Geek Forever

ด.ดล Blog

Open Your World with Technology. เปิดโลกใบใหม่ของคุณ ด้วยเรื่องราวของเทคโนโลยี ( Business x Technology x Inspirational Stories )

HOME

  • ABOUT ME
  • BECOME A SUPPORTER
  • CONTACT
  • EDITORS ‘ PICKS
  • PODCAST

Categories

  • Advertorial
  • AI & Robot
  • Bitcoin
  • Blockchain
  • Blog Series
  • Books
  • Business
  • Cars
  • Case Study
  • COVID-19
  • Deep Learning
  • Digital Music War
  • Documentary
  • Entertainment
  • Entrepreneurship
  • Failed Startup
  • Football Product
  • Games
  • Geek China
  • Geek Daily
  • Geek Life
  • Geek Monday
  • Geek Story
  • Geek Talk
  • Healthcare
  • Home & Garden
  • Investment
  • JT 8704
  • Life of Pine
  • Lifestyle
  • Machine Learning
  • Marketing
  • Movies
  • Paypal Mafia
  • PodCast
  • Political
  • Popular Blog
  • Products
  • Programming
  • Recommendations
  • Review
  • Sci & Tech
  • Search War
  • Self Help
  • Series
  • Smartphone War
  • Sport
  • Startup
  • Story
  • The Story
  • Tokyo in the Rain
  • Trading
  • Travel
  • World War III
  • ประวัติ Bill Gates
  • ประวัติ Bitcoin
  • ประวัติ Elon Musk
  • ประวัติ Google
  • ประวัติ iPod
  • ประวัติ Jack Ma
  • ประวัติ Jeff Bezos
  • ประวัติ Jho Low
  • ประวัติ mark zuckerberg
  • ประวัติ MBS
  • ประวัติ Netflix
  • ประวัติ Netscape
  • ประวัติ Reed Hastings
  • ประวัติ Reid Hoffman
  • ประวัติ Steve Jobs
  • ประวัติ Tim Cook
  • ประวัติ Twitter
  • ประวัติ Youtube
  • แบบบ้านสวย

Archives

  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • May 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017
  • October 2017
  • September 2017
  • August 2017
  • July 2017
  • June 2017
  • May 2017
  • April 2017
  • March 2017
  • February 2017
  • September 2016
  • June 2016
  • April 2016
  • March 2016
  • February 2016
  • January 2016
  • December 2015
  • October 2015
  • September 2015
  • May 2015
  • April 2015
  • March 2015
  • February 2015
  • December 2014
  • November 2014
  • October 2014
  • September 2014
  • August 2014
  • April 2014
  • March 2014
  • February 2014
  • January 2014

Meta

  • Log in
  • Entries feed
  • Comments feed
  • WordPress.org

Tag Archives: divya narendra

ประวัติ mark zuckerberg ตอนที่ 13 : I’m CEO Bitch (The End)

By tharadhol in Books, Investment, Marketing, Sci & Tech, Startup, Story December 3, 2018

ในที่สุดการเรียนของ เอดูอาร์โด ก็สิ้นสุดลงเสียที กับช่วงเวลาในฮาร์วาร์ด เป็นช่วงเวลาที่พิเศษที่สุดของเขา ไม่ว่าจะประสบพบเจอเรื่องราวๆ  ต่าง ๆ มากมายทั้งในด้านดี และ ด้านร้าย ๆ ก็ตาม มันถึงเวลาที่เขาต้องย้ายออกจากสถานทีแห่งนี้เสียที ที่ฮาร์วาร์ด ที่ ๆ เขาร่วมสร้างเครือข่ายสังคมออนไลน์ เครือข่ายที่ปฏิวัติเสรีภาพ การแสดงออก รวมถึงเชื่อมต่อ ทุกคนทั่วทั้งโลกมาไว้ด้วยกันบนหน้าจอคอมพิวเตอร์

ซึ่งแน่นอน สิ่งสำคัญประการหนึ่งคือ มันถึงเวลาเสียทีที่เค้าต้องดำเนินการฟ้องร้องทางกฏหมาย เพื่อไล่ล่าความชอบธรรม ที่ตัวเค้าเป็นส่วนหนึ่งของผู้สร้าง facebook กลับมา ทั้งหมดจะไม่ใช่เรื่องของเขากับมาร์ค เพียงสองคนอีกต่อไปแล้ว

ซึ่งเวลานี้เค้าก็ได้มานั่งคิดทบทวนตัวเอง ว่าบางทีนั้น สิ่งที่มาร์ค ทำกับ เขาอาจจะเป็นความจำเป็นในเรื่องธุรกิจเท่านั้น มันก็มีส่วนนึงที่เค้าผิด ที่พยายามอายัดบัญชี  ซึ่งเหล่านี้ทำให้มันเป็นเรื่องยุ่งยากในการหาทางร่วมทุนกับเหล่านักลงทุนมากยิ่งขึ้น  แต่ยังไง เขาก็เชื่อด้วยหัวใจเต็มเปี่ยม ว่าเขานั้นเป็นส่วนหนึ่งของ facebook ตั้งแต่เริ่มต้น เขาเป็นคนลงเงินทุนตั้งต้น ของ facebook ทั้งหมด จนก่อร่างสร้างตัวมาได้จนถึงวันนี้ ซึ่งเขาก็ควรที่จะได้รับสิ่งที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาที่ตกลงไว้ตั้งแต่แรก

ต่อสู้ด้วยการพึ่งพาศาลสถิตยุตธรรมเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม

ต่อสู้ด้วยการพึ่งพาศาลสถิตยุตธรรมเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม

ถึงตอนนี้นั้น ความเห็นที่เหมือนกันเพียงอย่างเดียวของทั้งสอง คือ ต่อไปนี้ เรื่องของ facebook นั้นมันไม่ใช่เรื่องของความสัมพันธ์ของเพื่อน อีกต่อ ไปแล้ว มันคือธุรกิจ เขาจะตามเอาสิ่งที่เขาควรได้รับกลับมาทั้งหมด ต้องพึ่งศาลสถิตยุติธรรม เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับเขา

ส่วนมาร์คนั้น แน่นอน หลังจากไล่ ฌอน ปาร์กเกอร์ ออกไปพ้นชายคา facebook แล้วนั้น จะเห็นได้ว่าทุกคนต่างประสบชะตากรรมเดียวกันไม่ต่างจาก เอดูอาร์โด หรือ พี่น้อง winklevoss อะไรที่เป็นภัยคุกคาม กับ facebook  ที่เปรียบเสมือนลูกในไส้ ของมาร์ค  จำเป็นต้องถูกจัดการไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะสุดท้ายแล้วนั้น สิ่งเดียวที่มีความหมายที่สุดต่อมาร์ค ในตอนนี้ คือ facebook มันคือผลงานการสรรค์สร้าง โดย มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กนั่นเอง

I'm CEO Bitch

I’m CEO Bitch

ไม่ว่าจะอย่างไร มาร์ค ไม่มีวันที่จะให้อะไรมาขัดขวาง facebook ได้โดยเด็ดขาด เพราะเขาคือ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก “I’m CEO Bitch” นั่นเอง

ผลสรุปสุดท้ายของตัวละครแต่ละคนใน Series มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก I’m CEO Bitch

ฌอน ปาร์กเกอร์

ฌอน ปาร์เกอร์ มาคุม founder fund ของ peter thiel

ฌอน ปาร์เกอร์ มาคุม founder fund ของ peter thiel

หลังจากถูกมาร์ค ไล่ออกจาก facebook เค้าก็ยังมีบทบาทอยู่ใน ซิลิกอน วัลเลย์ โดยได้ร่วมกับ ปีเตอร์ ธีล ในการก่อตั้ง Founder Fund กองทุนสำหรับ สตาร์อัพ เพื่อหา สตาร์ทอัพ หน้าใหม่ๆ  เหมือนที่ ปีเตอร์ ธีล ทำได้ในการลงทุนกับ facebook 500,000 เหรียญ จนตอนนี้ มูลค่ากลายเป็นกว่า หมื่นล้านเหรียญ ในปัจจุบัน

สองพี่น้อง Winklevoss และ divya narendra

สามสหาย ได้ส่วนแบ่งเป็นที่น่าพอใจจาก มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก

สามสหาย ได้ส่วนแบ่งเป็นที่น่าพอใจจาก มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก

ทั้งสามทำการดำเนินคดีกับ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก และคดีดำเนินมายาวนานเรื่อยมา จนถึง ปี 2008 ซึ่งได้ข้อสรุปสุดท้าย แม้จะไม่มีการเปิดเผยในชั้นศาลก็ตาม  แต่มีการายงานจากสื่อว่า ทั้งสามนั้นได้รับเงินไปประมาณ 65 ล้านเหรียญ แม้จำนวนเงินจะมากอยู่ก็ตามในตอนปี 2008 แต่หากมาดูมูลค่า ของ facebook ในปัจจุบัน นั้นเป็นตัวเลขที่น้อยมาก  ๆ

ได้ทำตามความฝันอีกสิ่งหนึ่งคือการได้ไปเล่นโอลิมปิคที่ ปักกิ่ง

ได้ทำตามความฝันอีกสิ่งหนึ่งคือการได้ไปเล่นโอลิมปิคที่ ปักกิ่ง

เพราะปัจจุบัน มูลค่าของ facebook นั้นพุ่งขึ้นไประดับ แสนล้านเหรียญ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนในด้านกีฬาเรือพาย นั้น สองพี่น้อง winklevoss ได้เป็นตัวแทนของทีมเรือพายสหรัฐอเมริกา เข้าร่วมแข่งขันในกีฬา โอลิมปิก 2008 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน  โดยแข่งได้อันดับ 6 ในประเภทการแข่งขัน ฝีพายคู่ชาย

เอดูอาร์โด เซเวอริน

เอดูอาร์โด ซัลเวอริน ได้รับเครดิตกลับมาอีกครั้ง

เอดูอาร์โด ซัลเวอริน ได้รับเครดิตกลับมาอีกครั้ง

สำหรับ เอดูอาร์โด หลังจากจบจากฮาร์วาร์ด ก็ทำการเริ่มดำเนินการฟ้องร้อง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก และ facebook โดยที่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดข้อสรุปเกี่ยวกับ คดีดังกล่าว และมีคดีที่ มาร์ค ฟ้องกลับเอดูอาร์ด้วย ซึ่งมีการต่อสู้ในชั้นศาลอย่างยาวนาน

จนกระทั่งในเดือน มกราคม ปี 2009 ชื่อ ของเอดูอาร์โด เซเวอริน นั้นได้กลับมาถูกบรรจุ ในตำแหน่ง Co-Founder หรือ ผู้ร่วมก่อตั้ง facebook ในเว๊บไซต์ facebook อย่างเป็นทางการอีกครั้ง ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าการต่อสู้คดีนั้น เอดูอาร์โด สามารถเอาชนะในเรื่องการคืนเครดิต การเป็นผู้ร่วมก่อตั้งให้เขาได้สำเร็จ แต่เรื่องของส่วนแบ่งหรือหุ้นส่วนใด ๆ นั้นยังไม่ได้รับการเปิดเผย แต่คิดว่าน่าจะมีมูลค่าที่สูง ซึ่งน่าจะมีการเจรจาไกล่เกลี่ยกันได้สำเร็จ เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาของ facebook ในระยะยาว

ย้า่ยมาใช้ชีวิตในสิงคโปร์ และแต่งงานกับนางงามชาวสิงคโปร์

ย้า่ยมาใช้ชีวิตในสิงคโปร์ และแต่งงานกับนางงามชาวสิงคโปร์

ส่วนสถานะความเป็นเพื่อนกับมาร์ค นั้น ยังไม่ได้รับการยืนยันใด ๆ ว่าทั้งคู่ กลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือ ไม่ และ ล่าสุดนั้น เอดูอาร์โด ได้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศสิงค์โปร์ เพื่อลงทุนในธุรกิจ สตาร์ท อัพที่มีโอกาสเติบโต เนื่องจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น กำลังเป็นภูมิภาคที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนจากฝั่งอเมริกา  และ ได้แต่งงานกับนางงามชาวสิงค์โปร์ และย้ายมาใช้ชีวิตที่สิงค์โปร์ในที่สุด

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก และ facebook

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก CEO บริหาร facebook มาจนถึงปัจจุบัน

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก CEO บริหาร facebook มาจนถึงปัจจุบัน

สำหรับ facebook นั้นก็มีการเติบโตด้านผู้ใช้งานขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงในปี 2007 เรื่องไปถึงหูของ google ซึ่งต้องการที่จะ take over facebook แต่อย่าที่รู้กันก่อนหน้านี้ ศัตรูคู่ฉกาจของ google อย่าง microsoft ไม่ยอมอย่างแน่นอน เพราะตอนนั้นกำลังขับเคี่ยวกันในหลายตลาด ทั้ง search engine , email ,  document tool ซึ่ง social เป็นเรื่องใหม่ที่ microsoft ไม่ยอมให้ google มายึดไปอีกแน่นอน

ไมโครซอฟท์ จึงทำเรื่อง surprise อย่างยิ่งด้วยการลงทุน ซื้อหุ้นเพียง 1.6% ด้วยเม็ดเงินสูงถึง 240 ล้านเหรียญ ทำให้มูลค่าของ facebook พุ่งขึ้นไปสูงถึง 15,000 ล้านเหรียญ ซึ่ง ตอนนั้น บริษัท ยังแทบจะไม่มีรายได้เข้ามามากมายเหมือนในปัจจุบัน แต่เป็นการเตะตัดขา google เพื่อไม่ให้มา take over facebook เพียงเท่านั้น

microsoft ต้องเตะตัดขา google ที่พยายาม take over facebook

microsoft ต้องเตะตัดขา google ที่พยายาม take over facebook

จนในปัจจุบัน กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน internet อย่างเต็มตัว take over บริษัท มากมายไม่ว่าจะเป็น instragram , whatsapp หรือ occulus จนผู้ใช้เติบโตไปถึงกว่า 1,000 ล้านคน อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน เป็นการเดินทางจากจุดเล็ก ๆ ในหอพักที่ ฮาร์วาร์ด จนตอนนี้ ทำให้มาร์ค กลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านดอลล่าร์ ที่อายุน้อยที่สุด ซึ่งเป็นการสร้างฐานะมาด้วยตัวเอง ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์

แนวคิดที่ได้จาก Blog Series มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก I’m CEO Bitch

ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม และ comment ให้กำลังใจ กับการเขียน series ชุดนี้  ตอนแรกก็ไม่คิดว่ามันจะยืดยาวได้ถึงเพียงนี้ แต่เรื่องเป็นเรื่องธุรกิจที่สนุกจริง ๆ การเกิดขึ้นของ startup เล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในมหาลัย ฮาร์วาร์ด จนเติบใหญ่มาเป็น facebook ที่ยิ่งใหญ่อย่างปัจจุบัน ผ่านเรื่องราวอะไรมามากมาย

โดยส่วนตัวนั้น มาร์ค นั้นเป็นคนหนึ่ง ที่โฟกัส กับสิ่งที่ทำมาตั้งแต่เริ่ม ผมไม่ได้มองว่า มาร์ค เป็นคนที่เลวร้ายอะไรเลย ผมมองเรื่องที่เกิดทั้งหมดนั้น เป็นเพราะมาร์ค ต้องการนำพาธุรกิจไปข้างหน้า เพื่อพิสูจน์ความสามารถของเขา และเขารักในสิ่งที่เขาทำมาก รักเหมือนลูก ใครมาขวางทาง ไมว่าจะด้วยเหตุผลกลใด ก็ตาม นั้น มาร์ค ก็พร้อมที่จะลุยเต็มที่เพื่อขจัดสิ่งที่ขัดขวางเหล่านั้น เพื่อให้ facebook เติบโตมาจนได้ถึงวันนี้ ซึ่งมันพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่มาร์ค ทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างยิ่ง

ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร กับการมีปัญหากับเพื่อนในการทำธุรกิจ ซึ่งผมคิดว่าในโลกนี้ มีปัญหาแนว ๆ นี้อยู่มากมาย โดยเฉพาะ การทำธุรกิจกับเพื่อน ที่ตอนลำบากนั้นพร้อมจะสู้ด้วยกัน และมักจะมองไม่ค่อยเห็นปัญหา แต่พอตอนรวยขึ้นมามักจะมีโอกาสที่จะแตกคอกันเสมอ ซึ่ง มันไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกแต่อย่างใด ในสิ่งที่เกิดขึ้นกับ facebook เพราะผลสรุปสุดท้าย ทุกคนก็ตกลงกันได้ด้วยดี แม้จะจบที่ชั้นศาลก็ตาม แต่ ดู facebook ตอนนี้สิกลายเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ของโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ลองมองมุมกลับกัน หากมาร์ค ปล่อยให้ เอดูอาร์โด เข้ามาวางอำนาจในบริษัท มาอายัดบัญชี แล้วเกิดปัญหาขึ้นมากับ facebook จนคนย้ายหนีไป platform อื่นคงไม่มี facebook บริษัทที่ยิ่งใหญ่ในโลกอินเตอร์เน็ตมาจนถึงทุกวันนี้อย่างแน่นอน

ส่วนเรื่อง idea เริ่มต้นนั้น แม้มาร์ค ไม่ได้คิดเองมาตั้งแต่แรก แต่ผมว่ามันก็เป็นเรื่องของธุรกิจ ที่คนคิด คนแรกไม่ได้ประสบความเร็จเสมอไป แต่เป็นคนที่ลงมือทำต่างหาก คนที่ลงมือทำด้วยความตั้งใจ โฟกัสในสิ่งที่ทำแบบที่มาร์คเป็น นั้น เราก็เห็นผลแล้วว่ามาร์ค ประสบความเร็จเพียงใดจากเริ่มต้น แล้วโฟกัสในสิ่งที่ทำเป็นอย่างมาก จนมาเป็นเศรษฐีอายุน้อยที่สุดของอเมริกา ที่สร้างตัวมาด้วยตัวเอง ไม่ใช่รับมรดกตกทอดมาจากต้นตระกูลแต่อย่างใด

ผมว่า เรื่องนี้เป็นแรงบรรดาลใจ ให้หลายๆ  ท่านได้ ในการที่เราจะลุกขึ้นมาสร้างสรรค์ อะไรก็ตาม มันต้องเริ่มต้นทำ และทำทันที เพราะการมัวแต่คิด ๆ  แล้วไม่ได้ทำซักที นั้นก็ไม่รู้ว่าจะประสบความสำเร็จได้เมื่อไหร่ และที่สำคัญคือการโฟกัสในสิ่งที่เราทำ หากเราทุ่มเทให้กับมัน เหมือนที่มาร์คทำกับ facebook  ผมคิดว่าก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้เหมือนที่มาร์คทำ แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เท่าที่มาร์คทำก็ตาม รวมถึงแรงบรรดาลใจให้เหล่าสตาร์ทอัพ และ ผู้ประกอบการหน้าใหม่ของประเทศไทย

blockdit เครือข่ายสังคม online มาแรงของประเทศไทย

blockdit เครือข่ายสังคม online มาแรงของประเทศไทย

ยกตัวอย่าง blockdit ที่แห่งนี้ ที่ ๆ เปิดโอกาสให้ทุกท่านได้มาแสดงฝีมือในการเขียน เป็นสังคมใหม่ แม้จะมาแข่ง facebook ก็ตาม แต่ผมเชื่อว่า คนไทยก็ทำได้ไม่แพ้สิ่งที่มาร์ค เคยทำไว้กับ facebook และ blockdit กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าคนไทยก็ทำได้ และผมเชื่อว่า วันหนึ่ง blockdit นั้นจะประสบความสำเร็จทั้่งในเรื่องธุรกิจ และ จำนวนผู้ใช้งาน จนเป็นที่กล่าวถึงให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ เหมือนที่เราได้เรียนรู้จาก blog series นี้อย่างแน่นอน

–> อ่านตอนพิเศษ (Special) : The Social War

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : Facemash (The Beginning) *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage : facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit : blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter : twitter.com/tharadhol
Instragram : instragram.com/tharadhol

ประวัติ mark zuckerberg ตอนที่ 7 : ConnectU

By tharadhol in Books, Business, Investment, Marketing, Programming, Sci & Tech, Startup, Story December 3, 2018

หลายคนอาจจะถามว่า สองพี่น้อง Winklevoss และ Divya Narendra พาร์ทเนอร์ธุรกิจ กำลังทำอะไรอยู่ หลังจากที่พยายามทำให้ มาร์ค หยุดการเผยแพร่ thefacebook ที่เป็นเหมือนการไปขโมย idea ของ harvard connection ที่เขาสร้างมากับมือ

ซึ่งในขณะที่ thefacebook นั้นเติบโตแบบฉุดไม่อยู่ และไม่มีทีท่า ว่า มาร์ค จะกลัวกับการถูกฟ้องร้องเรื่องการขโมย idea นี้เลยด้วยซ้ำ ทางออกที่ดีที่สุดของทั้งสาม คือ ต้องสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาแทน เพราะยิ่งปล่อยให้เวลาเนิ่นนานไป thefacebook ก็จะยึดครองทั้งอเมริกาได้

Harvard Connection to ConnectU

แม้จะเจ็บปวดมากกับการที่มาร์ค ขโมย idea ของเขาไป ซึ่งในธุรกิจสมัยใหม่นั้น เวลานั้นสำคัญสุด เวลาที่เสียไปกว่า 2 เดือนในการ รอคอยมาร์ค ให้มาช่วยสร้างสรรค์ Harvard Connection นั้นเป็นเวลาที่เสียเปล่าไปทันที ตอนนี้ thefacebook ก้าวนำไปกว่า 3 เดือนแล้ว และถึงเวลาที่พวกเขาต้องปล่อยผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ที่ยึด concept เดิมจาก Harvard Connection แต่ได้ทำการ rebrand product จนกลายมาเป็น “ConnectU”

สามทีมงานพร้อม product ใหม่อย่าง ConnectU

สามทีมงานพร้อม product ใหม่อย่าง ConnectU

พฤษภาคม 2004 ConnectU พร้อม online แล้วแม้จะล่าช้ากว่ากำหนดเดิมอยู่บ้าง เพราะเป็นการสร้างมันขึ้นมาด้วยทีมของตัวเค้าเอง และที่สำคัญ พวกเค้าทั้งสามกำลังมุ่งสมาธิ ไปยังโปรเจคใหม่นี้ เพื่อความหวัง ที่มันอาจจะกลายเป็นโฉมหน้าใหม่ในโลกธุรกิจของพวกเขาทั้งสามคนได้

เฮนลี่ย์ รอยัล รีกัตตา

สองพี่น้องคู่แฝด Winklevoss นั้นเป็น ฝีพาย ลำดับต้น ๆ ของอเมริกาอยู่แล้ว ซึ่ง แม้ทางหนึ่งก็ยังคาดหวังกับธุรกิจใหม่ของพวกเขาอย่าง ConnectU แต่ เป้าหมายหลักอีกอย่างนึงที่สำคัญไม่แพ้กันคือพวกเค้าก็ต้องการประสบความสำเร็จที่สุดในด้านกีฬา เรือพาย ซึ่งหมายถึง การเข้าไปแข่งขัน โอลิมปิค เกมส์ ปี 2008 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน

ความฝันอีกสิ่งหนึ่งคือการได้ไปเล่นโอลิมปิคที่ ปักกิ่ง

ความฝันอีกสิ่งหนึ่งคือการได้ไปเล่นโอลิมปิคที่ ปักกิ่ง

มันจะ perfect มากถ้าพวกเขาสามารถประสบความสำเร็จได้ในทุก ๆ ด้าน แต่การแข่งขันกีฬานั้น อย่างน้อยก็มีความแฟร์ และไม่มีความคดโกง โดยเฉพาะกีฬา ผู้ดี อย่างเรือพาย ทุกคนต้องออกตัวพร้อมกัน เพื่อไปยังเส้นชัย

แต่ไม่ใช่เลย กับ ConnectU ที่พี่น้องทั้งสองและพาร์ทเนอร์ธุรกิจอย่าง Divya Narendra ต้องโดนออกนำไปก่อน นานกว่าสามเดือนที่ thefacbook นั้นได้กระจายไปเกือบทั่วอเมริกาแล้ว ซึ่งเกมส์ธุรกิจนั้น มันไม่มีคำว่าแฟร์ อยู่แล้ว อยู่ที่ว่าใครออกตัวเร็วกว่า โดยเฉพาะธุรกิจในยุค ดิจิตอล ทรานฟอร์มเมชั่นเหมือนในปัจจุบันนี้

และเนื่องจากช่วงดังกล่าวได้มีการแข่งขัน เรือพาย ในรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกรายการนึง อย่าง เฮนลี่ย์ รอยัล รีกัตตา ซึ่งเป็นรายการที่มีการแข่งขันทุกปีมาตั้งแต่ปี 1839 เหนือลำน้ำเทมส์ ในประเทศอังกฤษ ทั้งสองพี่น้องก็ไม่พลาดที่จะเข้าร่วมในนามของทีมจากมหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด

เข้าร่วมการแข่งขันเรือพายเก่าแก่อย่าง henley royal regatta

เข้าร่วมการแข่งขันเรือพายเก่าแก่อย่าง henley royal regatta

พวกเขามาเพื่อชัยชนะในการแข่งขัน แกรนด์ ชาเลนจ์ คัพ เพื่อมาแข่งกับเหล่าฝีพายอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งมีโอกาสที่จะได้พบเจอกันอีกครั้งในกีฬาโอลิมปิค ที่ปักกิ่ง

แต่ความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็เกิดกับพี่น้อง winklevoss อีกครั้ง ทั้งที่พยายามฝึกหนัก มายาวนาน ทุ่มเทแรงกายแรงใจฝึกซ้อม เพื่อมาพิชิตรายการนี้ให้เป็นรางวัลปลอบใจ จากการที่พ่ายแพ้ในศึกธุรกิจให้กับมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ที่กำลังพา thefacebook ทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชื่อเสียง หรือจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงแรงดึงดูดต่อนักลงทุน ที่เริ่มเข้ามา thefacebook มากขึ้นเรื่อย ๆ

มันแทบจะย้อนรอยเดิมอีกครั้ง การแข่งขันเรือพายแล้วได้ที่สองโดยแพ้ฝีพายจากเนเธอร์แลนด์ แพ้เพียงแค่เศษเสี้ยววินาทีนั้น มันไม่ต่างจากการถูกลืมเลือน เหลือไว้เพียงแค่ความทรงจำ เหมือน Harvard Connection ที่ถูก thefacebook ขโมย idea ไปโดยแทบจะไม่ได้เครดิตจากมันเลย

หลังจากพวกเขาขึ้นจากท้องเรือมาที่แท่นรับรางวัล โดยมีเจ้าชายอัลเบิร์ต องค์กษัตริย์แห่งรัฐโมนาโก เป็นประธานมอบรางวัลในพิธี ซึ่งผู้ชนะก็คือ ทีม เนเธอร์แลนด์ ที่ได้รับรางวัลเกียรติยศจากเจ้าชาย อัลเบิร์ต ส่วนทั้งสองได้เพียงแค่จับมือกับเจ้าชายเท่านั้น

แม้พ่อ ของคู่ฝาแฝด รวมถึง Divya Narendra พาร์ทเนอร์ธุรกิจของพวกเค้า จะมาปลอบใจว่าทำได้ดีเต็มที่แล้ว มันเฉือนกันแค่ปลายจมูก อย่าไปเสียใจเลย

แต่มันเหมือนความเจ็บช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่ติดตาตรึงใจของทั้งคู่ เนื่องมาจาก พวกเค้าไม่เคยพ่ายแพ้ต่อเนื่องติด ๆ  กันบ่อยขนาดนี้ ทั้งสองคนเป็นผู้ชายที่เรียกได้ว่า perfect มาตั้งแต่เด็ก ทั้งการเรียน รวมถึงด้านกีฬา การพ่ายแพ้ในกีฬาเรือพาย รวมถึง การพ่ายแพ้ต่อ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ในศึกธุรกิจนั้น ทำให้พวกเค้าเจ็บช้ำคูณสองเลยทีเดียว

ก่อนที่จะเพิ่มทวีความโมโหขึ้นไปอีกขั้น เมื่อ ได้ยินเพื่อนทนายของพ่อเขา ที่กำลังกล่าว ถึง “thefacebook” ที่ลูกสาวของเขาและเพื่อนร่วมมหาลัยทุกคนใช้กันอยู่ ซึ่งเขาแค่เพียงหวังดีว่าจะส่งภาพที่ลูกสาวถ่ายการแข่งขันเรือที่เกิดขึ้นไปให้ ผ่าน “thefacebook”

ทั้งสามถึงกับตกใจ ว่า ชื่อของ thefacebook นั้นดังมาถึงยุโรป ในประเทศอังกฤษ ที่ซึ่งห่างไกลกว่าหลายพันไมล์จาก มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด ที่เป็นจุดกำเนิดของ thefacebook ได้ยังไงกัน มันเกิดอะไรขึ้นที่ silicon valley ทำไมมันถึงแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน มันบุกมาถึง ยุโรป ได้อย่างไร

thefacebook บุกถึงยุโรปแล้ว

thefacebook บุกถึงยุโรปแล้ว

แล้ว ConnectU ของพวกเขาล่ะ มันคงยากที่จะแจ้งเกิดได้แล้วจริง ๆ  แม้โดยพื้นฐานของตัว เว๊บนั้น connectU จะมีสารพัดฟีเจอร์ที่มากกว่า thefacebook แต่การโดนชิงเปิดตัวก่อนแล้วมันแพร่หลายไปอย่างกับไวรัส ไปยังมหาลัยต่าง ๆ ทั่วอเมริกา และตอนนี้มันกำลังจะลุกลามมาที่ยุโรปด้วยแล้ว คงไม่มีใครที่จะให้ความสนใจกับ เว๊บไซต์เกิดใหม่อย่าง ConnectU อีกต่อไปแล้ว

พวกเขาต้องยอมรับความจริงได้แล้วว่าพวกเขาได้แพ้ thefacebook แล้ว และตอนนี้พวกเขาเหลือเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น ที่จะกู้ศักดิ์ศรี แม้จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเค้าไม่อยากทำ แต่พวกเค้าได้ลองหลาย ๆ วิธีแล้วก็ไม่เป็นผลสำเร็จ มันถึงเวลาแล้วจริง ๆ ที่จะต้องพึ่งระบบศาลสถิตยุติธรรม ด้วยการจ้างทนายมืออาชีพฟ้องร้อง thefacebook ที่กำลังเติบโตอย่างกับไวรัส อย่างจริงจังเสียที เพื่อให้สาสมที่ทำกับพวกเขาไว้อย่างเจ็บแสบขนาดนี้

ถึงเวลาที่ทั้งสามต้องพึ่งทางเลือกสุดท้ายคือ พึ่งศาลสถิตยุติธรรม เพื่อเรียกศักดิ์ศรีคืน

ถึงเวลาที่ทั้งสามต้องพึ่งทางเลือกสุดท้ายคือ พึ่งศาลสถิตยุติธรรม เพื่อเรียกศักดิ์ศรีคืน

มาถึงตอนนี้ ต้องบอกว่า เรื่องราวต่าง ๆ กำลังเข้มข้น ฝั่งมาร์ค ก็ยังทำตัวไม่สนใจ และไม่เคยคิดว่า การแค่ ใช้ idea บางส่วนของ harvard connection ที่ถูกคิดโดย winklevoss จะมีปัญหาอะไร ส่วน ทีมงาน thefacebook ที่ทำงานจนแทบไม่ได้หลับนอน ขยายกิจการของ thefacebook ไปทั่วอเมริกา ก็โตเร็วมากซะจน ไม่มีอะไรจะฉุดอยู่แล้ว ทุกอย่างกำลังไปได้สวยอย่างยิ่งสำหรับมาร์ค แล้ว เอดูอาร์โด ล่ะ จะถูกทิ้งไว้ที่นิวยอร์ค แล้วยึดบริษัทไปเลยอย่างงั้นหรือ? มันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?  โปรดติดตามในตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 8 : Friend or Enemy?

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : Facemash (The Beginning) *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage : facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit : blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter : twitter.com/tharadhol
Instragram : instragram.com/tharadhol

ประวัติ mark zuckerberg ตอนที่ 2 : Harvard Connection (Exclusive Social Network)

By tharadhol in Books, Business, Sci & Tech, Startup, Story November 26, 2018

ถ้าย้อนกลับไปในช่วงปี 2004 นั้น website social network ได้ถือ กำเนิดขึ้นแล้ว และมีเจ้าตลาดอยู่แล้วอย่าง ไม่ว่าจะเป็น friendster.com หรือ myspace.com  หรือในไทยเรา ก็เริ่มใช้ Hi5 กันแล้ว ถ้าหลาย ๆ คนยังคงจำได้

แล้ว facebook มันจะแจ้งเกิดได้อย่างไร ในวันที่ ระบบ social network เต็มไปหมดแล้ว ซึ่งถ้าใครหลายคนยังจำได้ การเข้าใช้งาน facebook ในช่วงแรก ๆ ที่เปิดให้คนทั่วไปใช้งานนั้น ต้องมีการ invite เข้าไปเล่น ไม่สามารถสมัครได้โดยตรง

Hi5 ดังเป็นพลุแตกในไทย ใคร ๆ ก็เล่นกันในสมัยนั้น

Hi5 ดังเป็นพลุแตกในไทย ใคร ๆ ก็เล่นกันในสมัยนั้น

ซึ่งความเป็น Exclusive  Network นี่แหละ คือ idea เริ่มต้นของการสร้าง facebook เลยก็ว่าได้ เพราะ ไม่งั้น มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ก็คงเพียงสร้าง social network ธรรมดาขึ้นมา ที่ไม่ต่างจาก frienster หรือ myspace ทำเท่านั้นเอง คงไม่ดังกระฉูดจนถึงวันนี้

สองพี่น้อง Winklevoss

ฮาร์วาร์ดนั้น มีชมรม ลับอยู่มากมาย ที่เหล่านักศึกษาทั่วมหาลัย หมายปองที่จะเข้าไปอยู่ เพราะ ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนเท่านั้น ที่ ฮาร์วาร์ดมีจุดเด่น แต่เรื่อง connection ต่าง ๆ เป็นเรื่องสำคัญ ศิษย์เก่าหลาย ๆ คนเป็นใหญ่เป็นโต เป็นนักธุรกิจ ร่ำรวย มีหน้ามีตาในสังคมทั้งนั้น ไล่ตั้งแต่ ประธานาธิดี ไปจนถึง นักกีฬา เหรียญทองโอลิมปิค ล้วนแล้วแต่ผ่านการเข้า ชมรมที่ exclusive เหล่านี้แทบจะทั้งนั้น

สองพี่น้อง Winklevoss

สองพี่น้อง Winklevoss

สองพี่น้อง Winklevoss ก็เป็นหนึ่งในนั้น สองคนนี้เป็นฝีพาย อันดับต้น ๆ ของประเทศ แถมยังเรียนเก่ง และ มาจากตระกูล เศรษฐีอีกต่างหาก ต้องบอกว่า เป็นหนุ่ม ๆ ที่สาว ๆ ใน ฮาร์วาร์ด ถวิลหาเลยก็ว่าได้

ซึ่งทั้งสองนั้น เป็นสมาชิกชมรม Poselion Club ซึ่งนับได้ว่าเป็นชมรม ระดับต้น ๆ ของมหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ดเลยก็ว่าได้ การจะเข้าชมรมดังกล่าวได้ต้องมีดีพร้อมทุกอย่างเท่านั้น ซึ่งชมรมนี้จะเน้นไปในเรื่องของ การหา connection ทางด้านธุรกิจ เป็นหลัก ไม่ได้เน้น เรื่องปาร์ตี้ เหมือนชมรมอื่น ๆ ในฮาร์วาร์ด

divya narendra อีกหนึ่ง พาร์ทเนอร์ธุรกิจที่สำคัญ

divya narendra อีกหนึ่ง พาร์ทเนอร์ธุรกิจที่สำคัญ

ซึ่งทั้งฝาแฝดทั้งสอง และ เพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งคือ divya narendra กำลังสร้างธุรกิจอย่างนึงอยู่ ที่พวกเค้าทั้งสาม ทำมากว่า 2 ปีแล้ว แต่ไม่เสร็จซักที เนื่องจาก โปรแกรมเมอร์หลักของทีมที่ชื่อ วิคเตอร์ นั้น กำลังวุ่นอยู่กับการเรียนในปีท้าย ๆ ซึ่งถือว่าหนักอยู่พอสมควร จึงเป็นที่มาของการหาโปรแกรมเมอร์คนใหม่ เพื่อมาสานต่อ idea ธุรกิจที่พวกเค้าคิดไว้ให้สำเร็จนั่นเอง

Harvard Connectinn (Exclusive Social Network)

จากตอนที่ 1 ด้วยข่าวที่ดังกระฉ่อนทั่วมหาลัยของมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ที่ได้ลงหนังสือพิมพ์มหาลัยอย่าง เดอะ คริมสัน นั้น ทำให้ชื่อเสียงของมาร์คกระจายไปทั่วมหาลัย แต่ไม่ใช่ด้านที่ดีซักเท่าไหร่

ข่าวนี้ไปถึงหูของ สองพี่น้อง Winklevoss และ พาร์ทเนอร์ธุรกิจอีกคนอย่าง divya narendra ที่กำลังหา programmer คนใหม่มาสานฝันต่อ idea ธุรกิจของพวกเค้า

และในที่สุดทั้งสี่คนก็ได้พบเจอกัน เหมือนพรหมลิขิต ที่ถูกขีดชะตาไว้เรียบร้อยแล้ว มาร์ค ที่กำลังชื่อเสียงแย่จาก facemash ก็ต้องการกู้ชื่อเสียงตัวเองกลับมา รวมถึง idea ธุรกิจแสนบรรเจิดของ winklevoss และ divya narendra นั้น ก็คือ email ตระกูล @harard.edu ซึ่งเป็น email ที่ exclusive สุด ๆ เฉพาะนักศึกษา หรือ ศิษย์เก่าของ harvard เท่านั้น

friendster ที่ฮิตติดลมบนในขณะนั้น

friendster ที่ฮิตติดลมบนในขณะนั้น

idea ของพวกเค้าที่แตกต่างจาก social network อย่าง friendster หรือ myspace คือ ความเป็น exclusive network เฉพาะภายในมหาวิทยาลัยเท่านั้น ซึ่ง มันใกล้ชิดกว่า นักศึกษาก็นำข้อมูลส่วนตัวมาลงได้อย่างไม่เคอะเขิน เพราะรู้ว่า เป็นการใช้แค่เพียงในมหาวิทยาลัยเท่านั้น และสิ่งสำคัญที่ขับเคลื่อนชีวิตในมหาวิทยาลัย คือ การได้ลุ้นกับการ date กับสาว ๆ มากหน้าหลายตา โดยทำความรู้จักกันผ่านเครือข่ายสังคมสุด exclusive นี้

ซึ่งมาร์ค ก็ได้ตกลงที่จะรับเป็นโปรแกรมเมอร์ให้โปรเจคดังกล่าวทันที เพราะ idea นี้เข้าท่าอย่างชัดเจน ไม่ต้องมีการ hack ระบบใด ๆ ทุกคนสามารถนำข้อมูล รูปภาพ ต่าง ๆ ด้วยตัวเอง และ มาร์ค ก็หวังว่า โปรเจคนี้แหละ จะทำให้กู้ชื่อเสียงที่ย่ำแย่ ที่ทำไว้กับ facemash กลับมาได้อีกครั้ง

แล้ว harvard connection ของ สองพี่น้อง winklevoss มันกลายร่างมาเป็น thefacebook ( ชื่อแรกของ facebook) ได้อย่างไรโปรดติดตามตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 3 : Welcome to The Facebook

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : Facemash (The Beginning) *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage : facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit : blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter : twitter.com/tharadhol
Instragram : instragram.com/tharadhol

Search

  • POSTS
  • TAGS

POSTS

  • Geek Monday EP82 : Tik Tok กับการใช้ AI เพื่อยึดครองโลก
  • Rachel Lim ลาออกจากมหาลัย ยืมเงินก้อนสุดท้ายของแม่ เพื่อสร้างอาณาจักรแฟชั่นร้อยล้าน
  • Ben Francis อดีตเด็กส่งพิซซ่า นั่งเย็บผ้าในโรงรถ สู่เจ้าของธุรกิจ หมื่นล้าน ในวัยเพียง 28 ปี
  • Geek Story EP86 : GrubHub กับการเปลี่ยนค่ำคืนที่แสนหิวโหยสู่ธุรกิจส่งอาหารหมื่นล้าน
  • Diana Trujillo จาก แม่บ้านทำความสะอาด สู่ผู้อำนวยการ NASA กับภารกิจค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก

TAGS

AI alibaba amazon android apple big data bill gates CoronaVirus Covid19 ebay elon musk facebook google huawei iphone ipod jack ma machine learning mark zuckerberg microsoft netscape paypal paypal mafia peter thiel Robot samsung SpaceX startup steve jobs Tesla ประวัติ alibaba ประวัติ alipay ประวัติ Elon Musk ประวัติ facebook ประวัติ google ประวัติ Jack Ma ประวัติ Larry Page ประวัติ mark zuckerberg ประวัติ paypal ประวัติ อีลอน มัสก์ ประวัติ แจ๊ค หม่า สตีฟ จ๊อบส์ หุ่นยนต์ แจ๊ค หม่า โคโรน่าไวรัส
March 2021
M T W T F S S
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031  
« Feb    
Proudly powered by WordPress. Theme: DW Minion by DesignWall.

อย่าลืมช่วยกด Like เพจกันด้วยนะคร้าบ!


This will close in 320 seconds