บริษัท Big Tech สามารถถูก Disrupted ได้หรือไม่?

กว่าทศวรรษที่ผ่านมาบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Meta (Facebook), Alphabet (Google), Amazon, Apple และ Microsoft ได้เข้ามาครอบงำในส่วนต่างๆ ของโลก ควบคุมวิถีชีวิตมนุษย์เราในแง่มุมต่าง ๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนหัวถึงหมอนในทุก ๆ วัน

Meta ซึ่งเป็นเจ้าของ Instagram และ WhatsApp ด้วย มีผู้ใช้ 3.5 พันล้านรายในเครือข่าย ค่าโฆษณาออนไลน์ทั่วโลกมากกว่า 50% มาจาก Meta หรือ Alphabet ในธุรกิจการค้นหา Google มีส่วนแบ่งมากกว่า 60% ในสหรัฐอเมริกาและมากกว่า 90% ในยุโรป บราซิล และอินเดีย 

Apple มีรายได้ต่อปีมากกว่า Starbucks หรือพี่ใหญ่อย่าง Microsoft ที่กินส่วนแบ่งของบริการด้านเทคโนโลยีในองค์กรกว่า 84% และ Amazon ที่มีส่วนแบ่งมากกว่า 40% ของการใช้จ่ายออนไลน์ในสหรัฐอเมริกา และควบคุมการใช้งานอินเทอร์เน็ตเกือบหนึ่งในสามผ่าน Amazon Web Services 

ซึ่งโดยรวมแล้ว Big Five ด้านเทคโนโลยี มีรายได้ประมาณ 197 พันล้านดอลลาร์จากรายรับมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2020 ในขณะที่มูลค่าตามราคาตลาดเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณเมื่อมีการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19

บริษัทเหล่านี้ประสบความสำเร็จ ดูดซึมข้อมูลผู้บริโภคและสร้างกระแสเงินสดจำนวนมาก  พวกเขาไม่เพียงแต่มีความล้ำหน้าด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกเขายังมีพลังอำนาจในการขับเคลื่อนโลกเราทั้งในด้าน เศรษฐกิจ การเมือง และสังคมอีกด้วย 

ตามคำกล่าวของ Jonathan Knee วาณิชธนกิจผู้มากประสบการณ์ที่เชี่ยวชาญด้านสื่อและเทคโนโลยี ศาสตราจารย์จาก Columbia Business School และผู้เขียนหนังสือชื่อดัง The Platform Delusion: Who Wins and Who Loses in the Age of Tech Titans

แม้แต่มหาอำนาจดิจิทัลก็ยังต้องเผชิญกับภัยคุกคาม ไล่มาตั้งแต่สตาร์ทอัพรวมถึงคู่แข่งที่มีความช่ำชอง 

Alison Beard บรรณาธิการบริหารของ HBR (Harvard Business Review) ได้ทำการวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่และกลยุทธ์ที่พวกเขาอาจใช้เพื่อป้องกันตนเองจากการโดนรุกราน

ทุกวันนี้ ผู้คนจำนวนมากในอุตสาหกรรมนี้ รวมทั้งนักวิชาการและนักลงทุน ดูเหมือนจะคิดว่าบริษัทแพลตฟอร์มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ได้รับประโยชน์อย่างสม่ำเสมอจากพลังของ Network Effect ที่แข็งแกร่ง ซึ่งขับเคลื่อนพวกเขาไปสู่การครอบงำโลก 

แต่นั่นเป็นเรื่องเท็จอย่างเห็นได้ชัด เริ่มจากแนวคิดเรื่องขนาดกันก่อน มุมมองดั้งเดิมคือการช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถสเกลบริษัทได้อย่างรวดเร็วผ่านอินเทอร์เน็ตซึ่งผลมาจากพลังของ Network Effect

บริษัทเหล่านี้แทบไม่มีต้นทุนคงที่ที่มีขนาดใหญ่เหมือนธุรกิจดั้งเดิม ธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วย Network Effect จะพบการแข่งขันจากแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่คิดจะขึ้นมาท้าทายพวกเขาน้อยมาก ๆ  

แต่ผลกระทบจาก Network ไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนหลักของความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่ 

ที่ Facebook แม้ว่ายิ่งมีผู้ใช้มากเท่าไร ประสบการณ์ในการเชื่อมต่อและแบ่งปันก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น สำหรับ Microsoft ระบบปฏิบัติการเป็นธุรกิจเกี่ยวกับ Network แบบยุคเก่า แต่ความสำเร็จดั้งเดิมของ Apple, Google, Amazon และ Netflix ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลกระทบของ Network เป็นหลัก 

หรือฝั่ง Apple เป็นธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค Google ได้รับประโยชน์จาต้นทุนคงที่ซึ่งเป็นต้นทุนที่ต่ำมาก ๆ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องทรัพยากรมนุษย์  ธุรกิจค้าปลีกดั้งเดิมของ Amazon ซึ่งยังคงมีรายได้ส่วนใหญ่ ไม่มีผลกระทบด้าน Network และ Netflix ก็เช่นกัน 

บริษัทเหล่านี้ทั้งหมดจะอยู่หรือตายด้วยหลักการเดียวกันของความได้เปรียบทางการแข่งขันที่เราได้ศึกษามาอย่างยาวนาน ซึ่งแต่ละธุรกิจก็มีข้อได้เปรียบด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน

Google เจ้าพ่อ Search Engine

Google อยู่ในตลาดที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั้งหมด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการค้นหาเป็นตลาดใหม่ทั้งหมด แม้ว่า Google จะไม่ใช่เสิร์ชเอ็นจิ้นเจ้าแรก แต่เป็นเครื่องมือค้นหาแรกและรายเดียวที่ประสบความสำเร็จในวงกว้าง 

นอกจากนี้ยังมีกำแพงการแข่งขันที่ดีที่สุดในการเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน  แต่ธุรกิจอื่น ๆ ของพวกเขาก็ล้มเหลวตั้งแต่สมาร์ทโฟน Nexus ไปจนถึง Google Glass  

Google Glass กับอีกหนึ่งความล้มเหลวของ Google (CR:INC.com)
Google Glass กับอีกหนึ่งความล้มเหลวของ Google (CR:INC.com)

ส่วนความพยายามในการท้าทายยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายอื่นโดยตรงก็พังทลายลงหรือมีความล่าช้าอย่างมาก Google+ เป็นความท้าทายสั้น ๆ สำหรับ Facebook และ Google Cloud ยังคงตามหลัง Azure ของ Microsoft รวมถึง AWS ของ Amazon อยู่ห่างไกล

สรุปสั้นง่าย ๆ ก็คือเมื่อ Google ครองส่วนหนึ่งของตลาดอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด พวกเขาก็จะมีโอกาสน้อยที่จะสร้างวัฒนธรรมที่ได้รับการปรับให้เหมาะสมเพื่อหาวิธีใหม่ๆ ในการเติบโตภายนอกในท้ายที่สุด

จาก Facebook สู่ Meta?

Facebook ได้ประโยชน์จากการเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กที่ใหญ่ที่สุดในโลกและส่วนใหญ่ลงทุนอย่างชาญฉลาดและทำการเข้าซื้อกิจการได้ดี เช่น การเข้าซื้อ Instagram มาแต่เนิ่นๆ และรักษาให้เป็นแพลตฟอร์มอิสระ ในขณะที่ยังขยายคลังข้อมูลผู้ใช้และเสริมความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

แต่อีเมลภายในที่เปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้แสดงให้เห็นว่าบริษัทยังคงตระหนักดีถึงภัยคุกคามร้ายแรงจากการแข่งขันที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ “กลไกทางสังคม” เรายังไม่เห็น ROI ใด ๆ จากการซื้อแอปส่งข้อความ WhatsApp มูลค่า 19 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเกือบหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมายังคงไม่ทำกำไรและไม่มีรูปแบบรายได้ที่แท้จริง

รวมถึงเงินอีกกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ที่ใช้ไปกับบริษัทด้าน VR อย่าง Oculus และบริษัทกำลังถูกโจมตีมากขึ้นสำหรับบทบาทในการเผยแพร่ข้อมูลเท็จและความเกลียดชังทางออนไลน์ ซึ่งอาจทำให้สูญเสียความน่าเชื่อถือในหมู่ผู้ใช้ในอนาคต ซึ่งผลประกอบการไตรมาสล่าสุดมั่นก็บ่งชี้ได้อย่างชัดเจน

Amazon ที่กำไรไม่ได้มาจาก Ecommerce

Amazon เข้ามา disrupt ธุรกิจอย่างยักษ์ใหญ่ในอดีตอย่าง Walmart  แต่ Walmart ยังคงเป็นคู่แข่งสำคัญในทุกวันนี้ และ Amazon ไม่เพียงแต่ต่อสู้กับผู้บุกเบิกที่มีฐานการผลิตจริงและยอดขายออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นเพียงเท่านั้น

แต่ Walmart ยังเน้นที่การเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ๆ เช่น Chewy และ รูปแบบ direct-to-customer การค้าปลีกยังคงเป็นธุรกิจที่ยากและมีการแข่งขันสูง

Amazon ยังได้เข้าซื้อกิจการหลายอย่างที่น่าสนใจ ตัวอย่างเช่น Whole Foods เมื่อร้านขายของชำเป็นหมวดหมู่ที่มีความท้าทายเชิงโครงสร้าง และ MGM ในราคาที่สูงเว่อร์ แต่ก็เพื่อให้ Prime Video เป็นคู่แข่งที่แท้จริงกับ Netflix 

แต่ก็ต้องบอกว่า Amazon มีวัฒนธรรมที่มีความกระหายอยู่ตลอดเวลาและไม่เหมือนกับยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายอื่นๆ ที่พวกเขาสามารถสร้างธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก และประสบความสำเร็จอย่างสูง เช่น Amazon Web Services ซึ่งมันตรงกันข้ามกับอีคอมเมิร์ซ เพราะ AWS สร้างผลกำไรส่วนใหญ่ของบริษัทโดยรวมมากกว่าธุรกิจหลักอย่างอีคอมเมิร์ซเสียอีก

ทำไมคุณถึงดู Netflix ด้วย?

Netflix เป็นผู้เล่นรายย่อยที่มีความสัมพันธ์กับ FAANG ที่เหลือ [Facebook, Amazon, Apple, Netflix และ Google] แต่มักถูกกล่าวถึงควบคู่ไปกับบริษัทอื่น ๆ เพราะเป็นอันดับหนึ่งในด้านสื่อ และบริการสตรีมมิ่ง

Netflix ยังมีวัฒนธรรมที่เข้มข้นของความเป็นเลิศในการดำเนินงาน แต่รูปแบบธุรกิจของบริษัทนั้นไม่มีความแข็งแกร่งเท่ากับธุรกิจแบบเดิม ๆ ของพวกเขา Netflix เป็นเพียงผู้ที่มาก่อนเริ่มก่อนเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกเขากำลังเจอศึกใหญ่จากผู้เล่นรายใหญ่โดยเฉพาะ Disney

Disney + ที่เตรียมเข้ามาเขย่าบัลลังก์ของ Netflix (CR:Dignited.com)
Disney + ที่เตรียมเข้ามาเขย่าบัลลังก์ของ Netflix (CR:Dignited.com)

ครั้งหนึ่ง ธุรกิจเหล่านั้นมีอัตรากำไรสูงอย่างไม่น่าเชื่อเพราะพวกเขาได้รับประโยชน์จากสัญญาระยะยาวและข้อจำกัดด้านกำลังในการผลิต content ในทางตรงกันข้าม สตรีมมิ่งที่ส่งตรงถึงผู้บริโภคอย่าง Netflix ต้องเผชิญกับความปั่นป่วนของลูกค้าอย่างไม่หยุดยั้งและการแข่งขันอย่างต่อเนื่องจากผู้เข้ามาใหม่ ซึ่งรวมถึง Apple และ Amazon และผู้เล่นยักษ์ใหญ่ในอดีตอย่าง HBO, Disney, NBC (พร้อม Peacock) และ CBS (พร้อม Paramount+)

แล้วพี่ใหญ่ของ Big Five อย่าง Apple และ Microsoft ล่ะ? 

ธุรกิจอย่าง สมาร์ทโฟน แม้จะไม่ใช่ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุด แต่ก็เป็นธุรกิจที่ทำเงินมากที่สุด ซึ่งมีผลกำไรมากกว่าอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนที่เหลือรวมกัน และมีมูลค่าตลาดสูงสุดมากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ระบบนิเวศของ App Store และ Apple ได้สร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นมากมายมหาศาล

ความเชี่ยวชาญของ Apple อยู่ที่การพัฒนาอุปกรณ์ที่ล้ำสมัยและปฏิวัติวงการ แต่เหล่าผู้คนที่สร้างอุปกรณ์ที่กำหนดชะตาของบริษัทนั้นสุดท้ายก็ต้องจากไป ความจริงที่ว่าบริษัทกำลังพยายามเข้าสู่อุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพและยานยนต์ แต่ก็ยังเป็นเรื่องใหม่ที่พวกเขายังไม่มีประสบการณ์มากนัก

มันแสดงให้เห็นว่าบริษัทอย่าง Apple ตระหนักดีว่าจำเป็นต้องวางแผนสำหรับอนาคต แม้ว่าจะมีการดำเนินการที่ยอดเยี่ยม แต่หากไม่มีอุปกรณ์ปฏิวัติรุ่นต่อไป การเติบโตด้านรายได้อย่างต่อเนื่องของ Apple ก็ไม่สามารถรับประกันได้อีกต่อไป

Microsoft ไม่เหมือนกับยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอื่นๆ ที่มุ่งเน้นที่ B2B มากกว่าตลาดผู้บริโภค หลังจากสูญเสียและยอมแพ้ในตลาดระบบปฏิบัติการมือถือให้กับ Google และ Apple

บริษัทได้มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงข้อเสนอซอฟต์แวร์หลักของบริษัทและขยายขอบเขตภายในฐานลูกค้าองค์กร ในขณะที่เข้าสู่ธุรกิจคลาวด์อย่างจริงจัง ซึ่ง Microsoft ได้สร้างความน่าเชื่อถือโดยใช้ข้อมูลจากแอปพลิเคชันบนคลาวด์เพื่อปรับปรุงบริการของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง 

แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคู่แข่ง พวกเขาต้องเผชิญกับคู่แข่งรายใหม่ที่ทั้งใหญ่และมีความคล่องตัว เช่น Salesforce ซึ่งการเข้าซื้อกิจการของ Slack ได้คุกคามความทะเยอทะยานของ Microsoft ในบริการคลาวด์ขององค์กรอย่างเห็นได้ชัด

คำแนะนำสำหรับผู้บริหารหรือผู้ประกอบการที่คิดจะโค่นล้มบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี

แน่นอนว่าการเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ และมุ่งเน้นไปที่ประเด็นปัญหาของลูกค้ากลุ่มเล็ก ๆ ที่สามารถระบุตัวตนได้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถ scale และสร้าง royalty ให้กับแบรนด์เกิดใหม่ได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน

เส้นทางการเติบโตของธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มักจะเริ่มจากกลุ่มคนวงในกลุ่มเล็ก ๆ และสร้างให้มูลค่าต่อให้กับลูกค้ากลุ่มถัดไป เมื่อพบกับตลาดเป้าหมาย ก็มีโอกาสมากขึ้นที่จะไม่ดึงดูดคู่แข่งเข้ามาในสนามเดียวกัน และเรื่องของข้อมูลที่รวบรวมมานั้นมีค่ามาก ๆ สำหรับธุรกิจเกิดใหม่เช่นเดียวกัน  

ลูกค้าเหล่านี้มักเป็นลูกค้าที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ไม่สามารถให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น 1stDibs ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายของเก่าที่หรูหรา งานศิลปะ และเฟอร์นิเจอร์ของนักออกแบบ หรือ Etsy ที่ซึ่งผู้คนขายงานฝีมือทำมือ 

ทั้ง eBay และ Amazon พยายามโจมตีตลาดเหล่านั้น แต่ทั้งผู้ค้าและผู้บริโภคถูกใจกับแพลตฟอร์มเฉพาะกลุ่มอย่าง 1stDibs หรือ Etsy มากกว่า ซึ่งบริษัทที่อายุน้อยกว่าเหล่านี้อาจมีคู่แข่งที่จริงจังมากขึ้นในอนาคต 

TikTok เป็นอีกตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของสตาร์ทอัพที่ค้นพบผลิตภัณฑ์เฉพาะ (วิดีโอสั้น) และกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (Gen Z และตอนนี้คือ Gen Alpha) ที่ทำให้พวกเขาสามารถแข่งขันกับแพลตฟอร์ม Facebook (หรือ Meta), Twitter และ YouTube ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

และถ้า Microsoft ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งเท่า Teams ก่อนหน้านี้ ก็คงไม่มีใครกล้าลองใช้งานอยู่ดี แต่วันนี้พวกเขากลับต้องต่อสู้กับ Slack ในธุรกิจเครื่องมือการทำงานร่วมกันในทีมและ Zoom ในการประชุมทางวิดีโอแบบออนไลน์ นั่นเองครับผม

References : https://hbr.org/2022/01/can-big-tech-be-disrupted
https://www.ft.com/content/3e26d31f-9cff-4b3b-a971-02e16996c190
https://www.weforum.org/agenda/2021/04/how-tech-companies-can-survive-digital-disruption/
https://www.wired.com/story/dont-break-up-big-tech/

ศึกษากลยุทธ์ของ Zomato บริษัทจัดส่งอาหารที่ตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนนิสัยการกินของประชากร 1.36 พันล้านคนในอินเดีย

Zomato บริษัทจัดส่งอาหารตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนนิสัยการกินของประชากร 1.36 พันล้านคนในอินเดีย ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาได้ประกาศทำ IPO และได้ทำให้บริษัทมีมูลค่าถึง 12 พันล้านดอลลาร์ 

ความน่าสนใจของ Zomato ก็คือแม้จะดำเนินธุรกิจอาหารแบบดั้งเดิม แต่ Zomato เป็นตัวอย่างที่ดีของบริษัทเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่นเดียวกับ DoorDash และ SkipTheDishes และการเสนอขายหุ้น IPO ที่ประสบความสำเร็จสามารถสอนเราว่าบริษัทเทคโนโลยีสมัยใหม่คืออะไร และอะไรที่ไม่ใช่ 

โดยแอปตัวนี้ดำเนินธุรกิจส่งอาหารพร้อมรับประทานไปยังบ้านโดยที่ตัวของพวกเขาเองแทบไม่ต้องมีหน้าร้าน โกดัง รถบรรทุก หรือรถส่งของแต่อย่างใด 

ซึ่งโมเดลธุรกิจของบริษัทคล้ายกับบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น Uber, Amazon และ Airbnb แต่แตกต่างไปจาก Facebook และ LinkedIn และนี่คือกลยุทธ์ทางธุรกิจที่น่าสนใจของ Zomato

การเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว

Zomato ตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนนิสัยการกินของประชากร 1.36 พันล้านคนในอินเดีย โดยที่ 90% ของประชากรอินเดียไม่รับประทานอาหารที่ร้านอาหาร เปรียบเทียบกับประเทศจีนที่ 58% ของผู้คนรับประทานอาหารที่ร้านอาหารเป็นประจำ 

ก่อนหน้านี้ มีอุปสรรคสองประการในการรับประทานอาหารนอกบ้านในอินเดีย ประการแรกคือการขนส่ง มีเพียง 2% ของครัวเรือนชาวอินเดียที่มีรถยนต์ (เทียบกับเกือบ 98% ของครัวเรือนในสหรัฐฯ) 

ประการที่สองคือข้อห้ามทางวัฒนธรรม: บางคนแทบไม่เคยกินอาหารที่ปรุงในครัวของคนอื่นเลยทั้งชีวิต

Zomato แก้ไขอุปสรรคทั้งสองนี้ ช่วยให้กลุ่มใหม่ของประชากรเข้าถึงอาหารในร้านอาหารได้ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว นอกจากนี้ยังช่วยลดอุปสรรคทางวัฒนธรรมด้วยการสนับสนุนให้ผู้ใช้แสดงความคิดเห็น

ผู้คนจะไม่ค่อยเต็มใจลองทานอาหารในร้านอาหาร พวกเขาจะเปิดใจเมื่อเห็นสมาชิกในครอบครัวของตนเองหรือคนจากกลุ่มวรรณะและกลุ่มเพื่อนฝูงของพวกเขาแชร์ข้อมูล และให้คำแนะนำเกี่ยวกับอาหารและร้านอาหารมากกว่า

แม้ว่าหลายคนอาจรู้สึกคุ้นเคยกับแอปส่งอาหาร แต่ Zomato อาจเปลี่ยนนิสัยการกินของผู้คนจำนวนมากในประเทศอินเดีย

พวกเขามีความทะเยอทะยานไม่น้อยกว่าที่ Uber หรือ Airbnb ตั้งใจจะทำมัน 

Uber ทำให้คนนับล้านเรียกรถจากคนแปลกหน้า และตอนนี้มีการใช้บริการเรียกรถผ่าน Uber มากกว่าบริษัทแท็กซี่ใดๆ ในโลก 

หรือบริษัทอย่าง Airbnb อำนวยความสะดวกให้เข้าพักบ้านคนแปลกหน้าและเสนอห้องพักมากกว่าเครือโรงแรมใดๆ ในโลก 

Uber และ Airbnb ที่ประสบความสำเร็จในโมเดลแบบนี้มาก่อน (CR:Digital Branding Institute)
Uber และ Airbnb ที่ประสบความสำเร็จในโมเดลแบบนี้มาก่อน (CR:Digital Branding Institute)

ต้องขอบคุณบริษัทเหล่านี้ ที่ทำให้ผู้คนไม่จำเป็นต้องมีห้องครัว รถ และบ้านเป็นของตัวเองอีกต่อไป และสามารถใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายได้ โดยที่ไม่ต้องเสี่ยงกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่ด้อยค่าเหล่านี้

ต้นทุนที่ต่ำและเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่น

Google Search, Airbnb, Yelp, Uber, LinkedIn และ Facebook มีคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่คล้ายคลึงกัน: พวกเขามีโมเดลเสมือนจริงที่ปรับขนาดได้ซึ่งสามารถขยายได้แบบทวีคูณด้วยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากบริษัทเช่น Ford หรือ Target ที่ต้องการที่ดิน โรงงาน ศูนย์กระจายสินค้า หรือคลังสินค้าเพื่อขยายกิจการ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง บริษัทด้านเทคโนโลยีสามารถขยายรายได้และงบกำไรขาดทุน โดยไม่ต้องเพิ่มในงบดุล Zomato บริษัทที่มีมูลค่าหลายพันล้านเหรียญ โดยไม่ได้เป็นเจ้าของร้านอาหารใด ๆ เลยด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม Zomato แตกต่างจากยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอื่นๆ ในแง่สำคัญประการหนึ่ง: บริษัทต่างๆ เช่น Google และ Facebook สามารถให้บริการในต่างประเทศได้โดยไม่ต้องไปเปิด office ในสถานที่นั้น ๆ

ในทางตรงกันข้าม Zomato จะเข้าสู่เมืองใหม่หลังจากสร้างความสัมพันธ์กับร้านอาหารท้องถิ่น ประเมินข้อเสนอ และทำงานร่วมกับพวกเขาเพื่อปรับปรุงเมนูและราคา ให้เหมาะสมก่อน

นอกจากนี้ยังมีการประเมิน และแต่งตั้งตัวแทนจัดส่งในพื้นที่ ดังนั้น Zomato จึงลงทุนจำนวนมากในความสัมพันธ์ในท้องถิ่นและความรู้ในท้องถิ่น ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่คู่แข่งไม่สามารถเลียนแบบได้ง่ายๆ

ความใกล้ชิดกับลูกค้า

บริษัทเทคโนโลยีสมัยใหม่รวบรวม จัดเก็บ จัดระเบียบ และวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้เป็นเวลาหลายปี ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เปรียบเสมือนทองคำ

เนื่องจากช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถใช้โฆษณาที่ตรงเป้าหมายและปรับแต่งประสบการณ์ของลูกค้าได้ตามแต่ละบุคคล 

ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างลูกค้าที่เดินเข้าไปในซูเปอร์เซ็นเตอร์ของ Walmart กับร้านค้าออนไลน์ของ Amazon คือ Amazon จะจัดระเบียบร้านค้าใหม่ทั้งหมดทันที (เลย์เอาต์ จอแสดงผล การนำเสนอผลิตภัณฑ์ ฯลฯ) ในลักษณะที่ปรับแต่งให้เหมาะกับลูกค้ารายนั้นได้แบบทันที

ในทำนองเดียวกัน Zomato หรือ Uber Eats สามารถติดตามรสนิยมของลูกค้า ความต้องการส่วนลด และความชอบในแง่ของอาหาร เวลาจัดส่ง และราคา และรวมข้อมูลเชิงลึกเหล่านั้นเข้ากับเทรนด์อาหารท้องถิ่น ฤดูกาล วันหยุดและเทศกาลต่างๆ ได้

ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถเสนอเมนูที่กำหนดเองได้ในทันที ความใกล้ชิดกับลูกค้าในระดับนี้จะเพิ่มค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนลูกค้า ทำให้เกิดอุปสรรคสำคัญในการเข้ามาของผู้เล่นใหม่

สำหรับบริษัทเทคโนโลยีสมัยใหม่ส่วนใหญ่ ยิ่งเครือข่ายใหญ่ บริษัทก็ยิ่งมีค่ามากขึ้นผ่าน เอฟเฟกต์เครือข่าย (Network Effect) ซึ่งมีสามประเภท: เอฟเฟกต์เครือข่ายโดยตรง, เอฟเฟกต์เครือข่ายโดยอ้อม และเอฟเฟกต์เครือข่ายข้อมูล 

Network Effect พลังที่สำคัญของการเติบโตของ Startup ยุคศตวรรษที่ 21 (CR:Startup Hacks)
Network Effect พลังที่สำคัญของการเติบโตของ Startup ยุคศตวรรษที่ 21 (CR:Startup Hacks)

บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Facebook และ LinkedIn ได้รับประโยชน์จากผลกระทบจากเครือข่ายโดยตรง ลูกค้าใหม่แต่ละรายที่เข้าร่วม Facebook หรือ LinkedIn สร้างมูลค่าให้กับลูกค้าที่มีอยู่

เนื่องจากตอนนี้ลูกค้าทั้งสองสามารถสร้างลิงก์โดยตรงถึงกันได้ แม้ว่าจะอยู่ในสถานที่ต่างกัน ลูกค้าคนที่พันที่เข้าร่วมเครือข่ายสร้างมูลค่ามากกว่าลูกค้าคนที่สิบ ห้าสิบ หรือคนที่ร้อย เนื่องจากลูกค้าคนที่พันสามารถสร้างลิงก์ใหม่ได้ถึง 999 ลิงก์ ในขณะที่ลูกค้าที่สิบสามารถสร้างลิงก์ได้เพียงเก้าลิงก์เท่านั้น

บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Netflix, Amazon, Uber และ Zomato ไม่มีผลกระทบต่อเครือข่ายโดยตรง หากลูกค้าใหม่เข้าร่วม Zomato พวกเขาจะไม่สร้างเครือข่ายใหม่โดยตรงกับลูกค้า

ปัจจุบัน ร้านอาหารใหม่ที่เข้าร่วม Zomato ไม่ได้สร้างมูลค่าให้กับร้านอาหารปัจจุบันโดยใช้ Zomato อย่างไรก็ตาม ในแพลตฟอร์มอย่าง Zomato มีผลเครือข่ายโดยทางอ้อม ยิ่งจำนวนลูกค้ามากเท่าไร มูลค่าของร้านอาหารก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

และในทางกลับกัน ตอนนี้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น ร้านอาหารก็มีตลาดที่ใหญ่ขึ้น และสามารถใช้เครือข่ายการจัดส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ที่สำคัญกว่านั้น Zomato ได้รับประโยชน์จากผลกระทบของเครือข่ายข้อมูล ลูกค้าใหม่และร้านอาหารทุกรายให้ข้อมูลอันมีค่าที่ Zomato สามารถใช้เพื่อปรับปรุงการนำเสนอคุณค่าสำหรับผู้ใช้ที่มีอยู่ทั้งหมดโดยการปรับปรุงคุณภาพและความคิดเห็นเชิงลึก ทำความเข้าใจพฤติกรรมการใช้งาน เพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ การแก้ไขปัญหา และเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลรสนิยมและความชอบในท้องถิ่น 

เทคโนโลยี Machine Learning สามารถปรับปรุงข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ Zomato สามารถให้คำแนะนำที่เป็นส่วนตัวมากขึ้นสำหรับลูกค้าแต่ละราย และเชื่อมต่อร้านอาหารกับลูกค้าเป้าหมายได้ดีขึ้นโดยอาศัยการเรียนรู้ร่วมกันในฐานลูกค้า

การปรับปรุงนี้เมื่อประกอบกับการเพิ่มจำนวนตัวแทนจัดส่งและร้านอาหารที่ดึงดูด รวมถึงตลาดที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ช่วยเพิ่มทางเลือกของผลิตภัณฑ์และบริการในขณะที่สามารถลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ระบบนิเวศที่กระตุ้นการขยายตัวด้วยต้นทุนที่ต่ำ

บริษัทเทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถใช้ความสัมพันธ์กับลูกค้าเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ บริษัทที่พึ่งพาระบบนิเวศเหล่านี้สามารถบรรลุเป้าหมายได้โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อย 

พิจารณาการใช้ iPhone ของ Apple และการใช้อุปกรณ์ Echo ของ Amazon เพื่อขายแอป เพลง เกม และวิดีโอที่ผลิตโดยบุคคลที่สาม

และทำเช่นนั้นโดยใช้บริการชำระเงินของตนเอง จากนั้น Apple และ Amazon จะตัดเงินแต่ละดอลลาร์ที่ไหลผ่านระบบของพวกเขา

อีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ Uber ขยายบริการแชร์รถไปยัง Uber Eats ด้วยการลงทุนเพียงเล็กน้อย 

ในทำนองเดียวกัน Zomato สามารถขยายการนำเสนออาหารในร้านอาหารเพื่อรวมส่วนผสมที่พร้อมปรุงล่วงหน้า ซึ่งอันที่จริงแล้ว มันใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์กับร้านอาหารเพื่อจัดหาวัตถุดิบสำหรับพวกเขา

Google Search, Microsoft, Twitter และ Facebook สามารถเพิ่มรายได้ด้วยต้นทุนผันแปรที่น้อยที่สุด การทำ Copy ระบบปฏิบัติการ Windows 10 หรือให้บริการลูกค้าของ Google หรือ Facebook รายอื่นมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างน้อย นั่นทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของ ธุรกิจอย่าง Facebook สูงถึง 80–85%

อย่างไรก็ตาม แนวคิดเดียวกันนี้ใช้ไม่ได้กับ Uber, Airbnb, Amazon และ Zomato  รายได้ส่วนใหญ่ของพวกเขาจะถูกส่งต่อไปยังซัพพลายเออร์ เช่น ร้านอาหาร (Zomato) คนขับรถ (Uber) และเจ้าของบ้าน (Airbnb) นอกจากนี้ Amazon และ Zomato ยังต้องจ่ายเงินให้กับตัวแทนจัดส่งอีกด้วย

แต่การปรับขนาด ความรู้เกี่ยวกับซัพพลายเออร์ และการเพิ่มอำนาจต่อรองช่วยลดต้นทุนผันแปรเหล่านั้นได้ เทคโนโลยีแห่งอนาคต เช่น โดรน หุ่นยนต์ และยานยนต์ไร้คนขับสามารถลดต้นทุนการจัดส่งได้อีก 

ซึ่งทำให้ผลกำไรที่ได้รับจากแต่ละธุรกรรม โดยการปรับปรุงรายได้และลดค่าใช้จ่ายต่อหน่วย การเติบโตอย่างรวดเร็วจึงกลายเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ของบริษัท

เป็นที่น่าสังเกตว่า บริษัท “เทคโนโลยี” ที่เน้นกลยุทธ์ในรูปแบบเดียวกันนี้ได้รับการประเมินมูลค่ามหาศาลมาก ๆ ในยุคศตวรรษที่ 21 

ณ เดือนกรกฎาคม ปี 2021 มูลค่าตลาดรวมของบริษัท FAANG (Facebook, Apple, Amazon, Netflix และ Google) บวกกับ Microsoft อยู่ที่เกือบ 9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งสูงกว่า GDP ของทุกประเทศในโลก ยกเว้นเพีงแค่สองประเทศ 

ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีในปัจจุบันต้องเปรียบเทียบกับยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมแห่งศตวรรษที่ 20: Ford Motors, General Electric, Dow Chemicals, Standard Oil, Union Pacific เป็นต้น

บริษัทเหล่านั้นเปลี่ยนอุตสาหกรรมและสังคมด้วย พวกเขาต้องการเงินลงทุนจำนวนมากซึ่งใช้เวลาในการสร้างธุรกิจหลายสิบปีขึ้นไป 

ดังนั้นการประเมินมูลค่าที่สูงของ Zomato จึงไม่น่าแปลกใจเลย เพราะท้ายที่สุด มันคือบริษัทเทคโนโลยีที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงนิสัยการกินของประเทศที่มีประชากรนับพันล้านคนอย่างอินเดียได้สำเร็จนั่นเองครับผม

References : https://hbr.org/2021/08/what-zomatos-12-billion-ipo-says-about-tech-companies-today
https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-07-13/ant-backed-food-app-ipo-3-571-oversubscribed-by-anchor-funds
https://www.sebi.gov.in/filings/public-issues/apr-2021/zomato-limited-drhp_49956.html
https://auto.economictimes.indiatimes.com/news/passenger-vehicle/cars/india-has-22-cars-per-1000-individuals-amitabh-kant/67059021