ประวัติ Elon Musk ตอนพิเศษ : Difficult and Painful

ต้องบอกว่าเป็นปีชงเลยทีเดียวสำหรับ Elon Musk ในปี 2018 ที่ชีวิต ได้เจอกับมรสุมมากมาย ทั้งปัญหาใน Tesla เอง หรือ ปัญหาส่วนตัวที่เค้าค่อนข้างเจอมรสุมมากมาย

ต้องบอกว่า Musk นั้นถือเป็น Tech entrepreneur ที่เป็น idol ของเหล่า Tech Startup ทั้งหลายที่อยากเจริญรอยตามเค้าทั้งนั้น เนื่องจากเค้ามี idea มากมายที่จะเปลี่ยนโลกของเรา ให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่เค้าได้ไป take over Tesla มาเนื่องจากเป็นรถที่ใช้เทคโนโลยีที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ช่วยลดปัญหามลพิษให้กับโลกเรา

หรือ การสร้าง เทคโนโลยีอย่าง Hyperloop ที่ให้คนสามารถเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว ไม่แพ้การเดินทางด้วยเครื่องบิน ผ่านอุโมงค์ใต้ดิน และใช้ระบบไฟฟ้าในการขับเคลื่อนแทนน้ำมันที่ใช้ในเครื่องบิน

รวมถึงโครงการอื่นๆ. อีกมากมาย ที่ Elon Musk น้นได้เข้าไปมีส่วนร่วม ล้วนแล้วแต่เป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกแทบทั้งสิ้น

แล้วถ้าถามว่าทำไมนักลงทุนทั้งหลายถึงได้เชื่อใจ Elon Musk ก็ต้องตอบว่า เค้าเป็นหนึ่งในนักลงทุนกลุ่มแรกของ Silicon Valley  ที่ผ่านวิกฤติ ดอทคอม ในช่วงปี 2000 มาได้และเป็นหนึ่งในกลุ่ม Paypal Mafia ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญต่อโลกเทคโนโลยีของเราในช่วงหลัง ๆ ผลงานเลื่องชื่อ น่าจะเป็นการปลุกปั้น Paypal บริการด้านการเงิน online ที่ต้องบอกว่าเป็น Fintech แรก ๆ ของโลกเราเลยก็ว่าได้ ซึ่งต่อมาได้ขายกิจการให้กับ Ebay

Paypal Mafia กลุ่มผู้มีอิทธิพลใน Silicon Valley

Paypal Mafia กลุ่มผู้มีอิทธิพลใน Silicon Valley

แต่นิสัยอย่างนึงของเหล่า Paypal Mafia กลุ่มนี้ คือ การเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก ๆ ซึ่งจะหาคนที่ทำงานด้วยลำบาก และยึดถือความคิดตัวเองเป็นหลักเสมอ ไม่ค่อยเชื่อถือเพื่อนร่วมงานแต่อย่างใด ดังเห็นในข่าวหลาย ๆ ครั้ง ว่าเหล่าผู้ร่วมงานของ Musk ได้ทยอยลาออกไป เนื่องจากไม่สามารถทำงานร่วมกับ Elon Musk ได้

Tesla พบปัญหาผลิตไม่ได้ตามความต้องการ

Tesla พบปัญหาผลิตไม่ได้ตามความต้องการ

ซึ่งทำให้ปัญหาใหญ่อย่างที่ Tesla ที่ไม่สามารถผลิตรถได้ตามความต้องการได้นั้น Elon Musk ต้องลงมาดูด้วยตัวเอง ซึ่งผิดวิสัย CEO  ส่วนใหญ่ที่มักจะไม่ลงไป Operation เอง แต่ Musk นั้นได้ลงไปคลุกคลีในโรงงานด้วยตัวเอง และจัดการ Operation ทั้งหมดเอง เพื่อให้แก้ปัญหาไปได้ แต่ แม้จะทำให้ปัญหาคลี่คลายไปบ้าง แต่การที่ CEO ต้องลงมาทำเองแบบนี้ ทำให้งานของ CEO จริง ๆ ก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้เช่นกัน ทำให้ปัญหาวนลูปกลับมาที่ Tesla จนเริ่มมีปัญหากับนักลงทุนในที่สุด

และด้วยความกดดันหลาย ๆ ด้าน ทำให้บางครั้ง Elon Musk เองก็ทำอะไรแบบไม่คิดให้รอบด้านซักเท่าไหร่ โดยเฉพาะ ในโลก Social อย่าง Twitter  นั้น Musk มักจะ Tweet อะไรพลาด ๆ อยู่เสมอ เช่น เรื่องการจะนำเอา Tesla ออกจากตลาดหุ้น หรือ การออกมาตอบโต้ ทีมนักดำน้ำที่มาช่วยภารกิจถ้ำหลวงที่ประเทศไทย ก็ล้วน แล้ว แต่เป็นเรื่องที่ไม่น่าพูดออกไปทั้งสิ้น ซึ่งคนระดับ Musk ไม่ควรที่จะลงมาเล่นกับเรื่องอะไรแบบนี้ เป็นการเปลืองตัวเสียเปล่าๆ  ด้วยซ้ำ แต่คิดว่าเนื่องจาก นิสัยส่วนตัวดังที่กล่าว ทำให้เรื่องใน Social มักจะเป็นปัญหากับ Elon Musk เสมอ

Elon Musk สูบกัญชาในระหว่างการสัมภาษณ์ในรายการก็เป็นอีกสิ่งนึง ที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย

Elon Musk สูบกัญชาในระหว่างการสัมภาษณ์ในรายการก็เป็นอีกสิ่งนึง ที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย

และล่าสุดที่ได้ไปออกรายการทีวีในรัฐแคลิฟอเนีย  แม้จะเป็นรัฐที่การสูบกัญชานั้นถูกกฏหมาย แต่ภาพที่ Elon Musk สูบกัญชาในระหว่างการสัมภาษณ์ในรายการก็เป็นอีกสิ่งนึง ที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาเสียหายยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งในขณะนี้ปัญหาต่างๆ  มีมากมายอยู่แล้ว แต่ Musk นั้นก็ทำให้สิ่งต่าง ๆ ดูแย่ลงไปอีก ภาพลักษณ์ของเค้าเสียหายยิ่งขึ้นไปหลังจากที่ภาพการสูบกัญชาถูกปล่อยว่อนในโลก Social

Elon Musk จะผ่านวิกฤตนี้ไปได้อย่างไร

ต้องบอกว่าคนระดับอัจฉริยะ อย่าง Elon Musk นั้นผ่านประสบการณ์ มามากมาย ถึงจะได้รับการยอมรับถึงจุดนี้ได้  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2018 นั้น ต้องถือได้ว่าเป็นปีที่แย่ที่สุดปีนึงของ Elon Musk เลยก็ว่าได้

โดยที่ธุรกิจใหม่ๆ  นั้นเป็นธุรกิจแห่งอนาคตทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Tesla , SpaceX หรือ SolarCity เองก็ตาม มันยังสามารถที่จะตอบโจทย์ในด้านธุรกิจได้รวดเร็วเหมือนธุรกิจอินเตอร์เน็ตอื่น ๆ   และการที่เค้ามี Idea ที่เยอะเกินไปบางครั้ง ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดีนัก เพราะดูเหมือนจะเป็นการทำแบบไม่ Focus สิ่งใด สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนเท่าที่ควร ต้องมานั่งไล่แก้ปัญหา SpaceX ที ปัญหา Tesla ที ทำให้วิสัยทัศน์ใหญ่ของเขานั้นอาจจะขับเคลื่อนได้ช้าลงไป

ที่สำคัญการที่ Elon Musk เป็นคนที่ทำงานหนักมากและชอบทำงานคนเดียว และ ไม่ค่อยรับฟังความคิดเห็นผู้อื่นนั้นสักเท่าไหร่นั้น ยิ่งทำให้ปัญหาเพิ่มมากขึ้นไปอีก การบริหารหลายๆ  ธุรกิจ โดยแต่ละธุรกิจเป็นธุรกิจที่ใหญ่มาก ๆ และมีเรื่องให้แก้ปัญหาเยอะไปหมด ในคราวเดียวกัน แบบที่ Elon Musk ทำในตอนนี้นั้น ไม่น่าจะใช่สิ่งที่ดีในระยะยาวอย่างแน่นอน

ทางที่ดี Musk ควรที่จะเริ่มเชื่อใจผู้ร่วมงานบ้าง และหาคนที่เป็นมืออาชีพ จริง ๆ มาช่วยบริหาร หลาย ๆ ธุรกิจของตัวเองบ้าง แบบที่หลาย ๆ คนทำ เช่น Mark Zuckerberg ก็ปล่อยให้ sheryl sandberg เข้ามาช่วยเหลือในสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด  แล้วทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด จะเห็นได้ถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Facebook ในช่วงที่ผ่านมา

ซึ่งถ้า Mark ยังทำอยู่คนเดียวเหมือนช่วงแรก ๆ Facebook คงไม่สามารถเติบโตได้รวดเร็วดังที่เห็นในวันนี้อย่างแน่นอน ซึ่ง Elon Musk ก็น่าจะมีปัญหาคล้าย ๆ กัน คือต้องยอมลดฐิถิ  ตัวเองลงบ้าง แล้วปล่อยให้มืออาชีพของแต่ละส่วนมาช่วยทำงานด้าน Operation มากขึ้น เพื่อให้งานรุดหน้าไปได้รวดเร็วและมั่นคงมากยิ่งขึ้น แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา ทุกคนก็ต่างยอมรับในความทุ่มเท และเสียสละ และการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้อย่างที่เขาเคยทำมาสำเร็จมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งมัสก์ ก็คงสามารถผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้เหมือนเคย เพราะชายผู้นี้เป็นนักสู้กับปัญหาตัวยง ไม่ว่าปัญหาจะเล็กหรือใหญ่ขนาดไหนเขาก็สามารถที่จะผ่านมันไปได้ทุกครั้งเหมือนเคย

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol

Facebook Live API นวัตกรรมเปลี่ยนโลก

จับตามองการก้าวเดินของ facebook มาซักพักหนึ่งแล้วต้องบอกว่าการออก facebook live api นั้นถือว่าเป็นก้าวย่างที่น่ากลัวมาก ๆ ของ facebook เลยก็ว่าได้ในการที่จะล้ม google

หากเรามองเรื่องนวัตกรรมนั้น facebook แทบจะ focus อยู่แค่ผลิตภัณฑ์ตัวเดียวทำให้สามารถรีดเอาประสิทธิภาพในงานด้าน R&D ได้มากที่สุด เพราะ focus หลักอยู่ที่ผลิตภัณฑ์เพียงตัวเดียวเท่านั้น ก็คือ social network ซึ่งแตกต่างจาก google ในช่วงหลังที่เริ่มแตกกระจายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่นอกเหนืองานที่ตัวเองถนัดอย่างการ search และ web product ทำให้พักหลัง google ออกผลิตภัณฑ์ออกมาไม่ค่อยจะปังอย่างที่ควรจะเป็น ถึงแม้ google จะมีธุรกิจต่างๆ  มากมายในมือ แต่ถ้าดูจากงบการเงินจริง ๆ รายได้หลักส่วนใหญ่ก็มาจาก search ล้วน ๆ ซึ่ง facebook ก็ค่อย ๆ กัดกินส่วนแบ่งการตลาดโฆษณา online ในส่วนนี้ไปเรื่่อย ๆ

ถ้าเราพูดถึงนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกที่ชัดเจนในรอบล่าสุดนั้นก็ต้องยกให้ iphone ที่ได้ทำการเปิดตัวในปี 2007 ทำให้มนุษย์ก้าวเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของการเชื่อมต่อข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ผ่านมือถือ เปลี่ยนแนวความคิดการใช้งานมือถือจากดั้งเดิมที่ใช้เน้นไปในเรื่องของ voice ก้าวผ่านมาเป็นยุคของ data ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และได้ทำลายยักษ์ใหญ่ที่ปรับตัวไม่ทันอย่าง nokia ลงได้อย่างราบคาบ

การเกิดขึ้นของ facebook live นั้นคือการทดลองตลาด ว่าการที่ทุกคนสามารถ live ได้จากทุกที่และ share ให้เพื่อนได้รับรู้นั้นมี impact ต่อมนุษย์เรามากเพียงใด ซึ่งการเปิดตัวก็เป็นไปได้อย่างสวยงาม มีผลตอบรับที่ดีมาก ๆ และ facebook ก็จะเริ่มย่างก้าวเข้าสู่หลักไมล์สำคัญของบริษัท คือการเปิด facebook live api ให้สามารถ live ได้จากทุก device และทุกที่ในโลกใบนี้ ซึ่งก็จะส่ง impact อย่างมหาศาลกับมนุษย์เราเลยก็ว่าได้ การรับสื่อในยุคหน้านั้นอาจจะเปลี่ยนไปในทันที จากสื่อเก่า ๆ อย่าง ทีวี หรือ วิทยุ อาจจะตายหายไปจากระบบ ซึ่งในปัจจุบันเด็กยุคใหม่ก็แทบจะไม่เสพสื่อทางทีวีกันแล้วทุกคนล้วนแล้วแต่เข้าสู่ระบบ internet กันทั้งหมดซึ่งมี content จำนวนมหาศาลให้เราสามารถเลือกเสพได้อย่างไม่จำกัด ไม่ต้องถูกยัดเยียดในการเสพเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ facebook ได้ทำลายธุรกิจ สื่อหนังสือพิมพ์ หรือ นิตยสาร ที่ต่างปิดตัวกันถ้วนหน้าหากไม่มีการปรับตัวเข้าสู่ยุค digital และขณะนี้ facebook กำลังเข้าสู่ตลาดที่ใหญ่กว่าเดิมมาก ๆ คือตลาด live TV ซึ่งถือเป็นก้าวใหญ่ที่สำคัญก้าวหนึ่งเลยก็ว่าได้ที่จะสามารถล้ม google ได้ในอนาคตอันใกล้นี้ facebook ไม่ได้ไปแย่งตลาดโฆษณา online ของ google เท่านั้น แต่กำลังเข้าไปกินเค้กที่ใหญ่กว่ามาก คือตลาดโฆษณาทางทีวี ซึ่งมูลค่าของงบโฆษณากว่า 40% ของงบโฆษณาทั้งหมดของทุกสื่อ หรือ มากกว่าเกือบสองเท่าของงบโฆษณาทาง online ที่ google เป็นเจ้าตลาดอยู่ในขณะนี้

มอง google ในตอนนี้นั้น ก็ชักจะเริ่มคล้าย microsoft ในอดีตที่พอองค์กรเริ่มใหญ่เทอทะ จะขยับตัวก็เริ่มจะลำบาก ไม่เหมือน facebook ที่เหมือนหนุ่มกลัดมันที่พร้อมจะเขย่าบัลลังก์ google อยู่ตลอดเวลา ที่แน่ๆ หลังจากนี้เป็นต้นไป เราจะพบความเปลี่ยนแปลงในการเสพสื่อของมนุษย์เราที่จะเปลี่ยนไปกว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมากโดยเฉพาะสื่อหลักอย่าง TV เดิมทีนั้นเราเปลี่ยนแปลงแค่การเสพสื่อผ่านการอ่านข่าวหรือข้อมูลต่าง ๆ  แต่ต่อจากนี้เป็นต้นไป การเสพสื่อที่เป็น live นั้นจะเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนเมื่อมีการเกิดขึ้นของ facebook live api ทุก content ที่เป็น live จะมุ่งเข้าสู่ facebook เพราะอะไร ?  เดิมนั้นการวัดเรทติ้งต้องอาศัยการวัดโดยประมาณจากองค์กรหลัก ๆ ตัวอย่างเช่น neilsen แต่ต่อไปนั้นกลุ่ม target ของการถ่ายทอดสดจะชัดเจนขึ้น เราสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจนผ่าน facebook และรู้ได้แบบ realtime ว่ามีผู้ชมจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งจะส่งผลต่องบโฆษณาทางทีวีเดิม ก็จะเทเข้ามาสู่ facebook แทนเพราะสามารถวัดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเที่ยงตรงที่สุด Google นั้นอาจจะมี Youtube Live มาก่อนหน้า แต่ facebook มีความได้เปรียบอย่างมากในเรื่องของฐานผู้ใช้ใน social network ซึ่งแทบจะเป็นสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานต่อการดำรงชีวิตมนุษย์โดยส่วนใหญ๋ไปเรียบร้อยแล้วในขณะนี้ ก้าวย่างก้าวนี้ของ facebook ถือว่าสำคัญต่ออนาคตของ facebook เป็นอย่างมาก และเราอาจจะได้เห็น facebook ล้มยักษ์ใหญ่อย่าง google ได้ในเร็ว ๆ วันนี้ก็อาจเป็นได้

Img Ref : fbookmedia.files.wordpress.com