Flying Jet Suit กับอนาคตชุด Iron Man บนโลกแห่งความจริง

ชุดเจ็ทโบอิ้งเลียนแบบไอรอนแมนเพิ่งได้รับการอัพเกรดคุณสมบัติใหม่ : การเสริมปืนกลที่ติดตั้งบนไหล่ซึ่งยิงได้เหมือนอาวุธโจมตีในหนัง ไอรอนแมนจริง ๆ

James Bruton วิศวกรโครงการดังกล่าว ได้อัปโหลดวิดีโอ แสดงรายละเอียดการสร้างป้อมปืนสำหรับชุดเจ็ท ซึ่งได้มีการแสดงโดยผู้ก่อตั้ง บริษัท ริชาร์ด บราวนิ่ง ที่ทำการสวมชุดสูทเพื่อโฉบเหนือลานจอดรถในขณะที่ยิงปืนไรเฟิลอัดลมแบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ

และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้ผลิตอุปกรณ์การบินส่วนบุคคลได้บอกใบ้อย่างละเอียด ที่พวกเขาสนใจในการทำสงครามจริง ๆ  ในเดือนกรกฎาคมนักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศสชื่อ Franky Zapata ได้ใช้ Hoverboard บินได้ของเขาในชื่อว่า Flyboard Air เพื่อทะยานขึ้นเหนือขบวนพาเหรด Bastille Day ของปารีสด้วยปืนของเล่นในมือ

อย่างไรก็ตามการออกแบบของ Bruton ได้พัฒนาแนวคิดนี้ไปอีกขั้นหนึ่ง ด้วยการติดตั้งปืนยาวบนป้อมปืนที่ตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของหมวกนิรภัยของนักบิน เหมือนกับชุด Iron Man ของโทนี่ สตาร์ค ในหนังจริง ๆ

ไม่ว่าเทคโนโลยีดังกล่าว จะเกี่ยวข้องกับทหารจริง ๆ หรือไม่ หรือเป็นการจ้าง โดยบริษัท ใด บริษัทหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาต้องใช้เงินทุนที่ค่อนข้างสูงเพื่อช่วยพวกเขาในการสร้างชุดทหารที่ใช้เทคโนโลยีที่สุดล้ำดังกล่าวได้

แต่ นาย กาวิน วิลเลียมสัน ปลัดกระทรวงกลาโหมของสหราชอาณาจักร ดูเหมือนจะติดใจเรื่องการใช้ชุดเจ็ท ทางการทหารเหล่านี้ เพื่อมาใช้ในสงครามจริง ๆ โดยบริษัทได้ทำการเพิ่มปืนไรเฟิลเข้าไปหลังจากการสาธิตให้ทางกาวินดูเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยจินตนาการถึงถึงรูปแบบการจู่โจมเรือรบในอนาคตนั่นเอง

References : https://gizmodo.com

Mythbusters กับชุดเกราะ Iron Man ในโลกแห่งความจริง

ในซี่รี่ส์ชุด “ MythBusters” ของอดัม ซาเวจได้แสดงให้เห็นถึงชุด Iron Man ไทเทเนี่ยมที่พิมพ์ออกมาอย่างไม่น่าเชื่อและมันสามารถบินได้เหมือนกับแบบที่มีการสวมของโทนี่ สตาร์ค ในภาพยนต์ Iron Man

Jetpack ที่อยู่เบื้องหลังชุดดังกล่าวนั้นมีที่มาพร้อมความอนุเคราะห์จาก Starup ของสหราชอาณาจักรที่ก่อตั้งโดย ริชาร์ด บราวนิ่งและโดยมันจะใช้  5,000 แรงม้า ขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์เจ็ท :

Savage ได้พบกับ Browning ในโรงเก็บเครื่องบินขนาดใหญ่ทางตะวันออกของซานฟรานซิสโก ในรอบปฐมทัศน์วันศุกร์ของซีรีส์ Discovery Channel ในตอนใหม่ที่มีชื่อว่า“ Savage Builds”

“ ดูเหมือนว่ามันจะเรื่องที่เหลือเชื่อ แต่ฉันสาบาน…ถ้าโทนี่ สตาร์คยังไม่ได้สวมมันและหากเขากำลังสร้างชุดไอรอนแมนในตอนนี้ นี่คงเป็นวิธีที่เขาจะสร้างชุดใหม่ได้อย่างแม่นยำและนี่เป็นเทคโนโลยีที่เขาต้องการใช้อย่างแน่นอน” ซาเวจกล่าวกับ CNET

ความคิดที่เกิดขึ้นจากการปรากฏตัวของ Savage ที่ Colorado School of Mines สถานที่ซึ่งมีการใช้เครื่องพิมพ์ 3D ไทเทเนียมขนาดใหญ่ ซึ่งมันพอที่จะพิมพ์ชุดเกราะเหล็กกันกระสุนได้ทั้งหมด

ตอนในต่อ ๆ ไปของซีรี่ส์ชุดนี้ จะกล่าวถึงการสร้างรถยนต์ในสไตล์หนังอย่าง “ Mad Max” และยังรวมถึงจรวดขับเคลื่อนขนาดยักษ์ที่ได้รับการออกแบบโดยกองทัพอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

“ มันเป็นชุดเกราะที่ใส่แล้วสนุกที่สุดที่ฉันพบมา กับแรงม้าถึง 1,000 แรงม้า มันเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเจอตลอดทั้งชีวิตของฉันเลยก็ว่าได้” Savage กล่าวในการให้สัมภาษณ์ในรายการของเขา “ มันช่างน่าประหลาดใจมากๆ”

References : 
https://futurism.com/the-byte/adam-savage-iron-man-suit

Iron Man ตัวจริง! Robert Downey ต้องการทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นด้วย AI

นักแสดงนำในภาพยนต์ “ Iron Man” อย่าง  Robert Downey Jr.  พูดในการประชุม MARS ที่ลาสเวกัสในปีนี้ ซึ่งจัดโดย Jeff Bezos CEO ของ Amazon เกี่ยวกับหุ่นยนต์ AI และเทคโนโลยีขั้นสูงอื่น ๆ อาจเป็นวิธีการแก้ปัญหาการทำลายคาร์บอนของมนุษย์.

ดาวนีย์ จูเนียร์ ได้ประกาศความคิดริเริ่มใหม่ล่าสุดที่ชื่อว่า Footprint Coalition ซึ่งฟังดูเหมือนโทนี่ สตาร์ค ที่เขาได้สวมบทบาทเล่นใน Marvel Cinematic Universe

“ เมื่อเร็ว ๆ นี้ฉันอยู่ที่โต๊ะที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสุดฉลาดและน่าประทับใจ ซึ่งเมื่อประมาณหกเดือนที่แล้ว ถ้อยคำแถลงต่อไปนี้เกิดขึ้นจากปากของเขา : ‘ระหว่างหุ่นยนต์และเทคโนโลยีเราอาจจะทำความสะอาดโลกได้อย่างมีนัยสำคัญ และมันจะประสบความสำเร็จได้ภายในทศวรรษนี้ ‘” เขากล่าว

แต่รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่เขา จะทำโดยรวมถึงวิธีการที่จะได้รับเงินทุนยังคงอยู่อย่างกระจัดกระจาย ซึ่งมีการตอบสนองอย่างดีเยี่ยมจากเหล่าพันธมิตรของเขา ในไม่ช้าหลังจากการประกาศอย่างเป็นทางการของ Downey Jr. 

โดยข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากนักแสดงนำ Iron Man ถูกทาบทามให้สร้างมินิซีรีส์สารคดีทาง AI สำหรับ YouTube Red (ซึ่งปัจจุบันคือ YouTube Premium)

ดาวนี จูเนียร์มีความตั้งใจที่ชัดเจนว่าเขาไม่เพียงต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาเท่านั้น แต่เขาก็เป็นปัญหาใหญ่เช่นกันในเรื่องการสร้างคาร์บอน ทุกคนในโลกต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานี้ร่วมกัน ก่อนที่มันจะวิกฤติไปมากกว่านี้

References : 
https://futurism.com/the-byte/robert-downey-jr-clean-earth-robots-ai

SMART LIVING in THE SMART WORLD

Thailand 4.0 คงเป็นคำที่พวกเราได้ยินกันบ่อยขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ในขณะที่ Smart Phone Tablet คืออุปกรณ์ที่แทบจะทำได้ทุกอย่างที่ช่วยให้การใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบันสะดวกสบายกันมากขึ้น และในอุปกรณ์เหล่านี้ที่พวกเราใช้งานกันอยู่นั้นจะมีระบบนึงที่เรียกว่า “Voice Recognition” ที่คอยช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน แต่พวกเราอาจมองข้ามและอาจไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าใดนัก เพราะการใช้งานโดยการพิมพ์ หรือสัมผัสหน้าจอนั้นค่อนข้างถนัดหรือทันใจกว่าการที่เราจะต้องสั่งงานด้วยเสียง และตัดปัญหาในเรื่องของกำแพงภาษาออกไป

Siri ในฐานะ Intelligent Assistant ของระบบ Voice Recognition บน iPhone 4S ที่ได้เปิดตัวเป็นที่รู้จักครั้งแรกเมื่อปี 2011 ทำให้การสั่งงานอุปกรณ์ด้วยเสียงนั้นได้เริ่มกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของโลก Smart Devices ในปัจจุบัน ต่อมาทาง Google เอง ก็ได้มี Google Now ทาง Microsoft เจ้าของระบบปฏิบัติการอย่าง Windows 10 ก็มี Cortana

แต่ด้วยข้อจำกัดด้านความสามารถของเหล่า Intelligent Assistant เหล่านี้ที่ได้กล่าวไปแล้วว่าผู้ใช้สามารถค้นหาและทำทุกอย่างได้เองบนมือถือ รวมถึงการที่ตัว Intelligent Assistant ต้องไปอยู่บนสมาร์ทโฟน อีกเหตุผลที่สำคัญคือผู้ใช้เองก็ไม่กล้าสั่งงานด้วยเสียงในที่สาธารณะและตัวระบบเองก็ไม่พร้อมที่จะรองรับคำสั่งตลอดเวลา แต่ต้องมีการกดปุ่มโฮมค้างไว้เพื่อออกคำสั่ง ทำให้ Intelligent Assistant หรือการสั่งงานด้วยเสียงช่วงแรกๆ ไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้มากนัก จนกระทั่งปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้ Intelligent Assistant นั้นมาอยู่บนลำโพงที่มีการเปิดระบบให้พร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลา (always-on) หรือที่เรียกว่า “Smart Speakers”

การย้าย Intelligent Assistant ไปอยู่บนลำโพงที่ always-on ที่สามารถรองรับคำสั่งได้ตลอดเวลาทั้งจากระยะไกลและ/หรืออยู่ในพื้นที่ส่วนตัวอย่างในบ้าน ออฟฟิศ ทำให้ลำโพงกลายเป็นแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์การสั่งงานด้วยเสียงมากกว่าบนสมาร์ทโฟน

เมื่อ Intelligent Assistant ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รองรับคำสั่งมากขึ้นและเป็นธรรมชาติมากขึ้น จึงมีการเปิดตัวอุปกรณ์ Smart Speakers ออกมาอย่างมากมายในช่วงปีกว่าๆที่ผ่านมา ที่เป็นที่รู้จักและใช้งานกันอยู่ ณ เวลานี้นั้นได้แก่ “Amazon Echo” ของ Amazon “Google Home” ของ Google และ “Homepod” ของ Apple และที่กำลังจะตามมาอย่าง “Bixby” ของ Samsung รวมไปถึง “Cortana” ของ Microsoft

เหล่า Smart Speaker แบรนด์ต่าง ๆ

เหล่า Smart Speaker แบรนด์ต่าง ๆ

เกริ่นมาเสียยาว ว่าแต่เจ้า “Smart Speakers” นี่มันทำอะไรได้บ้าง สำคัญอย่างไร จำเป็นหรือยังกับวิถีการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ความสามารถทั่วไปนั้น ก็เหมือนกับตอนที่อยู่ใน Smart Phone อย่างเช่น การค้นหาข้อมูล หรือตอบคำถามต่างๆ คล้ายกับว่าเรากำลังพูดคุย สนทนากับใครสักคนที่ค่อนข้างรอบรู้ไปหมดทุกเรื่อง หรือช่วยเราหาข้อมูลต่างๆได้มากมาย แน่นอนว่าถ้าความสามารถแค่นี้ อาจจะยังไม่ค่อยสำคัญหรือจำเป็นสักเท่าไหร่

แต่สิ่งที่ Smart Speakers สามารถทำได้มากไปกว่านั้นคือ การสั่งงานอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆภายในบ้าน ออฟฟิศ จะเพียงแค่เปิด-ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านั้น หรือจะให้ปรับรายละเอียดต่างๆก็แล้วแต่ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นๆจะมีการสั่งงานได้มากเพียงใด ยกตัวอย่างเช่น เราต้องการเปิด-ปิดทีวี ก็แค่ออกเสียงสั่งการ จะปรับระดับเสียงทีวี ก็แค่ออกเสียงสั่งการ จะเปิด-ปิดแอร์ หรือปรับอุณหภูมิก็แค่ออกเสียงสั่งการ  รวมไปถึงการเปิด-ปิดไฟ และอีกหลายๆเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีภายในบ้าน ก็สามารถที่จะควบคุมสั่งการได้เพียงออกเสียง

ไม่เพียงแค่นั้น Smart Speakers ยังสามารถที่จะตอบสนองความต้องการด้านอื่นๆได้อีก เช่น เราต้องการฟังเพลงอะไร ก็แค่สั่งการออกไป มันก็จะสามารถเล่นเพลงที่เราต้องการได้ รวมไปถึงออกคำสั่งให้เป็นการตั้งปลุก เตือน หรือสร้างกำหนดการนัดหมายต่างๆในชีวิตประจำวันก็ทำได้ เสมือนมีเลขาส่วนตัวในบ้าน ในออฟฟิศ โดยเฉพาะคนที่อยู่คนเดียว Smart Speakers ก็สามารถเป็นเพื่อนที่คอยสนทนา หรือเล่นเกมส์ด้วยกันได้อีกด้วย

Jarvis กำลังจะมาใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ใช่แค่เพียงในหนัง

Jarvis กำลังจะมาใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ใช่แค่เพียงในหนัง

ทั้งหมดที่กล่าวมา ในโลกปัจจุบันที่อะไรๆก็สามารถเป็นจริงได้ ลองนึกภาพของ Jarvis ระบบ Artificial Intelligent (AI) ในภาพยนตร์เรื่อง Iron Man ซึ่งมีความเป็นไปได้มากขึ้นที่เกิดขึ้นจริงในอนาคตอันใกล้ และถ้าการพัฒนาเจ้า Smart Speakers นี้สามารถเป็นอุปกรณ์ที่สามารถพกพาติดตัวไปไหนก็ได้ เราก็จะมี AI ที่คอยอำนวยความสะดวกให้เราตลอดเวลา

กอปรกับปัจจุบันกระแสการพัฒนาด้าน AI ที่แทบจะมาแทนการทำงานหลายๆอย่างของมนุษย์นั้นกำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าจะให้เห็นภาพง่ายๆ ก็อย่างเช่นการทำธุรกรรมทางการเงินทุกอย่างผ่านแอพพลิเคชันใน Smart Phone โดยที่เราไม่ต้องไปธนาคารอีกต่อไป เจ้าหน้าที่ธนาคารก็อาจจะแทบไม่มีความจำเป็นอีกแล้วในอนาคต การชำระสินค้าบริการต่างๆในปัจจุบันที่ต้องไม่ต้องพกเงินสด เพียงคุณหยิบ Smart Phone ขึ้นมา แล้วสแกนผ่าน QR Code และอีกหลายๆอย่างในหลายๆวงการที่นำ AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารจัดการ

Artificial Intelligent (AI) ในความคิดของผมไม่ได้มาทำให้มนุษย์เราเป็นง่อย งอมืองอเท้าทำอะไรไม่เป็น แต่มันคือสิ่งที่มาทำให้มนุษย์เรามีเวลามากขึ้นในการที่จะเอาตัวเองไปพัฒนาทักษะทางด้านอื่นที่จำเป็นกับชีวิตของตนเอง และ “เวลา” ก็ยังคงเป็นสิ่งที่มีค่ากับมนุษย์เราเสมอ ในวันที่โลกช่างหมุนเร็ว และเร็วขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันที่จะชะลอลงเลย

สวัสดีครับ

ปล. สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถติดตามอ่านเพิ่มเติมได้จากแหล่งข้อมูลอ้างอิง ตามนี้นะครับ

Google Assistant vs Alexa กับการเดินเกมใหม่ของ Google เพื่อสู้ Amazon

https://www.blognone.com/node/99773

รู้จักกับ ระบบสั่งงานด้วยเสียง ( Intelligent Personal Assistant ) บนสมาร์ทโฟน

https://www.it24hrs.com/2014/siri-svoice-google-now/

แนะนำเครื่องมือ Artificial Intelligence (AI) ที่ช่วยเสริมกลยุทธ์การตลาดและเพิ่มยอดขายอย่างชาญฉลาด

https://www.contentshifu.com/productivity/artificial-intelligence-ai-marketers/

 

บทความจาก spcial guest  : Yupawat Thukngamdee

Credit Image : bellanaija.com