Hackers ชาวจีนกำลังมุ่งเป้าหมายไปที่การวิจัยวัคซีน COVID-19 ของอเมริกา

จากรายงานใหม่ของ The Wall Street Journal Hackers ชาวจีนและอิหร่านกำลังตั้งเป้าหมายใหม่ที่สหรัฐฯที่กำลังพยายามพัฒนาวัคซีนป้องกันโรค COVID-19

“จีนได้มีความพยายามในการขโมยงานวิจัยทางการแพทย์และ COVID-19 การวิจัยในการพัฒนาวัคซีนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้” อัยการผู้ช่วยสำหรับการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ John Demers บอกกับ WSJ  “ในขณะที่มูลค่าทางการค้าของมันมีความสำคัญ รวมถึงเรื่องของความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ของการเป็นคนแรกในการพัฒนาการรักษาหรือวัคซีนหมายความว่าจีนจะพยายามใช้เครื่องมือทั้งหมดเหล่านี้ ทั้งการบุกรุกทางไซเบอร์และการบุกรุกจากภายใน เพื่อให้ได้มันมา”

เจ้าหน้าที่สหรัฐบอกกับหนังสือพิมพ์ว่าทั้งสองประเทศได้ทำการ Hack ธุรกิจและสถาบันต่าง ๆ ของอเมริกามาตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม แต่เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทราบว่าหน่วยข่าวกรองที่กล่าวหาจีนยังไม่ได้แสดงหลักฐานการโจมตีไซเบอร์ใด ๆ ออกมาเลย

เจ้าหน้าที่บางคนมีความกังวลว่าการโจมตีที่ถูกกล่าวหา อาจถูกมองว่าเป็นการกระทำในรูปแบบสงครามข่าวสาร เนื่องจากความสามารถในการหาวิธีรักษาโรคระบาดใหญ่อย่าง COVID-19 ที่กำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลกในขณะนี้

วัคซีนมีความสำคัญยิ่งในความพยายามของเราที่จะต่อสู้ coronavirus เพราะมันสามารถหยุดการแพร่กระจายและช่วยให้สังคมทั่วโลกกลับไปสู่ภาวะปกติ แต่ผู้เชี่ยวชาญก็มีการเตือนว่าวัคซีนยังคงต้องรอต่อไปอย่างน้อย 12 ถึง 18 เดือน

ประกาศที่มีการตีพิมพ์โดยสำนักสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (FBI) และ Cybersecurity รวมถึง หน่วยงานรักษาความปลอดภัยโครงสร้างพื้นฐาน (CISA) ซึ่งบันทึกในวันนี้ว่าหน้าที่ของหน่วยงานของพวกเขาคือ “การเข้ามาตรวจสอบเป้าหมายที่เป็นองค์กรในสหรัฐฯ ที่ทำการวิจัย COVID-19 หรือเรื่องที่เกี่ยวข้อง ที่กำลังถูกคุกคาม โดยเหล่า Hacker ชาวจีน โดยใช้รูปแบบการโจมตีที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน”

ตามที่ FBI ได้ระบุว่า Hackers เหล่านี้ “พยายามที่จะระบุและขโมยข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาและข้อมูลทางด้านสาธารณสุขที่มีค่าเกี่ยวกับวัคซีน การรักษา และการทดสอบจากเครือข่ายและบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 ในสหรัฐ”

เจ้าหน้าที่ยังไม่เปิดเผยหลักฐานใด ๆ เกี่ยวกับการ Hack ดังกล่าว หรือหากพวกเขาขัดขวางความพยายามในการค้นหาวัคซีน แต่จีนก็ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว

“มันเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรมสำหรับทุกคนที่มีส่วนร่วมในการสร้างข่าวลือดังกล่าวโดยไม่ต้องนำเสนอหลักฐานใด ๆ” โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน Zhao Lijian กล่าวในการบรรยายสรุปในวันจันทร์หลังจากที่ถูกกล่าวหาโดยสำนักข่าว WSJ

ต้องบอกว่าเรื่องราวของ COVID-19 ในหลายๆ แง่มุมในตอนนี้มันได้กลายเป็นศึกการเมืองระหว่างประเทศ ของประเทศมหาอำนาจทั้งสองอย่างจีน และ อเมริกา

ซึ่งมีการโต้ตอบกันไปมาระหว่างกันอยู่ตลอดเวลา ทั้งในเรื่องของต้นตอของไวรัสที่ต่างฝ่ายต่างกล่าวหาซึ่งกันและกัน และมีหลักฐานที่ใช้ในการตอบโต้กัน

ข่าวนี้มาจากสำนักข่าวหลักในสหรัฐอเมริกาอย่าง WSJ เพราะฉะนั้น ก็ต้องมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ถึงความเป็นจริง โดยเฉพาะการที่ไม่มีหลักฐานอะไรมาสนับสนุนดังกล่าว จีนก็พร้อมที่จะตอบโต้กลับได้เหมือนกันอย่างที่เราได้เห็นในบทความนี้

เช่นเดียวกัน หากเราอ่านข่าวจาก Xinhua ที่เป็นสำนักข่าวของทางฝั่งจีน เราก็ก็ได้เห็นเรื่องราวทำนองเดียวกัน ที่มีการเสนอข่าวเรื่องเดียวกัน แต่กลายเป็นเนื้อหาตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

ต้องบอกว่า ศึก COVID-19 ครั้งนี้ อาจจะส่งผลต่อ อนาคตในการเป็นผู้นำโลกของทั้งจีน และ อเมริกา เหมือนหลังยุคสงครามโลกครั้งที่สองที่ทำให้ อเมริกากลายมาเป็นผู้นำโลก และพวกเขาไม่เคยลงจากตำแหน่งมานับจากนั้น

เพราะฉะนั้นสถานการณ์ในตอนนี้ พวกเขา (อเมริกา) ก็ต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เขาตกจากตำแหน่ง โดยเฉพาะจากพลังจากจีนที่กำลังก้าวขึ้นมาท้าทายอำนาจของพวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสุดท้าย เราอาจจะได้เห็นการเปลี่ยนตำแหน่งของมหาอำนาจหลังจบศึก COVID-19 ในครั้งนี้ก็เป็นได้ครับ

References : https://futurism.com/us-officials-chinese-hackers-targeting-vaccine-research https://www.wsj.com/articles/chinese-iranian-hacking-may-be-hampering-search-for-coronavirus-vaccine-officials-say-11589362205

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol

ประวัติ Jho Low ตอนที่ 17 : The Empire Strikes Back

ในบ่ายวันที่อากาศร้อนอบอ้าวในช่วงปลายเดือนมิถุนายน Xavier Justo ในขณะที่กำลังผ่อนคลายอยู่ที่วิลล่าของเขาบนเกาะสมุยในประเทศไทย ทันใดนั้น ตำรวจไทยที่ติดอาวุธครบมือ ได้บุกเข้ามา แล้วทำการเข้าชาร์จเขาอย่างรวดเร็ว และมัดมือของเขาแน่น ตำรวจได้ทำการบุกค้นสำนักงานและนำเอาคอมพิวเตอร์และเอกสารอื่น ๆ และพาตัวเขาบินมากรุงเทพแบบทันที

เขาถูกกล่าวหาในคดีพยายามแบล็กเมล์ และ ขู่กรรโชกทรัพย์ โดยเมื่อเขาได้เดินทางมาที่เรือนจำในกรุงเทพ ก็มีเพื่อนอดีตนักสืบตำรวจชาวอังกฤษ Paul Finnigan ได้เข้ามาเยี่ยม โดยทาง Finnigan ได้เสนอข้อตกลงกับ Justo ให้สารภาพผิด และเขาจะช่วยเหลือให้ออกจากคุกได้ก่อนวันคริสต์มาส

ดูเหมือนทางฝั่ง PetroSaudi นั้นจะเกรงกลัวข้อมูลเหล่านี้ที่จะหลุดออกไป จึงได้ส่งทั้ง Finnigan รวมถึง Mahony มาเสนอข้อตกลงกับ Justo ซึ่งแน่นอนว่าในสภาพตอนนั้น เขาก็ต้องยอมเซ็น “รับสารภาพ” ซึ่งเขาได้ขอโทษ PetroSadui ที่ขโมยเอกสารต่าง ๆ จาก Server ออกมา

เรียกได้ว่าเป็นการร่วมมือกับของทั้ง Najib และ PetroSaudi ที่จะผลักเรื่องราวต่าง ๆ ออกไป และลดความน่าเชื่อถือของ Justo และพยายามลดทอนความหนักแน่นของหลักฐาน email ต่าง ๆ ที่ Justo ได้รับมา

“เราตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมที่น่าเศร้า และโดนใส่ร้ายจากพรรคการเมืองฝ่ายค้านของมาเลเซีย” PetroSaudi กล่าวในแถลงการณ์

วันรุ่งขึ้นหลังจากการจับกุม New Straits Times หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่สนิทสนมกับ Najib ได้ตีพิมพ์บทความ ที่อ้างถึงบริษัท Protection Group International ซึ่งเป็นบริษัท ที่ทำธุรกิจการรักษาความปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ ที่ได้กล่าวอ้างถึง หลักฐาน email ที่รั่วไหลออกมานั้น มีการปลอมแปลม ซึ่งเป็นหลักฐานที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ

ซึ่งหลังจาก มีการตีพิมพ์เรื่องดังกล่าว Low ก็ได้ส่งต่อเรื่องราวนี้ไปยัง Al Mubarak พันธมิตรของเขาที่ Mubadala อย่างรวดเร็ว เพื่อหลอกพันธมิตรของพวกเขาในอาบูดาบีให้เข้าใจว่า email ที่หลุดออกมาของ PetroSaudi นั้นเป็นของปลอม

Nabji Razak ก็ได้เล่นบทโหดสอดรับทันที ด้วยการไล่รองนายกรัฐมนตรี Muhyiddin และสมาชิกคณะรัฐมนตรีอีกสี่คนออกทันที และได้ทำการระงับการไต่สวนของคณะกรรมการในเรื่อง 1MDB รวมถึงพยายามปฏิเสธเหล่านักวิจารณ์คนอื่น ๆ รวมถึงสื่อต่าง ๆ ที่กำลังใส่ร้ายเขา และสั่งให้กระทรวงมหาดไทย ระงับใบอนุญาต สื่อ The Edge เป็นเวลา 3 เดือน โดยอ้างว่ารายงานเรื่อง 1MDB ของ Edge นั้นอาจนำไปสู่ความขัดแย้งขอบคนในประเทศ

แต่นอกประเทศนั้นเขาไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่อในเดือนสิงหาคม อัยการสูงสุดของสวิตเซอร์แลนด์ ได้ประกาศว่าจะทำการสอบสวนทางอาญาเกี่ยวกับธุรกรรมของ 1MDB และทำการระงับบัญชีหลายบัญชีที่เกี่ยวข้องที่มีมูลค่าหลายสิบล้านดอลลาร์ ซึ่งเมื่อบัญชีจำนวนมากทั้งในสิงคโปร์ และ สวิตเซอร์แลนด์ของ Low ถูกปิดลง เขาจึงได้ทำการเคลื่อนย้ายเงินไปยังที่ที่ไกลที่สุด ทำให้เขาเริ่มต้องพึ่งพาเงินบาทของไทย หรือ ธุรกรรมในเงินหยวนของจีนเพิ่มมากขึ้น

เริ่มมีการประท้วงในเมืองหลวง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ของประเทศมาเลเซีย เมื่อชาวมาเลเซียกว่า 1 แสนคน ส่วนใหญ่เป็นหนุ่มสาววัยทำงาน ต่างพากันเดินขบวนล้อมรอบเมืองหลวง และสวมเสื้อยืดสีเหลืองที่มีสโลแกน “Bersih” ซึ่งมีความหมายว่า “สะอาด”

ประชาชนเริ่มออกมาประท้วงใจกลางเมืองหลวงของมาเลเซีย
ประชาชนเริ่มออกมาประท้วงใจกลางเมืองหลวงของมาเลเซีย

แม้กระทั่งอดีตนายกรัฐมนตรี มหาเธร์ ผู้ยังมีอำนาจบางส่วนอยู่ในพรรค UMNO ก็สวมชุดซาฟารีเข้าร่วมการชุมนุมด้วย โดยเรียกร้องให้ Najib ลงจากตำแหน่งโดยเร็วที่สุด เหล่าผู้ประท้วง ต่างมีความกลัวว่า หนี้สินก้อนใหญ่ที่ 1MDB สร้างขึ้นนั้น จะส่งผลกระทบต่อมาเลเซียเป็นเวลาไปอีกหลายปี

แต่ Najib ก็ยังสู้ไม่ถอย เพราะเขามั่นใจในความบริสุทธิของตัวเอง Kevin Morais หนึ่งในคณะกรรมการต่อต้านการทุจริจของมาเลเซีย ที่เขามาเกี่ยวข้องกับคดีที่เกิดขึ้นกับ Najib เพราะเป็นคนตรวจสอบโดยตรงของเส้นทางการเงินจาก 1MDB ไปยังบัญชีของ Najib และเป็นหนึ่งในผู้ที่ร่างข้อกล่าวหาทางอาญาต่อนายกรัฐมนตรี

ซึ่งในสถานะดังกล่าว เขารู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะ Najib นั้นยังอยู่ในอำนาจ และมีอำนาจมากกว่าที่หลายคนคิด ซึ่งเพียงไม่นาน Najib ได้ทำการไล่อัยการสูงสุดของประเทศ Patail ออกจากตำแหน่ง ตำรวจได้เข้าจับกุมเจ้าหน้าที่สองคนจากคณะกรรมการและอัยการจากสำนักงานอัยการสูงสุด และตำรวจได้ออกหมายจับ Rewcastle-Brown แต่เธอปลอดภัยเนื่องจากหนีไปลี้ภัยอยู่ที่ สหราชอาณาจักร

และ Morais นั้นได้กลายเป็นเป้าที่ถูกโจมตี ซึ่งเขาได้ถูกสังหารโหดในท้ายที่่สุด ด้วยการถูกมัดศพลงกระสอบ และนำไปใส่ถังน้ำมันและเติมด้วยคอนกรีตเหลวก่อนถูกทิ้งในที่รกร้างว่างเปล่า ซึ่งรถยนต์ที่ Morais ขับมานั้น ก็โดนจุดไฟเผาทิ้ง ก่อนจะถูกนำไปทิ้งในสวนปาล์ม

เรียกได้ว่า การลอบสังหารครั้งนี้อย่างฉับพลันของเหยื่อที่เป็นคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตของมาเลเซีย ทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตในครั้งนี้เริ่มกลัว และไม่กล้าที่จะทำการตรวจสอบ เพราะกลัวจะลงเอยแบบ Morais

แต่ถึงแม้ว่าภายในมาเลเซียนั้น Najib จะกุมอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ในต่างประเทศนั้นมันเป็นอะไรที่เขาควบคุมไม่ได้เลย แม้ฝ่ายบริหารของ Najib นั้นมีความมั่นใจส่วนตัวว่าชาติตะวันตกจะไม่ดำเนินการสอบสวนในเรื่อง 1MDB เนื่องจากการเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของ Najib กับประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในยุคของประธานาธิบดี โอบามา

แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็ได้เริ่มเห็นร่องรอยของการสอบสวนที่มาจากองค์กรที่ยิ่งใหญ่ของอเมริกาอย่าง FBI แม้ความพยายามของ Najib นั้น ได้สั่งให้ทีมงานและทนายของเขาไม่ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างประเทศ และทำให้ชาวต่างชาติไม่สามารถเข้าถึงเอกสารสำคัญของธนาคารในมาเลเซียได้

ตัว Najib เองได้เตรียมตั้งป้อมปราการเพื่อตอบโต้กลับสื่อที่คอยจ้องทำลายเขา กองทุน 1MDB ที่นำโดย Arul Kanda ที่กลายมาเป็นขุนพลคู่ใจคนใหม่ของ Najib ในการตอบโต้ประเด็นดังกล่าว Arul Kanda นั้นมีฝีปากระดับเทพ เพราะเป็นอดีตแชมป์การโต้วาทีระดับมัธยมปลายมาก่อน และได้ออกมากล่าวหาหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ที่กำลังขุดคุ้ยเรื่องนี้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการสมคบคิดทางการเมืองเพื่อล้ม Najib

Paul Stadlen ชายหนุ่มชาวอังกฤษที่เป็นทีมงานของ Najib ก็ออกมาตอบโต้สื่อจากฝั่งตะวันตกเช่นเดียวกัน

“WSJ ยังคงรายงานการโกหกโดยไม่ระบุชื่อที่เป็นข้อเท็จจริง” เขากล่าว “เป็นสิ่งที่น่าอับอายต่อวงการสื่อสารมวลชน”

แม้จะมีการรายงานเรื่องราวเกี่ยวกับกองทุน 1MDB ที่มาจาก Sarawak Report อย่างต่อเนื่อง และพยายามเชื่อมโยงกับ Najib , Rosmah และ Al Qubaisi ในรายงานของ Sarawak Report พยายามแสดงให้เห็นว่า Najib เป็นคนตัดสินใจทุกอย่างของ 1MDB ส่วน Jho Low นั้นเป็นเพียงคนที่อยู่เบื้องหลัง และพยายามซ่อนตัวเพื่อปกปิดตัวตนไม่ให้เชื่อมโยงมาที่เขา

FBI ของสหรัฐเริ่มเข้ามาสืบสวนสอบสวนประเด็นดังกล่าว
FBI ของสหรัฐเริ่มเข้ามาสืบสวนสอบสวนประเด็นดังกล่าว

ซึ่งรวมถึงการรายงานจาก Wall Street Journal (WSJ) สื่อชื่อดังจากฝั่งตะวันตกเช่นเดียวกัน และมันทำให้ Tom Wright ที่เดินทางมาทำข่าวที่ประเทศมาเลเซียซึ่งเดินทางมาพักที่โรงแรม แชงกรีล่าในใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ นั้นต้องหนีหัวซุกหัวซุน

ตำรวจได้บุกจับกุมตัว Wright ถึงโรงแรม แต่โชคดีที่เขาได้ข่าวจากเพื่อร่วมงานก่อนทำให้สามารถหนีออกไปได้ทัน โดยเดินทางข้ามประเทศไปยังชายแดนทางด้านสิงค์โปร์แทน

ไม่นานหลังจากนั้น WSJ ก็ได้รายงานว่า FBI ของสหรัฐได้ตรวจสอบอย่างเป็นทางการในเรื่อง 1MDB และ Najib Razak และในไม่ช้า Mahony ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่สุด จะได้รับหมายศาลจากสหรัฐเพื่อมาให้การเป็นพยาน มัดตัว Najib

Najib เตรียมตอบโต้กลับ ด้วยการจ้าง Boies, Schiller & Flexner ซึ่งร่วมก่อตั้งโดย David Boies ซึ่งเป็นทนายความชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงเพื่อเป็นตัวแทนของพวกเขา โดยทางบริษัทได้ส่งนักกฏหมายมือดีอย่าง Matthew Schwartz ให้กับลูกค้ารายใหม่ของเขา

ต้องบอกว่า Schwartz นั้นเป็นคนที่รู้เรื่องราวของอาชญกรรมทางการเงินเป็นอย่างดี ซึ่งอดีตเคยเป็นทีมงานด้านกฏหมายคนสำคัญที่ประสบความสำเร็จในคดีประวัติศาสตร์ของ Bernie Madoff

มาถึงตอนนี้เราจะเห็นได้ถึง การกุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จของ Najib Razak และเขาก็ไม่ยอมที่จะถูกกล่าวหาเพียงฝ่ายเดียว และพร้อมที่จะใช้อำนาจที่มีของเขานั้นทำลายศัตรูในทุกวิถีทาง ซึ่งเดิมพันของเขาในเรื่องนี้นั้นยิ่งใหญ่นัก และเรื่องราว ๆ ต่าง มันเริ่มเดินทางมาไกลเกินกว่าที่เขาจะยอมถอยได้แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นต่อกับเรื่องราวทั้งหมดของ 1MDB , Najib Razak และ Jho Low โปรดอย่าพลาดติดตามต่อตอนหน้าครับผม

–> อ่านตอนที่ 18 : The Dragon Power

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Prologue *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

เมื่อ Smart TV อาจจะกำลังสอดแนมชีวิตความเป็นส่วนตัวของคุณ

หากคุณเพิ่งซื้อสมาร์ททีวีในช่วง Black Friday , 12/12 หรือวางแผนที่จะซื้อ Smart TV รุ่นใหม่ ๆ ในเร็ววันนี้ ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบัน ทาง FBI จึงต้องการให้คุณรู้บางสิ่งที่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นกับความเป็นส่วนตัวของคุณได้

สมาร์ททีวีเป็นเหมือนโทรทัศน์ทั่วไป แต่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และด้วยการกำเนิดและการเติบโตของของบริการสตรีมมิ่งอย่าง Netflix, Hulu หรือ บริการสตรีมมิ่งอื่น ๆ ส่วนใหญ่เราจะได้เห็นโทรทัศน์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อคอยเชื่อมต่อกับบริการเหล่านี้ผ่านจอทีวี 

แต่ก็เหมือนกับทุกอย่างที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เพราะมันเป็นการเปิดสมาร์ททีวีให้กับช่องโหว่ด้านความปลอดภัยและเหล่า hacker ไม่เพียงเท่านั้นสมาร์ททีวีหลายรุ่นมาพร้อมกับกล้องและไมโครโฟน ซึ่งก็เหมือนกับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่ผู้ผลิตมักจะไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องของความปลอดภัยเป็นอันดับแรก

นั่นเป็นประเด็นสำคัญจากการที่ FBI ได้ โพสต์เตือนบนเว็บไซต์เกี่ยวกับความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีบนสมาร์ททีวี

“ นอกเหนือจากความเสี่ยงที่ผู้ผลิตทีวีและผู้พัฒนาแอพ อาจจะแอบดักฟังและเฝ้ามองคุณผ่านโทรทัศน์นั้น มันยังสามารถเป็นประตูสำหรับแฮกเกอร์ที่จะเข้ามาในบ้านของคุณได้นั่นเอง “

แม้เหล่า Hacker อาจไม่สามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ที่ถูกล็อคของคุณได้โดยตรง แต่เป็นไปได้ที่ทีวีที่ไม่มีการป้องกันใด ๆ ของคุณ เป็นทางลัดให้พวกเขาสามารถเจาะเข้ามาผ่านเราเตอร์ของคุณได้” FBI กล่าว

FBI เตือนว่า Hacker สามารถควบคุมสมาร์ททีวีที่ไม่มีการป้องกันของคุณ และในกรณีที่เลวร้ายที่สุดอาจจะควบคุมกล้องและไมโครโฟนเพื่อเฝ้ามองคุณที่บ้านได้นั่นเอง

เมื่อเทคโนโลยีเริ่มรุกล้ำความเป็นส่วนตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อเทคโนโลยีเริ่มรุกล้ำความเป็นส่วนตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ

โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา Hacker แสดงให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเจาะเข้าไปยัง Chromecast สตรีมมิ่งของ Google และเผยแพร่วิดีโอแบบสุ่มไปยังเหยื่อหลายพันคน

ในความเป็นจริงแล้วช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุดที่กำหนดเป้าหมายไปยังสมาร์ททีวีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้รับการพัฒนาโดยสำนักข่าวกรองกลาง แต่ถูกขโมยไป และไฟล์ได้ถูกเผยแพร่ออนไลน์ในภายหลังโดย WikiLeaks

Washington Post ได้รายงานข่าว เมื่อต้นปีที่ผ่านมา พบว่าผู้ผลิตสมาร์ททีวียอดนิยมบางราย รวมถึง Samsung และ LG มีการรวบรวมข้อมูลมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้ใช้กำลังรับชมเพื่อช่วยผู้โฆษณาในการกำหนดเป้าหมายโฆษณาจากผู้ชมของพวกเขาได้ ตัวอย่างเช่น  ปัญหาการติดตามทีวีกลายเป็นปัญหาเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาผู้ผลิตสมาร์ททีวี Vizio ต้องจ่ายค่าปรับจำนวน 2.2 ล้านดอลลาร์ หลังจากที่ถูกจับได้อย่างลับๆ ในเรื่องการพยายามติดตามข้อมูลผู้ใช้ผ่านทีวีของพวกเขา

FBI แนะนำให้วางเทปสีดำไว้เพื่อบังกล้องสมาร์ททีวีในขณะที่ไม่ได้ใช้งาน และหมั่นอัพเดท Firmware บนสมาร์ททีวีของคุณด้วยแพตช์ที่ได้รับการแก้ไขล่าสุดเสมอ และอ่านนโยบายความเป็นส่วนตัวเพื่อทำความเข้าใจว่าสมาร์ททีวีของคุณนั้นมีความสามารถในการเข้าถึงอะไรได้บ้าง เพื่อให้คุณสามารถรับชมมันได้อย่างปลอดภัยนั่นเอง

ความคิดเห็นเพิ่มเติมจากผู้เขียน

อย่างที่เราทราบกันว่าปัญหาเรื่อง privacy หรือความเป็นส่วนตัวของการใช้งานอุปกรณ์ใด ๆ ที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้นั้นเป็นปัญหาที่กำลังกลายเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบัน แม้กระทั่งใน smartphone ที่เราแทบจะใช้ติดตัวกันตลอดเวลา

ใน Social Network แพลตฟอร์มที่ต้องการข้อมูลทุกอย่างของเราเพื่อนำไปขายโฆษณานั้น ก็พยายามทุกวิถีทางที่จะได้ข้อมูลของเราไป แม้จะไม่ได้รับข้อมูลจาก app ตัวเองโดยตรงก็อาจจะได้รับข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ ที่เป็น app 3rd party ที่คอยละเมิดความเป็นส่วนตัวของเราได้อย่างที่เราได้เห็นข่าวใหญ่ก่อนหน้านี้ในเรื่องการดักฟังจากการสนทนาของเรา

แน่นอนว่า เมื่อโลกเข้าสู่ยุค 5G เหล่าอุปกรณ์ต่างๆ จะเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ซึ่ง TV เป็นอุปกรณ์แรก ๆ ที่ได้เข้ามาเริ่มเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่าง ๆ ที่ทุกคนต่างเสพติดกับมัน

ซึ่งอย่างที่ FBI กล่าว เราก็ต้องมีการระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ในเรื่องการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ผ่านอุปกรณ์เหล่านี้ เพราะเนื่องจากหากเป็น case ร้ายแรงจริง ๆ อย่างการ hack เข้ามาเฝ้ามองเราผ่าน TV ผ่านกล้องที่ติดอยู่กับทีวีนั้น ก็ถือเป็นเรื่องน่ากลัวมาก ๆ เพราะเหล่า hacker นั้นอาจจะไม่ได้ต้องการเพียงแค่ข้อมูลเท่านั้น แต่อาจต้องการอย่างอื่นที่มากกว่าข้อมูลได้ เช่น ทรัพย์สินเงินทอง หรือแม้กระทั่งชีวิตของคุณเองก็ตามหากพวกเขาสามารถเฝ้ามองเราผ่านอุปกรณ์เหล่านี้ได้ครับ

References : http://www.hackersnewsbulletin.com/2013/08/hackers-have-remote-of-your-smart-tv-and-spying-on-you-smart-tv-hacked.html https://techcrunch.com/2019/12/01/fbi-smart-tv-security/ https://www.hackread.com/hacker-shows-how-smart-tvs-can-be-hacked/