Digital Music War ตอนที่ 1 : Digital Hub

Apple เริ่มไตรมาสแรก หลังจากการกลับมาของ สตีฟ จ๊อบส์รอบที่สอง ด้วยการขาดทุนอย่างยับเยิน ยอดขายคอมพิวเตอร์ที่ลดลง ถึง 1 ใน 3 ของปีก่อนหน้า ซึ่งปัจจัยหลักของความล้มเหลวที่เกิดขึ้นทุกฝ่ายมองตรงกันว่าเกิดจากการขาดไดร์ฟ Burn CD ที่กำลังกลายเป็นที่นิยมในขณะนั้น แต่ Apple ไม่ได้ใส่ลงไปในคอมพิวเตอร์ของพวกเขา

ตอนนั้น การปฏิวัติด้านดนตรีดิจิตอล ได้เริ่มขึ้นแล้ว Napster บริการแชร์ไฟล์เพลงแบบผิดกฏหมาย กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง มีการแชร์ไฟล์เพลงกันมากมายทั่วโลก หากต้องการนำมาฟังในรถ หรือ เครื่องเล่น CD ผู้ใช้ก็แค่ Burn เพลงเหล่านี้ลง CD ได้ทันที

จ๊อบส์ เริ่มรู้ตัวว่าเขาเดินเกมส์ผิดพลาด และตกขบวนรถไฟของ ไดร์ฟ Burn CD ไปแล้ว แต่ก็พยายามแก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุด ซึ่งมันเป็นตัวอย่างชัดเจนของวัฒนธรรมภายในของ Apple ที่กำลังแตกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนที่จ๊อบส์จะเข้ามา เพราะตอนนั้น Apple แทบจะไม่ฟังเสียงของผู้บริโภค 

ซึ่ง พีซี ที่ Burn CD ได้นั้นได้กลายเป็นสินค้า Top Hits ติดตลาดในปีนั้น ซึ่ง จ๊อบส์เอง นั้นก็เป็นหนึ่งในคนที่ตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ที่ไม่ยอมใส่เจ้า ไดรฟ์ Burn CD ไปเพราะมันไม่สวยงาม จ๊อบส์ต้องการใส่ Drive แบบทันสมัยที่มีวิธีการแบบดูดแผ่นเข้าไปเพื่อยกระดับสินค้าของ Apple 

ซึ่งในบรรดาเครื่องคอมพิวเตอร์ของ Apple ทั้งหมดที่ได้วางจำหน่ายในปี 2000 นั้นมีเพียงรุ่นเดียวที่สามารถ Burn CD ได้แต่ก็ขายได้น้อยมาก เพราะคนแห่กันไปใช้ PC ที่มีราคาถูกกว่าและสามารถ Burn CD ได้เช่นเดียวกัน

Burn Drive ที่ Apple มีในบางรุ่นเท่านั้น
Burn Drive ที่ Apple มีในบางรุ่นเท่านั้น

จากความผิดพลาดดังกล่าวทำให้เหล่าผู้บริหาร Apple กลับมาคิดทบทวนใหม่ พวกเขาจึงได้ตัดสินใจที่จะเน้นไปที่ด้านดนตรี เพราะเป็นสิ่งที่คนนิยมมากที่สุดในยุคนั้น ซึ่งนิยมมากกว่ากล้องถ่ายรูป และดูแล้วมีศักยภาพที่จะเติบโตได้สูง ซึ่งขั้นตอนแรก Apple ได้ไปซื้อผลิตภัณฑ์ที่ชื่อ SoundJam ที่เล่น MP3 และสามารถ Burn CD ได้มาปรับปรุง

และจ๊อบส์ ก็ได้เปิดวิสัยทัศน์ใหม่ โดย จะแปลงโฉม apple โดยทำการปรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลให้กลายเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมดิจิตอล หรือ “ดิจิตอลฮับ” มันจะปรับหน้าที่ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ให้คอยประสานงานอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เป็น ดิจิตอล ตั้งแต่เครื่องเล่นเพลง กล้องวิดีโอ ไปจนถึง กล้องถ่ายรูป โดยให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นศูนย์กลาง ให้อุปกรณ์ต่างๆ  เหล่านี้เข้ามาเชื่อมต่อ

คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล จะกลายเป็นอุปกรณ์ ที่คอยจัดการเพลง แสดงภาพ วีดีโอ หรือ ข้อมูลทางดิจิตอลต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่จ๊อบส์ เรียกมันว่า “ไลฟ์สไตล์แบบดิจิตอล” ซึ่งจะเป็นรากฐานที่สำคัญของ apple ในยุคต่อไป

apple นั้นจะไม่เป็นเพียงแค่บริษัทคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป โดยจ๊อบส์ ได้ตัดคำว่า คอมพิวเตอร์ ออกจากชื่อบริษัทด้วย โดยเครื่อง Mac นั้นจะผันตัวเองมาเป็นศูนย์กลางสำหรับอุปกรณ์ใหม่ ๆ อีกหลากหลาย รูปแบบ 

กลยุทธ์ใหม่ที่ จ๊อบส์ ให้ Apple  เป็นคือ Digital Hub
กลยุทธ์ใหม่ที่ จ๊อบส์ ให้ Apple เป็นคือ Digital Hub

มันมีหลายสาเหตุ ที่ทำให้จ๊อบส์ นั้นสามารถมองเห็น และอ้าแขนรับยุคใหม่แห่งการปฏิวัติ ดิจิตัล ได้ดีกว่าคนอื่น ๆ จ๊อบมีทั้งส่วนประกอบของศิลปศาสตร์และเทคโนโลยี เขารักเสียงเพลง รูปภาพ วีดีโอ และยังรักคอมพิวเตอร์อีกด้วย

ซึ่งหัวใจของวิสัยทัศน์ใหม่ของจ๊อบส์ ในเรื่อง ดิจิตอลฮับ คือ การเป็นตัวเชื่อมความนิยมชมชอบที่เขามี กับ ความคิดสร้างสรรค์ทั้งทางศิลปะและงานวิศวกรรม ที่มีการหลอมรวมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด

ในตอนท้ายของการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ทุก ๆ ครั้ง จ๊อบส์ จะฉายสไลด์ เป็นรูปจุดที่มีการบรรจบระหว่างความเป็น “ศิลปศาสตร์” กับ “เทคโนโลยี” และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงคิดเรื่องดิจิตอลฮับได้ก่อนใครเพื่อน และเขาจะกำลังจะนำพา apple ก้าวไปยังจุดนั้นให้ได้

และด้วยความที่จ๊อบส์ นั้นเป็นคนที่รักในความสมบูรณ์แบบ เขาจึงรู้ว่า ต้องมีการบูรณาการทุกแง่มุมของผลิตภัณฑ์ เข้าด้วยกัน ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ คอนเทนต์ และ การตลาด ซึ่งจะทำให้ apple เป็นฝ่ายได้เปรียบ ในโลกยุค ดิจิตอลฮับ เพราะ เขาสามารถ control ทุกอย่างได้ใน ecosystem ของเขา ข้อมูล หรือ คอนเทนต์ ในอุปกรณ์พกพาต่าง ๆ จะถูกควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ของ apple ได้อย่างแนบเนียนแบบไม่สะดุด

ต้องบอกว่า มันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมมากจริง ๆ สำหรับ apple ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ กำลังชะลอการลงทุนในผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มันเป็นช่องว่างที่สำคัญ ที่จะทำให้ apple กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และ นั่นเป็นที่มาของการสร้างนวัตกรรม ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของความยิ่งใหญ่ของ apple ที่จะเกิดขึ้นในยุคหลังจากนั้น เพราะจ๊อบส์กำลังที่จะสร้าง อุปกรณ์เล่นเพลงแบบพกพา ที่ตอนนั้นแทบทุกยี่ห้อล้วนมีปัญหาใช้งานยาก และมี user interface ที่ซับซ้อน  แล้วจ๊อบส์นั้น จะสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาได้อย่างไร วิสัยทัศน์ เรื่อง ดิจิตอลฮับนั้น จะเปลี่ยนแปลง apple ไปได้แค่ไหน โปรดติดตามตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 2 : The Secret Source

ประวัติ Steve Jobs ผู้สร้าง iPod ตอนที่ 12 : GoodBye iPod

iPod มันกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ ยิ่งพวกที่คลั่งเรื่องดีไซน์ และ เหล่าสาวกของ apple ต่างหลงรัก iPod กันทั้งนั้น และ มันเริ่มแพร่ขยายลัทธิ ของ iPod กระจายไปทั่วโลก มันทำให้ iPod เป็น ไอคอน แห่งการฉีกกฏเกณฑ์ ต่าง ๆ ที่มีมาทั้งในเรื่องวิศวกรรม รวมถึง ศิลปะด้านการดีไซน์ และเพียงไม่นานก็กระโดดเข้าไปกินเรียบส่วนแบ่งการตลาดถึง 70% ของเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาทั่วโลก

มีคนเปรียบเทียบ iPod ว่าเป็น walkman แห่งศตวรรษที่ 21 เป็น walkman แห่งยุคดิจิตอล เป็น walkman ที่ Sony นั้นลืมนึกถึง และเป็นสิ่งที่สื่อมวลชนกล่าวขวัญถึงอย่าแพร่หลายทั่วโลก

เปรียบได้กับ walkman แห่งศตวรรษที่ 21
เปรียบได้กับ walkman แห่งศตวรรษที่ 21

จ๊อบส์ เริ่ม ปรับให้มีการขายเพลงผ่าน iTunes Store เพื่อแบ่งส่วนแบ่งให้กับศิลปิน และค่ายเพลง เนื่องจากขณะนั้น มีการดาวน์โหลดเพลงที่ละเมิดลิขสิทธิ์ เป็นจำนวนมาก แล้วมาใช้งานกับ iPod 

เมื่อ iPod เริ่มกระจายไปยังตลาดต่าง ๆ ทั่วโลก จ๊อบส์ จึงต้องตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการสร้าง iTunes ในเวอร์ชั่น Windows เพื่อให้เหล่าสาวกของ Microsoft ที่มีจำนวนมหาศาลในขณะนั้น สามารถใช้งานร่วมกับ iPod ได้ เป็นการทลายกำแพง ครั้งสำคัญที่กั้น iPod ไว้กับ Macintosh

iTunes Store เพื่อแก้ปัญหาเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์เพลงและแบ่งส่วนแบ่งให้ค่ายเพลงและศิลปินอย่างเป็นธรรม
iTunes Store เพื่อแก้ปัญหาเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์เพลงและแบ่งส่วนแบ่งให้ค่ายเพลงและศิลปินอย่างเป็นธรรม

ในตลาดเครื่องเล่น MP3 แบบพกพานั้น หลังจากการมาของ iPod ทำให้คู่แข่งต่างๆ  เริ่มล้มลุกคลุกคลาน ไม่สามารถที่จะมาต่อกรกับ iPod ของ apple ได้เลย โดย apple ยังคงเดินหน้าสร้างนวัตกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง มีการออก iPod รุ่นใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ iPod Shuffle , iPod Nano , iPod Video ไปจนถึง iPod Touch  และ ธุรกิจเพลงกลายเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจ apple มากยิ่งขึ้น

จ๊อบส์ ได้พยายามสร้างนวัตกรรมใหม่ให้ iPod มาทุก ๆ ปี โดยมีหลากหลายรุ่นมาก
จ๊อบส์ ได้พยายามสร้างนวัตกรรมใหม่ให้ iPod มาทุก ๆ ปี โดยมีหลากหลายรุ่นมาก

ในเดือนมกราคม 2007 ยอดขาย iPod ทำรายได้ถึงครึ่งหนึ่งของรายได้รวมบริษัท และยังทำให้ แบรนด์ apple เปล่งรัศมีและมีอนาคต ที่สดใสมากยิ่งขึ้น แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือ iTunes Store ซึ่งขายได้ถึง 1 ล้านเพลงหลังเปิดตัวได้เพียง 6 วัน ในเดือนเมษายน 2003 และมียอดขายในปีแรกสูงถึง 70 ล้านเพลง เดือนกุมภาพันธ์ 2006 iTunes Store ขายเพลงที่ 1,000 ล้าน  ส่วนเพลงที่ 10,000 ล้านนั้นขายออกไปในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2010

จะเห็นได้ว่า ความสำเร็จของ iPod นั้นมันส่งต่อเนื่องมายัง iTunes Store และยังให้ประโยชน์ ที่ลุ่มลึกกว่านั้น ปี 2011 โลกมีธุรกิจใหม่ที่สำคัญเกี่ยวกับการชำระเงิน online ซึ่งตอนนั้นคนเริ่มเชื่อใน brand apple ผ่าน iTunes Store เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เมื่อ iTunes Store กลายร่างมาเป็น App Store และเริ่มจำหน่ายวีดีโอ แอพพ์ และเปิดรับสมาชิก ก็สามารถเพิ่มยอดลูกค้าที่ active ได้ถึง 225 ล้านคนภายในเดือนมิถุนายน 2011 ซึ่งช่วยให้ apple นั้นอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมรับมือในยุค ดิจิตอล e-commerce ได้ต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะพวกเขาสามารถคุม ecosystem ทั้งหมดไว้ได้ จึงสามารถสร้างรายได้จากหลายส่วนจาก ecosystem ทั้งหมดนี้

จาก iTunes Store ที่ขายเพลงพัฒนามาจนเป็น App Store สำหรับ iPhone ในที่สุด
จาก iTunes Store ที่ขายเพลงพัฒนามาจนเป็น App Store สำหรับ iPhone ในที่สุด

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ iPod อุปกรณ์ที่ใช้การบูรณาการ แนวตั้งระหว่าง ซอฟต์แวร์ (iTunes) เข้ากับ ตัว iPod (ฮาร์ดแวร์) ที่เป็นกุญแจดอกสำคัญที่ไขความสำเร็จให้กับ Apple มันเป็นตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ชั้นเยี่ยมยอดที่ประสบความสำเร็จในการเอาชนะคู่แข่งได้แบบเบ็ดเสร็จมาแล้ว และเจ้า iPod นี่แหละครับที่เป็นตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ชั้นยอดที่ว่านั้น ผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนบริษัท Apple จากบริษัทคอมพิวเตอร์ ไปสู่บริษัท consumer product และกลับมายิ่งใหญ่ได้สำเร็จอีกครั้งหนึ่ง

Goodbye iPod

หลังจากการกำเนิดของ iPhone ในปี 2007 นั้น ก็ทำให้ ยอดขายของ iPod เริ่มลดลงไปเรื่อย ๆ เพราะตัว iPhone นั้นมีคุณสมบัติ เป็นเครื่องฟังเพลง MP3 แบบพกพาได้ในตัวเหมือน iPod อยู่แล้ว 

เพราะฉะนั้น คนที่มี iPhone อยู่แล้วนั้น ก็มักจะไม่ได้ซื้อ iPod อีกต่อไป มันทำให้ตลาดของ iPod ค่อย ๆ หดตัวลงไปเรื่อย ๆ และถูกแทนที่ด้วย iPhone

และในวันที 27 กรกฏาคม 2017 นั้น apple ก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า จะทำการเลิกผลิต iPod Nano และ iPod Shuffle  โดยจะเหลือไว้เพียง iPod Touch เท่านั้น ถือเป็นการสิ้นสุดยุคของ iPod อย่างเป็นทางการ

แล้วเราได้อะไรจากการสร้าง iPod จาก Blog Series ชุดนี้

เหตุผลที่สำคัญอย่างนึงเลยที่ผมเลือก ส่วนของการสร้าง iPod มาถ่ายทอดลงใน Blog ชุดนี้ นั้น ก็เนื่องมาจาก มันคือ การเริ่มต้นยุคใหม่ของ จ๊อบส์ โดยการเข้ามาคุม Apple ในคำรบที่สองนั้น แทบจะติดลบด้วยซ้ำ ตอนที่ จ๊อบส์ เข้ามากู้วิกฤตินั้น สถานการณ์ของ apple แทบจะเป็นซากปรักหักพัง เป็นบริษัทที่รอวันล้มละลายเท่านั้น แต่ จ๊อบส์ สามารถพลิก Apple กลับมาได้ โดยใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ด้วยนวัตกรรมที่เขาสร้างขึ้นมาใหม่ล้วน ๆ 

และสิ่งสำคัญที่จ๊อบส์ทำมาตลอดในช่วงดังกล่าว คือ การโฟกัส ซึ่ง เขาโฟกัส ในสิ่งที่ทำ การสร้าง iPod นั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งทางด้านวิศวกรรม และ การออกแบบมากมาย แต่จ๊อบส์ เชื่อมั่นว่า ทีมของเขาจะทำได้ เขาทำให้ทีมของเขาทำสิ่งที่ใครในโลก ไม่คิดว่าจะทำได้  iPod มันจึงกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่วิเศษที่สุด มันเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมดนตรีได้เลยด้วยซ้ำ และมันเป็นการพลิกโฉมของ Apple เข้าสู่ยุคใหม่อย่างที่เห็นในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน

และเพราะ ipod นี่เอง ที่ทำให้ จ๊อบส์ กล้าที่จะสร้าง iPhone หรือ iPad ตามมาได้ เพราะเขาสามารถทำเรื่องที่เหลือเชื่อ ด้วยทีมที่มีความพร้อมขนาดนี้ได้แล้ว มันทำให้จ๊อบส์ กล้าที่จะทำอะไรแหกกฏ ที่เคยมีมา ลองจินตนาการกลับไปทั้งยุคของเครื่องเล่น MP3 ก่อน ที่ iPod จะออก หรือ มือถือ ก่อนที่ iPhone จะออกมา

จ๊อบส์ ทำในสิ่งที่ ไม่มีใครคิดว่าจะทำได้ทั้งนั้น เพราะมันแตกต่าง มันไม่เหมือนใคร และมันเป็น DNA ของการ Think Different ที่เป็น DNA หลักของ Apple เลยก็ว่าได้ เมื่อจ๊อบส์ พร้อมจะลุย ลูกทีมของเขาก็พร้อมจะสู้กับจ๊อบส์ ไม่ว่าอุปสรรค จะยาก หรือ ท้าทายมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยกลัว

Think Different เป็น DNA ของ apple โดยการนำของจ๊อบส์
Think Different เป็น DNA ของ apple โดยการนำของจ๊อบส์

วันนึง เราอาจจะได้เห็น นวัตกรรมที่ พลิกโลก ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เราบ้างก็เป็นได้ อยากให้ blog Series ชุดนี้เป็นแรงบรรดาลใจ ให้กับ ผู้ที่กำลังสร้างสรรค์ผลงานใด ๆ ก็ตาม ที่ยังท้อแท้อยู่ ก็ ดูสิ่งที่จ๊อบส์ ทำกับ iPod เป็นตัวอย่าง ว่าการโฟกัสในสิ่งที่ทำ และเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ แม้จะดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เกินความสามารถ แต่หากสุดท้าย มีความตั้งใจ และมีทีมงานที่พร้อมจะร่วมสู้ มันก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างยิ่งใหญ่เหมือนที่จ๊อบส์และทีมงานสร้าง iPod ขึ้นมาได้นั่นเอง

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Second Coming  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

ประวัติ Steve Jobs ผู้สร้าง iPod ตอนที่ 11 : Welcome to the iPod era

จ๊อบส์ เผยโฉมเครื่อง iPod ครั้งแรก เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2001 ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจนเป็นแบบฉบับของตัวเอง ในบัตรเชิญที่ส่งไปยังสื่อ นั้น มีข้อความยั่วยวนว่า “คำใบ้: คราวนี้ไม่ใช่ Mac” 

และเมื่อถึงเวลาเผยโฉมผลิตภัณฑ์ หลังจากบรรยายสมรรถนะทางเทคนิคแล้วจ๊อบส์ไม่ได้เดินไปเปิดผ้าคลุมกำมะหยี่บนโต๊ะ อย่างที่เคยทำในทุก ๆ ครั้งที่มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของ apple แต่เขาแค่พูดขึ้นว่า “ผมบังเอิญมีเจ้านี่อยู่ในกระเป๋า” เขาล้วงเอาอุปกรณ์สีขาววาววับออกจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ “เจ้าเครื่องเล็ก ๆ น่าทึ่งนี่ จุเพลงได้ 1,000 เพลง และใส่กระเป๋าผมได้พอดี” เขาใส่มันกลับเข้าไปในกระเป๋า แล้วเดินลงจากเวทีท่ามกลางเสียงปรบมือเกรียวกราวจากเหล่าสาวก

นาที ที่จ๊อบส์ หยิบ เจ้า iPod ออกมาจากกระเป๋า
นาที ที่จ๊อบส์ หยิบ เจ้า iPod ออกมาจากกระเป๋า

ซึ่งในตอนแรกนั้นบรรดาสาวกแฟนพันธุ์แท้ทางเทคโนโลยีไม่ค่อยเชื่อราคาคุยของจ๊อบส์ สักเท่าไหร่ โดยเฉพาะการตั้งราคาไว้สูงถึง 399 เหรียญ ทำให้ชาวบล็อกต่างพากันไปเขียนล้อเลียนชื่อ iPod ย่อมาจาก “idiots price our devices” หรือแปลเป็นไทยว่า “คนปัญญาอ่อนเป็นคนตั้งราคาเครื่องให้เรา”

โดยที่วันวางจำหน่ายจริง ๆ ของ iPod ที่ออกสู่ตลาดคือ วันที่ 10 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นหลังเหตุการณ์ 9-11 เพียงหนึ่งเดือน ช่างเป็นลางที่ไม่ดีเลยสำหรับ iPod และไม่เพียงแต่เป็นการออกสู่ตลาดหลังเหตุการณ์เศร้าโศกครั้งยิ่งใหญ่ของชาวอเมริกาเท่านั้น แต่ยังเป็นช่วงเวลาที่ตลาดเทคโนโลยีร่วงตกต่ำแบบสุด ๆ อีกต่างหาก

ไม่เพียงแค่ราคาที่แพงสุดกู่ มันยังต้องใช้คู่กับเครื่อง Macintosh เท่านั้นด้วย ซึ่งขณะนั้น Windows แทบจะครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จ ในตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล

จุดอ่อนอย่างนึงคือ ใช้ได้กับ macintosh เท่านั้น
จุดอ่อนอย่างนึงคือ ใช้ได้กับ macintosh เท่านั้น

ไอฟฟ์ ได้กล่าวหลังจากเปิดตัว iPod ไว้ว่า  “apple นำปรัชญาด้านการออกแบบมาใช้กับผลิตภัณฑ์ที่เรายังไม่มี และ iPod ก็เป็ฯผลิตภัณฑ์ที่เราต้องการมาก ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลง apple เข้าสู่ยุคใหม่อย่างแท้จริง” ซึ่งสิ่งสำคัญอย่างนึงก็คือ พนักงานของ apple นั้น บ้าดนตรีอยู่เป็นจำนวนมาก พนักงานส่วนใหญ่ต่างคลั่งไคล้ในเสียงดนตรี แม้ว่าสุดท้ายแล้วบทสรุป คือ การสร้างเครื่องเล่น mp3 ตัวใหม่ขึ้นมา แต่เป้าหมายสำคัญของ apple ไม่ใช่การหาเงิน เป้าหมายอยู่ที่การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่โครตเจ๋งออกสู่ตลาด เพื่อให้สามารถทำเงินมหาศาลจากมันได้มากกว่า

นอกเหนือจากนั้น iPod ยังกลายเป็นแก่นสำคัญของทุกอย่างที่ apple ถูกชะตาได้กำหนดมาแล้ว ทั้งบทกวี ที่เชื่อมโยงกับวิศวกรรม ศิลปะ และ ความคิดสร้างสรรค์ มาบรรจบกับเทคโนโลยี การออกแบบที่กล้าแต่เรียบง่าย การใช้งานที่ง่ายมาก ๆ ซึ่งมันเป็นผลจากการทำงานอย่างหนัก และทำอย่างบูรณาการตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่ FireWire ถึงตัวเครื่อง ซอฟต์แวร์ และการจัดการคอนเทนต์ เมื่อลูกค้าหยิบเครื่อง iPod ออกจากกล่อง มันสวยจนดูคล้ายเรืองแสงได้ เทียบกันแล้ว ดูเหมือนเครื่องเล่นเพลงยี่ห้ออื่น ๆ ถูกออกแบบและผลิตในดินแดนที่ล้าหลังเลยทีเดียว

ต้องยอมรับว่า ตอนนั้น iPod โครตที่จะสมบูรณ์แบบเลย มันแทบจะสุดยอดนวัตกรรมใหม่ ที่คนทั่วโลกต่างตื่นเต้นกับเจ้า iPod เครื่องนี้ และเพียงไม่นาน ผู้บริโภคก็ทำให้มันกลายเป็นสินค้าขายดี 

iPod กลายเป็นสินค้าขายดีแทบจะทันทีหลังจากวางขาย
iPod กลายเป็นสินค้าขายดีแทบจะทันทีหลังจากวางขาย

และมันส่งผลชัดเจนในเรื่องตัวเลข  ยอดขายในไตรมาสแรก หลังจากวางตลาดนั้นสูงถึง 250,000 เครื่อง และอีกสิบแปดเดือนต่อมา ยอดขายก็ทะยานเพิ่มขึ้นมากกว่า 800,000 เครื่อง ส่งผลให้ iPod เป็นเครื่องเล่นเพลงดิจิตอลที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลกทันที

ต้องบอกได้ว่า นับตั้งแต่เครื่อง Mac รุ่นแรกเป็นต้นมา ไม่มีครั้งใดที่ความชัดเจนเรื่องวิสัยทัศน์ด้านผลิตภัณฑ์ผลักดันให้บริษัทก้าวสู่อนาคตได้มากเท่าครั้งนี้ ทุกคนต่างกล่าวชื่นชม ทั้งสื่อต่าง ๆ ดารา Celebrity ต่างชอบ iPod โดยเฉพาะ ศิลปินชื่อดัง แทบจะทุกคนต้องมี iPod เป็นอุปกรณ์ประจำกาย

มันเห็นได้ชัดเจนว่า วิสัยทัศน์ของจ๊อบ ในเรื่องการ control ทั้ง ecosystem ของระบบ ทำทั้ง ฮาร์ดแวร์ , ซอฟต์แวร์ รวมทั้ง คอนเทนต์ นั้น ผลที่ตามมาก็คือ ทุก ๆ ส่วนของผลิตภัณฑ์ทำงานได้อย่างเข้ากันได้ดีมาก และมันสามารถที่จะควบคุมประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้หมดทุกส่วน และทุกคนก็ตกหลุมรัก เจ้า iPod

ตอนหน้า จะเป็นตอนจบ ของ series ipod ชุดนี้แล้วนะครับ ต้องบอกว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของ apple ในยุคใหม่เลยก็ว่าได้ เพราะหลังจากสร้าง iPod ได้สำเร็จ ก็ไม่มีอะไรที่ จ๊อบส์ คิดว่า เขาสร้างไม่ได้อีกแล้ว เพราะ iPod มันเป็นการฉีกกฏเกณฑ์ ของทุกอย่าง ทั้งเรื่องวิศวกรรม การดีไซต์ ซึ่งล้วนแล้วแต่ผ่านความยากระดับหิน ๆ มาได้สำเร็จแล้วแทบจะทั้งสิ้น บทสรุปของ series ชุดนี้จะเป็นอย่างไร โปรดอย่าพลาดติดตามในตอนหน้ากันนะครับผม

–> อ่านตอนที่ 12 : GoodBye iPod (ตอนจบ)

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Second Coming  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Steve Jobs ผู้สร้าง ipod ตอนที่ 9 : Let’s Build It

MP3 เป็นผลงานการคิดค้นของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันกลุ่มหนึ่งในปี 1987 คล้าย  ๆ กับการตัดไฟล์วีดีโอเพื่อให้เล่นได้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยการตัดเอา data ที่ไม่จำเป็นออกมาให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้ มันเป็นการนำ data ออกไปโดยที่ผู้ฟังไม่ทันสังเกตเห็น 

มันทำให้ไฟล์ที่ได้รับการตัดแต่งแล้วนั้น เป็นไฟล์ที่บรรจุข้อมูลน้อยที่สุด แต่ให้ผลแสดงออกมาที่เยี่ยมสมบูรณ์แบบเมื่อมนุษย์ ได้ยิน และ ได้ฟัง เป็นไฟล์ที่มีขนาดลดลงเหลือเพียง หนึ่งในสิบสองของไฟล์ต้นฉบับ ทำให้ลดจำนวนการเก็บข้อมูลได้มากโขเลยทีเดียว และมันกำลังรอคอยให้ จ๊อบส์ มาเพิ่มพูนคุณประโยชน์ให้กับมัน

ฟาเดลล์ พบจ๊อบส์ ครั้งแรกที่งานเลี้ยงวันเกิดที่บ้านของ แอนดี้ เฮิร์ตซเฟลด์ เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านั้น และเคยได้ยินกิตติศัพท์ของจ๊อบส์มามาก ซึ่งหลายเรื่องนั้นฟังแล้วน่าขนลุก แต่เพราะเขายังไม่รู้จักจ๊อบส์ดีพอ เขาจึงรู้สึกหวั่นใจพอสมควร เมื่อต้องมาประจันหน้ากับจ๊อบส์ จริง ๆ ในการประชุมงานเรื่อง iPod

เดือน เมษายน 2001 มีการประชุมนัดสำคัญ วันนั้นจ๊อบส์ ต้องตัดสินใจเลือกองค์ประกอบพื้นฐานสำหรับเครื่อง iPod ซึ่ง ฟาเดลล์ เป็นคนนำเสนอ โดย มี รูบินสไตน์ ,ชิลเลอร์ , เจฟฟ์ ร็อบบิน และ สแตน อึง ผู้อำนวยการฝ่ายตลาดของ apple เข้าร่วมฟังด้วย

ฟาเดลล์ เป็นผู้นำทีมสร้าง iPod
ฟาเดลล์ เป็นผู้นำทีมสร้าง iPod

การประชุมเริ่มด้วยการนำเสนอเรื่องของศักยภาพของตลาด และเนื้อหาทางการตลาดอื่น ๆ ที่เหล่านักการตลาดมักจะทำกัน แต่จ๊อบส์ เป็นคนที่มีความอดทนต่ำ สไลด์ชุดไหน ที่มีความยาวเกินหนึ่งนาที เขาจะไม่สนใจทันที และเมื่อถึงฟาเดลล์ ที่ต้องกล่าวถึงเรื่องคู่แข่งในตลาด ที่ขณะนั้น มีทั้ง Sony  , Creative หรือ Rio  ที่่อยู่ในตลาดเครื่องเล่น MP3 เหมือนกัน

แต่จ๊อบส์ นั้น โบกมืออย่างไม่แยแส จ๊อบส์ไม่เคยสนใจคู่แข่งเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ โปรเจค iPod ยังเป็นความลับอยู่ เหล่าคู่แข่งยังไม่รู้ว่า apple กำลังทำอะไรด้วยซ้ำ

จ๊อบส์ นั้นชอบให้เอาสิ่งที่จับต้องได้มาโชว์ เพื่อเขาจะได้ สัมผัส ลูบคลำ สำรวจ ฟาเดลล์ จึงได้นำโมเดล 3 แบบเข้ามาในห้องประชุมด้วย รูบินสไตน์ นั้นสอนเทคนิคให้จ๊อบส์ดูเรียงตามลำดับ เพื่อให้ชิ้นที่เขาชอบที่สุดเป็นชิ้นที่เด่นที่สุด ทีมงานจึงซ่อนโมเดล ที่ชอบไว้ใต้โต๊ะประชุม

จากนั้น ฟาเดลล์ เริ่มเอาโมเดลออกมาโชว์ ซึ่งโมเดลเหล่านี้ทำจากโฟมแบบเดียวกับที่ใช้ทำกล่องอาหาร ยัดไส้ตะกั่วเพื่อให้ได้น้ำหนักที่เหมาะสม ตัวอย่างแรกมีช่องใส่เมมโมรี่การ์ดสำหรับบันทึกเพลงแบบถอดได้ จ๊อบส์ตัดตัวอย่างนี้ออกทันทีมันดูซับซ้อนไป

โมเดล iPod จากโฟม เพื่อให้ จ๊อบส์ ได้ตัดสินใจ
โมเดล iPod จากโฟม เพื่อให้ จ๊อบส์ ได้ตัดสินใจ

ตัวอย่างที่สองนั้นใช้เมมโมรี่แบบ dynamic RAM ซึ่งราคาถูกกว่า แต่เพลงทั้งหมดจะถูก delete ทิ้งทันที หากแบตเตอรี่หมด ซึ่งแน่นอนว่าจ๊อบส์ไม่ปลื้มอย่างแน่นอน

จากนั้น แบบที่สามคือ ฟาเดลล์ ได้ทำการจับชิ้นส่วนต่อกันเหมือนเลโก้ เพื่อให้ดูว่าเครื่องเล่นบรรจุฮาร์ดไดร์ฟขนาด 1.8 นิ้วจะมีหน้าตาอย่างไร ซึ่ง โมเดลนี้ จ๊อบส์ดูสนใจมาก ๆ  ซึ่งสุดท้าย จ๊อบส์ ก็เลือกแบบดังกล่าว ซึ่ง ทำให้ฟาเดลล์ ถึงกับทึ่งมาก เพราะปรกติการประชุมแบบนี้ที่บริษัทอื่น จะต้องตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจอีก แต่ กับ apple จ๊อบส์ ถือเป็นสิทธิ์ เด็ดขาด สามารถฟันธงได้ทันที ทำให้ทุกอย่างสามารถทำได้รวดเร็ว

 ต่อจากนั้นเป็นคิวของ ฟิล ชิลเลอร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัท มันเป็น idea ที่สำคัญที่สุดของ iPod ที่ทำให้แตกต่างจากเครื่องเล่น MP3 อื่น ๆ ในตลาด ชิลเลอร์ นั้นเสนอ ล้อกลม ๆ สำหรับใช้เลือกเพลง ( trackwheel ) แค่ใช้นิ้วโป้งหมุนวงล้อ ผู้ใช้จะสามารถเลือกเพลงใน Playlist ได้ ยิ่งหมุนนาน ก็ยิ่งไล่เพลงได้เร็วขึ้น ถึงจะมีเพลงเป็นร้อยเป็นพันเพลง ก็สามารถไล่ดูได้ง่าย ซึ่งไอเดียนี้ จ๊อบส์ร้องอุทาน “นั่นแหละใช่เลย!!!” แล้วสั่งให้ฟาเดลล์ กับทีมวิศวกร ลงมือทำทันที

ฟิล ชิลเลอร์ ผู้คิดค้น idea trackwheel ของ iPod
ฟิล ชิลเลอร์ ผู้คิดค้น idea trackwheel ของ iPod

โดยหลังจากเริ่มโครงการอย่างเป็นทางการ จ๊อบส์ ก็เข้ามาคลุกคลีด้วยทุกวัน จ๊อบส์ให้ concept หลักของ iPod คือ “ทำให้ง่ายเข้าไว้!” ทุกฟังก์ชัน ต้องทำได้ภายใน 3 click ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะบางครั้งทีมงาน ต้องพยายามแก้ไขปัญหาในส่วนของ User Interface แบบไม่ได้หลับไม่ได้นอน

แต่จ๊อบส์ก็พยายามหาจุดอ่อน ไปเรื่อย ๆ และให้ทีมงานไปคิดหาวิธีแก้มา ซึ่งบางครั้งทีมงานก็คิดไม่ออกว่าจะไปถึงสิ่งที่จ๊อบส์ต้องการได้อย่างไร มันเป็นเรื่องที่บ้ามาก ๆ ในหลายเรื่องที่ทีมงานต้องมานั่งแก้ไขเพื่อให้จ๊อบส์นั้นพอใจ จนตอนนั้น มันทำให้ปัญหาเล็ก ๆ ต่าง ๆ แทบมลายหายไปเลยทีเดียว เพราะจ๊อบส์ จะเห็นรายละเอียดในทุก ๆ จุด และสั่งให้แก้ไขมันทันที

แนวคิดที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จ๊อบส์ได้กำหนดไว้ คือ ควรให้ ซอฟท์แวร์ iTunes ในคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือจัดการกับฟังก์ชั่นต่าง ๆ ให้มากที่สุด แทนที่จะทำในเครื่อง iPod

ให้ iTunes ช่วยจัดการ iPod ให้มากที่สุด
ให้ iTunes ช่วยจัดการ iPod ให้มากที่สุด

และมีคำสั่งอย่างนึงจากจ๊อบส์ ที่ทำให้ทีมงานต่างอึ้งกันไปเลยทีเดียว กับ ความเรียบง่ายตามความต้องการของจ๊อบส์  จ๊อบส์นั้นไม่ต้องการให้ iPod มีปุ่ม เปิด-ปิด และเราจะสังเกตได้ว่า อุปกรณ์อื่น ๆ ของ Apple ก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน คือ ไม่มี ปุ่ม สวิตช์ เปิด-ปิด โดยจะเข้าสู่โหมดพักทันที เมื่อไม่ได้ใช้งาน และ จะ ตื่น เมื่อแตะแป้นใด  ๆ ก็ได้

แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เริ่มเข้าทางอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น ชิปที่เก็บเพลงได้เป็นพันเพลง ส่วนของ User Interface และวงล้อที่ช่วยนำทางไปหาเพลงต่าง ๆ นั้น การเชื่อมต่อผ่าน FireWire ที่ช่วยให้ดาวน์โหลดเพลง ทั้ง 1,000 เพลง ได้ในเวลาไม่ถึง 10 นาที และแบตเตอรี่ ก็สามารถใช้งานได้ถึง 1,000 เพลงเช่นกัน

ตอนนี้ จ๊อบส์ เริ่มรู้แล้วว่า ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ มันเจ๋ง แค่ไหน ด้วยคอนเซ็ปต์ของเครื่องที่เรียบง่าย และงดงาม มันคือ “หนึ่งพันเพลงในกระเป๋าคุณ” 

iPod ต้องเรียบง่ายที่สุด และ เข้ากับ concept 1,000 เพลงในกระเป๋าคุณ
iPod ต้องเรียบง่ายที่สุด และ เข้ากับ concept 1,000 เพลงในกระเป๋าคุณ

แต่ปัญหาคือ 1,000 เพลงนั้นจะมาจากไหน จ๊อบส์นั้นรู้ดีว่าเพลงบางส่วนนั้นจะถูก คัดลอกมากจาก CD ที่ซื้อมาอย่างถูกกฏหมาย ซึ่งส่วนนี้ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด แต่อีกหลายเพลงนั้น อาจจะมาจากการดาวน์โหลดที่ผิดกฏหมาย

แต่จ๊อบส์ นั้น เชื่ออย่างนึงในเรื่องของการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และเชื่อว่า ศิลปิน ควรได้รับเงินจากสิ่งที่ตนเองผลิตขึ้นมา ดังนั้น ในช่วงท้าย ๆ ของการพัฒนา iPod เขาจึงออกคำสั่งให้เครื่องสามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ได้เพียงทิศทางเดียวเท่านั้น 

ผู้ใช้สามารถที่จะย้ายเพลงจากคอมพิวเตอร์ลงมาเครื่อง iPod ได้ แต่ไม่สามารถย้ายเพลงจาก iPod ไปใส่คอมพิวเตอร์ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้คนใส่เพลงลงเครื่อง iPod แล้วปล่อยให้เพื่อน ๆ อีกนับสิบถ่ายเพลงจากเครื่องไป นอกจากนี้เขายังตัดสินใจว่า พลาสติกใสที่หุ้มเครื่อง iPod ควรพิมพ์ข้อความเข้าใจง่ายว่า “อย่าขโมยเพลง”  ( “Don’t Steal Music”)

–> อา่นตอนที่ 10 : The Whiteness of the Whale

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Second Coming  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Steve Jobs ผู้สร้าง iPod ตอนที่ 7 : iTunes

เมื่อถึงปี 2000 เป็นปีที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นกับตลาดขายแผ่น ซีดีเปล่าของประเทศอเมริกา เพียงปีนี้ ปีเดียว บริษัทขายซีดี สามารถจำหน่ายซีดีเปล่าออกไปได้ถึง 320 ล้านแผ่น ทั้งที่ประชากรของประเทศสหรัฐอเมริกา มีเพียงแค่ 281 ล้านคน ในขณะนั้น

และอย่างที่เกริ่นไปในตอนที่แล้ว ธุรกิจเพลง กำลังจะกลายเป็นธุรกิจใหม่ที่มีขนาดใหญ่โตมหึมา การเกิดขึ้นของไดร์ฟที่ใช้ในการ rip และ burn CD เพลงจากคอมพิวเตอร์ลงแผ่นนั้น มันกลายเป็น Trend ใหม่ของเหล่านักฟังเพลงทั่วสหรัฐอเมริกา และมันมีการเกิดขึ้นของ Napster บริการแชร์ไฟล์ ชื่อดัง ที่แม้จะไม่ถูกกฏหมายเสียทีเดียว แต่ตอนนี้ โอกาสในตลาดเพลงของสหรัฐอเมริกา มันเกิดขึ้นแล้ว และ จ๊อบส์ ไม่รอช้าที่จะกระโจนเข้าสู่ธุรกิจนี้

การ Burn CD เพลงกลายเป็น Trend ใหม่ของนักฟังเพลง
การ Burn CD เพลงกลายเป็น Trend ใหม่ของนักฟังเพลง

ซึ่งต้องบอกว่า หลังจากที่จ๊อบส์กลับมาในรอบสองนั้น idea ของจ๊อบส์ที่เด่น ๆ คือ iMac เพียงเท่านั้น แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนของปี 2000 ซึ่งเป็นเวลา 2 ปีหลังจากมันถูกนำออกสู่ตลาด บริษัทกลับขาย iMac ได้เพียง 500,000 เครื่องเท่านั้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าที่ประมาณการ เครื่อง iMac หลากสีสัน ของ apple นั้นตกรุ่นอย่างรวดเร็ว เพราะตลาดมันเริ่มเข้าสู่จุดอิ่มตัวอย่างเห็นได้ชัด

และมันถึงเวลาที่จ๊อบส์ นั้นต้องเข้าสู่ธุรกิจเพลงแบบจริง ๆ จัง  ๆ โดยเขาได้เริ่มจากการเพิ่มไดร์ฟ ที่ใช้ในการ burn CD เพลงลงไปในเครื่อง iMac แม้จะเป็นเวลาที่ช้าไปหน่อยที่เพิ่งคิดจะมาติดตั้งไดร์ฟดังกล่าว และยังทำการอัพเดทระบบปฏิบัติการ OSX ให้รองรับการทำงานนี้ ซึ่งมันเป็นก้าวที่ทำให้ Mac ตามชาวบ้านเขาทันเสียที

iMac พร้อมไดร์ฟที่ใช้ rip burn เพลงลง CD
iMac พร้อมไดร์ฟที่ใช้ rip burn เพลงลง CD เพื่อเข้าสู่ตลาดเพลงเต็มตัว

แต่แค่นั้นยังไม่พอ เขาคิดว่าตอนนี้การถ่ายเพลงจากซีดี ไปยังคอมพิวเตอร์ นั้นมันยังยุ่งยากมากสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป เขาตั้งเป้าที่จะสร้างซอฟท์แวร์ ที่จะทำให้การบริหารจัดการ และ burn เพลง หรือการสร้าง playlist เพลงนั้น ใช้งานง่ายกว่าที่มีอยู่ในตลาดในขณะนั้น

มันเป็นความสามารถที่แสนพิเศษอย่างหนึ่งของจ๊อบส์เลยก็ว่าได้ ในการเล็งเห็นตลาดที่มีผลิตภัณฑ์รองบ่อนอยู่จำนวนมากในตลาด เขาไล่มองดูซอฟท์แวร์ ที่มีอยู่ในตลาดในขณะนั้น ทั้ง Real Jukebox , Windows Media Player หรือ ซอฟท์แวร์ ที่ HP พ่วงไปกับไดร์ฟเบิร์น CD ของตัวเอง ซึ่ง ทั้งหมดเหล่านี้ มันซับซ้อน และใช้งานยาก เกินกว่าผู้ใช้งานทั่วไปจะใช้ได้

ซอฟท์แวร์ในตลาดอย่าง Windows Media Player ใช้งานยุ่งยากมาก
ซอฟท์แวร์ในตลาดอย่าง Windows Media Player ใช้งานยุ่งยากมาก

และชายคนหนึ่งที่ชื่อ  บิล คินเคด กำลังจะเข้ามามีบทบาทในส่วนนี้ เขาเคยเป็นวิศวกรรมซอฟท์แวร์ ที่ Apple และเป็นคนที่ชอบประลองความเร็วในสนามแข่ง  ในขณะที่เขาขับรถ วันหนึ่งเขาได้เปิดวิทยุสถานี National Public Radio ฟัง และได้ยินข่าวจากวิทยุว่า มีเครื่องเล่นเพลงแบบพกพา ที่ชื่อว่า Rio ซึ่งเล่นเพลงจากไฟล์ MP3 แต่ ข่าวร้ายก็คือ มันใช้ได้เฉพาะในระบบปฏิบัติการ Windows เท่านั้น ซึ่งคินเคด ก็คิดว่า ถึงเวลาที่เขาต้องแสดงฝีมืออีกครั้ง โดยทำให้มันสามารถเล่นบน Mac ได้

คิดเคด ได้โทรหาเพื่อนคือ เจฟฟ์ ร็อบบิน และ เดฟ เฮลเลอร์ ซึ่งทั้งสองนั้นเคยเป็นอดีตวิศวกรของซอฟท์แวร์ ของ apple เหมือนกัน และขอให้ทั้งสองคนช่วยเขียนโปรแกรมจัดระเบียบเพลงคล้าย ๆ Rio Manager เพื่อใช้งานสำหรับเครื่อง Mac

หลังจากใช้เวลาเพียงไม่นาน ทั้งสามก็ทำเสร็จ โดยผลงานของพวกเค้าที่ทำออกมานั้นมีชื่อว่า SoundJam มันมี User Interface ที่เรียบง่าย และ ทำให้สาวกชาว Mac สามารถใช้งานเจ้าเครื่อง Rio ได้ โดยโปรแกรม SoundJam นั้น จะทำหน้าที่คล้ายตู้เพลงหยอดเหรียญ ที่คอยจัดเก็บ และจัดระเบียบเพลงไว้ในคอมพิวเตอร์ โดยเวลาใช้งานจะมีแสงวูบวาบบนจอ ช่วยสร้างความเพลิดเพลินระหว่างฟังเพลง

โปรแกรม SoundJam บน Mac ที่กลายร่างมาเป็น iTunes
โปรแกรม SoundJam บน Mac ที่กลายร่างมาเป็น iTunes

และเมื่อถึงเดือน กรกฏาคม ปี 2000 ระหว่างที่จ๊อบส์กำลังเคี่ยวเข็ญลูกทีม ให้พัฒนาซอฟท์แวร์สำหรับบริหารจัดการเพลง Apple ก็ได้ทำการเข้าซื้อกิจการของ SoundJam และพาทั้งสามสหายผู้ก่อตั้งมาทำงานที่ Apple เสียเลย เป็นการลดเวลาในการพัฒนาซอฟท์แวร์ตัวใหม่

จ๊อบส์ ได้ลงมาคลุกคลี ทำงานร่วมกับทั้งสามคนด้วยตัวเอง เพื่อเปลี่ยน SoundJam ให้เป็นผลิตภัณฑ์ของ Apple ซอฟท์แวร์ตัวนี้ อัดแน่ไปด้วยโปรแกรมทำงานนานาชนิด จึงมีหลายหน้าต่าง ยุ่งเหยิงไปหมด จ๊อบส์สั่งการให้ทั้งสามออกแบบใหม่หมด ให้ดูใช้งานง่ายขึ้น สนุกขึ้น แทนที่ จะต้องให้ผู้ใช้ระบุว่าต้องการค้นหาชื่อศิลปิน หรือ ชื่อเพลง หรือ ชื่ออัลบั้ม จ๊อบส์ ให้ปรับให้เหลือช่องค้นหาเพียงกล่องเดียวเท่านั้น ให้ใช้งานง่ายที่สุด ผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่งคู่มือการใช้งาน และตั้งชื่อมันใหม่ว่า iTunes

การเปิดตัว iTunes ครั้งแรกต่อสาธารณะชน นั้นเกิดขึ้นในงาน Macworld เดือนมกราคม ปี 2001 มันเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ ดิจิตัลฮับ ของจ๊อบส์ และ ปล่อยให้ดาวน์โหลด ไปใช้งานได้ฟรี ๆ สำหรับผู้ใช้งาน Mac ทุกคน โดยใช้สโลแกน สั้น ๆ ง่าย ๆ ว่า “Rip. Mix. Burn.”

iTunes 1.0 ออกสู่ตลาด นำ apple เข้าสู่ตลาดเพลงแบบเต็มตัว
iTunes 1.0 ออกสู่ตลาด นำ apple เข้าสู่ตลาดเพลงแบบเต็มตัว

จ๊อบส์ ได้กล่าวในงานกับสาวก “มาร่วมปฏิวัติวงการเพลงกับ iTunes และทำให้อุปกรณ์เล่นเพลงของคุณมีค่ามากขึ้น 10 เท่า”  เขากล่าวบนเวที และ เรียกเสียงปรบมือเกรียวกราว จากเหล่าสาวก Apple ภายในงาน Macworld

และในที่สุด apple ก็มีซอฟท์แวร์ดนตรีกับเขาเสียที แต่สิ่งนี้จะช่วยให้บริษัทดีขึ้นได้จริงหรือไม่? หลังจาก 25 ปีผ่านไปจากการก่อตั้ง apple นั้น ดนตรีจะเป็นคำตอบที่แท้จริงของการเข้าสู่ยุคใหม่ของ apple ได้หรือไม่? โปรดติดตามตอนต่อไป 

–> อ่านตอนที่ 8 : The PodFather

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Second Coming  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ