จีนนำเทคโนโลยี Facial Recognition มาระบุตัวตนของหมีแพนด้า

แพนด้าสัตว์ตัวยักษ์เป็นที่จดจำได้ทันทีว่าเป็นสายพันธุ์อะไร แต่สีดำและสีขาวของพวกมันก็ไม่สามารถที่จะระบุได้ว่ามันเป็นแพนด้าตัวไหน ซึ่งสายตามนุษย์นั้นไม่สามารถแยกออกได้

ตอนนี้นักวิจัยในประเทศจีนได้พัฒนาแอปจดจำใบหน้าที่ใช้เทคโนโลยี AI ซึ่งสามารถระบุแพนด้าแบบเฉพาะตัวได้

แอพสามารถเข้าไปดูได้ที่ ฐานการวิจัยการเพาะพันธุ์หมีแพนด้ายักษ์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ซึ่งผู้เข้าชมจะสามารถใช้แอปนี้เพื่อระบุตัวตนของแพนด้ายักษ์ และค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพวกมัน ผู้สร้างแอพนี้หวังว่าซอฟต์แวร์จะเป็นประโยชน์สำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่สามารถใช้มันเพื่อติดตามหมีแพนด้าในป่าได้

“ แอพและฐานข้อมูลจะช่วยให้เรารวบรวมข้อมูลที่แม่นยำและรอบรู้เกี่ยวกับข้อมูลประชากร การกระจายตัวของพวกมัน อายุ เพศ อัตราส่วนการเกิดและการตายของแพนด้า ในป่าที่อาศัยอยู่ในภูเขาลึกและยากต่อการติดตาม” เฉินเป็ง นักวิจัยผู้ร่วมวิจัย บอกกับสำนักข่าว XinhuaNews

“ มันจะช่วยให้เราปรับปรุงประสิทธิภาพในการอนุรักษ์และจัดการสัตว์ป่าได้อย่างแน่นอน” เฉินกล่าว

ความพยายามในการอนุรักษ์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้เพิ่มจำนวนประชากรแพนด้าในป่า แต่จำนวนทั้งหมดยังน้อยอยู่มาก  ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่า 2,000 ตัว ซึ่งทั้งหมดพบในภูมิภาคที่เป็นภูเขาของจีน

แอพจะใช้องค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อระบุหมีแพนด้ารวมถึงรูปร่างของหูและสัญลักษณ์ของตา
แอพจะใช้องค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อระบุหมีแพนด้ารวมถึงรูปร่างของหูและสัญลักษณ์ของตา

เช่นเดียวกับระบบจดจำใบหน้าอื่น ๆ แอพนี้ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของรูปภาพแพนด้า มีการใช้รูปภาพ 120,000 และ วิดีโอนับหมื่นคลิป เพื่อทำการ Train อัลกอริทึม ซึ่งจะดูที่องค์ประกอบสำคัญหลายประการรวมถึงรูปร่างของปาก ขนาดของหู และเครื่องหมายรอบดวงตาเพื่อระบุตัวหมีแพนด้า

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซอฟต์แวร์จดจำใบหน้าได้รับการพัฒนาสำหรับสัตว์  มีการใช้เครื่องมือที่คล้ายกันนี้ในการอนุรักษ์หมีและค่าง และเทคโนโลยีก็ถูกนำเข้าสู่ฟาร์มด้วยเช่นกัน ซอฟต์แวร์ที่สามารถระบุหมู แกะ และวัว เป็นรายตัวนั้นกำลังถูกใช้เพื่อตรวจสอบสุขภาพและกิจกรรมของสัตว์เหล่านี้

ที่ฐานการวิจัยของการเพาะเลี้ยงหมีแพนด้ายักษ์ ตัวซอฟต์แวร์จะถูกใช้เพื่อติดตามตารางการให้อาหารของแพนด้าแต่ละตัวรวมถึงลำดับวงศ์ศาคณาญาติของพวกมัน

ตามรายงานของ  The Washington Post นักวิจัยคนหนึ่งที่ช่วยสร้างแอปดังกล่าวบนเว็บไซต์เครือข่ายสังคม Weibo ว่าแอพนี้จะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับแพนด้าดีขึ้น :“ ซึ่งแน่นอนว่า คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการทำให้แพนด้าโกรธ ด้วยการเรียกชื่อพวกเขาผิดนั่นเอง”

References : 
https://www.theverge.com/2019/5/21/18633787/facial-recognition-app-panda-china-chengdu-conservation

Startup จีนสร้าง AI ตามหาสุนัขที่หายไปด้วยภาพของจมูก

Megvii เป็น Startup ด้าน AI ของจีนที่สร้างซอฟต์แวร์จดจำใบหน้าสำหรับโปรแกรมการเฝ้าระวังของรัฐบาลจีน กำลังขยายเทคโนโลยีให้มากกว่าที่จะใช้ในมนุษย์เพียงเดียว โดยมีการสร้างระบบเพื่อจดจำใบหน้าสัตว์เลี้ยงที่แตกต่างกัน 

ตามรายงานของ Abacus News โปรแกรมใหม่ของ Megvii ได้รับการฝึกฝนให้รู้จักสุนัขด้วยการรูปแบบของจมูก ซึ่งเป็นการเลียนแบบการระบุตัวตน เหมือนกับที่มนุษย์ใช้ลายนิ้วมือในการระบุตัวตนแต่ละบุคคลได้นั่นเอง

การใช้แอพ Megvii นั้น ทางบริษัท บอกว่าสามารถลงทะเบียนสุนัขของคุณได้ง่ายๆเพียงสแกนจมูกด้วยกล้องในโทรศัพท์ของคุณ เช่นเดียว กับที่โทรศัพท์ลงได้สร้างระบบจดจำลายนิ้วมือของคุณเพื่อปลดล็อคนั่นเอง ซึ่งแอพจะขอให้คุณถ่ายรูปจมูกสุนัขของคุณจากหลายมุม

โดยทาง Megvii กล่าวว่ามันมีอัตราความแม่นยำในการระบุตัวสุนัขได้สูงถึง 95 เปอร์เซ็นต์และตอนนี้ได้รวมตัวฐานข้อมูลสัตว์เลี้ยงจำนวนกว่า 15,000 ตัว ผ่านแอพดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

การจดจำใบหน้าสำหรับสัตว์เลี้ยงเริ่มแพร่หลายมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิดที่ได้รับการใช้งานโดยนักวิจัยเพื่อการอนุรักษ์สัตว์ป่า ในสหรัฐอเมริกา แอปที่ชื่อว่า Finding Rover ก็ได้ใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าเพื่อค้นหาแมวและสุนัขที่ถูกรายงานว่าหายไปเช่นเดียวกัน

แต่ในประเทศจีน Megvii กล่าวว่าแอปนี้จะใช้งานได้มากกว่าแค่ใช้ในการค้นหาสัตว์เลี้ยงที่หายไป ด้วยความสัมพันธ์ที่มีอยู่กับรัฐบาล ทางบริษัทได้กล่าวว่าแอพนี้สามารถใช้ในการตรวจสอบ “การดูแลสุนัขที่ไม่ดี” สำหรับเหล่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่ ไม่มีจิตสำนึกในสาธารณะ ซึ่งอาจจะเป็นการปล่อยให้สัตว์เลี้ยงไปถ่ายเรี่ยราดตามที่สาธารณะได้นั่นเอง

References : 
https://www.theverge.com

Tech War : ผู้ประท้วงฮ่องกงใช้ Laser Block ระบบจดจำใบหน้าของรัฐบาลจีน

ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนผู้คนประมาณ 1 ล้านคน พากันไปที่ถนนของฮ่องกงเพื่อประท้วงการออกกฏหมายใหม่ที่อนุญาตให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศจีนได้

เพื่อหลีกเลี่ยงการระบุตัวผู้ประท้วงชาวฮ่องกงหลายคนปกปิดใบหน้าของพวกเขา แต่จากเรื่องราวใหม่ในการรายงานของวอชิงตันโพสต์ พบว่าผู้ประท้วงบางคนได้ฉายแสงเลเซอร์กำลังสูงโดยตรงที่กล้องวงจรปิด ซึ่งเป็นกลยุทธ์การประท้วงที่ใช้เทคโนโลยีสูงสุด ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความสับสนให้กับระบบจดจำใบหน้าของรัฐบาลจีน

การใช้เลเซอร์เหล่านี้ทำให้ภาพถ่ายของการประท้วงนั้นไม่สามารถที่จะระบุตัวตนกลับมาที่พวกเขาได้นั่นเอง ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในฮ่องกงตอนนี้ คือความจริงที่น่ากลัวที่อาจส่งผลกระทบระยะยาวหากยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างเด็ดขาด

นำ Laser มา Block การมองเห็นของกล้องวงจรปิดจากจีน
นำ Laser มา Block การมองเห็นของกล้องวงจรปิดจากจีน

ในขณะที่กฏหมายการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ที่เป็นประเด็นหลักของการประท้วงนั้นถูกระงับไว้ชั่วคราว ซึ่งหากมีการผ่านกฏหมายดังกล่าวไปได้ ในอนาคตมันจะทำให้ฮ่องกงมีความสามารถในการถ่ายโอนอาชญากรที่น่าสงสัยไปยังเขตอำนาจศาลใด ๆ ในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงข้อตกลงการส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างเป็นทางการอีกต่อไปนั่นเอง

หากฮ่องกงสามารถส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศจีนก็จะทำให้เส้นแบ่งระหว่างระบบกฎหมายทั้งสองแห่งนั้นถูกฉีกขาดสะบั้นลงอย่างสิ้นเชิงนั่นเอง ทำให้จีนแผ่นดินใหญ่มีอำนาจเต็มเหนือเกาะฮ่องกงได้ทันที

นั่นอาจนำไปสู่การที่เหล่าพลเมืองของฮ่องกงจะถูกควบคุมแบบเข้มงวดเหมือนกับชาวจีนแผ่นดินใหญ่ และตอนนี้มีผู้แสดงความคิดเห็นบางคนได้กล่าวถึงการรุกล้ำของจีนแผ่นดินใหญ่ ผ่านเทคโนโลยีระบบจดจำใบหน้า (Facial Recognition)  เป็นสัญญาณว่าการควบคุมของจีนแผ่นดินใหญ่ในฮ่องกงกำลังเพิ่มขึ้นแล้วนั่นเอง

References : 
https://www.washingtonpost.com/world/2019/08/01/hong-kong-protesters-are-using-lasers-distract-confuse-police-are-pointing-them-right-back/?utm_term=.03ac563d4ea9

จีนกำลังใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเพื่อสังเกตพฤติกรรมของนักเรียน

โรงเรียนมัธยมในประเทศจีนได้จัดทำระบบเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า (Facial Recognition) เพื่อเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในห้องเรียน

เทคโนโลยีการจดจำใบหน้า (Facial Recognition) ที่ทางโรงเรียนใช้ คือการบันทึกการแสดงออกทางสีหน้าของนักเรียนทุกคนขณะที่อยู่ในห้องเรียน ระบบจะทำการสแกนห้องเรียนทุก ๆ 30 วินาทีและจดจำการแสดงออกที่แตกต่างกันเจ็ดอย่าง เช่น ปรกติ, มีความสุข, เศร้า, ผิดหวัง, กลัว, โกรธและประหลาดใจ

ระบบนี้ถูกเรียกว่า “ระบบจัดการพฤติกรรมห้องเรียนอัจฉริยะ” และมันถูกใช้ในโรงเรียนมัธยมหมายเลข 11 ในเมือง หางโจว ด้วยการสแกนการแสดงออกทางใบหน้า ระบบมีความสามารถในการวิเคราะห์พฤติกรรมทั้งหกประเภทของนักเรียน เช่นการลุกขึ้นยืน การอ่าน การเขียน การยกมือ การฟังครู และการเอนตัวลงบนโต๊ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีที่นักเรียนโต้ตอบและพฤติกรรมในชั้นเรียนเมื่อครูสอน จะถูกส่งไปยังครูเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ระบบนี้ยังใช้ในการตรวจสอบการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของนักเรียนได้อีกด้วย

แต่ระบบดังกล่าวก็ได้ท้าทายในเรื่องความเป็นส่วนตัวของนักเรียน อย่างไรก็ตามโรงเรียนกลับไม่ได้คิดอย่างงั้น  Zhang Guanchao รองอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนกล่าวว่าระบบจะรวบรวมและวิเคราะห์ผลลัพธ์ของการวิเคราะห์การจดจำใบหน้าและเก็บไว้ในฐานข้อมูลเฉพาะในโรงเรียน แทนที่จะอัปโหลดไว้ในระบบคลาวด์ และระบบไม่ได้บันทึกภาพเพื่อให้สามารถเข้าถึงได้ทุกคน มีการกำหนดสิทธิ์อย่างชัดเจนในการเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ นักเรียนคนหนึ่งกำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนหางโจว กล่าวว่า

“ ก่อนหน้านี้เมื่อฉันเรียนในสิ่งที่ฉันไม่ชอบมาก ฉันจะขี้เกียจและอาจงีบอยู่บนโต๊ะหรือแอบไปอ่านการ์ตูน แต่ตอนนี้ฉันไม่กล้าที่จะวอกแวกหลังจากติดตั้งกล้องในห้องเรียน มันเปรียบเหมือนดวงตาลึกลับกำลังเฝ้าดูฉันอยู่ตลอดเวลา”

แล้วคุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเทคโนโลยีการจดจำใบหน้านี้ คิดว่ามันมีประโยชน์สำหรับนักเรียนและครูหรือไม่ครับ?

References : 
https://www.techjuice.pk/this-school-scans-classrooms-every-30-seconds-through-facial-recognition-technology/

Wheelie กับเทคโนโลยีคอนโทรลวีลแชร์ด้วย Facial Recognition

Hoobox Robotics ของบราซิลได้ร่วมมือกับ Intel ในการผลิตชุดอะแดปเตอร์ที่ช่วยให้รถเข็นไฟฟ้าเกือบทุกตัวสามารถควบคุมได้ด้วยการแสดงออกทางสีหน้าของผู้ใช้

ชุด Wheelie 7 จะทำการบังคับรถเข็นวีลแชร์ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อตรวจจับการแสดงออกของผู้ใช้และประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของเก้าอี้

การยิ้ม ยกคิ้ว ย่นจมูก หรือย่นริมฝีปากราวกับว่าเป็นการจูบ เป็นหนึ่งใน 10 รูปแบบการแสดงทางสีหน้าที่ได้รับการยอมรับจากต้นแบบของ Wheelie 7

การใช้การจับการเคลื่อนไหวของสีหน้าเพื่อขับเคลื่อนรถเข็น
การใช้การจับการเคลื่อนไหวของสีหน้าเพื่อขับเคลื่อนรถเข็น

ผู้ใช้สามารถปรับได้ว่าจะใช้ 10 รูปแบบการแสดงสีหน้า ได้ในแต่ละทิศทางที่สามารถเป็นไปได้

“ เราเชื่อว่าเราสามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถที่ดีที่สุดของบุคคลในการแก้ไขข้อ จำกัด ไม่เพียง แต่ปรับปรุงความคล่องตัวและความเป็นอิสระเพียงเท่านั้น” Hoobox กล่าว

โดยฮาร์ดแวร์ของชุด Wheelie นั้นใช้เทคโนโลยีของ Intel ซึ่งรวมถึงกล้อง 3D RealSense Depth เพื่อจับภาพการแสดงออกทางสีหน้าและมินิคอมพิวเตอร์ออนบอร์ดสำหรับใข้ในการประมวลผล

รวมกับซอฟต์แวร์จดจำใบหน้าที่กำหนดเองของ Hoobox ซึ่งใช้อัลกอริทึมทางด้าน Machine Learning เพื่อถอดรหัสการแสดงออกได้อย่างแม่นยำ

“ เพื่อพัฒนา Wheelie เราต้องสร้างการวิเคราะห์ใบหน้ารุ่นต่อไปที่สามารถตรวจจับการแสดงออกทางสีหน้าได้แม่นยำมากขึ้นโดยไม่คำนึงถึงสภาพแสง” Hoobox กล่าว

“ซึ่งความแม่นยำที่สูงมากนั้นจะทำให้เราสามารถตรวจจับพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น ความง่วง ระดับความเจ็บปวด 10 ระดับ ความตื่นเต้น หรือความใจเย็น และอาการกระตุก และเราสามารถตรวจจับได้เมื่อบุคคลนั้นจะจามก่อนที่จะจามจริง ๆ “

ขับเคลื่อนรถเข็นให้กับผู้ที่ป่วยเป็นอัมพาต
ขับเคลื่อนรถเข็นให้กับผู้ที่ป่วยเป็นอัมพาต

ต้นแบบ Wheelie 7 กำลังได้รับการทดสอบโดยผู้ใช้ในสหรัฐอเมริการวมถึงผู้ที่เป็นอัมพาตและอัมพาตของเซลล์ประสาทรวมถึงผู้สูงอายุ 

คาดว่าจะวางจำหน่ายจริงได้ภายในปี 2019 โดยจะสามารถใช้งานร่วมกับเก้าอี้ล้อเลื่อนที่ใช้เครื่องยนต์ได้

Hoobox ก่อตั้งขึ้นที่ São Paulo ในปี 2017 โดย Paulo Gurgel Pinheiro ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์จดจำใบหน้าของ Wheelie 7 นั้นมีพื้นฐานมาจากการวิจัยหลังปริญญาเอกของเขา

โดยบริษัท ได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองฮุสตันในปี 2018 เพื่อเข้าร่วมศูนย์บ่มเพาะ JLABS ของ Johnson & Johnson ที่ศูนย์การแพทย์เท็กซัส

โดย ชุด Wheelie 7 นี้จะเป็นหนึ่งในนวัตกรรมจำนวนหนึ่งที่มอบความเป็นอิสระแก่ผู้ใช้รถเข็นที่มีอยู่ทั่วโลกนั่นเอง

References : 
https://www.dezeen.com/2019/01/15/hoobox-wheelie-7-wheelchair-facial-expressions-design/