นาคี VS โนราห์ กับความต่าง 2 วัฒนธรรม

ไม่ได้มีโอกาส ได้ดูหนังไทย ติด ๆ กัน 2 เรื่องแบบนี้มานานมากแล้ว หลังจากเข้าสู่ อารยธรรม Netflix อย่างจริงจรัง แม้กระทั่งหนัง Hollywood ก็มีโอกาสได้เข้าโรงหนังน้อยมาก

สบโอกาสที่ คุณพ่อ กับ คุณ แม่ มาทำงาน และ พักผ่อนที่กทม. พอดิบ พอดี จึงได้มีโอกาสได้ชวนไป ดูหนังไทย ทั้งสองเรื่องอย่าง นาคี2 และ โนราห์

และต้องออกตัวก่อนเลยว่า ทั้ง นาคี ภาคละคร รวมถึง หนังเรื่อง เทริด ที่เป็นภาคก่อน โนราห์นั้น ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้ดูเหมือนกัน ก็ไปลุ้นเอาว่า จะดูรู้เรื่องกับเขาหรือไม่ ขอเขียนเปรียบเทียบเป็นหัวข้อ ๆ ไปดังนี้

1.ปริมาณคนดู

ต้องบอกว่า ต่างกันลิบลับ ระหว่างการเข้าไปดูหนัง สองเรื่องนี้ นาคี นั้น คนเต็มโรงไปถึงข้างหน้า ไม่แปลกใจว่า หนังจะทำรายได้ ทะลุ หลายร้อยล้ายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สามารถก้าวผ่านบททดสอบ ที่ว่า ละคร ที่มาทำเป็นหนังจะไม่มีคนดูอย่างที่หลาย ๆ เรื่องเคยเจ๊งมาแล้ว เพราะคิดว่าคนส่วนใหญ่ สามารถดูพระเอก นางเอก ละคร ได้ฟรี  ๆ ทางทีวีอยู่แล้ว นาคี ทำลายกำแพงนี้ได้สำเร็จ และคิดว่า จะมีหนังที่มาจากละคร แบบนี้ออกมาอีกอย่างแน่นอน หากได้รับผลตอบรับที่ดีเยี่ยมแบบนี้

ส่วนฝั่งโนราห์ ต้องบอกว่า ตกใจเมื่อเข้าไปในโรง เนื่องจากรถติดและเข้าโรงหนังเลท ไป เข้าไปตอนแรกก็ตกใจ นึกว่าเข้าผิดโรงทำไมไม่มีคน พอดเช็คดี ๆ ก็พบว่า มีคนนั่งดูอยู่ทั้งโรงอยู่ก่อนแล้ว 2 ท่าน เป็นคุณป้ารุ่นใหญ่ รวมกับ ผมและครอบครัว ก็กลายเป็น 5 ท่าน ดูกันเหมือนเป็นโรงหนังส่วนตัวเลยทีเดียว

ข้อแรกให้ นาคี ชนะ ไปแบบไม่เห็นฝุ่น

2. ความสนุกและบทหนัง

ปัญหาใหญ่ของหนังไทย คือ เรื่องบท เพราะส่วนใหญ่ จะมีบทหนังที่ไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่ มีค่าย GDH เท่านั้น ที่รู้สึกมีการทำการบ้านเรื่องบทของหนังได้ดีกว่าใครเพื่อน แต่สองเรื่องนี้ ก็ไม่ใช่หนังของค่าย GDH แต่อย่างใด ส่วนของบทนั้น ต้องบอกว่า ให้คะแนนพอ ๆ กัน พอรับได้ ดูได้เรื่อย  ๆ ไม่ถึงกับน่าเบื่ออะไรทั้งสองเรื่อง

แต่ถ้าโดยรวมแล้วนั้น ผมให้ โนราห์ ชนะไปมากกว่า มันดูเหมือนหนังจริง ๆ มากกว่า ส่วนนาคี นั้น แทบจะเหมือนดูละคร มีพระเอก และ นางเอก ดึงดูดเท่านั้น แฟน ๆ ละครน่าจะมาติดตามชมในโรงกันเยอะ โนราห์นั้น ถือว่าเดินเรื่องได้ดีทีเดียว มีการผูกเรื่องกับวัฒนธรรมภาคใต้อย่าง การแสดงมโนราห์ และมีการอ้างอิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอยู่ ถือว่าไม่น่าเบื่อเลย

ข้อสอง ให้ โนราห์ ชนะ เฉือนหวิว

3. งานโปรดักชั่น

งานโปรดักชั่น ของ นาคี หลายๆ  คนน่าจะพูดถึง ฉากพญานาคฟัดกันตอนท้ายเรื่อง ถือว่าทำ CG มาได้ดีระดับนึงเลยทีเดียว แต่ก็เป็นส่วนที่ดีเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น ที่เหลือถ่ายทำกันในหมู่บ้าน แทบไม่มีอะไรเลย ส่วน โนราห์ นั้นมาแบบจัดเต็ม ทั้ง CG ที่สอดแทรกมาแทบทั้งเรื่อง รวมถึง งาน Production อื่น ๆ ทั้งเสียง ภาพ ที่ดูแล้ว พิถีพิถัน ในการทำมากกว่า นาคีเยอะ

ส่วนนี้คิดว่า น่าจะมาจากต้นทุน พระเอก และ นางเอก ของ นาคี ก็น่าจะมากอยู่แล้ว ส่วน โนราห์นั้น เน้นใช้นักแสดงหน้าใหม่ ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ถือว่า แสดงได้ดีเลยทีเดียว รวมถึง คุณ เอกชัย ศรีวิชัย ผู้สร้างและผู้กำกับ ก็โดดลงมาเล่นเองด้วย คือ โนราห์ งานโปรดักชั่น เป็นระดับหนังมากกว่า นาคี ซึ่งดูไปคล้าย ๆ เรากำลังดูละครซะมากกว่า

ข้อสาม ผมให้ โนราห์ ชนะไปอีกยก

สรุป

หลังจากใช้เวลาในการดูหนังทั้งสองเรื่องในเวลาไม่ห่างกันมากนัก โดยส่วนตัวนั้น ชอบ โนราห์ มากกว่า นาคี ซึ่งทั้งสองเรื่องนั้น ได้มีโอกาสดู โดยไม่ได้รู้เนื้อเรื่องก่อนหน้ามาก่อนเหมือนกัน ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกันที่ หนังอย่าง โนราห์ มีผู้คนสนใจเพียงน้อยนิด อาจจะเป็นเพราะเรื่องการโปรโมตหนังด้วยส่วนนึง รวมถึง การที่นาคี เคยเป็นละครยอดฮิตมาก่อนก็อาจจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้รายได้ทุละเป้าไปหลายร้อยล้านแล้วในขณะนี้

แต่ก็ถือเป็นแนวโน้มที่ดีของหนังไทย ที่มีการทำหนังเฉพาะกลุ่มขึ้นมามากขึ้น เจาะฐานคนดูกลุ่มย่อยมากยิ่งขึ้น  ซึ่งทำให้เราได้มีโอกาสได้ดูหนังไทยแนวใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น หลังจากช่วงหลังมีเพียง หนังผี และ หนังตลก เท่านั้น ที่จะสามารถทำรายได้เป็นกอบเป็นกำสำหรับหนังไทย

นาคี โนราห์ ความแตกต่างของสองวัฒนธรรม

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องราวเน้นวัฒนธรรมท้องถิ่นของแต่ละภาคอย่างชัดเจน นาคีนั้นก็คือ การกล่าวเล่าถึงตำนานพญานาค ทางริมฝั่งแม้น้ำโขง ที่ก็ยังเป็นวัฒนธรรมประเพณี ที่สืบทอดกันมาแต่ยาวนาน ของชาวอีสาน ซึ่งยังคงเอกลักษณ์ มาจวบจนทุกวันนี้ ผ่านประเพณีบุญบั้งไฟพญานาค ที่กลายเป้นงานประเพณี ดึงดูด นักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก

ส่วน โนราห์ นั้นชัดเจนว่าเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวใต้ คือ เล่าถึงประวัติของการแสดงมโนราห์ ที่เป็นเอกลักษณ์ที่มีเฉพาะภาคใต้เท่านั้น การอ้างอิงประวัติศาสตร์ จากหนังเรื่องนี้ ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ความเป็นมาของ การแสดงมโนราห์ ผ่านตัวบทหนัง ที่ถือว่าทำได้ดีพอสมควร

เราได้เห็นภาษาท้องถิ่นจากหนังทั้งสองเรื่อง ซึ่งนาน ๆ ครั้งที่จะมีโอกาสได้ดูติด ๆ กันแบบนี้ ถึงแม้ จะเป็นหนังที่ไม่ได้โปรดักชัน อลังการแบบ หนังฮอลลีวูด แต่ก็ถือไม่ได้น่าผิดหวังแต่อย่างใด ที่มีโอกาสได้ดูหนังทั้งสองเรื่องนี้ อยากให้ช่วยกันสนับสนุนหนังไทย เพื่อให้เราได้เห็นหนังแปลกใหม่ออกมาบ้าง ไม่ใช่ ได้ดูเพียงแค่ หนังผี  , หนังตลก รวมถึง หนังจากเจ้าพ่อ Feel Good อย่าง GDH เหมือนที่ผ่านมา

Movie Review : เพื่อนที่ระลึก

Featured Video Play Icon

Review

สำหรับผลงานหนังผีไทยที่ชื่นชอบมากที่สุดอยู่ในลำดับต้น ๆ คือ ลัดดาแลนด์ ของผู้กำกับ มากความสามารถอย่าง จิม โสภณ ศักดาพิศิษฎ์ การกลับมากำกับอีกครั้งกับหนังผีอย่าง The Promise หรือ เพื่อนที่ระลึกในชื่อไทย จึงทำให้ผมติดตามข่าวคราวมาตลอดกับหนังเรื่องนี้

โดยเฉพาะ trailer ที่ออกมาน่าดึงดูดให้ไปชมในโรงภาพยนต์อย่างยิ่ง มีการนำบทไปผูกกับเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจ เมื่อปี 2540 ทำให้หนังเกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก และแถมยังมาในนาม GDH ซึ่งไม่ค่อยสร้างหนังที่ทำให้ผิดหวังซักเท่าไหร่

ก่อนที่จะได้เข้าไปชมจริง ผมติดตามกระแสใน social network มีทั้งด้านบวก และ ด้านลบ ถ้ามองด้วยใจเป็นกลางจริง ๆ จะออกไปในแนวทางลบเสียมากกว่า ผมจึงเริ่มลังเลที่จะเข้าไปดูในโรงดีหรือไม่ ประกอบกับหนังผี แฟนผม ไม่เคยสนใจอยู่แล้ว จะไปดูคนเดียวก็ดูน่ากลัวเกินไป

แต่ก็ถือเป็นโชคดี ที่พ่อและแม่ มาจากต่างจังหวัดพอดี ผมจึงชวนท่านทั้งสองไปดูเป็นเพื่อน เพราะช่วงหลัง เริ่ม พา พ่อกับแม่ เข้าโรงหนังมากขึ้น หลังจากที่ท่านไม่ได้เข้าโรงหนังมาเป็นเวลานาน

เรื่องนี้ผมให้คนที่แบกทั้งเรื่องคือ บี น้ำทิพย์ ตัวจริง ที่รับบท บุ๋ม อดีตเด็กสาวที่ครอบครัวถูกวิกฤต เศรษฐกิจในช่วงปี 2540 เล่นงาน ทำให้ต้องเปลี่ยนสภาพจากครอบครัวเศรษฐี กลายเป็น เป็นครอบครัวที่แทบจะล้มละลาย ซึ่งในช่วงแรกนั้น มีการผูกเรื่องกับเหตุการณ์ปี 2540 ได้อย่างน่าสนใจมาก ๆ รวมถึง location ในการใช้ตึกร้างที่สาธร ที่เปรียบเหมือน มรดกของความล่มสลายของประเทศไทยช่วงปี 40 ที่ยังมีให้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบัน ทำให้คน ระลึกถึงเหตุการณ์ในยุคนั้นได้อย่างดี

หนังเรื่องนี้ได้พาเราย้อนไปยังช่วงปี 40 ยุคที่ เรายังใช้ pager เพื่อส่งข้อความหากัน รวมถึง วัฒนธรรม walkman ที่ค่อนข้างบูมในช่วงขณะนั้นพอดี ช่วงต้นของเรื่องดำเนินไปได้อย่างน่าสนใจ และมีความสมเหตุสมผลของบท ซึ่งทำให้ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้คงเป็นอีกผลงานมาสเตอร์พีซ ของ คุณ จิม อีกแน่ ๆ

แต่กลับกันเลย หลังจากหนังดำเนินไปถึงช่วงปัจจุบันนั้น ที่บุ๋ม ได้กลับมาตั้งหลักตั้งตัวได้ และมีลูกสาว 1 คน ที่รับบทโดย ลิลลี่ จาก the face season 2 ซึ่งน่าจะเข้าขากันได้กับ บี น้ำทิพย์ เนื่องจาก บี เป็น mentor ของ ลิลลี่ใน face season 2 เองด้วย โดยทางลิลลี่นั้นรับบทเป็น เบลล์ ลูกสาวของ บุ๋ม ที่กลายมาเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สาว ที่สามารถผ่านวิกฤตมาได้

จากจุดแข็งจากการที่เคยร่วมงานมาก่อน ของ บี กับ ลิลลี่ แต่กลับกลายมาทำให้ลิลลี่ เป็นจุดอ่อนของหนังเรื่องนี้อย่างชัดเจน ถ้ามองอย่างเป็นกลางเราจะเห็นความห่างชั้นทางการแสดงที่มากเกินไประหว่าง บี กับ ลิลลี่ มันจึงทำให้ดูไม่สมดุล ในการแสดงที่ต้องเข้าบทกัน จึงรู้สึกขัดใจกับการแสดงของน้อง ลิลลี่ เป็นอย่างมาก อาจจะเป็นเพราะน้องยังใหม่ในการแสดงหนัง แต่น่าจะเป็นการเลือกตัวละครที่พลาดของผู้กำกับ ทำให้หนังขาดอรรถรส บางอย่างไป และทำให้บี ต้องแบกหนังเรื่องนี้อยู่แทบจะคนเดียวทั้งเรื่อง

สำหรับเรื่องผี ต้องยอมรับว่า ฉากที่ทำให้กระตุก นั้นก็ทำได้ตามมาตรฐานของ คุณ จิม คล้าย  ๆ กับ ลัดดาแลนด์ คือ เรารู้ล่วงหน้าว่าจะเป็นฉากแนวกระตุกผี ไม่ได้มาแบบเซอร์ไพรซ์แต่อย่างใด แต่ก็ทำให้คนดูต้องกดดันกับฉากนั้น ๆ ได้อยู่ดี ทั้งที่รู้ว่าฉากนี้ผีออกแน่นอน แม้จะไม่เป็นตัวตนแบบชัดเจนให้เราเห็น แต่ก็ถือว่าสอบผ่านในเรื่องความน่ากลัวของผี ได้อย่างดีเยี่ยม

ส่วนภาพรวมของบทนั้น ต้องเรียนตามตรงว่าเรื่องนี้สอบตกเป็นอย่างมาก คือไม่ได้ในระดับมาตรฐานของ GDH เลย ทำเป็นเหมือนหนังผีดาด ๆ ทั่วไปมากกว่า บทค่อนข้างไม่ลงตัว หนังพยายามลากการแสดงของคุณบีไปเรื่อย ๆ และสุดท้ายก็พยายามจบแบบงง ๆ ซึ่งมันควรจะดีกว่านี้ตามมาตรฐานของ GDH ซึ่งหลายคนก็ได้พูดถึงประเด็นนี้กันอย่างกว้างขวางในสื่อ social media

สุดท้ายต้องบอกตามตรงเลยว่า ผม ค่อนข้างผิดหวังกับหนังเรื่องนี้ คือตั้งความหวังกับหนังเรื่องนี้ไว้สูง แต่ก็ต้องมาผิดหวังในหลาย ๆ ส่วนที่ทำมาได้ไม่ลงตัว หลัก ๆ เลยคือบทของหนังคือ ไม่สมกับเป็น GDH ทำเลย แต่ถ้าหวังจะดูฉากกระตุก ผีออกมาให้ตกใจ อันนี้ก็พอดูได้ ก็ไม่ได้ถึงกับน่าเกลียดแต่อย่างใด ขนาดพ่อผมดูเรื่องนี้ยังหลับได้ ก็น่าจะรู้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นยังไง และมั่นใจว่าคงทำรายได้ ไม่ถล่มทลาย เหมือนหนังเรื่องอื่นๆ  ของ GDH อย่างแน่นอน

เก็บตกจากหนัง

  • บี น้ำทิพย์ ที่รับ บทบุ๋ม นั้น แทบจะแบกหนังไว้คนเดียวทั้งเรื่อง
  • Location ของหนังที่ถ่ายทำนั้นถือว่าน้อยไปหน่อย มีอยู่ไม่กี่ฉาก
  • ผมมองว่าการให้ลิลลี่ มารับบท เบลล์ นั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดพลาดย่างยิ่ง น้องไม่เหมาะกับบทนี้เลย
  • ภาพรวมของบทหนัง ไม่ผ่านมาตรฐานที่ GDH เคยสร้างมา

คะแนน

6/10

สรุป
“ถ้าไม่ได้หวังอะไรมาก ก็ดูไปเถอะ เป็นแค่หนังผีมาตรฐานกลาง ๆ เรื่องนึงเท่านั้น”

Movie Review : ฉลาด เกมส์ โกง

Review

เอาตรง ๆ ผมก็ถือว่าเป็นแฟนพันธ์แท้ของค่าย GDH หรือ GTH เก่า มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ค่อนข้างคาดหวังได้กับหนังของค่ายนี้ ว่าดูแล้วคุ้มกับเงินที่เสียไป

แต่ช่วงหลัง ๆ มา หนังของ GDH นั้นมาสไตล์เดิม ๆ มาตลอด แทบจะไม่มีแนวใหม่ ๆ เข้ามาเลย แต่เนื่องจากการทำการตลาดที่ดี และมีแฟนหนังที่มฐานคนดูอยู่มากพอสมควร จึงมั่นใจได้ว่าหนังในแนวทางเดิม ๆ ของ GDH นั้นทำแล้วไม่เจ๊งแน่นอน อย่างเช่นหนังเรื่องแรกของค่ายคือ แฟนเดย์ นั้น ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่ concept ของหนังก็ไม่ต่างจากหนังเดิม ๆ ของ GDH เท่าที่ควร ซึ่งคิดว่า ทาง GDH ก็คงไม่ค่อยกล้าฉีกแนวตัวเองเยอะ เพราะหนังสไตล์นี้สามารถทำเงินได้แน่ ๆ อยู่แล้ว

แต่สำหรับหนังเรื่องที่สองของ GDH นั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ถือว่าเป็นการสร้างทางเลือกใหม่ให้คนดู ที่จะเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ ของหนัง GDH ที่มี production และบทของหนังต่างจากที่ผ่านมาอย่างชัดเจน ถือว่า GDH สามารถทำได้อย่างดีกับหนังเรื่องนี้

โดยส่วนตัวเคยชมผลงานของผู้กำกับ นัฐวุฒิ พูนพิริยะ  จากหนังเรื่อง เคาท์ดาวน์ ซึ่งก็ค่อนข้างประทับใจกับหนังเรื่องแรกของเค้า และเฝ้ารอคอยหนังเรื่องใหม่ของเค้าอยู่เหมือนกัน จากหนังเรื่อง ฉลาด เกมส์ โกง เราจะได้กลิ่นอายของ เคาท์ดาวน์ อยู่บ้างเหมือนกัน จะฉีกแนวจาก GTH เดิม ๆ อย่างชัดเจน

สำหรับนักแสดงในเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเด็กยุคใหม่แทบจะทั้งสิ้น แทบจะไม่มีดาราเก๋าประสบการณ์มาเล่นด้วยเลย ถือว่าเป็นการเสี่ยงพอสมควรสำหรับบทหนัก ๆ อย่างหนังเรื่องนี้

แต่เหมือนการ design character ของแต่ละตัวละคร นั้นเหมาะกับนักแสดงนำทุกคนอยู่แล้ว อย่างเช่น ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง (ออกแบบ) ที่รับบท ลิน ในเรื่องนั้น สามารถสื่อสารความเป็นลิน ได้อย่างลงตัว การแสดงสีหน้า ท่าทาง ก็ถือว่าทำได้ไม่ขี้เหร่ สำหรับการเล่นหนังครั้งแรกของเธอ แต่ก็ต้องยอมรับว่าบางช่วงการแสดงก็ไม่ค่อยสมจริงเท่าไหร่ ยังเหมือนหุ่นยนต์มากเกินไป แต่โดยรวมก็ค่อนข้างทำได้ดี

แต่ที่ผมชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ น่าจะเป็น ชานน สันตินธรกุล  ที่รับบทแบงค์ ถ้าเทียบกับลินที่เป็นตัวละครหลักแล้ว แบงค์ ก็ถือว่าเป็นตัวละครที่เป็นตัวหลักที่ไม่แตกต่างจาก ลิน แม้จะได้รับบทน้อยกว่ามาก แต่ key หลักของเรื่องน่าจะอยู่ที่เจ้าแบงค์ นี่แหละ ที่ตีบท ในเรื่องได้แตก ไม่แน่ใจว่าด้วยบุคลิก และลักษณะส่วนตัวของเค้าเป็นอย่างงี้ด้วยหรือ ป่าว จึงทำให้ง่ายต่อการรับบทบาทดังกล่าว  ดูแล้วค่อนข้างอินกับตัวละครนี้มาก ถ้าเทียบกับลินแล้ว บทของแบงค์นั้น แสดงได้ดีกว่าอย่างชัดเจน ส่วน เกรซ กับ พัฒน์ นั้นก็ถือเป็นส่วนเติมเต็มเรื่องได้อย่างน่าประทับใจ

ที่ เซอร์ไพร์ อีกอย่างสำหรับหนังเรื่องนี้คือการนำเอานักแต่งเพลงระดับตำนานอย่าง พี่  ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ที่มารับบทพ่อของลิน ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ในการเห็น พี่ ธเนศ เล่นหนัง ต้องยอมรับว่าพี่เค้าไม่ได้แต่งเพลงเก่งเพียงอย่างเดียว บทพ่อที่ได้รับ ก็ถือว่าตีบทนี้ได้แตกกระจาย เหมือนกัน

โดยรวมหนังให้แง่คิดในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งความสัมพันธ์ของพ่อลูก ความสัมพันธ์ของเพื่อน รวมถึงการกล่าวถึงเรื่องการโกง หรือ คอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นประเด็นหลักของเรื่อง และบทสรุปที่่ถือได้ว่าทำออกมาได้ดี ยกให้เป็นหนังยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ได้ดูมาของ GTH เลยก็ว่าได้

 

เก็บตกจากหนัง

  • หนังมีการเชื่อมโยงการโกง กับ การคอร์รัปชั่น ได้อย่างน่าสนใจ
  • เราจะได้เห็นนักแต่งเพลงชื่อดังอย่าง พี่ ธเนศ มารับบทหลักของหนังที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย
  • ตัวละครเอก แบงค์ กับ ลิน ถือว่าเล่นคู่กันได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก
  • เป็นหนังที่รูปแบบบท และ production แตกต่างจากที่ GTH ทำมาอย่างสิ้นเชิง
  • อาจเปรียบเปรยได้ว่าหนังเรื่องนี้ให้ประสบการณ์แบบดูหนัง hollywood เลยทีเดียว

คะแนน

9/10


สรุป
“โดยส่วนตัวถือเป็นหนังยอดเยี่ยมที่สุดของ GTH ตั้งแต่ได้ดูมา”