Swarm Hive Mind กับเทคโนโลยีทางการทหารใหม่ที่ควบคุมฝูงบินโดรน 130 ลำด้วยทหาร 1 นาย

ผมเป็นหนึ่งในคนที่สนใจเทคโนโลยีทางการทหาร หากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้นมาจริง ๆ เราคงจินตนาการไม่ออกเลยว่าความล้ำสมัยของเทคโนโลยีทางด้านการทหารในตอนนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหากเกิดสงครามเต็มรูปแบบขึ้นมาจริง ๆ

ตัวอย่างที่น่าสยดสยองของความสามารถในการทำสงครามที่ทวีความรุนแรงขึ้น  ซึ่งเพนตากอนได้ช่วยพัฒนาเทคโนโลยีที่อนุญาตให้ทหารเพียงคนเดียวควบคุมโดรน 130 ลำสำหรับการปฏิบัติการทางทหาร

เบื้องหลังโครงการคือบริษัทผู้รับเหมาด้านการป้องกันประเทศ Raytheon ซึ่งทำงานร่วมกับ Defense Advanced Research Projects Agency (DARPA) ทีมงานประสบความสำเร็จในการทดสอบเทคโนโลยีใหม่ในสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกเมือง ตามข่าวประชาสัมพันธ์ของบริษัท 

โครงการดังกล่าวได้รับการขนานนามว่า “OFFensive Swarm-Enabled Tactics” (OFFSET) ผู้ปฏิบัติงานเพียงคนเดียวสามารถควบคุมฝูงบินโดรน ฝูงนี้ประกอบด้วยโดรน 130 ลำและโดรนจำลอง 30 ลำ ซึ่งทาง Raytheon อ้างว่าซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในฝูงบินโดรนช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถสั่งงานฝูงบินได้อย่างง่ายดายทั้งในร่มและกลางแจ้งในเขตเมือง 

“การควบคุมฝูงโดรนเปลี่ยนวิธีที่ผู้ปฏิบัติงานคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีโดรน” Shane Clark ผู้นำของโครงการ OFFSET ที่ Raytheon กล่าว

องค์ประกอบสำคัญของโปรแกรมนี้คือการใช้ฮาร์ดแวร์ราคาไม่แพง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถในการคำนวณและการตรวจจับที่มีประสิทธิภาพสูงในฮาร์ดแวร์ขนาดใหญ่ที่มีราคาแพง

โดย Raytheon ได้ทำการสร้างคลังข้อมูลกว้างๆ ของการสร้างกลยุทธ์อย่างง่ายที่ใช้ในการสร้างแผนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของภารกิจ 

Raytheon ได้ออกแบบและกำหนดค่าวิธีการปรับแต่ง แยกส่วน และทำการกระจายการควบคุมในส่วนของการจัดการแพลตฟอร์มเพื่อให้สามารถบรรลุภารกิจในปัจจุบันและในอนาคตที่มีความหลากหลายได้

โดยเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ โดรนทั้งฝูงจะร่วมมือกันเพื่อตัดสินใจว่าจะทำภารกิจใดภารกิจหนึ่งให้สำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดได้อย่างไร

ซึ่งผู้ควบคุมฝูงบินโดรนจะไม่ทำอย่างนั้นที่โต๊ะและจอยสติ๊กเหมือนเก่าอีกต่อไป แต่พวกเขาจะใช้อินเทอร์เฟซเสมือนจริงอย่างเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) ที่ช่วยให้พวกเขาสามารถมองผ่านโดรนแต่ละตัวได้ สิ่งนี้สร้าง “มุมมองเสมือนจริงที่สามารถโต้ตอบได้แบบเรียลไทม์ของสภาพแวดล้อมในขณะที่มีการรบ” Clark กล่าว

“คุณสามารถมองไปด้านหลังอาคารเพื่อเข้าถึงมุมมองของสถานที่ที่โดรนเข้าถึง และใช้สภาพแวดล้อมเสมือนจริงเพื่อทดสอบและดูว่าภารกิจของคุณเป็นไปได้หรือไม่” Clark อธิบาย 

ทีมงานยังได้สร้างอินเทอร์เฟซเสียงพูดที่ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถสั่งงานด้วยเสียงกับฝูงบินได้ Clark เสริมว่าสิ่งนี้จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานดำเนินการได้อย่างรวดเร็วในขณะที่ยังคงตระหนักถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในภารกิจนั้น ๆ

ต้องบอกว่าฝูงโดรนที่บินเข้าสู่สงครามเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีด้านสงครามที่น่าสนใจมาก ๆ นะครับ ลองนึกภาพที่คนๆ เดียวกำลังควบคุมฝูงโดรนขนาดใหญ่โดยใช้ VR และคำสั่งเสียงนั้นเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ และมันกำลังเกิดขึ้นแล้ว 

References : https://www.raytheonintelligenceandspace.com/news/advisories/raytheon-intelligence-space-drone-swarm-control-solution-shines-darpa-field
https://futurism.com/the-byte/terrifying-robot-swarm-smarter
https://www.techeblog.com/darpa-offset-drones/

Geek Daily EP32 : เมื่อนักบินรบกำลังจะพ่ายแพ้ต่อเทคโนโลยี Drone AI

นักบินที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี สามารถสร้างนักรบทางอากาศที่น่ากลัวได้ แต่นักวิทยาศาสตร์จาก Defense Advanced Research Projects Agency (DARPA) ซึ่งเป็นหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์สุดล้ำของเพนตากอน มีลางสังหรณ์มานานแล้วว่า Drone AI อาจทำได้ดีกว่า

และเพื่อทดสอบทฤษฎีดังกล่าว DARPA ได้จัดเกมสงครามจำลองด้วยคอมพิวเตอร์ระหว่าง AI กับนักบินมนุษย์ เพื่อทดสอบว่าใครกันแน่ คือ เจ้าแห่งเวหาตัวจริง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/2EcEOFl

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/2Epph4O

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3gjxCEg

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/Q7eGBQVqQBw

References : https://www.thedailybeast.com/inside-the-wild-finale-of-darpas-simulated-drone-dogfights
http://www.maciejkranz.com/inside-the-hive-mind-how-ai-powered-drone-swarms-can-benefit-society/

COVID-19 กับการสูญเสียความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมของอเมริกา

รัฐบาลสหรัฐใช้จ่ายหลายพันล้านดอลลาร์ทุก ๆ ปีมากกว่ารัฐบาลอื่น ๆ ในโลก เพื่อพัฒนาความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย และหวังจะใช้มันเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ที่คาดเดาไม่ได้อย่างเช่นที่กำลังเกิดขึ้นกับการแพร่ระบาดของ COVID-19

ต้องบอกว่านี่คือความล้มเหลวของนโยบายวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาสมัยใหม่ นโยบายที่ย้อนกลับไปถึงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังสงครามผู้กำหนดนโยบายเรียกร้องให้รัฐสภามีส่วนร่วมในการเสริมสร้างศักยภาพและความคิดทางวิทยาศาสตร์ของประเทศ 

ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือยุคทองของประเทศ การขยายตัวอย่างรวดเร็วของการสนับสนุนจากรัฐบาลสำหรับการวิจัยขั้นพื้นฐานและการศึกษาเพื่อเติมเต็ม ห้องปฏิบัติการวิจัยเชิงลึกที่ใช้ในอุตสาหกรรม ด้วยจุดแข็งที่รวมกันเหล่านี้ทำให้ประเทศมีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์อย่างรวดเร็วและวางรากฐานทางเทคโนโลยีสำหรับเศรษฐกิจยุคใหม่ของประเทศทั้งในด้านโทรคมนาคม ด้านการทหารและสุขภาพ  

โลกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง แต่สหรัฐฯยังคงทำงานอย่างหนักกับ นโยบายด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบเดิม ๆ  แม้อเมริกาจะประสบความสำเร็จในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ทรงพลังที่สุดสำหรับการวิจัยเชิงวิชาการในโลก

แต่ในขณะเดียวกันความสามารถของประเทศในการเปลี่ยนความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ให้กลายเป็นโซลูชั่นที่ใช้งานได้จริงนั้นดูเหมือนจะล้มเหลวไม่เป็นท่า ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการแพร่ระบาดของ COVID-19 

สหรัฐฯ ใช้เวลาในการวิจัยด้านสุขภาพของมนุษย์มากกว่าเรื่องของเกษตรกรรมและพลังงานรวมกัน แต่ดูเหมือนว่ามันยังไม่เพียงพอในการเตรียมตัวไว้สำหรับ COVID-19 ไม่ใช่เพราะเรื่องงบประมาณที่น้อยเกินไปอย่างแน่นอน แต่เพราะมันไม่ได้ถูกใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ  มี 3 บทเรียนที่น่าสนใจที่จะกล่าวถึงในบทความนี้

1. ไม่เพียงแค่ให้ทุนวิจัยอย่างเดียว

ต้องบอกว่าจำนวนเงินที่สหรัฐอเมริกาใช้จ่ายในงานวิจัยโดยเฉพาะเรื่องของวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ที่อยู่นอกระบบงานวิจัยทางด้านการทหารแล้วนั้น ระบบของอเมริกาถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อให้ทุนสนับสนุนการวิจัย แต่ไม่ใช่การแก้ปัญหา 

มหาวิทยาลัยได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยระดับชาติมากที่สุดพร้อมกับหน่วยงานภาครัฐและห้องปฏิบัติการที่ไม่แสวงหากำไรอื่น ๆ สถาบันเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ด้วยแรงจูงใจที่ส่งเสริมการค้นพบสิ่งใหม่ ๆ และผลงานที่ตีพิมพ์ออกมา 

ดังนั้นในขณะที่สหรัฐฯให้เงินสนับสนุนงานวิจัยจำนวนมากในด้านต่าง ๆ เช่น ภูมิคุ้มกันวิทยาและโรคติดเชื้อ แต่ใช้เวลาน้อยมากในการแปลการค้นพบเหล่านั้นเป็นการเตรียมการสำหรับการแพร่ระบาด ซึ่งความจริงแล้วนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นทั้งคู่

ด้วยการตระหนักถึงความต้องการในการแก้ปัญหาสหรัฐอเมริกาจึงเริ่มให้การสนับสนุนความท้าทายที่ยิ่งใหญ่และศูนย์วิจัยที่มุ่งเน้นปัญหาเฉพาะด้าน เช่น การพัฒนาในด้านพลังงานแสงอาทิตย์ที่ถูกกว่า หรือแบตเตอรี่รุ่นต่อไป 

ซึ่งความคิดริเริ่มเหล่านี้เป็นขั้นตอนในทิศทางที่ถูกต้องสำหรับนวัตกรรมของประเทศโดยเฉพาะนวัตกรรมที่ส่งผลด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเงินทุนของรัฐบาลส่วนใหญ่มักจะไหลไปที่นักวิชาการ และนักวิจัยภาครัฐไม่กี่กลุ่ม ซึ่งแน่นอนว่าผลงานของพวกเขาเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการค้นพบและเผยแพร่ในวารสารและการนำเสนอในที่ประชุมทางวิชาการเพียงเท่านั้น

2. หลีกเลี่ยงการระดมทุนเพื่อการวิจัยในระดับอุตสาหกรรม

บริษัท ขนาดใหญ่ไม่ได้สนใจในการระดมทุนในนวัตกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์ในขั้นต้น รัฐบาลสหรัฐล้มเหลวในการตอบสนอง การสนับสนุนจากรัฐบาลสำหรับการวิจัยภาคเอกชนนั้นลดลงไปจากยุครุ่งเรืองในช่วง 50 ปีก่อนเป็นอย่างมาก

ซึ่งผลที่ได้คือผู้คนในอุตสาหกรรมที่รู้วิธีการใช้เทคโนโลยีเชื่อมโยงกับการวิจัยที่ล้ำสมัยและการจัดลำดับความสำคัญของรัฐบาลน้อยกว่าที่เคยเป็นมา และเนื่องจากองค์กรวิจัยของรัฐได้แยกตัวออกจากภาคอุตสาหกรรมจึงมีวิธีการตรวจสอบและปรับขนาดเทคโนโลยีที่สำคัญน้อยมาก เช่น การพัฒนาวัคซีนในโรคระบาด

ยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลยังไม่พร้อมที่จะสนับสนุนรูปแบบการวิจัยในอุตสาหกรรมที่สดใสที่สุดในวันนี้ นั่นก็คือ Startup บริษัทเอกชนจะถูกแยกออกจากการเข้ารับเงินทุนวิจัยส่วนใหญ่อย่างเด็ดขาด ส่วนใหญ่จะเป็นการระดมทุนในภาคเอกชนด้วยกันเอง

ทำให้บริษัท Startup ที่เพิ่งเริ่มต้นจะมีความเสียเปรียบเพราะกฎการระดมทุนถูกสร้างขึ้นสำหรับบริษัทขนาดใหญ่เท่านั้นที่สามารถทำการวิจัยทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง 

โครงการวิจัยขั้นสูงของหน่วยงานทางด้านกลาโหมอย่าง DARPA เป็นหนึ่งในไม่กี่หน่วยงานของรัฐที่มีความยืดหยุ่นในการระดมทุนการวิจัยที่ดีที่สุด  

ตัวอย่าง บริษัทอย่าง Moderna Therapeutics เป็นหนึ่งในหลาย ๆ บริษัท ที่พัฒนาวัคซีนที่เกิดจากงานวิจัยที่ได้รับทุนจาก DARPA ในระยะเริ่มต้น แต่ถึงกระนั้น DARPA ก็ยังต้องการการเชื่อมต่อที่ดีกว่ากับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม 

Darpa ที่มีงานวิจัยสุดล้ำออกมามากมาย แต่สำหรับวงการทหารเพียงเท่านั้น
Darpa ที่มีงานวิจัยสุดล้ำออกมามากมาย แต่สำหรับวงการทหารเพียงเท่านั้น

โดยทาง DARPA กำลังพัฒนาวิธีการสำหรับผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์เพื่อทำงานร่วมกับนักวิจัยของ DARPA และเชื่อมโยงการวิจัยในภาคอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นในด้านต่าง ๆ ตั้งแต่เทคโนโลยีชีวภาพไปจนถึงเทคโนโลยีทางด้านไมโครอิเล็กทรอนิกส์

3. มุ่งเน้นไปสู่สิ่งที่สำคัญสำหรับอนาคต

การที่ระบบยังคงยึดติดอยู่กับลำดับความสำคัญและแนวทางการวิจัยของศตวรรษที่ผ่านมา มันไม่สามารถปรับโฟกัสได้เร็วพอสำหรับปัญหาที่มีความสำคัญสำหรับอนาคตของประเทศ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความปลอดภัยของข้อมูล และโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย หรือ การแพร่ระบาดของโรค

ตัวอย่างผลงานการวิจัยของสหรัฐในปัจจุบันมันแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน โดยเงินทุกดอลลาร์สหรัฐฯ จะใช้ไปกับการวิจัยทางชีววิทยาและการแพทย์เพียงแค่ 15 เซ็นต์เพียงเท่านั้น

ในการวิจัยทางเคมีและฟิสิกส์แม้จะมีศักยภาพมหาศาลสำหรับการคิดค้นในการดักจับคาร์บอนการเก็บพลังงานหรือพลังงานฟิวชั่น ซึ่งได้ทำการวิจัย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่ต้องการโซลูชั่นเหล่านี้ทันที เช่นเดียวกับ งานวิจัยทาด้านชีววิทยาและการแพทย์ ที่ต้องการสิ่งที่เป็นโซลูชั่นที่สามารถใช้งานได้ทันที เมื่อเกิดวิกฤติขึ้นนั่นเอง

ต้องบอกว่า Covid-19 เป็นวิกฤตที่น่ากลัว นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่ในการทบทวนอีกครั้งว่าการวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจะสามารถช่วยเหลือสังคมได้อย่างไรในอนาคต

สำหรับการทุ่มเทงบประมาณไปจำนวนมหาศาลขนาดนี้ของอเมริกา แต่เมื่อเกิดวิกฤติขึ้นจริงกลับไม่สามารถจะช่วยเหลือประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อสถานการณ์ทางด้าน COVID-19 ของอเมริกานั้น ยังวิกฤติอยู่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ณ ปัจจุบัน อย่างที่เราได้เห็นกันนั่นเองครับ

References : https://www.technologyreview.com/2020/06/17/1003322/how-the-us-lost-its-way-on-innovation

DARPA กำลังใช้คลื่นสมองของนักเล่นเกมเพื่อฝึกฝนหุ่นยนต์นักรบ

ทีมนักวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ที่มหาวิทยาลัยบัฟฟาโลวางแผนที่จะศึกษาคลื่นสมองและการเคลื่อนไหวของดวงตานักเล่นเกมประมาณ 25 คน ในขณะที่พวกเขากำลังเล่นวิดีโอเกม

จากนั้นพวกเขาจะใช้ข้อมูลที่รวบรวมจากนักเล่นเกมเพื่อสร้าง AI ขั้นสูงเพื่อที่จะสามารถประสานการทำงานของกองยานยนต์ของหุ่นยนต์ AI ที่ใช้เทคโนโลยีการขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติ

หน่วยงานวิจัยโครงการวิจัยขั้นสูงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐหรือที่รู้จักกันดีในนาม DARPA ได้มอบเงินทุนจำนวน 316,000 เหรียญสหรัฐ ให้กับการศึกษาซึ่งนักวิจัย Souma Chowdhury นักวิจัยบอกกับทาง Digital Trends ว่างานวิจัยชิ้นนี้กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ทีมยังต้องมีการรวบรวมข้อมูลนักเล่นเกม แต่นั่นก็ไม่ควรใช้เวลานานเกินไป นักวิจัยได้สร้างเกมวางแผนแบบเรียลไทม์สำหรับการศึกษาโดยใช้เวลาประมาณ 5 ถึง 10 นาที ในการเล่นแต่ละเกม ถ้านักเล่นเกมแต่ละคนเล่นได้ หกหรือเจ็ดเกม Chowdhury คาดว่าทีมงานของเขาจะมีข้อมูลมากพอที่จะฝึกอบรม AI ของพวกเขา

ท้ายที่สุดนักวิจัยหวังว่าจะได้ AI ที่สามารถเป็นแนวทางในการทำงานของกลุ่มหุ่นยนต์ 250 ตัวทั้งบนพื้นดินและในอากาศ ทำให้กองยานหุ่นยนต์ใหม่นี้ สามารถที่จะสำรวจสภาพแวดล้อมที่ไม่สามารถคาดเดาได้ด้วยตนเองในอนาคต

“ มนุษย์สามารถสร้างกลยุทธ์ที่ไม่เหมือนใครซึ่ง AI อาจไม่เคยเรียนรู้มาก่อน” Chowdhury กล่าวกับ Digital Trends“ สิ่งที่เราเห็นใน AI นั้นอยู่ในแอปพลิเคชั่นที่มีสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างแน่นอน แต่ในแง่ของการให้เหตุผลเชิงบริบทในสภาพแวดล้อมจริง เพื่อทำสิ่งต่างๆ นั้น ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ เพียงเท่านั้น ยังต้องมีการเรียนรู้จากมนุษย์อีกเยอะมาก ๆ ”

ความคิดเห็นเพิ่มเติมจากผู้เขียน

เป็นอีกหนึ่งงานวิจัยที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับการนำ AI มาเรียนรู้จากผู้เล่นเกม แน่นอนว่าเรื่องทำนองนี้เคยสำเร็จมาแล้วอย่างยิ่งใหญ่ในเกมโกะ ที่ Alpha Go ที่เริ่มต้นก็เรียนรู้จากหมากกระดานของผู้เล่นทั่วโลกก่อนพัฒนาตัวเองจนสามารถเอาชนะแชมป์โลกได้สำเร็จ

เราจะเห็นได้ว่า เป็น Trend ที่ชัดเจนมาก ๆ ที่เรื่องของการรบในอนาคตนั้น AI และ หุ่นยนต์จะเข้ามามีบทบาทที่สำคัญอย่างแน่นอนหากเกิดสงครามใหญ่ขึ้นมาจริง ๆ ซึ่งเราจะเห็นการรบแบบใหม่ ที่มีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูง แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในสงครามครั้งไหน ๆ ที่ผ่านมาอย่างแน่นอนครับ หากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้นมาจริง ๆ

References : https://www.digitaltrends.com/cool-tech/brain-training-future-swarm-robot-armies

DARPA กับนวัตกรรมการตรวจจับระเบิดใหม่ด้วยแบคทีเรีย

การตรวจจับวัตถุระเบิดใต้ดินเป็นเรื่องยากเพราะแน่นอนว่าเราไม่สามารถเห็นพวกมันถูกฝังอยู่ใต้ดิน ซึ่งการตรวจจับนั้นก็ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อลดการสูญเสียในเหตุก่อการร้ายหรือสงครามที่จะเกิดขึ้น

และนั่นเป็นเหตุให้กองทัพมีทางเลือกน้อยในการตรวจหาทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดใต้ดิน แม้จะมีทางเลือกในการฝึกสุนัขหรือหนูเพื่อสูดดมพวกมันได้ แต่นั่นทำให้ชีวิตของสัตว์มีความเสี่ยง และหุ่นยนต์ตรวจจับทุ่นระเบิดนั้นมีราคาแพงและมีขนาดใหญ่เกินไป

แต่ตอนนี้ทหารสหรัฐได้ทำการสำรวจอีกตัวเลือกหนึ่งที่จะใช้ในการตรวจจับระเบิด:  glowing gene-edited bacteria.

สำนักงานโครงการวิจัยขั้นสูงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐได้ให้นักวิจัยที่สถาบันวิจัยโพลีเทคนิคแห่งวูสเตอร์และ บริษัทด้านเทคโนโลยีการป้องกันเรย์ธ ทำการวิจัยในการใช้แบคทีเรียเพื่อตรวจจับระเบิด

ความคิดที่ Raytheon เขียนไว้ในข่าวประชาสัมพันธ์ คือการดัดแปลงพันธุกรรมของแบคทีเรียสองชนิด หากประเภทแรกสัมผัสกับวัตถุระเบิดใต้ดินมันจะแจ้งประเภทที่สองให้เรืองแสงบนพื้นดินซึ่งจะดึงดูดความสนใจของกล้องหรือโดรนที่อยู่ใกล้เคียง

อัลลิสัน แทกการ์ต นักวิจัยหลักของโครงการนี้ได้แถลงข่าวว่า นักวิจัยทราบแล้วว่าเป็นไปได้ที่จะใช้แบคทีเรียเพื่อตรวจจับวัตถุระเบิด แต่ทีมต้องคิดหาวิธีควบคุมความสามารถนั้น ให้มีประสิทธิภาพในการตรวจจับระเบิดมากยิ่งขึ้น .

“ เรากำลังตรวจสอบวิธีการในการนำแบคทีเรียไปยังชั้นใต้ดินที่ต้องการ” แทกการ์ต อธิบาย“ จากนั้นจะทำการส่งแสงที่เรืองแสงขึ้นสู่พื้นผิวเพื่อให้มองเห็นได้ง่าย”

หากนักวิจัยประสบความสำเร็จในไม่ช้าทหารอาจมีวิธีการตรวจจับวัตถุระเบิดประมาณ110 ล้านชิ้นที่อยู่ใต้ดินโดยไม่ทำให้ทหารสัตว์หรือหุ่นยนต์ตกอยู่ในความเสี่ยงได้นั่นเอง

References : https://newatlas.com/good-thinking/bacteria-genetically-engineered-reveal-buried-explosives/ https://sputniknews.com/science/201911121077290191-us-develops-bacteria-strains-to-detect-bombs-hidden-underground–raytheon/