Elon Musk กับการอัพเดทความก้าวหน้าครั้งสำคัญของ Neural Link

ถือเป็นการอวดผลงานครั้งสำคัญของสุดยอดนักประดิษฐ์ และ นักเทคโนโลยีอย่าง Elon Musk ที่มีการเปิดเผยถึงความคืบหน้าของโครงการ Neural Link อินเทอร์เฟซระหว่างสมองและเครื่องจักรกล ที่จะปฏิวัติวงการ และเป็นก้าวที่สำคัญ ที่จะทำให้มนุษย์เราสามารถต่อสู้กับความสามารถของ AI ที่นับวันยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

โดย Elon Musk ได้ขึ้นเวทีที่สำนักงานใหญ่ของ Neural Link เพื่อเปิดเผยต้นแบบ V2 ของเครื่องต้นแบบที่มีการเปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว โดยรุ่น V2 นี้จะบรรจุอิเล็กโทรดมากถึง 1,024 ตัว และจะแตะเพียงแค่ผิวเปลือนอกของสมองมนุษย์เพียงเท่านั้น

โดยอิเล็กโทรดเหล่านี้จะเชื่อต่อกับชิป “Link 0.9” ของ Neural Link ซึ่งเป็นชิปขนาด 23 มม. * 8 มม. ซึ่งจะเสียบเข้ากับรูเล็ก ๆ ที่เจาะเข้าไปในกะโหลดศรีษะของผู้ป่วย และเป็นตัวที่ใช้ในการรวบรวมสัญญาณ

โดยจะสามารถรับส่งข้อมูลในความเร็วระดับ เมกะบิต ต่อ วินาที และด้วยแบตเตอรี่เทคโนโลยีใหม่ มีรายงานว่าสามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้เต็มวัน และช่วยให้ผู้ใช้สามารถชาร์จไฟได้ในขณะนอนหลับ

และการเปิดเผยครั้งสำคัญในครั้งนี้ เรียกได้ว่า ปฏิวัติวงการแพทย์ เมื่อชิป ดับกล่าวจะสามารถ วัดอุณหภูมิ ความดัน และ การเคลื่อนไหวของผู้ป่วย ซึ่งอาจให้คำเตือบล่วงหน้าเกี่ยวกับ อาการหัวใจวาย หรือ โรคหลอดเลือดสมอง ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่คร่าชีวิตของมนุษย์ในลำดับต้น ๆ

โดยในระหว่างการสาธิตนั้น Musk ได้เปิดเผยการทดลองกับ หมู 3 ตัว ได้แก่ Joyce , Gertrude และ Dorothy โดย Joyce นั้นไม่ได้รับการปลูกถ่าย ส่วน Dorothy นั้นได้รับการปลูกถ่าย และได้ถอดออกในภายหลัง ส่วน Gertrude นั้นได้รับการปลูกถ่าย และอุปกรณ์ Link ก็ยังฝังอยู่ในตัวของมัน

เพื่อทำการทดสอบเปรียบเทียบผลกระทับทั้งสามตัวอย่าง และเก็บข้อมูลเพื่อมาวิเคราะห์ หลังจากก่อนหน้านี้ได้ทำการทดลองในหนู และได้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างดีเยี่ยม ที่ Musk เคยออกมากล่าวว่า “Link สามารถที่จะควบคุมคอมพิวเตอร์ด้วยสมองได้”

การปลูกถ่ายไปยังสมองมนุษย์ | cr : cnet.com
การปลูกถ่ายไปยังสมองมนุษย์ | cr : cnet.com

ต้องบอกว่า ถือเป็นการยกระดับเทคโนโลยี โดยเฉพาะในเรื่องของอุปกรณ์ Device ต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกับมนุษย์เราที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่ง ใน V2 ที่ Musk ได้ออกมากล่าวนั้น ต้องบอกว่ามันเหมือนกับอุปกรณ์อย่าง Fitbit ในกะโหลกศีรษะของมนุษย์เรา

แน่นอนว่าเป้าหมายแรกของ Elon Musk ก็คงเป็นการช่วยเหลือผู้ป่วย หรือ การทำการ Monitor สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย เพื่อแจ้งเตือนล่วงหน้า จะดีแค่ไหน เมื่อ อุปกรณ์อย่าง Link สามารถแจ้งเตือนอาการ อย่าง โรคหัวใจวาย หรือ หลอดเลือดสมองตีน ให้เราเหมือนมีระบบ Notification บนมือถือ ที่ต้องบอกว่าโรคดังกล่าวนั้นได้คร่าชีวิต ผู้คนที่คุณรักแบบไม่ทันได้ตั้งตัวมาอย่างมากมาย

รวมถึงการช่วยเหลือ ผู้ป่วยพิการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสายตา หรือ การได้ยิน ที่อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถที่จะมาช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ Musk ก็ยังหวังว่า สุดท้ายแล้วจุสามารถยกระดับอุปกรณ์ดังกล่าว ให้สามารถอ่านจิตใต้สำนึกของมนุษย์ และทำให้เราสามารถสื่อสารกับเครื่องจักร หรือ AI ได้ โดยใช้เพียงแค่ความคิด หรือ ถึงขนาดที่ว่าในอนาคตเราสามารถที่จะบันทึก หรือ เล่นซ้ำ ความทรงจำเก่า ๆ เหมือนที่เราทำกับสื่อดิจิตอล ได้นั่นเอง

ต้องบอกว่า Elon Musk นั้นมองปัญหาใหญ่ ๆ ของโลกเราเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพลังงานทดแทน หรือ การเดินทางในอวกาศ ซึ่งล้วนแล้วต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลในการสร้างฝันของเขาให้สำเร็จขึ้นมาได้

และที่สำคัญ การหลอมรวมกันอย่างกลมกลืนของซอฟต์แวร์ อิเล็กทรอนิกส์ วัสดุล้ำสมัย และประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ มันคือพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ของ Elon Musk ที่ยากจะหาใครเทียบได้ในยุคปัจจุบัน 

ทั้ง SpaceX , Tesla , SolarCity หรือ โครงการล่าสุดอย่าง Neural Link นั้น เป็นบริษัทที่ล้วนอยู่ในอุตสาหกรรมที่มี Impact ต่อโลกเราอย่างมหาศาล ทุกสิ่งที่เขาทำนั้นมีหลายคนเคยปรามาสว่าเป็นเรื่องที่เพ้อฝัน และไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ Musk ก็ได้พิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าแม้จะเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ หรือ ยากเย็นเพียงใด เขาก็สามารถทำมันให้เห็นผลเป็นประจักษ์ได้สำเร็จได้นั่นเองครับ และผมก็เชื่อเช่นนั้นครับ..

References : https://www.newscientist.com/article/2253274-elon-musk-demonstrated-a-neuralink-brain-implant-in-a-live-pig
https://www.engadget.com/elon-musk-unveils-v-2-of-the-neuralink-brainmachine-interface-surgery-bot-231559145.html
https://www.cnet.com/news/elon-musks-neuralink-its-like-a-fitbit-in-your-skull/

Fitbit กับเรื่องราวความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Wearable Tech

ในโลกเรานั้น มีประชากรเพียงส่วนน้อยที่มีการออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ และมีการดำเนินชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งส่วนใหญ่นั้นปัญหาคือแรงจูงใจในการลุกขึ้นมาออกกำลังกลาย หรือ ดูแลสุขภาพ ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ของทุก ๆ คน

ดังนั้นการสร้างรายงานบันทึกกิจกรรมเพื่อสุขภาพของเรา โดยสร้างรูปแบบวิธีที่น่าสนใจ มันก็น่าจะสร้างออกมาเป็นธุรกิจได้อย่างที่ Eric Friedman และ James Park เปิดตัว Fitbit ขึ้นมาในปี 2007 ซึ่งต้องบอกว่าในช่วงเวลานั้น ถือเป็นธุรกิจที่ไม่มีใครเล็งเห็นถึงตลาดขนาดใหญ่นี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ

บริษัท ที่ผลิตอุปกรณ์สวมใส่ที่มีความชาญฉลาดเพื่อติดตามคอยบันทึกสุขภาพของเรา ซึ่งเป็นที่น่าสนใจมากว่า Fitbit ดำเนินธุรกิจรอดมาได้อย่างไรกับความคิดเมื่อ 12 ปีที่แล้วเนื่องพวกเขาเกือบจะเจ๊งหลายต่อหลายครั้ง และในปัจจุบันที่ตลาดแข่งขันกันดุเดือด ก็ยังต้องแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple และ Xiaomi ที่หันมาโฟกัสในตลาดนี้เช่นเดียวกัน

เรื่องราวมันเกิดขึ้นหลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัยคลีฟแลนด์ โอไฮโอ James Park ได้เข้าเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ดทางด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ แต่ท้ายที่สุดเขาก็ลาออก เขาได้เข้าไปทำงานกับมอร์แกนสแตนลีย์อยู่ช่วงหนึ่งในช่วงปี 1998-1999  

ในเดือนตุลาคมปี 1999 Park ได้ร่วมก่อตั้ง Epesi Technologies ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ ด้าน B2B integration software ตามด้วยการร่วมก่อตั้ง Wind-Up Labs ในปี 2002 เรื่องราวชีวิตของ James Park เป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของคนยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก การออกจากมหาวิทยาลัยและสร้างอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ให้กับตัวเอง

สองคู่หูที่เจอกันที่ Wind-Up Labs
สองคู่หูที่เจอกันที่ Wind-Up Labs

ในตอนนั้น Park กับ Friedman มีความคิดว่าจะทำอะไรบางอย่างด้วยเซ็นเซอร์ขนาดเล็ก ดังนั้นจึงเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นมาของ Fitbit อุปกรณ์สำหรับการบันทึกข้อมูลด้านสุขภาพของคนทั่วไป

ส่วน Friedman นั้นเรียนจบ วิทยาการคอมพิวเตอร์ ในระดับปริญญาตรีและปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเยล โดยในปี 2000 Friedman ได้เข้าร่วมกับ Epesi Technologies ในตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์ และได้ก่อตั้ง Wind-Up Labs ร่วมกับ Park ในเดือนสิงหาคม ปี 2002

ซึ่งตัว Friedman นั้นเคยทำงานให้กับ Microsoft ในช่วงแรก ๆ ในอาชีพวิศวกรของเขาและก่อนที่จะร่วมก่อตั้ง Fitbit เขาทำงานที่ CNET Networks ในตำแหน่ง Engineer Manager โดยในปัจจุบันเขาทำหน้าที่เป็น CTO ของ Fitbit

หลังจากก่อตั้ง Wind-Up Labs แล้วทั้ง Park และ Friedman ก็ได้เริ่มความทะเยอทะยานอย่างแรงกล้า พวกเขาต้องการทำสิ่งที่ไม่เหมือนใครในขณะนั้น ด้วยเซ็นเซอร์ขนาดเล็กและพวกเขากำลังค้นพบศักยภาพที่ยิ่งใหญ่บางอย่างในแวดวงสุขภาพ 

พวกเขาได้สร้างอุปกรณ์ขนาดเล็ก ที่สามารถติดตามข้อมูลการออกกำลังกายส่วนตัวรวมถึงข้อมูลสุขภาพบางอย่างได้ พวกเขาคิดว่าพวกเขาอาจจะมีฐานลูกค้าอยู่จำนวนมหาศาลในตอนนั้นที่ยังไม่มีใครคาดคิดถึง 

ซึ่งในตอนแรกนั้นพวกเขาได้สร้างเพียงแผงวงจรขนาดเล็กหุ้มด้วยกล่องไม้เพื่อเป็นต้นแบบ ซึ่งมันช่วยให้เขาสามารถที่จะระดมทุนจากนักลงทุนได้กว่า 400,000 ดอลลาร์ เพื่อให้พวกเขาเริ่มผลิตอุปกรณ์ตัวจริงออกมา

ในวันที่ 9 กันยายน 2008 ทั้งคู่เข้าร่วมในการประชุม TechCrunch 50 และได้รับคำสั่งซื้อล่วงหน้าในงานดังกล่าวถึง 2,000 ชิ้น สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ของพวกเขาในเพียงแค่วันเดียว พวกเขาเริ่มตระหนักในภายหลังว่ามันเป็นจำนวนคำสั่งซื้อที่น่าเหลือเชื่อ พวกเขาประเมินในตอนแรกไว้เพียงแค่ 50 ชิ้นเพียงเท่านั้น และต้องบอกว่าในตอนนั้นพวกเขายังไม่มีโรงงานที่จะผลิตเครื่อง Fitbit ในจำนวนมาก ๆ เลยเสียด้วยซ้ำ 

และสิ่งที่ยุ่งยากสำหรับพวกเขา คือ การขาดประสบการณ์ในการผลิตในจำนวนมาก ๆ  Park และ Friedman ใช้เวลาเกือบ 3 เดือนในการเยี่ยมชมโรงงานในเอเชียเพื่อหาวัตถุดิบและสร้างสายการผลิตขึ้นมา

หลังจากสองสามเดือนของการค้นหาโรงงานที่เหมาะสม พวกเขาต้องพบข่าวร้ายอีกครั้งเมื่อผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเริ่มแสดงข้อบกพร่องบางอย่างด้านเทคนิค รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับเสาอากาศของผลิตภัณฑ์ของพวกเขา ชะตากรรมของ Fitbit นั้นตกอยู่ในความเสี่ยงอีกครั้ง และในตอนนั้น ผู้ร่วมก่อตั้งทั้งสองก็คิดที่จะยอมแพ้กับสิ่งที่เกิดขึ้น 

แต่สุดท้ายพวกเขาก็ผ่านมันมาได้สำเร็จ ในที่สุดพวกเขาก็สามารถเปิดตัวอุปกรณ์ Fitness Tracker ได้ในปี 2009 พวกเขาได้ทำการส่งมอบสินค้า 5,000 ชิ้นให้กับผู้ที่จองในช่วงแรก และ ยังได้รับการจองล่วงหน้าอีก 2,000 ชิ้น และเนื่องจากในตอนนั้นอุปกรณ์ดังกล่าวถือเป็นอุปกรณ์ที่ยังแทบจะไม่มีใครทำ ส่งผลให้ Fitbit จึงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

Fitness Tracker ของ Fitbit ถือเป็นอุปกรณ์แรก ๆ ของโลกในธุรกิจนี้
Fitness Tracker ของ Fitbit ถือเป็นอุปกรณ์แรก ๆ ของโลกในธุรกิจนี้

บริษัทเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และเริ่มมีคู่แข่งเข้ามาใตลาดนี้ โดย สิ้นปี 2014 บริษัท มีรายรับรวม 745.4 ล้านดอลลาร์ และในปี 2015 บริษัท ได้ยื่นเสนอขายหุ้น IPO ครั้งแรก ทำให้บริษัทพวกเขามีมูลค่า 358 ล้านดอลลาร์ และในปีนั้นพวกเขาสามารถขายเครื่อง Fitness Tracker ได้มากกว่า 18 ล้านเครื่อง ถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของพวกเขา

ในเดือนมีนาคม 2015 Fitbit ได้เข้าซื้อกิจการของ Firstar ในราคา 17.8 ล้านดอลลาร์ ตามด้วยการซื้อ Coin ซึ่งเป็น บริษัทบัตรเครดิตในปี 2016 และในปี 2017 บริษัท ได้ซื้อ บริษัท Startup ที่สร้าง smartwatch อย่าง Vector Watch SRL และในปี 2018 ก็ได้เข้าซื้อบริษัท ซอฟต์แวร์ที่ว่าชื่อ Twine Health และการเติบโตของพวกเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

เข้าสู่การ IPO ได้สำเร็จ
เข้าสู่การ IPO ได้สำเร็จ

และ ในที่สุดมันก็กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีอย่าง Google ที่สามารถคว้า Fitbit ไปครองได้สำเร็จ ซึ่ง Google ได้เข้าซื้อบริษัท Fitbit อย่างเป็นทางการ เพื่อนำมาเสริมทัพระบบปฏิบัติการ Wear OS และอุปกรณ์สวมใส่ของตัวเองอย่าง Google Fit ด้วยมูลค่ากว่า 2.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6.3 หมื่นล้านบาท ที่เป็นการ Exit ที่น่าสนใจของสองผู้ก่อตั้งทั้ง James และ Friedman ในการนำพาบริษัทก้าวมาถึงจุดนี้ ได้สำเร็จ

Fitbit ถือว่าเป็นบริษัทที่บุกเบิกอุตสาหกรรมด้านอุปกรณ์สวมใส่เลยก็ว่าได้ โดยเริ่มจากทำอุปกรณ์ที่สวมใส่ข้อมือในการแทร็กจำนวนก้าว และการออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน ซึ่งถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

ต้องบอกว่า เป็นเพราะเหล่าทีมนักพัฒนา รวมถึงวิศกร ที่ได้พัฒนาทั้งด้านซอฟต์แวร์, ฮาร์ดแวร์ และ AI รวมถึงสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ จิตวิญญาณนักสู้ของสองผู้ก่อตั้งอย่าง James และ Friedman นั่นเอง ที่ทำให้ Fitibt ประสบความสำเร็จเหมือนอย่างที่เราได้เห็นกันนั่นเองครับ

References : https://techstory.in/the-fitbit-story-how-it-scripted-wearable-techs-biggest-success-story/ http://www.yourtechstory.com/2019/11/05/success-story-of-fitbit https://en.wikipedia.org/wiki/Fitbit https://www.wired.com/story/how-fitbit-got-us-all-moving/