TikTok กับภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดของเจ้าพ่อ Social Network อย่าง Mark Zuckerberg

ในธุรกิจของแพล็ตฟอร์ม Social Network นั้น มีบริการใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย บางรายอยู่รอด บางรายก็ล้มหายตายจาก แต่พี่ใหญ่ที่ดูจะทรงพลัง และ ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก Social Network คงหนีจากใครไปไม่ได้นอกจาก Facebook ของ Mark Zuckerberg นั่นเอง

ต้องบอกว่า Mark Zuckerberg นั้นนำพา Facebook มาไกลเกินกว่าที่จะมีใครจะมาหยุดความร้อนแรงของพวกเขาได้ พวกเขาได้เจอศึกหนักมาหลายๆ ครั้งในการจัดการบริการน้องใหม่ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อมาท้าทายโลกแห่ง Social Network ธุรกิจหลักของพวกเขา

บางรายต้องล้มหายตาย จาก แม้กระทั่งขาใหญ่ยุคเริ่มต้นอย่าง myspace ก็ล้มไม่เป็นท่า แทบจะไม่มีจุดยืนในธุรกิจอย่างที่เราได้เห็นกันในปัจจุบัน

แน่นอนว่า มีหลากหลายกลยุทธ์ที่ Mark ใช้จัดการกับภัยคุกคามเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อกิจการไปเสียเลยอย่างเช่น Instragram ที่พวกเขาได้มาในราคาถูกมาก ๆ เพียงแค่ 1 พันล้านเหรียญเท่านั้น แต่ตอนนี้กลายเป็นบริการที่ยอดนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

หรือการเข้ามาของยักษ์ใหญ่อย่าง Google ที่ได้ส่งบริการ Google plus เข้ามาร่วมแจม ซึ่งในช่วงแรกมีการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะล้ม Facebook ให้ได้ เพราะกำลังเข้ามากัดกินส่วนแบ่งเค้กเม็ดเงินโฆษณาออนไลน์จำนวนมหาศาลที่ Google เคยถือครองอยู่เพียงผู้เดียว

ยักษ์ใหญ่อย่าง Google ก็ยังพ่ายแพ้หมดรูปในตลาด Social Network
ยักษ์ใหญ่อย่าง Google ก็ยังพ่ายแพ้หมดรูปในตลาด Social Network

แต่สุดท้าย Google Plus ก็พบจุดจบเดียวกับบริการอื่น ๆ ที่ไม่สามารถต่อกรกับ Facebook ได้ เพราะดูเหมือน Mark Zuckerberg เองจะเข้าใจความเป็น Social แพล็ตฟอร์มมากกว่าคนอื่นใดในโลกนี้

หรือการเข้ามาคุกคามจาก Snapchat เองก็ตาม ที่ดูเหมือนช่วงแรก ๆ จะถือเป็นภัยคุกคามที่น่ากลัว แต่ก็เจอกลยุทธ์เด็ด ในการ copy cat ทำบริการเลียนแบบไปเสียเลยในผลิตภัณฑ์อย่าง instragram ก็ทำให้สถานการณ์ของ Snapchat ดูโซซัดโซเซ อย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้

เรียกได้ว่า ใครหน้าไหนเข้ามารุกรานในธุรกิจหลักของ Mark Zuckerberg อย่างธุรกิจ Social Network นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปเสียมากกว่า แต่ตอนนี้ ศัตรูตัวฉกาจคนสำคัญกำลังเกิดขึ้น นั่นก็คือ TikTok

ต้องบอกว่ามันคือภัยคุกคามที่อันตรายที่สุด ตั้งแต่การเกิดขึ้นของแพล็ตฟอร์ม Facebook เลยก็ว่าได้ เพราะมันได้กระจายไปอย่างรวดเร็ว รุนแรง และกลายเป็นประแสไปทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ที่หันมาใช้งาน TikTok กันอย่างบ้าคลั่ง

ยิ่งโดยเฉพาะช่วงเหตุการณ์ COVID-19 นั้นดูเหมือน จะทำให้ TikTok แพร่กระจายอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น กลายเป็นกระแส Mass ขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่วัยรุ่นอีกต่อไป มันได้กลายเป็นแพล็ตฟอร์มที่ คนทุกวัยนั้นหันมาสนใจเป็นอย่างมาก

TikTok จากจีน ที่กลายมาเป็นภัยคุกคามครั้งสำคัญของ Facebook
TikTok จากจีน ที่กลายมาเป็นภัยคุกคามครั้งสำคัญของ Facebook

ซึ่งมันคล้ายกับการเกิดขึ้นของ Facebook ที่เริ่มเดิมที ฮิตเฉพาะหมู่วัยรุ่นมหาลัย ก่อนที่จะโอบล้อมไปยังกลุ่มคนวัยอื่น ๆ จนกลายเป็นอันดับหนึ่งของโลกอย่างที่เราได้เห็นในที่สุด

และดูเหมือนกระสุนเม็ดแรกที่ Mark ยิงเข้าไปเพื่อทำลาย TikTok นั้นมันจะไม่ได้ผล เพราะบริการอย่าง Lasso ที่ตั้งใจทำมาเลียนแบบ TikTok โดยตรง ดูเหมือนจะเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ได้ผล และเตรียมปิดบริการในเร็ว ๆ นี้

ส่วนกระสุนเม็ดที่สอง ที่ Mark กำลังใช้โดยย้อนรอยวิธีการเดิม ๆ ในการกำจัด Snapchat นั่นก็คือ ทำการฝัง Features ไว้ในแพล็ตฟอร์มหลักของตัวเองอย่าง Instragram Reels ซึ่งเราก็ต้องมารอดูกันต่อไปว่า กลยุทธ์นี้จะได้ผลอีกครั้งหรือไม่

แต่แน่นอนว่า ตอนนี้ ศึก Social Wars รอบใหม่ได้บังเกิดขึ้นแล้ว ดูเหมือนจะสนุกกว่าครั้งเก่า ๆ ที่ผ่านมา ที่ได้คู่ต่อสู้ที่น่ากลัวอย่าง TikTok ซึ่งไม่ใช่เป็นของอเมริกา แต่เป็นของประเทศจีน แผ่นดินใหญ่ ซึ่งต้องบอกว่า มันส่งผลต่อเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายทั้งการเมือง สังคม และเรื่องของ Data

ซึ่งหากเหล่าผู้คนไหลเทมาใช้งาน TikTok มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ พลังในการกุม Data ที่มีอิทธิพลของ Facebook ก็เริ่มจะอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ ซึ่งเราก็ต้องมาติดตามกันต่อไปครับว่า ศึกครั้งนี้ใครจะเป็นฝ่ายชนะ ด้วยเดิมพันที่มหาศาล แน่นอนว่า ไม่มีใครที่อยากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอนครับ ในศึกครั้งนี้

สงครามการเมือง กับเบื้องหลังความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญของ Google Plus ที่มีต่อ Facebook

Google+ ได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกปิดตัวลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  หลังจากที่ บริษัท ใช้เงินไปหลายร้อยล้านดอลลาร์กับโปรเจ็คดังกล่าว Google Plus ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะต่อสู้กับ Facebook ได้เลย 

มันเป็นความล้มเหลวครั้งสำคัญของ Google ในโลกออนไลน์ที่พวกเขาถนัด ซึ่งหลังจากอดีตนักออกแบบของ Google Plus ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมที่ทำงานกับผลิตภัณฑ์ กล่าวว่าสาเหตุหลัก ๆ คือ เรื่องของการเมืองภายในองค์กร และการขาดวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่

หนึ่งวันหลังจากที่ Google ประกาศเกี่ยวกับบริการที่ไม่มีใครสนใจ Google ยอมรับว่า 90% ของผู้ใช้ นั้นอยู่ในบริการของ Google+ น้อยกว่าห้าวินาที อดีตพนักงานของ Google ชื่อ Morgan Knutson ได้กล่าวย้อนอดีตถึง ผลงานภายในของ Google Plus

Knutson ทำงานเป็นนักออกแบบกับ Google+ ระหว่าง 2011 และ 2012 เขาได้ทวีตมากกว่า 200 ครั้ง เพื่ออธิบายรายละเอียดการดำรงตำแหน่งระยะสั้นของเขาที่ Google+ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อมีเป้าหมายในการเอาชนะ Facebook

สิ่งที่ Knutson กล่าวในทวีต อธิบาย เรื่องราวของความหลงใหล การทรยศ การจัดการที่ผิดและ การเมืองในสำนักงานของ Google เอง จากนั้นเขาก็อธิบายว่าทำไมเขาถึงได้เข้ามาทำงานในโครงการใหม่ของ Google ที่ชื่อว่า Google+

หนึ่งในปัญหามากมายของ Google+ ตามที่พนักงาน Google เคยอธิบายไว้ คือ การขาดวิสัยทัศน์ Knutson กล่าวว่า การมองผลิตภัณฑ์ของ Google ใน Google+ นั้น เป็นการขึ้นอยู่กับความกลัวที่จะสูญเสียการแข่งขันที่มีต่อ Facebook แทนที่จะสร้างสิ่งที่แปลกใหม่อย่างแท้จริงตามวิถีทางแบบเก่า ๆ ของ Google

“วิสัยทัศน์ผลิตภัณฑ์ของ Vic เต็มไปด้วยความกลัว” Knutson เขียนอ้างถึง “Vic” Gundotra ผู้บริหาร Google ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าโครงการ Google+ ก่อนที่เขาจะออกจาก บริษัท ในปี 2014 ท่ามกลางข้อกล่าวหาเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ 

Vic Gundotra อดีตหัวเรือใหญ่ของ Google+
Vic Gundotra อดีตหัวเรือใหญ่ของ Google+

“Google ได้สร้างกราฟขององค์ความรู้และ Facebook ได้สร้างกราฟของเครือข่ายสังคมออนไลน์ ซึ่งหากเราไม่ได้เป็นเจ้าของกราฟเครือข่ายสังคมออนไลน์ เราก็ไม่สามารถอ้างสิทธิ์ที่จะจัดทำดัชนีข้อมูลในโลกนี้ได้ทั้งหมด” เขาเขียนไว้ในทวีตหนึ่งไว้อย่างน่าสนใจ

อย่างไรก็ตามการมองผลิตภัณฑ์ ไม่ได้เป็นปัญหาเดียวกับโครงการที่ทะเยอทะยานของ Google 

Knutson กล่าวในรายละเอียด และอธิบายว่า ทีมต่าง ๆ ที่ทำงานในโครงการไม่ได้ทำงานพร้อมเพรียงกัน ทีมทั้งหมดทำงานในโมดูลแยกต่างหาก โดยไม่มีความรู้ในสิ่งที่เขาอธิบายว่าเป็น “วิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่” “ทุกสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นล้วนไม่มีความต่อเนื่อง มันเป็นการสร้างและคัดลอก มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อเอาชนะ Facebook”

โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสัยทัศน์เหล่านี้ ไม่ได้จำกัดเฉพาะแพลตฟอร์มของ Google+ เท่านั้น แต่รวมถึงระบบนิเวศของ Google โดยรวมทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าเมื่อ Knutson ออกแบบอินเทอร์เฟซผู้ใช้ทั้งหมดของ Google+ ใหม่ ซึ่งยังอยู่ในช่วงการพัฒนาในเวลานั้นเพื่อรวมแอพอื่น ๆ ของ Google เข้ากับการนำทางในแถบด้านข้าง

แต่เขากลับถูกล้มแนวคิดดังกล่าว โดยผู้บริหารอาวุโส เนื่องจากถูกมองว่ามันไปคล้ายกับส่วนขยายของ Chrome ซึ่ง Google วางแผนที่จะเปิดตัวที่ Google I / O

อีกปัญหาหนึ่งของ Google+ คือข้อเท็จจริงที่ว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมันไม่ได้ถูกพิจารณาโดยระบบนิเวศทั้งหมดของ Google

Knutson อธิบายสิ่งนี้ว่าเป็นความไม่มีความเสมอภาคในการออกแบบในเรื่องประสบการณ์ของลูกค้า “ไม่มีสิ่งใด ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยคำนึงถึงผลิตภัณฑ์ทั้งหมดในระบบนิเวศของ Google นักออกแบบ UX นั้นไม่ได้สนใจประสบการณ์ของลูกค้าอย่างแท้จริง” เขาเขียน

Google Plus ที่ออกแบบมาโดยไม่คำนึงถึงประสบการณ์ของผู้ใช้
Google Plus ที่ออกแบบมาโดยไม่คำนึงถึงประสบการณ์ของผู้ใช้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Google ได้ปรับปรุงระบบนิเวศทั้งหมดในภายหลัง ซึ่งประกอบไปด้วย Gmail, Google Drive และ G-Suite ในหกปีต่อมา โดยนำความสอดคล้องการออกแบบและเพิ่มคุณสมบัติใหม่ ๆ ให้กับพวกมัน และประสบความสำเร็จอย่างสูง

นอกเหนือจากความไม่เสมอภาคในการออกแบบและวิสัยทัศน์ สิ่งที่ฆ่า Google+ คือการเมืองภายในบริษัท เมื่อคนทำงานเป็นทีม และมีความพยายามในการเล่นการเมืองระหว่างแต่ละทีม ซึ่งมักจะส่งผลเสียต่อโปรเจ็ค ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับ Google+ เช่นกัน

Knutson พบกับการเมืองในสำนักงานระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งใน Google ในที่สุดเมื่อเขาได้รับการอนุมัติให้นำทีมสำหรับการออกแบบส่วนต่อประสานผู้ใช้ เขาต้องเผชิญกับการต่อต้านจากนักออกแบบคนอื่น

“Jim” ผู้ซึ่งอยู่ในทีม Google+ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง เมื่อ Knutson พยายามแก้ไขปัญหากับ Jim โดยการสนทนาแบบตัวต่อตัว แต่เขาก็ไม่เคยมาปรากฏตัว เมื่อเขาไปหาหัวหน้าของ Jim คือ Greg แต่ดูเหมือนปัญหามันก็ถูกซ่อนไว้ใต้พรมตามเดิมที่ไม่ได้รับการแก้ไข

แต่ Greg กลับให้ท้าย Jim โดยบอกกับ Knutson ว่าจะให้ Jim เป็นผู้จัดการของเขาหลังจากที่ Project เปิดตัว ” เขายังจำบทสนทนาดังกล่าวได้อย่างดี

สองสามเดือนต่อมา Knutson ก็ได้ออกจาก Google เพื่อเข้าร่วมงานกับ Dropbox

Google อาจจะตัดสินใจยุติโครงการ Google+ ไปแล้ว แต่ชัดเจนว่าข้อบกพร่องด้านความปลอดภัยเป็นเพียงข้ออ้างที่ Google พยายามแถลงต่อสาธารณะเพื่อไม่ให้พวกเขาเสียหน้าเท่านั้น

Google+ ไม่สามารถบรรลุสิ่งที่ บริษัทคาดหวัง ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของ Facebook และตัวเลขผู้ใช้งาน Google+ ที่ลดน้อยลงต่างหาก ที่เป็นสิ่งบังคับให้ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีตัดสินใจยุติโครงการดังกล่าวในท้ายที่สุด

จะเห็นได้ว่า แม้ Google+ ตอนเปิดตัวนั้น จะมีการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมด้วย Features ต่าง ๆ มากมาย แต่เราจะได้เห็นถึงความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญครั้งแรกของ Google ไม่ว่าจะมาจากปัญหาการเมืองภายในองค์กร รวมถึงวิสัยทัศน์ที่คิดเพียงแค่จะล้ม Facebook ให้ได้เพียงเท่านั้น

ซึ่งมันเป็นการผิดวิสัยของบริษัทอย่าง Google ที่มักจะสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ ออกมาให้เป็นที่ยอมรับ ก็ต้องให้เครดิตกับ Mark Zuckerberg ที่สามารถทำให้ Facebook เอาชนะในศึกครั้งนั้นมาได้ ซึ่งดูเหมือนว่า ในเรื่องของเครือข่ายสังคมออนไลน์นั้น คงไม่มีใครจะเข้าใจมันได้ดีไปกว่า Mark Zuckerberg ที่ทำให้ตอนนี้แพลตฟอร์มของเขาครองใจผู้ใช้งานส่วนใหญ่ทั่วโลกมาจวบจนถึงปัจจุบันได้นั่นเองครับ

References : https://www.the-vital-edge.com/fall-of-google-plus/
https://mashable.com/2015/08/02/google-plus-history/
https://www.indiatoday.in/technology/features/story/former-google-designer-explains-why-google-s-social-media-play-failed-1370662-2018-10-18
http://dansator.blogspot.com/2019/02/rip-google-plus.html

ถ้า Facebook ทำ Search Engine?

ต้องบอกว่าเป็นคำถามที่น่าสนใจเลยทีเดียว ถ้าวันนึง facebook เกิดสร้าง search engine แบบที่ google ทำล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น สงครามการชิงเค้กของตลาดโฆษณา online นับถึงวันนี้ ก็ต้องบอกว่าดุเดือดเป็นอย่างมาก มีเพียงไม่กี่ platform หลักที่สามารถโกยรายได้จากโฆษณา online ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผลิตภัณฑ์ของ facebook และ google แทบจะกินส่วนแบ่งการตลาดไปเกือบทั้งหมดเลยก็ว่าได้

ลองมาไล่ดูขุมกำลังหลักของทั้งสองบริษัทในตลาดโฆษณา online

1.Facebook

  • facebook social network + messenger
  • instragram

2.Google

  • google search
  • youtube

ศึกครั้งแรกระหว่าง google vs facebook

facebook และ google นั้นเคยประมือกันมาแล้วในศึก social network ที่ google ได้ส่งบริการ google+ เข้ามาแข่ง ซึ่งก็ต้องบอกว่าพ่ายแพ้ไปอย่างหมดรูป แทบจะไม่เหลือคนใช้บริการ google+ แล้วในตอนนี้ และคิดว่าไม่น่าจะสร้างรายได้ให้ google ได้อีกต่อไป ซึ่ง ต้องยอมรับว่า social network นั้น facebook แข็งแกร่งจริง ๆ มี features หลัก ๆ ที่โดนใจผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้ไม่หนีไปไหน แม้ว่าเกือบจะเพลี่ยงพล้ำในตอนแรกที่ google+ เปิดบริการ video call hangout แต่ facebook ก็ได้กองหนุนจากพี่ใหญ่อย่าง microsoft ที่ส่ง skype มาช่วยเหลือ facebook ได้ทันเวลา

Google Plus ที่ Google ส่งมาท้าทาย Facebook

Google Plus ที่ Google ส่งมาท้าทาย Facebook

ทำให้สามารถตีโต้กลับได้ไม่เสียฐานผู้ใช้ไปเท่าที่ควรหลังจากการเปิดตัวของ google+ จนสามารถกลับมาชนะอย่างเด็ดขาดได้อีกครั้ง และการเติบโตของ user ของ facebook นั้นก็เติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ จบแทบจะครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จ และทยอยแบ่งเค้กของตลาดโฆษณา online จาก google search ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของ google  มาเรื่อย ๆ

แม้มูลค่าตลาดจะสูงขึ้นก็ตาม ทำให้ต่างฝ่ายต่างเติบโต แต่ถ้ามองวิเคราะห์กันจริง ๆ แล้วนั้นจะพบว่า facebook เป็น platform ที่มาแย่งส่วนแบ่งของ google ขึ้นเรื่อย ๆ และออกบริการที่เสริม ที่เห็นชัดเจนว่าเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ google เช่น facebook video และ facebook live ซึ่งมาแย่งฐานผู้ใช้งานจาก youtube โดยตรง

สงคราม search engine ระหว่าง google vs bing

ถ้าไม่นับในจีนนั้นต้องบอกว่าคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับ google มากที่สุดก็คงจะเป็น bing จาก Microsoft ที่เป็นบริษัททุนหนา สามารถทุ่มทุนในการสร้างบริการ bing ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งทำให้ google นั้นพบศึกทั้งสองทาง ถ้ามองดี ๆ จะพบว่า microsoft และ facebook นั้นมี connection ที่เหนียวแน่นกันตั้งแต่ที่ microsoft เข้ามาถือหุ้น facebook ในช่วงแรกของการตั้ง facebook

สงคราม Search Engine ระหว่าง Google และ Bing

สงคราม Search Engine ระหว่าง Google และ Bing

ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นแผนการที่สุดยอดของ bill gates จริง ๆ ที่ใช้ facebook มาช่วยตัดกำลัง google ทำให้พบศึกสองทาง แต่อย่างไรก็ตามถ้าพูดถึงเรื่อง search engine แล้วนั้นต้องยอมรับว่า technology ของ google ก้าวไปไกลพอสมควร และทิ้งห่าง bing ไปค่อนข้างไกล ดูได้จากส่วนแบ่งการตลาดที่ google search แทบจะกินส่วนแบ่งกว่า 75% ของตลาด search engine รวม ซึ่งกินเค้กของตลาดโฆษณา online ในส่วนของ search engine แทบจะเบ็ดเสร็จ

ถ้า facebook เข้าสู่สงคราม search engine?

ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่เดาใจยากว่า facebook กำลังคิดจะทำอะไรต่อไปในอนาคต แต่ถ้าเราวิเคราะห์ถึงข้อมูลที่ facebook มีในมือนั้นต้องบอกว่าน่าสนใจไม่ใช่น้อยทั้งข้อมูลทางด้าน social, พฤติกรรมของ user ความชอบต่าง ๆ ของ user ในระบบ , ข้อมูลจากเหล่า publisher และ blogger รวมถึง page ต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อ โลก online เป็นอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่ง รวมถึงการสร้าง facebook instant article ที่ facebook ได้นำเอาข้อมูล text ต่าง ๆ ที่เหล่า blogger หรือ publisher ได้ส่งไป publish ใน facebook instant article นั้น ก็ถือเป็นข้อมูลที่สำคัญต่อการ index หากจะทำ search engine ขึ้นมาจริง ๆ ก็ถือว่า facebook มีข้อมูลเริ่มต้นมากพอสมควร

Instant Article บริการที่ facebook ส่งมาเพื่อเก็บข้อมูล

Instant Article บริการที่ facebook ส่งมาเพื่อเก็บข้อมูล

ต่างจาก bing ที่ต้องเริ่มจาก 0 ทำให้กว่าจะเข้าสู่ตลาดให้ผู้ใช้ยอมรับนั้นเป็นสิ่งที่ยากพอสมควร แตกต่างจาก facebook ที่มีข้อมูลในมือมหาศาล และหากทำ search engine นั้นจะทำให้เพิ่มจุดแข็งด้าน social ที่ google นั้นแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ ซึ่งอาจจะทำให้ผลการค้นหานั้นตรงความต้องการเรามากกว่าที่ google ทำก็อาจจะเป็นไปได้

ถ้ามองในเรื่องบุคคลากรนั้น ก็ต้องบอกว่า facebook มีไม่ได้ด้อยไปกว่าที่ google มีเลย และตอนนี้ถ้าพูดถึงความ cool ในการเข้าทำงานนั้น ก็ต้องบอกว่า facebook เป็นต่อ google อยู่ เพราะ google ในขณะนี้นั้น องค์กรเริ่มใหญ่เทอะทะ คล้าย ๆ กับ microsoft ในอดีต จะเห็นได้ว่าแม้ google จะมี product ที่หลากหลายก็จริง

แต่รายได้หลักก็มากจาก search engine แทบจะทั้งสิ้น แม้จะมีการ R&D ที่แข็งแกร่ง แต่ product ใหม่ ๆ ของ google ก็ยังไม่สามารถที่จะทำเงินได้ รวมถึง technology ชี้เป็นชี้ตายอย่าง AI นั้นก็คิดว่าทั้งสองมีบุคลากรที่มีความสามารถใกล้เคียงกัน ก็ต้องคอยดูว่า หาก facebook ทำ search engine ขึ้นมาจริง ๆ นั้น google จะตอบโต้อย่างไร แต่ที่แน่ ๆ นั้นต้องบอกว่า google ต้องเหนื่อยอย่างแน่นอน หาก facebook จะเข้าสู่ธุรกิจ search engine ขึ้นมาจริง ๆ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol