หรือไม่มีข้อมูล

และจุดนี้นี่เองที่ทำให้เขาได้ปิ๊งไอเดียที่จะทำการขยายธุรกิจของสำนักแปลไห่โป๋ได้แล้ว โดยจะให้ทีมงานของแซม ช่วยสร้างเว๊บเพจสำนักแปลไห่โป๋เสร็จ และอัพโหลดขึ้น internet ทันที

มันเป็นหน้าเว๊บที่เรียบง่าย จนเข้าขั้นน่าเกลียดเลยด้วยซ้ำ ไม่มีภาพ ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีโฆษณา Flash มีแต่คำอธิบายเป็นตัวอักษรไม่กี่ตัวอักษร คือ เป็นการแนะนำสำนักแปลไห่โป๋ บวกกับรายการค่าจ้างแปล เช่น 1,000 ตัวอักษร คิด xx หยวน เป็นต้น พร้อมกับ email ในการติดต่อ

เมื่อแจ๊คเดินทางกลับจากซีแอตเทิลถึงหังโจว ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ของแจ๊คนั้นได้นำเอาของวิเศษหนึ่งอย่างมาจากอเมริกาด้วย มันคือ คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คอินเทล 386 ซึ่งเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในขณะนั้นเลยก็ว่าได้

เพียงแค่คืนแรกที่กลับถึงหังโจว แจ๊ค เขาก็เริ่มเดินหน้าธุรกิจที่เขาได้คิดไว้อย่างทันที เขาเชิญเพื่อนสนิทที่สุด 24 คนมากินข้าวที่บ้าน และเริ่มบรรเลงโชว์ ของวิเศษ (คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คอินเทล 386) ทุกคนที่ถูกเชิญมาต่างอ้าปากค้าง และรู้สึกทึ่งกับเจ้าสิ่งนี้ ซึ่งไม่ต่างจากตอนที่แจ๊ค นั้นเห็นคอมพิวเตอร์สุดแรงนี้ ครั้งแรกที่อเมริกา

Jack Ma กับเพื่อนสนิท 24 คนของเขา
Jack Ma กับเพื่อนสนิท 24 คนของเขา

เขากล่าวกับเพื่อนว่า ๆ จะลาออกจากงานมาเริ่มธุรกิจ internet แต่มันกลับกลายเป็นว่าเพื่อน ๆ ของเขาทั้งหมดแทบจะคัดค้านกับแนวคิดของ แจ๊ค หลาย ๆ คนก็พยายามถามรายละเอียดของ internet จากแจ๊ค 

แต่ก็อย่างที่ทราบ แจ๊ค นั้นก็มีความรู้ทางด้าน internet แบบผิวเผินเท่านั้น ไม่สามารถตอบคำถามใด ๆ จากเพื่อน  ๆ เขาได้เลย ซึ่งหลังจากให้ทำการโหวตปรากฏว่า 23 คันค้าน และมีคนเห็นด้วยกับแจ๊ค เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

และแม้จะแทบไม่มีเสียงสนับสนุน แต่ สัญชาติญาณของแจ๊ค นั้นก็สั่งให้เขาเริ่มธุรกิจนี้แบบทันที ก้าวแรกของการสร้างธุรกิจคือหาเงินทุน ซึ่งแจ๊คและภรรยานั้นได้ทุ่มเงินหมดตัว 6,000 หยวน และทำการรวบรวมจากญาติพี่น้องได้อีกราว  ๆ 40,000 หยวน และ อีกส่วนคือการนำเอาสินทรัพย์ของสำนักแปลภาษาไห่โป๋ธุรกิจแรกของเขาออกเทขายทั้งหมด ซึ่งได้มาอีก 30,000 หยวน รวมเป็นส่วนของตัวเขาและภรรยาทั้งสิ้น 80,000 หยวน

และเพื่อนที่สนับสนุนแนวคิดนี้ของแจ๊คอย่าง เหออิปิง นั้น ก็ได้ร่วมลงทุน 10,000 หยวน ส่วนอีก 10,000 หยวนสุดท้ายได้มาจากเพื่อนอีกคนที่ชื่อ ซ่งเว่ยชิง  ซึ่งทำให้มีเงินลงทุนตั้งต้นของธุรกิจใหม่ของแจ๊คนั้น มีรวมแล้วประมาณ 100,000 หยวน

และในที่สุดบริษัทเทคนิคอินเตอร์เน็ตไห่โป๋ เจ้อเจียง ที่ดำเนินการกิจการไดเร็กทอรี่อุตสาหกรรมการค้าออนไลน์ และเป็นเว๊บไซต์ internet แห่งแรกของประเทศจีน – เยลโล่เพจเจส ประเทศจีน ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อเดือน เมษายน ปี 1995

และในวันที่ 9 พฤษภาคม 1995 ไชน่าเพจเจส (http://www.chinapages.com) ก็ได้ขึ้นออนไลน์อย่างเป็นทางการ และเป็นเว๊บไซต์ธุรกิจเว๊บแรกในประวัติศาตร์ของ internet ของประเทศจีนในที่สุด

Chinapages ธุรกิจ internet แรกของ Jack Ma
Chinapages ธุรกิจ internet แรกของ Jack Ma

แม้ช่วงแรก ๆ จะล้มลุกคลุกคลาน แต่เขาก็พาบริษัทฝ่าวิกฤติ จนสุดท้ายได้หันมา ทำธุรกิจ ecommerce อย่าง alibaba และพาบริษัทก้าวขึ้นเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการเทคโนโลยีในประเทศจีนอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้นั่นเองครับ

–> อ่าน Blog Series : Jack Ma Rise of the Dragon

References : https://socket3.wordpress.com/tag/386/
https://www.alibabagroup.com/en/about/history?year=1999

Zhang Ying ผู้หญิงที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Jack Ma

คงไม่ใช่เรื่องเกินเลยที่จะพูดได้ว่า บุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จหลาย ๆ อย่างของ Jack Ma นั่นก็คือ Zhang Ying ภรรยาผู้รู้ใจของเขา

Zhang Ying นั้น เป็นหญิงหน้าตาสะสวย เป็นผู้หญิงที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ทั้งสวย ทั้งเก่ง และเรียบร้อย Ma และ Zhang Ying นั้นพบกันตั้งแต่สมัยเรียนในมหาวิทยาลัย และแทบจะเป็นคนเดียวที่สยบ Ma อยู่ ด้วยการใช้ไม้อ่อนสยบแข็ง ที่เธอใช้มานานตั้งแต่สมัยรักกันตอนเรียน จนกลายมาเป็นเศรษฐีหมื่นล้านในตอนนี้ เป็นความรักที่เข้าใจกัน และเห็นอกเห็นใจกันอย่างลึกซึ้ง

Zhang ได้พบกับ Jack ที่สถาบันครูหางโจวซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในนามมหาวิทยาลัยหางโจวเมื่อทั้งสองเป็นนักเรียน ทั้งคู่แต่งงานกันไม่นานหลังจากสำเร็จการศึกษาในช่วงปลายยุค 80 และทั้งคู่ก็เริ่มทำงานเป็นอาจารย์ “ Jack Ma ไม่ใช่คนหล่อ แต่ฉันก็ตกหลุมรักเขาเพราะเขาสามารถทำสิ่งต่างๆมากมายที่ชายหล่อไม่สามารถทำได้” Zhang กล่าว 

แม้ตัว Jack Ma จะถูกเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งใน 10 ครูหนุ่มยอดเยี่ยมในหางโจว แต่เขาก็ได้ตัดสินใจลาออกจากงานและเปิด บริษัท แปลของเขาเอง ในปี 1995

โดย Ma เริ่ม China Yellowpages ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นหนึ่งใน บริษัท อินเทอร์เน็ตแห่งแรกของจีนก่อนที่จะจัดตั้ง Alibaba, เว็บไซต์การค้าแบบธุรกิจกับธุรกิจแห่งแรกของจีนในปี 1999 พร้อมด้วยพันธมิตรอีก 16 ราย

Zhang ออกจากงานเพื่อสนับสนุนสามีของเธอและเข้าร่วมกับอาลีบาบาในฐานะ “ผู้แทนทางการเมือง” ของ บริษัท อย่างไรก็ตาม Zhang กล่าวว่าเธอใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทำอาหารในวันแรก ๆ ของการก่อตั้งบริษัท สำหรับผู้เข้าร่วมการประชุม ที่มักเกิดขึ้นอย่างกะทันหันกับสามีของเธอตลอดทั้งวัน

Zhang Ying ที่อยู่กับ Jack Ma มาตั้งแต่ยังก่อตั้งบริษัทใหม่ ๆ
Zhang Ying ที่อยู่กับ Jack Ma มาตั้งแต่ยังก่อตั้งบริษัทใหม่ ๆ

แต่ Zhang นั้นรู้ดีว่า Jack Ma ตัดสินใจอะไรไปแล้วไม่เคยเปลี่ยนแปลง และคอยสนับสนุน Ma เรื่อยมา ไม่ว่าเส้นทางจะเต็มไปด้วยขวากหนามมากเพียงใด Zhang นั้นก็พร้อมที่จะสู้อยู่กับ Ma เสมอมา และที่สำคัญ ในยุคแรก ๆ ที่ Ma สร้างธุรกิจนั้น Zhang ไม่เพียงเป็นช้างเท้าหลังที่ประเสริฐเท่านั้น แต่ยังเป็นเสาหลักของธุรกิจอีกด้วย ออร์เดอร์ รายใหญ่รายแรกจำนวน 8,000 หยวน ก็ได้มาด้วยฝีมือการเจรจาของ Zhang Ying นี่แหละ

อีกสองสามปีต่อมา Zhang ถามสามีว่า บริษัท ทำเงินได้มากน้อยแค่ไหนและ Ma ก็ยกนิ้วเดียว “สิบล้านหยวน (1.6 ล้านเหรียญสหรัฐ)” Zhang ถาม และ Ma ตอบว่าไม่ “ หนึ่งร้อยล้านหยวน ( 16 ล้านเหรียญสหรัฐ)” เธอถามแล้ว Ma ก็บอกว่าไม่อีก “หนึ่งล้านหยวน (160,000 ดอลลาร์สหรัฐ)” คำตอบคือ “ใช่” แม้จะดูเหมือนทำให้ภรรยาของเขาผิดหวัง แต่ Ma พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “สักวันหนึ่งจะเป็นวันของเรา”

เช่นเดียวกับพ่อแม่คนอื่น ๆ Jack Ma และภรรยาก็มีปัญหาในการสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการดูแลลูก ในการสัมภาษณ์รายการทีวีครั้งหนึ่ง Zhang Ying ได้แบ่งปันเกี่ยวกับเรื่องราวสามีของเธอและวิธีการเลี้ยงลูก “ลูกชายของเรานั้นถือเป็นผลกระทบของก่อตั้ง อาลีบาบา”

ลูกชายของทั้งคู่ เกิดในปี 1992 เขาเติบโตขึ้นมาในธุรกิจของครอบครัว ในช่วงนั้นบ้านของพวกเขาเป็นสำนักงาน ที่เต็มไปด้วยคนมากกว่า 30 คน และเต็มไปด้วยควันบุหรี่ รวมถึงของกินต่าง ๆ มากมาย

ลูกชายของฉันสามารถอยู่ในห้องและไม่ออกไปข้างนอกได้ เขากินตามพวกเราดังนั้นเขาจึงผอมมากเหมือนไม้ขีดไฟ หัวของเขาก็ใหญ่ หลังจากนั้นงานก็ยุ่งมากลูกชายก็อายุ 4 ขวบ เราพาเขาไปที่ office ของ Alibaba ห้าวันต่อสัปดาห์

เมื่อธุรกิจมั่นคงลูกชายของฉันก็อายุ 10 ขวบเขาเริ่มให้ความสนใจในอินเทอร์เน็ตอาจเป็นเพราะอิทธิพลของพ่อของเขา เขาติดเกมออนไลน์เมื่อเขาเริ่มเล่นกับเพื่อน ๆ และปฏิเสธที่จะกลับบ้าน 

ปฏิกิริยาของลูกชายทำให้แจ็คกังวลอย่างยิ่งเขาบอกฉันว่า “คุณควรลาออกจากงานครอบครัวของเราต้องการคุณมากกว่าอาลีบาบา” แม้ว่าเธอจะไม่ต้องการ แต่เป็นเพราะครอบครัวของเธอจึงตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาดูแลลูกชายของเธอแบบเต็มตัว

หลังจากที่ Zhang Ying ลาออกจากงานที่อาลีบาบา เธอก็เริ่มสอนลูกชายอย่างเป็นทางการและเพิ่มความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น อยู่มาวันหนึ่ง Jack Ma ให้ลูกชาย 200 หยวน เพื่อให้เขาสามารถไปเล่นเกมกับเพื่อนได้สามวันสามคืน โดยเรียกร้องให้ลูกชายของเขาตอบคำถามให้ได้ว่า “ประโยชน์ของการเล่นเกมคืออะไร?”

สามวันต่อมาเจอรี่กลับบ้านด้วยอาการอ่อนเพลียและตอบพ่อของเขาว่า “เหนื่อยล้า ง่วง หิวอึดอัด เงินก็หมดแล้วแต่ก็ยังหาประโยชน์จากการเล่นเกมไม่ได้” Jack Ma ได้ตอบคำถามด้วยชุดคำถามที่ทำให้เด็กชายเงียบสนิท: “แล้วลูกต้องการเล่นเกมอีกต่อไปหรือไม่”  หรืออยากกลับบ้าน? ”

ความเข้มงวดของ Jack Ma และความสนใจในการดูแลของ Zhang Ying ช่วยให้เจอร์รี่ตัวน้อยเริ่มละความสนใจจากการเล่นเกมออนไลน์ ซึ่งหลังจากผ่านไปหกเดือนเด็กชายคนนั้นก็ได้กลายเป็นคนใหม่ ที่ไม่สนใจเรื่องเกมอีกต่อไป

ในวันเกิดปีที่ 18 ของลูกชาย Jack Ma ได้เขียนจดหมายถึงลูกชายถึงสามสิ่งดังต่อไปนี้ :

สิ่งแรกคือการคิดถึงตนเองและการตัดสินใจอย่างอิสระ

ประการที่สองคือการรักษาจิตวิญญาณของการมองโลกในแง่ดี มีปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในโลก แต่จะมีทางออกมากอยู่เสมอ

ประการที่สามจงซื่อสัตย์โดยเฉพาะกับพ่อและแม่ของคุณ

เรื่องราวการศึกษาของลูกชาย Jack Ma ถือเป็นประสบการณ์ที่ให้แนวคิดที่ดีมาก ๆ สำหรับผู้ปกครองในสังคมยุคปัจจุบัน ยุคที่เทคโนโลยีสามารถ กลืนกิน ลูกของทุกคนได้ 

ในขณะเดียวกัน การสร้างแรงบันดาลใจของเขาเกี่ยวกับการเรียนรู้ยังเป็นบทเรียนที่มีประโยชน์สำหรับคนหนุ่มสาวที่กำลังเริ่มต้นในการทำธุรกิจ: “พยายามติดตามการเรียนรู้ แต่ไม่ต้องรอบรู้ไปหมดทุกสิ่ง พยายามฝึกทักษะใหม่และไล่ตามความหลงใหลเมื่อคุณมีเวลาว่าง แล้วคุณจะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน”

ต้องบอกว่าถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างครอบครัว ที่แสดงให้เราได้เห็นว่า บทบาทของภรรยาของผู้ก่อตั้งนั้นถือว่าสำคัญไม่แพ้สิ่งที่ Jack Ma ทำเลย เพราะเธอต้องเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างจากงานที่เธออยากจะทำ เพื่อมาดูแลลูก และรักษาสมดุลชีวิตครอบครัวให้ดียิ่งขึ้น ถือเป็นตัวอย่างที่น่ายกย่องของ Zhang Ying ที่ต้องบอกว่าเธอเป็นเบื้องหลัง และ backup คนสำคัญในการผลักดับ Jack Ma ให้ก้าวมาถึงจุดนี้นั่นเองครับผม

–> อ่าน Blog Series ประวัติ Jack Ma

References : https://bambooinnovator.com/2013/10/01/zhang-ying-the-wife-of-alibaba-founder-jack-ma-ma-yun-is-not-a-handsome-man-but-i-fell-for-him-because-he-can-do-a-lot-of-things-handsome-men-cannot-do/
https://glamourpath.com/cathy-zhang
https://ourvoiceourschools.org/how-did-jack-ma-get-away-addict-his-boy-to-game/
https://vulcanpost.com/255811/jack-ma-life-20-60-years-old/

ความผิดพลาดครั้งสำคัญที่สุด ของชายที่ชื่อ Masayoshi Son

Masayoshi Son CEO ของ SoftBank Group ยอมรับว่าเขาทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงในการจัดการการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ของ Softbank ใน WeWork โดยเฉพาะในส่วนของ WeTech

“การตัดสินใจลงทุนของผมนั้นแย่มาก” เขากล่าวในการแถลงข่าวที่โตเกียวตามรายงานของ Wall Street Journal “ผมเสียใจในหลาย ๆ ด้าน กับสิ่งที่เกิดขึ้น”

Masayoshi Son นั้นผ่านการลงทุนมามายมายตั้งแต่ช่วง dot com boom เมื่อปี 2000  จนสามารถกลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกแซงหน้า bill gate ได้ แต่ก็เพียงไม่นาน ชีวิตก็ต้องเปลี่ยนผัน เนื่องจากภาวะ dot com crash ในปี 2000 ทำให้เงินของเขาหายไปกว่า 99% แต่ด้วยความเชื่อของเขาว่า สุดท้าย บริษัทเทคโนโลยีก็จะเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง

เนื่องจากการเติบโตของผู้ใช้ internet รวมถึง การพัฒนาการของเทคโนโลยีที่มีอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาสามารถกลับมายืนบนเส้นทางนักลงทุนทางด้านเทคโนโลยีได้อีกครั้ง

ที่น่าสนใจคือ เขาเป็นคนแรก ๆ ที่ให้ทุนแก่ jack ma ที่สร้างอาณาจักร alibaba ได้อย่างยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน ตอนนั้น บริษัทของ jack ma นั้นแทบจะไม่มีกำไร และมีพนักงานเพียงน้อยนิดเท่านั้น เรียกว่าเป็นการลงทุนที่เชื่อมั่นใน jack ma เป็นอย่างมากเลยก็ว่าได้

Son เป็นผู้ที่เชื่อในตัว Jack Ma มาตั้งแต่เริ่มลงทุนครั้งแรก
Son เป็นผู้ที่เชื่อในตัว Jack Ma มาตั้งแต่เริ่มลงทุนครั้งแรก

ที่ให้ทุนกับ jack ma ไปสร้างอาณาจักร alibaba จนสามารถยิ่งใหญ่ได้ในปัจจุบัน และสามารถทำกำไรให้เขาได้อย่างมากมาย เนื่องจาก alibaba นั้นกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ แห่งหนึ่งของโลกในขณะนี้ก็ว่าได้

ซึ่งการลงทุนในระดับตำนานของเขาคือการลงทุนใน ARM  ซึ่งเขามองว่า ARM นั้นครองส่วนแบ่งได้ถึง 99% ในตลาด chip ของมือถือ ซึ่งกว่า 1000 ล้าน device ในปัจจุบัน นั้นใช้ chip ของ ARM แล้วทำไมเขาถึงจะไม่ลงทุนในบริษัทที่ส่วนแบ่งการตลาดขนาดนี้ รวมถึง ในอนาคตนั้น ไม่ใช่แค่มือถืออย่างเดียวที่ใช้ chip

แต่ภายหลังจากที่เข้าลงทุนใน WeWork และการลงทุนอื่น ๆ อีก 20 แห่ง ภายใต้กองทุนใหม่ของ Masayoshi Son ที่มีชื่อว่า Vision Fund ที่มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยี ที่มีมูลค่ากองทุนกว่าแสนล้านดอลลาร์

ผลการลงทุนครั้งนี้ทำให้ Softbank นั้นขาดทุน 9 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ผ่านมา นับเป็นการขาดทุนรายไตรมาสครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้ง SoftBank Group ซึ่งมียอดขาดทุนสุทธิ 6.4 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่สามซึ่งถือเป็นสถิติที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 38 ปี ของบริษัท

ประสิทธิภาพที่ย่ำแย่โดยเฉพาะการลงทุนใน WeWork และ Uber ซึ่งเป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของ SoftBank ทำให้เกิดความสูญเสียขึ้นกับ SoftBank เป็นอย่างมาก โดยถูกบันทึกมูลค่าหุ้น WeWork ลงเหลือเพียง 4.7 พันล้านดอลลาร์ และทำให้เงินทุน Vision Fund ลดลง 3.5 พันล้านดอลลาร์

SoftBank ได้ชำระหนี้และทุนจำนวน สองหมื่นล้านดอลลาร์ใน WeWork รวมถึงเงินช่วยเหลือจำนวน 9.8 พันล้านดอลลาร์จากการปลด Adam Neumann ซีอีโอคนเก่าออก ตามที่ตกลงกันไว้เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาซึ่งทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของ Softbank อยู่ที่ 80%  ซึ่ง Son สัญญาว่าการให้ความช่วยเหลือทางการเงินจะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับ WeWork

SoftBank อ้างว่ามูลค่าของ WeWork สูงถึง 47 พันล้านเหรียญสหรัฐจนกระทั่งภายหลังการเกิดวิกฤติครั้งใหญ่ในการเสนอขายหุ้น IPO ซึ่งได้เปิดเผยสถานการณ์ทางการเงินที่น่าเป็นห่วงจนเรื่องมันแดงขึ้นมา

Son ยอมรับว่าเขาประเมินผิดพลาดถึงพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของ Adam Neumann อดีตซีอีโอ ของ WeWork  “ผมผิดพลาดที่มองเขาไม่รอบคอบ” เขากล่าว

การเข้าลงทุนใน WeWork ถือเป็นความผิดพลาดครั้งสำคัญของ Son
การเข้าลงทุนใน WeWork ถือเป็นความผิดพลาดครั้งสำคัญของ Son

Son กล่าวว่าเขามีแผนฟื้นฟูสามขั้นตอน สำหรับ WeWork ซึ่งปัจจุบัน SoftBank เป็นเจ้าของส่วนใหญ่แล้ว ขั้นตอนแรกคือ WeWork หยุดการสร้างสำนักงานใหม่เป็นเวลาสามถึงสี่ปีเพราะการก่อสร้างใหม่เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก 

ประการที่สองคือทำการปรับปรุงโครงสร้างของ WeWork เพื่อลดต้นทุนอื่น ๆ  และประการที่สาม WeWork สามารถลดธุรกิจที่ไม่ทำกำไรได้  “ดังนั้นด้วยความคิดทั้งสามข้อนี้เราเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถปรับปรุง WeWork ได้อย่างมาก” Son กล่าว

แต่ถึงกระนั้นเขาก็ปกป้องผลงานโดยรวมของ Vision Fund และกล่าวว่าเขากำลังวางแผนระดมทุนอีก แสนล้านดอลลาร์ ในกองทุน โดยอ้างว่านักลงทุนในกองทุนแรก มีความกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมลงทุนกับเขาอีกครั้ง

ซึ่งในท้ายที่สุด Son ได้มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับศักยภาพในการเปลี่ยน WeWork ให้เป็นธุรกิจที่มีกำไรได้ แม้จะเป็นเจ้าของถึง 80% ของบริษัท แต่ก่อนหน้านี้ SoftBank ก็ยังไม่สามารถควบคุม WeWork ได้อย่างเต็มที่ 

ซึ่งหลังจาก Wework ได้รับเงินช่วยเหลืออีก 9.5 พันล้านดอลลาร์ SoftBank ก็สามารถแต่งตั้งประธานกรรมการบริหารของตัวเองได้ โดยคนที่ Son วางไว้ที่จะมากู้วิกฤติที่ WeWork คือ Marcelo Claure ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็น ซีอีโอ ของ Sprint บริษัทที่ Softbank เป็นเจ้าของอีกราย

ซึ่งต้องบอกว่าจากประวัติที่ผ่านมา Son เป็นนักลงทุนที่น่าทึ่ง แม้เขาจะผิดพลาดในการลงทุนกับ WeWork หรือ Uber แต่คำ ๆ หนึ่ง นั่นก็คือ คำว่า “Believe” ที่เขามักพูดออกสื่ออยู่บ่อย ๆ นั้น สิ่งที่เขาพูดมักจะกลายเป็นความจริงในทุก ๆ ครั้ง ด้วยความเชื่อ และประสบการณ์ของเขานั้น แม้จะมีความผิดพลาดบ้าง แต่ความเชื่อของเขาโดยส่วนใหญ่นั้นสามารถทำนายอนาคตของเราได้ว่า เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในด้านไหน ที่จะมีบทบาทที่สำคัญอย่างมาก กับการดำรงชีวิตของมนุษย์ในอนาคตนั่นเองครับ

References : https://www.cityam.com/softbank-warns-of-steeper-losses-as-it-takes-hit-on-wework/
https://www.businessinsider.sg/softbank-ceo-says-he-was-foolish-to-invest-in-wework-2020-5
https://therealdeal.com/2019/11/06/softbanks-masa-son-i-ignored-weworks-problems-made-bad-investments-in-us-tech-firms-and-im-really-sorry/
https://economictimes.indiatimes.com/small-biz/startups/newsbuzz/softbanks-masayoshi-son-had-a-bad-2019-heres-what-he-can-buy-in-2020/articleshow/73040204.cms

Geek Talk EP3 : ต้นกำเนิด Single Day 11.11

เทศกาลชอปปิ้งวันคนโสด มันเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญแห่งการเปลี่ยนโฉมหน้าของเศรษฐกิจจีน และจะเป็นศึกใหญ่ระหว่างเศรษฐกิจใหม่ โมเดลการทำธุรกิจแบบใหม่ กับ รูปแบบธุรกิจแบบเดิม ๆ 

ซึ่งมันส่งผลให้พ่อค้าแม่ขายที่ใช้ แพลตฟอร์มของอาลีบาบานั้นได้รู้ว่า ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว และรูปแบบของการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซมันจะเปลี่ยนไปตลอดกาล

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน Podbean : http://bit.ly/2pUvnmw

ฟังผ่าน Apple Podcast :   https://apple.co/2lEqPPg

ฟังผ่าน Google Podcast :  http://bit.ly/2rlhJcu

ฟังผ่าน Spotify : https://spoti.fi/32yVCMC

ฟังผ่าน Youtube :    https://youtu.be/LMCfISS2lZ8

References : https://encrypted-tbn0.gstatic.com https://cdn2.ettoday.net/images/808/d808070.jpg

Geek Monday EP18 : Tencent กับกลยุทธ์ Make AI Everywhere

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีของจีนที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีนผลักดันให้พัฒนาเทคโนโลยี AI รุ่นต่อไป Tencent ก็กำลังประสบความสำเร็จในการลงทุนด้านเทคโนโลยีใหม่

Tencent เป็นนักลงทุนอันดับต้น ๆ (รายงานว่ามีมูลค่า 120 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในการก่อตั้ง UBTech ซึ่งเป็น บริษัท ที่มุ่งเน้นไปที่หุ่นยนต์ ซึ่งหุ่นยนต์ของ UBTech ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ Walker ซึ่งเป็นหุ่นยนต์สองเท้าที่เปิดตัวในงาน Consumer Electronics Show ปี 2018 ที่สามารถเดินลงบันไดได้เหมือนมนุษย์ 

และในบรรดา บริษัท เทคโนโลยีจีนที่รู้จักกันในชื่อ BAT (Baidu, Alibaba และ Tencent), Tencent มีส่วนร่วมในข้อตกลงและความร่วมมือด้าน AI มากที่สุด และการลงทุนด้าน AI ส่วนใหญ่นั้นอยู่ในสหรัฐอเมริกา

ซึ่งในความร่วมมือกับบริษัทในหลายอุตสาหกรรมรวมถึงกลุ่มยานยนต์ปักกิ่ง (BAIC) Tencent ลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อใช้ในยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยตนเอง

ในด้านอุตสาหกรรม Healthcare ก็เช่นกัน ที่ AI เป็นหลักสำคัญที่ Tencent ต้องวิจัยและพัฒนา ซึ่งจีนต้องการเป็นผู้นำระดับโลกด้านการแพทย์โดยใช้เทคโนโลยี AI 

สถาบันทางการแพทย์มากกว่า 38,000 แห่ง มีบัญชี WeChat และ 60% ของสถาบันเหล่านี้อนุญาตให้ผู้ป่วยจองนัดหมายออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาล 2,000 แห่งที่รับชำระเงิน WeChat บริการเหล่านี้อนุญาตให้ Tencent รวบรวมข้อมูลผู้ผู้ป่วยที่มีค่าซึ่งจะช่วยในการฝึกอบรมอัลกอริทึมด้าน AI ให้มีความฉลาดมากยิ่งขึ้น

และในการเป็นหุ้นส่วนล่าสุดกับ Babylon Health ผู้ใช้ WeChat จะสามารถเข้าถึงผู้ช่วยด้านการดูแลสุขภาพแบบเสมือน Tencent ได้ลงทุนใน iCarbonX ซึ่งเป็น บริษัท ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาตัวแทนแบบดิจิทัลของแต่ละบุคคลเพื่อช่วยให้การแพทย์ส่วนบุคคลสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

ความพยายามด้านการวิจัยและพัฒนาภายในของ Tencent ทำให้เกิดการพัฒนาแพลตฟอร์ม AI ในการดูแลสุขภาพอย่าง Miying ที่เปิดตัวในปี 2017 แพลตฟอร์มนี้ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพสามารถวินิจฉัยโรคมะเร็งประเภทต่างๆและวิเคราะห์รวมถึงจัดการบันทึกการดูแลสุขภาของผู้ป่วยได้

Tencent ถือเป็นผู้เล่นคนสำคัญในความทะเยอทะยานของจีนที่จะเป็นผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในระดับโลก เนื่องจากในอนาคต AI จะเปลี่ยนอุตสาหกรรมในทุกประเภท และ Tencent กำลังก้าวนำเพื่อสร้างบริษัทให้แข็งแกร่งในอนาคตด้วยกลยุทธ์ Make AI Everywhere นั่นเองครับ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน Podbean : 
https://tharadhol.podbean.com/e/geek-monday-ep18-tencent-make-ai-everywhere/

ฟังผ่าน Spotify : https://open.spotify.com/episode/17Wrb6NvMKdGsvQ0wLtHAF

ฟังผ่าน Youtube :
https://youtu.be/4-DZSIp9oFw