Huawei P30 Pro/Mate 30 กับอนาคตบนความไม่แน่นอน

จากรายงานข่าวสุด Hot ในวันนี้ที่ Google ได้ระงับการทำธุรกิจกับ Huawei เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลสหรัฐ ที่นำโดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งผลที่เกิดขึ้นั้นไม่ดีสำหรับ Huawei อย่างแน่นอน

เหล่าผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ Huawei นอกประเทศจีน จะไม่สามารถเข้าถึงการอัปเดตระบบปฏิบัติการ Android ของ Google ได้ทันที รวมถึง สมาร์ทโฟน Huawei รุ่นใหม่ในอนาคตที่รันบน Android จะเสียสิทธิ์การเข้าถึงบริการหลักยอดนิยมของระบบปฏิบัติการ Android เช่น Google Play Store และ Gmail และแอพ YouTube

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลโดยตรงกับผู้ใช้งานโทรศัพท์ Huawei ทั่วโลก ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือ :

1.จากที่ Huawei สัญญาไว้ว่าโทรศัพท์รุ่น P30 และ Mate 30 จะได้รับการอัพเดทเป็นเวอร์ชั่นใหม่นั้น จากสถานการณ์ปัจจุบันดูแล้วน่าจะไม่ได้รับการ update เป็น Android Q เนื่องจาก Google จะไม่ได้ทำธุรกิจกับ Huawei อีกต่อไป โทรศัพท์รุ่นที่ทำการขายอยู่ (เช่น P30) จะไม่ได้รับการอัปเดต Android OS หรือแพตช์ความปลอดภัยอย่างเป็นทางการจาก Google ขณะที่เราโทรศัพท์รุ่นต่อไปของ Huawei ในอนาคตจะไม่สามารถเข้าถึงเวอร์ชันทางการของ Google Android ได้อีกต่อไป

2. สำหรับรุ่น Mate 30 (ที่ยังไม่ได้วางจำหน่าย) จะไม่สามารถใช้ Google Android เวอร์ชันทางการได้เลย จะใช้ใน version Android แบบโอเพ่นซอร์สw  ได้เพียงเท่านั้น แน่นอนว่าแม้ว่าโทรศัพท์ในอนาคตเหล่านี้จะสามารถเปิดใช้งาน Android เวอร์ชันโอเพ่นซอร์ส แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงแอพหรือบริการใด ๆ ของ Google รวมถึง Google Play Store 

หมายเหตุ: มีความเป็นไปได้ว่า Huawei มีข้อตกลงสิทธิ์ใช้งานอยู่แล้วสำหรับรุ่น Mate 30 และ Mate X เพื่อใช้งาน Android เวอร์ชันทางการซึ่งในกรณีนี้อุปกรณ์เหล่านั้นจะมาพร้อมกับ Android 9 Pie เป็นอย่างน้อย แต่ถ้ามีการตกลงไว้ก่อนจริง ก็อาจเป็นไปได้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการพิจารณาของรัฐบาลสหรัฐอีกครั้งหนึ่ง

3.โทรศัพท์ Huawei ที่มีอยู่ทั้งหมดจะยังคงสามารถเข้าถึง Android เวอร์ชันที่เป็นทางการที่ใช้อยู่ได้ตามปรกติ และตามที่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการในทวีตด้านล่างจากบัญชี Android Twitter อย่างเป็นทางการ  ซึ่งรวมถึง Google Play และ Google Play Protect ด้วย  โดยที่จะไม่มีมือถือรุ่นใดของ Huawei ที่มีการใช้งานอยู่จะได้รับการอัพเดทใด ๆ ทั้งกับระบบปฏิบัติการหรือเพื่อความปลอดภัยผ่านทางแพตช์อย่างเป็นทางการของ Google

4.เราสามารถสรุปได้ว่าผลกระทบของเหตุการณ์นี้นั้น รวมถึง Honor ด้วยเช่นกันเนื่องจาก Honor เป็นแบรนด์ย่อยของ Huawei ซึ่งสร้างขึ้นในปี 2011

5.ในขณะที่ยังไม่มีการยืนยันในเวลานี้ Microsoft อาจถูกบังคับให้เพิกถอนการเข้าถึงระบบปฏิบัติการ Windows 10 ที่ใช้โดยระบบแล็ปท็อปของ Huawei ด้วยเช่นกัน ซึ่งมีในหลายรุ่น เช่น Huawei MateBook X Pro รวมถึงการอัพเดทใด ๆ ของ ระบบปฏิบัติในเวอร์ชั่นหน้า

6.ราคาของสมาร์ทโฟน Huawei ที่ใช้งานอยู่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะลดลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเนื่องจากการไม่สามารถอัปเดตคุณสมบัติและความสามารถล่าสุดของ Android Q ได้ และที่สำคัญจะไม่ได้รับแพตช์รักษาความปลอดภัยใด ๆ อย่างเป็นทางการจาก Google อาจจะไม่สามารถอัปเดตผ่านการแก้ไขในเวอร์ชั่นปัจจุบันเช่นกัน ซึ่งนั่นหมายความว่าการปรับปรุงในแอพหรือคุณสมบัติใหม่ใด ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ผู้ใช้โทรศัพท์ Huawei 
จะไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างแน่นอน

เกิดผลกระทบอย่างแน่นอนกับผู้ใช้งาน Huawei ทั่วโลก
เกิดผลกระทบอย่างแน่นอนกับผู้ใช้งาน Huawei ทั่วโลก

อย่างไรก็ดีนั้น  หัวเว่ยได้ตอบโต้ด้วยแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ: “หัวเว่ยได้มีส่วนร่วมอย่างมากต่อการพัฒนาและการเติบโตของ Android ทั่วโลกในฐานะหนึ่งในหุ้นส่วนหลักระดับโลกของ Android เราได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สเพื่อพัฒนาระบบนิเวศที่เป็นประโยชน์ ทั้งกับผู้ใช้งานและอุตสาหกรรมมือถือทั้งหมด

“Huawei จะยังคงให้บริการอัปเดตความปลอดภัยและบริการหลังการขายแก่ผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตของ Huawei และ Honor ที่มีอยู่ทั้งหมดซึ่งครอบคลุมผลิตภัณฑ์ที่ขายไปและยังมีวางจำหน่ายไปแล้วทั่วโลก

“เราจะสร้างระบบนิเวศซอฟต์แวร์ที่ปลอดภัยและยั่งยืนต่อไปเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้ทุกคนทั่วโลก”

น่าสนใจจริง ๆ สำหรับผู้ใช้งาน อุปกรณ์มือถือของ Huawei ตัวผมเองนั้นก็เป็นคนหนึ่งที่ใช้ Huawei ก็ต้องรอดูท่าทีที่ชัดเจนต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ แต่ดูแล้วเรื่องนี้อาจจะลุกลามบานปลาย ไม่ใช่แค่เฉพาะมือถืออีกต่อไป อาจจะลามไปถึง Laptop ที่ใช้ระบบปฏิบัติการของ  Microsoft ที่มีโอกาสที่จะโดนด้วยเหมือนกันครับ หากรัฐบาลสหรัฐใช้มาตรฐานเดียวกัน

References : 
https://www.t3.com/news/huawei-p30-and-mate-30-just-got-dealt-a-devastating-blow

ทำนายการขึ้นลงของหุ้นด้วยข้อมูลจาก Twitter

ต้องบอกว่าเหล่า influence หลาย ๆ คนใน twitter นั้นมี impact อย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น ค่าเงิน หรือ ราคาทองคำ การ tweet แต่ละครั้งนั้น ก็จะ effect ต่อตลาดซึ่งมากน้อยเพียงใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับ tweet นั้น ๆ ตัวอย่างเช่นการ tweet ของ Donald Trump นั้นมีผลต่อการเคลื่อนที่ของราคาหุ้นไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่งอย่างแน่นอน

จนมีผู้ที่สร้าง mobile apps ขึ้นมาจริง ๆ คือ LikeFilo ซึ่งจะใช้ข้อมูลจาก twitter และ mobile notification  ที่จะทำให้เหล่า influence ขึ้นไปยัง top ของตารางหาก tweet ใด ๆ นั้นมี impact ต่อการเคลื่อนที่ของราคาหุ้นในตลาด ตัวอย่างเช่น user สามารถที่จะเลือกเหล่า influence ในส่วนของ section ที่เรียกว่า “Sharks” ซึ่งจะประกอบไปด้วยเหล่านักลงทุนที่เป็น big name ที่จะ impact กับตลาด ซึ่งทาง LikeFilo นั้นได้ทำการเลือกสรรไว้ให้แล้ว โดย user จะได้รับ notification หากเหล่านักลงทุนเหล่านี้มีการ tweet ที่เกี่ยวข้องกับ public company ซึ่งจะมีผลต่อตลาดหุ้น

Kevin O'Leary ได้ tweet เกี่ยวข้องกับบริษัท SNAPCHAT

Kevin O’Leary ได้ tweet เกี่ยวข้องกับบริษัท SNAPCHAT

ตัวอย่างจากรูปคือ Kevin O’Leary ได้ tweet เกี่ยวข้องกับบริษัท SNAP ซึ่งก็คือ social network น้องใหม่ชื่อดังอย่าง Snapchat ซึ่งใช้ชื่ออยู่ SNAP ใน New York Stock Exchange ซึ่งการ tweet ของเหล่าผู้มีอิทธิพลเหล่านี้นั้นอาจจะไม่ได้ทำให้ทำให้ราคาหุ้นเปลี่ยนไปทางใดทางหนึ่งแบบ 100% แต่ก็สามารถทำให้เกิด effect ต่อราคาหุ้นนั้น ๆ ได้

ซึ่ง Twitter เองนั้น ก็ทำการ track ข้อมูลเหล่านี้ไว้ด้วยเช่นกัน ซึ่งพวกเขาก็เชื่อว่าการ tweet ของเหล่า influences เหล่านี้นั้นมี impact ต่อตลาดอย่างแน่นอน โดยถึงกับเขียนเป็น blog series ที่ใช้ชื่อว่า “Finance Tweets of the Month”  ผ่าน official web ของ twitter เลยทีเดียว โดยจะมีการเขียนถึงในทุก ๆ เดือน

ซึ่ง blog แรกของพวกเขานั้นได้เขียนโดย Mark Dimont ซึ่งเป็น product manager ของ Bloomberg Terminal news applications โดยเริ่ม focus ไปที่ Tweet ของ Elon Musk’s ว่า “Stormy weather in Shortville” ในเดือนเมษายนของปี 2017

คนดังอย่าง Elon musk tweet อะไรไปมีผลต่อราคาหุ้นอย่างแน่นอน ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง

คนดังอย่าง Elon musk tweet อะไรไปมีผลต่อราคาหุ้นอย่างแน่นอน ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง

ซึ่งทาง Andy Swan ซึ่งเป็น fouder ของ LikeFolio นั้นได้ให้ความเห็นไว้ว่า การ tweet ของ Donald Trump หรือ Elon Musk นั้น มีผลกระทบกับตลาดหุ้นอย่างแน่นอน ซึ่งหนึ่งในจุดประสงค์หลักที่เค้าได้ทำ app LikeFolio ขึ้นมานั้น เพื่อดึงเอาผู้คนที่สนใจในหุ้นแต่ยังไม่ได้เริ่มเข้าสู่ตลาดนั้น เข้ามาสู่ตลาดให้มากขึ้นผ่านข้อมูลง่าย ๆ อย่างข้อมูล tweet ซึ่งเป็นข้อมูล simple ที่มีการเชื่อมโยงกับความเปลี่ยนแปลงของตลาดได้มากกว่าที่หลาย ๆ คนเคยคิด

ซึ่ง Swan นั้นได้ปล่อย app LikeFolio ออกมามากกว่า 4 ปีแล้ว ซึ่งเหตุที่เขาได้เข้ามาทำ LikeFolio นั้นเพราะเค้าเป็นคนที่มีความสามารถในด้านการนำข้อมูลจาก social data และข้อมูลจาก consumer behavior มาเชื่อมโยงกับข้อมูลของราคาหุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเค้าได้สร้าง API ไว้ให้เหล่าบริษัท hedge funds หรือสถานบันการเงินต่าง ๆ ไว้เชื่อมต่อเพื่อดึงข้อมูลไปทำการวิจัยต่อได้

ซึ่งทาง LikeFolio app นั้นได้รับ sponsors จาก broker ในตลาดอย่าง TDAmeritrade ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถที่จะเข้าถึง premium channel เช่น account ที่เป็น official account ของเหล่า influences อย่าง oprah winfrey ได้

ยิ่งระดับ Trump ที่เป็นประธานาธิบดี ของอเมริกา ยิ่ง effect รุนแรงต่อตลาดหุ้นมาก

ยิ่งระดับ Trump ที่เป็นประธานาธิบดี ของอเมริกา ยิ่ง effect รุนแรงต่อตลาดหุ้นมาก

 

ซึ่งนี่นับเป็นการสร้าง partnership รายแรกของ TD Ameritrade กับ LikeFolio ที่ให้บริการข้อมูลทางด้าน social alerts ซึ่งความร่วมมือของทั้งสองนั้นยังครอบคลุมถึงข้อมูลใน social data อื่น ๆ อีกด้วยไม่ใช่เพียงเฉพาะส่วนของ twitter เท่านั้น โดย TD Ameritrade จะเป็นส่วนสนับสนุนในส่วนขององค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้น และในส่วนของ LikeFolio นั้นจะไม่ให้คำแนะนำทางการเงินใด ๆ แก่ user ใน app โดยจะเป็นแค่ข้อมูลพื้นฐานในการตัดสินใจให้กับนักลงทุนเท่านั้น ซึ่ง tools อย่าง LikeFolio นั้นเป็น tools ง่าย ๆ ที่เหมาะสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ และเป็นวิธีที่น่าสนใจที่จะดึงนักลงทุนหน้าใหม่เข้าสู่ตลาดนั่นเอง

อย่างไรก็ดีนั้นเพิ่งจะเป็น phase แรกของ LikeFolio เท่านั้นทาง Swan ก็ได้วางแผนที่จะพัฒนาเพิ่มเติมความสามารถของ app ให้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยอาจจะเป็นการเพิ่ม channel ใหม่เพิ่มมากขึ้น โดยอาจจะเฉพาะเจาะจงไปยังกลุ่มที่ย่อยลงไปที่เป็น specific topics มากขึ้น

References : mashable.com

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage : facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit : blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter : twitter.com/tharadhol
Instragram : instragram.com/tharadhol