Robots replacing Humans.The Evolution of Robots

ปัจจุบันหุ่นยนต์หรือ AI เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์เราเป็นอย่างมาก โดยเป็นการเข้ามาแทกซึมวิถีชิวิตประจำวันของเราอย่างไม่รู้ตัว ทั้งการช่วยเหลืองานที่บ้าน รวมถึงการช่วยเหลือในการใช้ชีวิตประจำวันหลาย ๆ อย่างของเราก็มีการเปลี่ยนไป ซึ่งข้อได้เปรียบสำคัญของหุ่นยนต์หรือ AI คือทำงานโดยอัติโนมัติ และไม่มีการเหน็ดเหนื่อย และไม่มีภาวะทางด้านอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ช่วยมนุษย์เราให้ใช้ชีวิตได้อย่างง่ายขึ้น

หลาย ๆ ธุรกิจ หลาย ๆ องค์กร เริ่มมีการใช้ AI ในการสร้างความแตกต่างทางด้านธุรกิจ อย่างการเปิดตัว SIRI ของ apple  นั้นก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการนำ AI เข้ามาช่วยเหลือ รวมถึงเพิ่มบทบาทต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน เพราะมีการผูกกับมือถือ ซึ่งเราใช้ติดตัวอยู่เป็นประจำวันอยู่แล้ว ซึ่งต่างจากเมื่อก่อน ที่เราจะเห็นหุ่นยนต์ ในงาน scale ใหญ่ ๆ เช่น อุตสาหกรรม รถยนต์ การต่อเรือ หรือ หลาย ๆ อุตสาหกรรม ที่ใช้ robots ในการผลิต เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์

และเนื่องจากในยุคของ Information Revolution เป็นปัจจัยเร่งให้ AI เริ่มฉลาดขึ้น เพราะส่วนหนึ่งของ AI นั้นผ่านการ training จากข้อมูลมหาศาลในปัจจุบัน ที่เราใช้กันอยู่ องค์กรใหญ่ ๆ อย่าง facebook , google หรือ apple นั้นล้วนแล้วแต่ใช้ข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อช่วยพัฒนา AI ให้มีความฉลาดได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นโดยการอาศัยการเก็บข้อมูลจากผู้ใช้ทั่วโลก

เราเคยสงสัยกันหรือไม่ว่าทำไม facebook หรือ google นั้นรู้ใจเรา หรือ เดาใจได้ ว่าเรากำลังต้องการอะไร หรือ ต้องการจะซื้ออะไร ซึ่งนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของความฉลาดจาก AI ที่อาศัยข้อมูลของเราไปวิเคราะห์ และทำนายความต้องการของเรา เราอาจจะมองได้สองมุม คือ อย่างแรกอาจจะเป็นตัวช่วยเราในการตัดสินใจต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น แต่ะ หากมองในแง่ร้าย นั้นก็คือภัยคุกคามความเป็นส่วนตัวของเราเหมือนกัน เพราะ ข้อมูลของเราทุกอย่างนั้นถุกนำไปวิเคราะห์ผ่าน AI  ซึ่งบางข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลที่เป็นข้อมูลที่ sensitve มาก ๆ อย่างข้อมูลการ chat ซึ่งเรานั้นแทบจะไม่มีความลับใด ๆ ในการ chat กับคนที่เราไว้ใจ

แต่เราจะไว้ใจ platform ที่เราใช้ได้หรือไม่  ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม facebook ถึงได้ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อซื้อ whatsapp ทั้งที่เป็นบริษัทที่ยังไม่สามารถทำกำไรได้ด้วยซ้ำ  ซึ่งเราอาจจะเล่น social เพื่อแสดงตัวตนอีกอย่างหนึ่งเพื่อให้เพื่อนๆ ได้รับรู้ อาจะโชว์แต่ข้อมูลที่ดี ๆ เรื่องร้าย ๆ เราก็คงไม่เอามาลง social กันหรอก แต่ต่างจากข้อมูล chat ที่เป็นข้อมูลทุกอย่างของเราเลยก็ว่าได้ แล้วเราจะไว้ใจ platform ต่าง ๆ เหล่านี้ได้อย่างไรว่าไม่นำข้อมูลเหล่านี้ไปหาประโยชน์ เนื่องจากเค้าก็ต้องใช้เงินมากมาย เพื่อให้ได้ข้อมูลเหล่านี้ไป

แล้วในยุคต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้ อะไรจะเกิดขึ้นกับเรา ยิ่งข้อมูลมากมายมหาศาลถูกนำไปประมวลผลอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ AI ฉลาดจนสามารถเก่งกว่ามนุษย์ได้ ซึ่งจะกระทบกับตำแหน่งการงานของหลายอาชีพอย่างแน่นอนในเร็ววันนี้ โดยเฉพาะอาชีพที่อาศัยการเรียนรู้และจดจำ เพื่อมาวิเคราะห์ ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับ AI  ที่ส่วนนึงนั้นใช้ Machine Learning ในการเรียนรู้และจดจำ เพื่อให้สามารถคิดได้เหมือนกับมนุษย์ หรือใกล้เคียงกับมนุษย์เรามากที่สุด เราคงไม่ได้เห็น robots แบบในหนังที่เป็นหุ่นยนต์จริง ๆ มาทดแทนมนุษย์ แต่ จะเป็น AI ที่ใช้มันสมองมาทดแทนการทำงานของมนุษย์แทน

ปัจจุบันเราเริ่มเห็นการพัฒนาการที่น่าสนใจในหลาย ๆ Labs ที่วิจัยเกี่ยวกับหุ่นยนต์หรือ AI

โครงการ Robonaut เป็นงานวิจัยเทคโนโลยีหุ่นยนต์บนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ตั้งแต่ปีพ. ศ. 2555   โดยขณะที่ Robonaut 2 (R2) กำลังดำเนินการผ่านการทดสอบบนวงโคจร  ทีมงาน Robonaut ได้พัฒนาเทคโนโลยีที่จะช่วยให้การทดสอบหุ่นยนต์บนวงโคจรสามารถทำงานได้เต็มรูปแบบ

โดยใช้หุ่นยนต์ตัวเดียวกันกับที่ Johnson Space Center โดยเป้าหมายของงานนี้คือการสร้างแพลตฟอร์มการวิจัยหุ่นยนต์ที่มีคุณลักษณะครบถ้วนบนสถานี ISS เพื่อเพิ่มระดับความพร้อมด้านเทคโนโลยีของเทคโนโลยีที่จะช่วยในภารกิจสำรวจในอนาคตอันใกล้นี้

ข้อดีอย่างหนึ่งของการออกแบบรูปทรงให้เหมือนมนุษย์คือ Robonaut สามารถใช้งานง่าย ๆ ซ้ำ ๆ หรือ เข้าสู่สถานที่ที่เป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่ต่างๆเช่นสถานีอวกาศนานาชาติ เนื่องจาก R2 กำลังเข้าใกล้ความชำนาญของมนุษย์ในงานต่างๆที่อยู่ในอวกาศ เช่นการเปลี่ยนตัวกรองอากาศซึ่งสามารถทำได้โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนการออกแบบที่มีอยู่เดิมเลยด้วยซ้ำ

ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งก็คือในระหว่างภารกิจของหุ่นยนต์ R2 สามารถจะนำชุดเครื่องมือสำหรับภารกิจ precursor เช่นการตั้งค่าและการตรวจสอบทางธรณีวิทยา ไม่เพียง แต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องมือประเภทนี้เท่านั้น แต่ยังช่วยตัดความจำเป็นในการเชื่อมต่อกับหุ่นยนต์แบบพิเศษได้อีกด้วย

สำหรับบทบาทในวงการแพทย์นั้นต้องยอมรับว่าหุ่นยนต์เริ่มเข้ามามีบทบาทอย่างมากแล้วในปัจจุบัน โดยเฉพาะหุ่นยนต์ผ่าตัดซึ่งเป็นงานที่ใช้ความแม่นยำสูงมาก ๆ ศัลยแพทย์ที่เก่งๆ  นั้นต้องใช้ประสบการณ์ยาวนานในการผ่าตัด ซึ่งปัญหาที่พบคือพอประสบการณ์ยิ่งมาก ก็จะยิ่งเริ่มแก่ตัวลง และความนิ่งต่าง ๆ ก็จะลดลง ทำให้ผ่าตัดในงานที่ละเอียดมาก ๆ ไม่ค่อยได้ และประสิทธิภาพในการผ่าตัดก็ลดลงไป โดยเฉพาะงานที่ใช้ความละเอียดสูงอย่างการผ่าตัดหัวใจ หรือ ผ่าตัดสมอง เพราะมีโอกาสผิดพลาดได้น้อยมาก ๆ 

ซึ่งการเข้ามาของหุ่นยนต์ผ่าตัดนั้น ค่อนข้างทำได้มีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะทุกอย่างผ่านการคำนวณมาอย่างดี สามารถเข้าไปในชิ้นส่วนของร่างกายที่เป็นข้อจำกัดของมนุษย์ได้มากกว่า เพราะอาศัยการคำนวณ เช่น ในช่องที่เล็ก ๆ ที่คนไม่สามารถเข้าถึงได้นั้น แต่ไม่ได้เป็นปัญหากับหุ่นยนต์แต่อย่างใด รวมถึงการพัฒนาของกล้องความละเอียดสูงในปัจจุบัน สามารถทำให้หุ่นยนต์ที่ใช้ผ่าตัดสามารถวิเคราะห์ได้ละเอียดเพิ่มยิ่งขึ้น ซึ่งก็ทำให้ลดสาเหตุการเสียชีวิตจากการผ่าตัดได้มากยิ่งขึ้น

ในวงการ logistics ก็เช่นเดียวกัน ปัญหาใหญ่ของวงการ logistics คือเรื่องต้นทุนแฝง ที่มีอยู่จำนวนมาก ส่วนใหญ่แล้วมาจากโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ แต่ละที่ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อต้นทุนทางด้าน logistics ซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon ก็ได้เริ่มนำ drone เข้ามาช่วยขนส่งสินค้าผ่าน service Amazon PrimeAir ซึ่งสามารถที่จะการันตีเวลาในการขนส่งได้ในเวลาเพียง 30 นาที โดยการใช้ drone ขนส่งผ่านทางอากาศแทน ซึ่งหากนำมาใช้กันอย่างกว้างขวางจริง ๆ นั้นก็ต้องเรียกว่าเป็นการปฏิวัติระบบขนส่งในยุคใหม่เลยก็ว่าได้

สำหรับในวงการทหารนั้น ต้องบอกว่าเทคโนโลยีของ robots นั้นได้รุดหน้าไปเป็นอย่างมากในขณะนี้ ซึ่งนำโดย อเมริกา ที่หลาย ๆ labs ต่างนำเสนอ solution สำหรับการทหาร ตัวอย่างดังรูปข้างบนคือ  Foster-Miller SWORDS  ที่เริ่มใช้จริงในสงครามอิรักตั้งแต่ปี 2550  ซึ่งใช้ในการช่วยเหลือทหารในแนวหน้า โดยสามารถบรรจุอาวุธ เพื่อทำลายศัตรูได้ และสามารถจัดการได้แบบอัตโนมัติ ซึ่งในไม่ช้านี้เราจะอาจจะได้เห็นสงครามที่เป็นรูปแบบของ robots จริง ๆ เหมือนในหนังก็อาจจะเป็นไปได้

หรือว่าจะเป็น robots รุ่นคุณปู่อย่าง ASIMO จาก Honda ที่ในขณะนี้ได้พัฒนาความสามารถเพิ่มขึ้นหลายอย่างมาก สามารถรับรู้ การเคลื่อนที่ ท่าทาง รวมถึงสภาพแวดล้อมรอบข้าง และสามารถทำให้โต้ตอบกับมนุษย์จริงๆ  ได้แล้ว ซึ่งอาจจะเป็นต้นแบบของหุ่นยนต์ผู้ช่วยที่จะมีบทบาทสำคัญต่อสังคมสูงอายุของญี่ปุ่นในอนาคตอันใกล้นี้

สำหรับในโรงงานอุตสาหกรรมนั้น เราคงจะได้เห็นหุ่นยนต์เข้ามามีบทบาทนานแล้วในวงจรการผลิตสินค้าต่าง ๆ ที่สามารถทำได้ดีกว่ามนุษย์ และสามารถทำงานได้ 24 ชั่วโมงไม่มีหยุดพัก  แต่สำหรับ Baxter นั้นสามารถรองรับกับงานได้หลากหลายมากกว่า รวมถึงปริมาณที่ผลิตใน scale ที่ต่ำก็สามารถทำได้ ซึ่งมีความสามารถหลากหลายตั้งแต่ โหลดสาย การพ่นเครื่องบรรจุภัณฑ์ต่างๆ  รวมถึงการจัดการวัสดุ ซึ่งสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่า

ต้องบอกว่าน่าทึ่งมาก ๆ สำหรับ video ใหม่ล่าสุดจาก Boston Dynamics ที่ได้ปล่อยหุ่นยนต์ตัวใหม่ออกมา ต้องถือว่าเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของวงการหุ่นยนต์เลยก็ว่าได้ เราอาจจะเคยเห็นแค่ในนวนิยาย sci-fi ตอนนี้มันเริ่มคล้ายมนุษย์จริง ๆ เข้าไปทุกที การกระโดดท่า backflips นั้นต้องถือว่าน่าสนใจเลยทีเดียวกับการพัฒนาเทคโนโลยีของหุ่นยนต์ในขณะนี้ มันอยู่ในจุดที่เราทุกคนต้องเริมกังวลแล้วแหละ ว่าอนาคตของหุ่นยนต์จะไปในทางไหน

จาก video เราได้เห็นถึงพัฒนาการของหุ่นยนต์สี่ขา ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่มีความซับซ้อนสูงมาก และพัฒนาขึ้นมายากมาก แต่สำหรับ DARPA Legged Squad Support System (LS3) รุ่นล่าสุดนั้น แสดงให้เห็นว่าหุ่นยนต์ที่มีขาเทียมแบบกึ่งอิสระนั้นสามารถเคลื่อนที่ได้สูง และในเส้นทางที่ซับซ้อนได้มากขึ้น และสามารถรองรับน้ำหนักในการขนย้ายกว่า 400 ปอนด์ ซึ่งสามารถเข้าไปปฏิบัติงานในประเทศ ที่มีสมรภูมิ ที่ยากต่อการเข้าถึงได้ ซึ่งช่วยลดการสูญเสียของทหารได้ในการรบในบริเวณที่เสียเปรียบ

แม้กระทั่งกีฬาที่ใช้ความว่องไวสูงอย่าง ปิงปอง นั้น เราจะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีทางด้านแขนหุ่นในปัจจุบันได้พัฒนาไปมากขนาดไหน จาก video KUKA Robot นั้นคงแค่สื่อให้เห็นถึงความเร็วในการทำงานของแขนหุ่นมากกว่า ที่จะนำมาใช้ในการแข่ง ปิงปอง จริง ๆ ที่คิดว่าคงไม่มีใครกล้าจะลงทุนซื้ออย่างแน่นอน แต่ถ้ามองถึงการผลิตในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่นั้นความเร็วที่เป็นต่อในการผลิต ก็สามารถทำให้ได้เปรียบคู่แข่งได้ และอาจจะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างศักยภาพในการแข่งขันในตลาดได้

ในปีที่แล้วข่าวใหญ่ของวงการเกมส์โกะ โลกคือ ภาพของการพ่ายแพ้อย่างหมดรูปของ lee sedol มือโกะ อันดับต้น ๆ ของโลกในการประลองกับ AI อย่าง Alphago ซึ่ง ถือว่าเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญของ AI ที่มาเล่นในเกมส์ที่ซับซ้อนมาก ๆ อย่างเกมส์โกะ  ซึ่งต้องใช้การประมวลผลทางความคิดอย่างซับซ้อนเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับ AI ในเกมส์กระดานเดิมๆ  อย่าง หมากรุก หรือ หมากฮอส ซึ่ง Alphago นั้นได้พัฒนาขีดความสามารถในการเรียนรู้ และการตัดสินใจ ที่ก้าวขีดจำกัดของมนุษย์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สุดท้ายนี้เราได้มีโอกาสเห็นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง google พัฒนารถไร้คนขับมานานมากแล้ว ซึ่งตอนนี้คิดว่าเทคโนโลยีที่มีอยู่พร้อมสำหรับการที่จะนำไปใช้จริง อย่างที่บริษัทอย่าง Tesla ได้ทำมาแล้ว และประสบความสำเร็จอย่างสูง ในอดีตเราก็คงไม่เคยคิดว่า รถจะสามารถขับเองได้แบบอัตโนมัติ เหมือนในหนัง ซึ่งปัจจุบันถือว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่แปลกแต่อย่างใดสำหรับการมีรถที่ขับเคลื่อนได้แบบอัตโนมัติ เพราะข้อมูลจำนวนมหาศาล ตัวอย่างของ google คือ ข้อมูลจาก google map ที่มีจำนวนมหาศาลมีผู้ใช้งานอยู่ทั่วโลกนั้น ซึ่งก็ถูก google นำมาใช้ในการวิเคราะห์ เพื่อให้ AI ได้ทำการเรียนรู้ และนำมาพัฒนาเป็นรถยนต์ไร้คนขับอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้เราอาจจะได้เห็นรถขับเคลื่อนเองอัติโนมัติในหลาย ๆ งาน เช่น บริการด้านแท็กซี่ อาจจะไม่จำเป็นต้องพึ่งพามนุษย์ในการขับรถให้ AI คงไม่มีการส่งรถหรือปฏิเสธผู้โดยสาร ให้ปวดใจอีกต่อไป หรือ งานด้านการขนส่งอื่น ๆ ที่ไม่ต้องพึ่งพาคนขับรถอีกต่อไป ทั้งขนสินค้า หรือ ขนคน ก็ใช้ระบบอัติโนมัติทั้งหมด  รวมถึงสุดท้ายแล้วมนุษย์เราทุกคนอาจจะไม่ต้องขับรถเองกันแล้วก็ได้ และอาจจะมีความปลอดภัยกว่าการขับเอง เพราะมั่นใจได้อย่างนึงว่า AI ไม่มีการเมาแล้วขับอย่างแน่นอน

References : 

  1.      https://robonaut.jsc.nasa.gov/R2/
  2.      http://www.popularmechanics.com/technology/gadgets/a2804/4258963
  3.      https://qz.com/639952/googles-ai-won-the-game-go-by-defying-millennia-of-basic-human-instinct/

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol