Robots To The Rescue กับเทคโนโลยีหุ่นยนต์ช่วยลดการแพร่ระบาดของ Coronavirus

เมื่อแพทย์ในโรงพยาบาลวอชิงตันพยายามรักษาผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันครั้งแรกของ อู่ฮั่น coronavirus ในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันพุธที่ผ่านมาพวกเขาใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า Vici ที่อนุญาตให้พวกเขาโต้ตอบกับผู้ป่วยของพวกเขาโดยผ่านหน้าจอ 

อุปกรณ์ telehealth ซึ่งดูเหมือนแท็บเล็ตที่มีล้อที่แพทย์สามารถใช้พูดคุยกับผู้ป่วยและทำหน้าที่วินิจฉัยขั้นพื้นฐาน เช่น การวัดอุณหภูมิของพวกเขา ถือเป็นหนึ่งในเครื่องจักรไฮเทคจำนวนหนึ่งที่แพทย์ พนักงานสนามบิน และพนักงานโรงแรมใช้ เพื่อลดการระบาดของโรคที่ถูกค้นพบในอู่ฮั่นประเทศจีนในช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา 

“ ผู้ดูแลให้การดูแลภายในหน่วยที่แยกออกมาเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด แต่เทคโนโลยีช่วยให้เราสามารถลดจำนวนการสัมผัสอย่างใกล้ชิด” ดร. เอมี่ คอมป์ตัน – ฟิลลิปส์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่คลินิกของ Providence Regional Medical Center ในเอเวอเรตต์ วอชิงตัน ซึ่งผู้ป่วยที่ติดเชื้อ Coronavirus อยู่กำลังรับการรักษาอยู่ในขณะนี้

Vici ผลิตโดยบริษัทด้านเทคโนโลยีสุขภาพในแคลิฟอร์เนีย มีลักษณะคล้ายกับแท็บเล็ตบนล้อและสามารถปกป้องผู้ดูแลจากการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ การลดการแพร่กระจายของไวรัสตัวใหม่นี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเรายังไม่สามารถสร้างวัคซีนให้แก้ไขมันได้” คอมป์ตัน – ฟิลลิปส์ กล่าว ซึ่งในระหว่างการระบาดของโรคซาร์สไวรัสในโรคซาร์สในปี 2003 ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบคือเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพ 

คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนและศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคบอกว่าเชื้อสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนทำให้อุปกรณ์ telehealth และหุ่นยนต์ที่ลดการสัมผัสของมนุษย์ในโรงพยาบาลเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อดังกล่าวได้  

“การไม่ต้องอยู่ในพื้นที่เดียวกับผู้ป่วยเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าหน้าที่ ที่ควรจะหลีกเลี่ยง ผู้คนจำนวนน้อยที่สัมผัสกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ จะเป็นสิ่งที่ดีกว่า” Peter Seiff ผู้บริหารของAethon บริษัท เอกชนที่ตั้งอยู่ในเมือง Pittsburgh ที่จำหน่ายหุ่นยนต์ที่เรียกว่า TUG ที่ใช้ในการจัดการเวชภัณฑ์แบบอัตโนมัติทั่วโรงพยาบาล

อุปกรณ์ telehealth Vici และหุ่นยนต์ TUG ถูกนำมาใช้ในโรงพยาบาลทั่วสหรัฐอเมริกา
อุปกรณ์ telehealth Vici และหุ่นยนต์ TUG ถูกนำมาใช้ในโรงพยาบาลทั่วสหรัฐอเมริกา

หุ่นยนต์ TUG ของ Aethon ถูกนำไปใช้ในกว่า 140 แห่ง แม้ว่า บริษัท จะไม่แสดงความคิดเห็นว่าอุปกรณ์ดังกล่าวถูกใช้งานในโรงพยาบาลใด ๆ ในสหรัฐอเมริกาหรือไม่ ซึ่งมีผู้ป่วยมากกว่า 240 รายได้รับการตรวจหา coronavirus ใหม่ ที่ได้ฆ่าชีวิตอย่างน้อย 200 คนในประเทศจีนไปแล้ว 

ตามรายงานข่าวของจีน มีการใช้งานหุ่นยนต์เพื่อส่งมอบอาหารและเวชภัณฑ์ให้กับผู้ที่สงสัยว่าติดไวรัส หุ่นยนต์ตัวหนึ่งที่ชื่อว่า “Little Peanut ” กำลังส่งมอบอาหารให้กับผู้คนที่ถูกกักกันในโรงแรม ขณะที่โรงพยาบาลทางตอนใต้ของจีนได้ใช้งานหุ่นยนต์เพื่อทำการส่งยารักษาโรคและเก็บผ้าปูที่นอนและขยะ

นอกเหนือจากการส่งยา และ การรักษาแบบ telehealth กำลังมีความต้องการเพิ่มขึ้นสำหรับหุ่นยนต์สำหรับการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ

หุ่นยนต์ Xenex บริษัท ในซานอันโตนิโอ รัฐเท็กซัสซึ่งขายหุ่นยนต์ที่ใช้แสงซีนอน UVC พัลส์ เพื่อกำจัดเชื้อโรคกล่าวว่าอุปกรณ์ของ บริษัท กำลังถูกใช้ในการทำความสะอาดห้องพักในสถานที่ที่มีผู้ป่วยสงสัยว่าติดเชื้อดังกล่าวเช่นเดียวกัน 

“ ทีมวิทยาศาสตร์ของเราได้โทรศัพท์ติดต่อกับโรงพยาบาลเพื่อหารือเกี่ยวกับโปรโตคอลสำหรับการฆ่าเชื้อในห้องและพื้นที่ที่ผู้ป่วยสงสัยได้รับการรักษา” Melinda Hart โฆษกกล่าว “ เราได้ติดต่อกับหน่วยงานภาครัฐในประเทศจีนและสหรัฐอเมริกาเพื่อสำรวจว่าเราสามารถส่งออกหุ่นยนต์ไปยังประเทศจีนได้เร็วแค่ไหน”

ในขณะเดียวกัน บริษัท Dimer ซึ่งเป็น บริษัท ในลอสแองเจลิสได้เสนอเครื่องฆ่าเชื้อโรคให้กับสายการบินแห่งหนึ่งที่สนามบินนานาชาติของเมืองฟรี โดยปกติอุปกรณ์ GermFalcon ขายในราคา 100,000 เหรียญสหรัฐ ต่อหน่วย 

Dimer GermFalcon ดำเนินการบนเครื่องบินที่ LAX
Dimer GermFalcon ดำเนินการบนเครื่องบินที่ LAX

“ เราได้ทำการฆ่าเชื้อภายใจเครื่องบินขาเข้าจากประเทศจีนที่ LAX ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา” Elliot M. Kreitenberg ประธานของ Dimer กล่าว “เครื่องของเราเหมาะกับการตกแต่งภายในของเครื่องบิน อุปกรณ์ที่ดูเหมือนชิ้นส่วนปริศนา และให้แสงอัลตราไวโอเลตปริมาณสูงแก่พื้นผิวที่คุณสัมผัสมากที่สุดในเที่ยวบินระยะไกลจากประเทศจีน” 

ในขณะที่เครื่องช่วยเหลือเหล่านี้ด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างหุ่นยนต์ มีมากขึ้น กว่าตอนในช่วงการระบาดของโรคซาร์ส ในปี 2003 ทำให้สามารถช่วยลดการแพร่กระจายของไวรัสใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

ความคิดเห็นเพิ่มเติมจากผู้เขียน

แน่นอนว่า โลกเราได้เรียนรู้ผ่านการระบาดของไวรัสครั้งใหญ่ ตัวอย่างของโรคซาร์ส ในปี 2003 ซึ่งทำให้เราสามารถสร้างเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างหุ่นยนต์ หรือ Telehealth เพื่อป้องกันการกระจายของไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ก่อนหน้านี้ เทคโนโลยีอย่าง Machine Learning ของ BlueDot ก็สามารถช่วยในการทำนายการแพร่กระจาย ของไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในอนาคต ผมก็เชื่อว่าเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านี้ จะมีบทบาทที่สำคัญ ที่จะช่วยให้ ไวรัสใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น สร้างความเสียหายให้กับโลกเราได้น้อยลงเรื่อย ๆ ได้อย่างแน่นอนครับ

References : https://www.forbes.com/sites/jilliandonfro/2020/02/02/robots-to-the-rescue-how-high-tech-machines-are-being-used-to-contain-the-wuhan-coronavirus/#6e61b73f1779

เมื่อไทยมีประสิทธิภาพในการจัดการการระบาดของ Coronavirus ได้ดีกว่า ญี่ปุ่น และ สิงค์โปร์

ผมมีข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจ และสามารถคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้แบบง่าย ๆ ว่าประสิทธิภาพในการจัดการการแพร่ระบาดของ Coronavirus ของประเทศไทยนั้นทำได้ดีกว่า ทั้งญี่ปุ่น และ สิงค์โปร์

ต้องบอกว่า สถานการณ์การระบาดของ Coronavirus ที่มีต้นตอมาจากเมือง อู่ฮั่น ของประเทศจีน ดูจะไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายลง และ ดูเหมือนว่า การแพร่กระจายนั้นจะทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ ในหลาย ๆ ประเทศที่ต้องประสบพบเจอกับปัญหาดังกล่าว

แน่นอนว่า ประเทศที่จะต้องเจอปัญหามากกว่าใครก็คือ ประเทศไทย เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวปลายทางอันดับหนึ่งของประเทศจีน รวมถึงชาวเมือง อู่ฮั่นเองก็ตาม ทำให้ประเทศเราต้องทำงานหนักกว่าใครในการแก้ปัญหาดังกล่าว

ที่มาภาพ : thestandard.co
ที่มาภาพ : thestandard.co

คราวนี้เรามาลองพิจารณาดูจากข้อมูล การเดินทางของชาว อู่ฮั่น ที่เป็นต้นตอของเชื้อ Coronavirus ซึ่งเราจะเห็นได้ชัดเจนจากข้อมูลจาก thestandard.co ว่า พวกเขาเดินทางมายังกรุงเทพมหานครของเราสูงถึง 20,000 คน

ซึ่งแน่นอนว่าตัวเลขนี้ก็สัมพันธ์กับที่สื่อต่างชาติออกข่าวมาก่อนหน้านี้ ในเรื่องที่ว่า กรุงเทพเป็นเมืองที่มีความเสี่ยงที่สุดสำหรับ coronavirus ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับความจริงว่ามันถูกต้องเพราะนักท่องเที่ยวจาก อู่ฮั่น เดินทางเข้ามากรุงเทพมากที่สุด มันก็สมเหตุสมผลกับคำว่าเสี่ยงที่สุดอย่างที่สื่อได้ประโคมข่าวกันไปก่อนหน้านี้ แต่เขาไม่ได้หมายความว่าประสิทธิภาพการจัดการการแพร่ระบาดของ coronavirus ในประเทศเราต่ำสุดซะหน่อย

ข้อมูลจาก -  ลงทุนแมน
ข้อมูลจาก – ลงทุนแมน

คราวนี้มาดูตัวเลขล่าสุดอัพเดทวันที่ 2 ก.พ. 2020 นั้นจะพบว่า ญี่ปุ่นได้แซงไทยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับตัวเลขผู้ติดเชื้อ ซึ่งทั้งสามประเทศนั้น มีจำนวนผู้ติดเชื้อใกล้เคียงกัน คือ ญี่ปุ่น 20 ราย , ไทย 19 ราย และ สิงค์โปร์ 18 ราย

% การติดเชื้อเที่ยบกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามา
% การติดเชื้อเที่ยบกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามา

เมื่อเอาข้อมูลมา plot กราฟแบบเบสิก สุด ๆ ก็พบว่า % การติดเชื้อของเรานั้นต่ำมากแค่ 0.095% เท่านั้น ส่วน สิงค์โปร์ 0.169% ตามมาด้วย ญี่ปุ่นที่ 0.220%

จากข้อมูลนี้ก็เป็นตัวเลขหนึ่งที่น่าจะมีความเป็นไปได้ว่า ประเทศไทย มีการจัดการสำหรับการแพร่ระบาดของ coronavirus ได้ดีกว่า ทั้ง สิงค์โปร์ และ ญี่ปุ่น ซึ่งการจัดการที่มีประสิทธิภาพนั้น รวมถึงการติดตาม monitor เหล่านักท่องเที่ยวจีน โดยเฉพาะจากเมืองอู่ฮั่น ที่หากมีเชื้ออยู่นั่น จะไม่กระจายไปสู่วงกว้าง ซึ่งแน่นอนว่าต้องอาศัยระบบการจัดการในเรื่องดังกล่าวที่มีประสิทธิภาพ จึงทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อในไทยไม่กระโดดสูงมาก ทั้งที่แบกรับภาระจำนวนนักท่องเที่ยวจากอู่ฮั่นมากกว่าประเทศอื่น ๆ นอกเหนือจากในประเทศจีนนั่นเอง

แต่หลายคนอาจจะบอกว่า รัฐบาลไทย ไม่โชว์ตัวเลขที่แท้จริงหรือไม่ ซึ่งก็เป็นคำถามที่สามารถถามได้เช่นเดียวกันว่า ตัวเลขของรัฐบาล ญี่ปุ่น และ สิงค์โปร์นั้น มีการปกปิดข้อมูลหรือไม่ เพราะฉะนั้นตัวเลขที่ออกมาประกาศแบบเปิดเผยเหล่านี้น่าจะเป็นตัวเลขที่เชื่อถือได้มากที่สุด เท่าที่เราจะหาข้อมูลมาเปรียบเทียบได้นั่นเอง

แล้วทำไม? ไทยถึงมีประสิทธิภาพที่ดีที่สุดในการจัดการการแพร่ระบาด

ต้องบอกว่า ประเทศไทยนั้น ผ่านประสบการณ์เรื่องราวเหล่านี้มาแล้ว และมีผลงานเป็นที่ยอมรับในอันดับต้น ๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นจากโรคซาร์ หรือ ไข้หวัดนก และที่สำคัญประเทศไทย นั้นเป็นประเทศหนึ่งที่มีบุคลากรที่มีคุณภาพลำดับต้น ๆ ของประเทศ ที่ทำงานอยู่ในวงการสาธารณสุขไทย

ลองจินตนาการง่าย ๆ ว่า เพื่อนเราระดับเทพ ๆ เรียนเก่ง ๆ สมัยตอนเรียนอยู่มัธยมนั้น ไปกระจุกตัวอยู่ที่อาชีพไหน แน่นอนหลาย ๆ คน ก็ต้องตอบว่าหนีไม่พ้นวงการสาธารณสุขนั่นเอง มันทำให้วงการสาธารณสุขของไทย ในหลาย ๆ เรื่องนั้น มีมาตรฐานในระดับโลก ทั้งเรื่องคุณภาพในการรักษา งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับวงการสาธารณสุข อย่างข่าวล่าสุดที่โรงพยาบาลราชวิถีคิดค้นวิธีการรักษาผู้ป่วยติดไวรัสโคโรน่าที่มีอาการรุนแรงได้สำเร็จ ซึ่งรวมถึงเรื่องการจัดการการแพร่ระบาดอย่างที่เราได้เห็นจากข้อมูลดังกล่าว

บทความนี้เป็นการแสดงข้อมูลเบื้องต้นให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการจัดการการแพร่ระบาดของประเทศไทย ที่ผมก็ยังมองว่าไม่แพ้ชาติใด ๆ ในโลก และเป็นกำลังใจให้กับทีมงานทุกภาคส่วนที่ดูแลเรื่องนี้ ที่ต้องทำงานอย่างหนักมาก ๆ จนได้ผลงานอย่างที่เราได้เห็น

แต่ข้อมูลจากบทความนี้ไม่ได้หมายความว่าเรื่องอื่น ๆ ของประเทศไทย จะมีประสิทธิภาพเหมือนการควบคุมการแพร่ระบาดของ coronavirus ต้องมีการแยกเป็นประเด็น ๆ ออกไป เช่น เรื่องของการช่วยเหลือคนไทยในการอพยพมาจากแหล่งต้นตอของการแพร่ไวรัสในเมืองอู่ฮั่น ที่ดูจะเชื่องช้าและสามารถทำให้มีประสิทธิภาพได้มากกว่านี้

แต่อย่างไรก็ดี ถึงการจัดการกับการแพร่ระบาดจะมีประสิทธิภาพยังไง เราก็ยังคงต้องระวังตัวเองให้ดีที่สุด เพราะดูเหมือนจำนวนผู้ติดเชื้อจะมีจำนวนสูงขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีทีท่าว่าปัญหาดังกล่าวจะได้รับการแก้ไขโดยง่าย เพราะฉะนั้นการสวมหน้ากากเมื่อออกไปยังสถานที่สาธารณะจึงเป็นสิ่งที่ปกป้องเราได้ดีที่สุดนั่นเองครับผม

*** ข้อมูลตัวเลขจากบทความนี้ อ้างอิงถึงวันที่ 2 ก.พ. 2020 ครับผม ***

*** เพิ่มเติม หลังจากได้รับ Feedback จากบทความนี้นะครับ ข้อมูลนี้อาจจะสรุปไม่ได้ชัดเจนในเรื่องนี้แบบ 100% เพราะสุดท้ายเราไม่รู้ว่า กลุ่มผู้ป่วยจริง ๆ จากอู่ฮั่นนั้น เดินทางไปที่ใดมากกว่ากัน ผมเพียงแค่นำข้อมูลที่มีการปล่อยออกมาเพื่อเทียบให้เห็นประสิทธิภาพของ การทำงานของเจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้องน่ะครับ ว่าคนของเราก็ไม่เป็นสองรองใครในโลกนี้ สำหรับการจัดการเรื่องนี้ครับผม ผมแก้ไขคำเป็น -จากข้อมูลนี้ก็เป็นตัวเลขหนึ่งที่น่าจะมีความเป็นไปได้ว่า- แทนนะครับ***

Referenes : ลงทุนแมน , thestandard.co

เมื่อ Facebook , Google และ Twitter กำลังแข่งกันกระจายข้อมูลผิด ๆ เกี่ยวกับ Coronavirus

การแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของ coronavirus ในประเทศจีนและทั่วโลกได้ส่งผลให้ แพลตฟอร์มออนไลน์ยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook, Google และ Twitter เกิดการแพร่กระจายชุดข้อมูลของความจริงที่ถูกต้องและความเท็จที่ผิดพลาดอีกมากมายเกี่ยวกับการระบาดร้ายแรงครั้งนี้

ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีทั้งสามแห่งใน Silicon Valley พยายามที่จะลดการเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพที่เป็นอันตรายรวมถึงการโพสต์ภาพถ่ายและวิดีโอที่พยายามทำให้ผู้คนแตกตื่น 

Facebook และทีมงาน ได้พยายามที่จะต่อสู้กับทฤษฎีสมคบคิดที่แพร่หลายรวมถึงการหลอกลวงที่อ้างว่ามาจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐฯอย่างไม่ถูกต้อง  ซึ่งข้อมูลที่ผิดบางส่วนได้แพร่กระจายผ่าน Facebook ส่วนตัว ซึ่งเป็นช่องทางที่ยากสำหรับนักวิจัยและทีมงานของ Facebook ในการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากข่าวแพร่ระบาดครั้งแรกเกี่ยวกับ coronavirus

“ออริกาโนออยล์พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพต่อต้านโคโรนาไวรัส” โพสต์ที่มีการแชร์อย่างน้อย 2,000 ครั้งในหลายกลุ่มภายในวันจันทร์ที่ผ่านมาก โพสต์ต้นฉบับเป็นข้อมูลเก่า และนักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวว่าไม่มีการรักษาดังกล่าวสำหรับ coronavirus

โดยเจ็ดองค์กรที่เป็นพันธมิตรกับ Facebook ได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง 9 ครั้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาโดยพบว่ามีโพสต์เกี่ยวกับ coronavirus หลายตัวที่ถูกระบุว่าเป็นข้อมูลเท็จซึ่งรวมถึงการรักษาด้วยยาปลอม  Facebook กล่าวว่ามีข้อความที่ไม่ถูกต้องและได้ทำการลดการมองเห็นลงในฟีดข้อมูลรายวันของผู้ใช้งาน

ข้อมูล fake news จำนวนมากถูกเผยแพร่บน facebook
ข้อมูล fake news จำนวนมากถูกเผยแพร่บน facebook

ส่วนทวิตเตอร์ ผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกาค้นหา hashtags coronavirus ที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค YouTube ของ Google กล่าวว่าอัลกอริทึมของพวกเขามีการจัดลำดับความสำคัญของแหล่งที่น่าเชื่อถือมากขึ้น ถึงกระนั้นวิดีโอจำนวนหนึ่งรวมทั้งที่มีมากกว่า 430,000 วีดีโอ ได้ส่งข้อมูลที่น่าสงสัยเกี่ยวกับต้นกำเนิดของ coronavirus และวิธีการแพร่ระบาดของมัน

ในการค้นหาข้อมูลที่ผิดพลาดเกี่ยวกับ coronavirus, Facebook, Google และ Twitter ก็กำลังต่อสู้กับความรับผิดชอบของพวกเขาในฐานะผู้ดูแลข้อมูลขาเข้าจากผู้ใช้งาน ซึ่งมีทั้งข้อมูลที่จริง และ เท็จ

โดยทั่วไปแล้วยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีทั้งสาม จะรักษานโยบายเฉพาะเกี่ยวกับการโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้แน่ใจว่าการสร้างข้อมูลทางดิจิทัลจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อโลกแห่งความจริง 

แต่บริการที่ได้รับความนิยมสูงสุดของ Silicon Valley ยังคงดิ้นรนเพื่อสร้างสมดุลกับการเฝ้าระวังของหน่วยงานกำกับดูแลและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ยกตัวอย่าง เช่น หลายเดือนก่อนที่ Facebook ทำการตอบโต้เนื้อหาที่เชื่อมโยงวัคซีนกับออทิซึมอย่างผิด ๆ ซึ่งมีผู้คนจำนวนมากที่ส่งเสริมการรักษาแบบผิด ๆ และข้อมูลดังกล่าวก็ยังคงอยู่ในแพลตฟอร์ม แม้ว่า Facebook จะเตือนผู้คนที่จะเข้าไปร่วมกลุ่มก่อนแล้วก็ตามที

ในทำนองเดียวกันกับวิดีโอต่อต้านการฉีดวัคซีน Google ได้ทำการปรับแต่งอัลกอริทึมของ YouTube เมื่อปีที่แล้วเพื่อหยุดเนื้อหาที่เป็นอันตรายจำนวนมากไม่ให้ปรากฏในผลการค้นหา และ Twitter ได้พยายามทำสิ่งที่คล้ายคลึงกัน แต่การบิดเบือนข้อมูลที่เป็นอันตรายยังคงมีอยู่ในแพลตฟอร์มเหล่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสหรัฐฯยังคงมองว่าโซเชียลมีเดียยังมีช่องโหว่กับเรื่องดังกล่าวอยู่

Youtube มีการปรับอัลกอริทึมเพื่อป้องกันข่าวปลอม
Youtube มีการปรับอัลกอริทึมเพื่อป้องกันข่าวปลอม

เมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น Facebook และ Twitter ในช่วงสุดสัปดาห์ พบว่ามีโพสต์ยอดนิยมจำนวนมาก ที่ให้ข้อมูลผิด ๆ ว่าสหรัฐฯหรือรัฐบาลต่างประเทศอื่น ๆ ได้รับสิทธิบัตรสำหรับ coronavirus มาก่อนหน้านี้แล้ว โดยมีทวีตรายหนึ่งเรียก Coronavirus ว่า “โรคแฟชั่น” ซ้ำแล้วซ้ำอีกซึ่งเป็นโรคที่ได้รับการจดสิทธิบัตรมาแล้ว และมีการแชร์ประมาณ 5,000 ครั้งบน Twitter เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

ผู้ใช้ Facebook หลายพันคนยังได้เข้าร่วมชุมชนที่สร้างขึ้นใหม่โดยเฉพาะเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ coronavirus ซึ่งเป็นการค้นหาจากเว็บไซต์เครือข่ายสังคมเหล่านี้ ซึ่งเป็นการสร้างชุดข้อมูลที่ผิดๆ

มีผู้ใช้ Facebook มากกว่า 1,100 รายซึ่งดูเหมือนจะกลัวความเจ็บป่วยที่รุนแรง ในกลุ่มที่มีชื่อว่า“ Coronavirus Warning Watch” โดยผู้คนในกลุ่มมีการแลกเปลี่ยนทฤษฎีเกี่ยวกับการแพร่กระจายของมัน ในบางกรณีโยงเรื่องดังกล่าวไปเกี่ยวข้องกับแผนการ “การลดประชากร” ของรัฐบาล เช่นเดียวกับทุกกลุ่มโพสต์ภาพถ่ายและวิดีโอที่แชร์จะถูกส่งไปยังฟีดข่าวของผู้เข้าร่วมเพื่อเพิ่มการเข้าถึงให้มากที่สุด

ยังมีคนอื่น ๆ ใน facebook ที่ใช้กลุ่ม coronavirus เพื่อเน้นทฤษฎีที่ น้ำมันออริกาโนหรือซิลเวอร์คอลลอยด์สามารถรักษาโรคดังกล่าวได้ซึ่งเป็นข้อมูลเท็จ โดยในบางกรณีจะมีการโพสต์ลิงก์ไปยังวิดีโอ YouTube รวมถึงคลิปยอดฮิตที่มีความยาว 11 นาที ตอนนี้มีผู้ชมมากกว่า 20,000 ครั้งซึ่งเป็นการกล่าวอย่างผิด ๆ ว่าไวรัสได้ฆ่าชีวิต กว่า 180,000 คน ในประเทศจีน

Farshad Shadloo โฆษกของ YouTube กล่าวว่า บริษัท “ลงทุนอย่างหนักเพื่อเพิ่มเนื้อหาที่มีความถูกต้องบนเว็บไซต์ของเราและลดการแพร่กระจายของข้อมูลที่ผิดใน YouTube” เช่น สร้างความมั่นใจว่าผู้ที่ค้นหาข่าวจะเห็นผลลัพธ์ที่เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง YouTube ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดหากมีการดำเนินการเฉพาะอื่น ๆ เกี่ยวกับวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับ coronavirus

ส่วนใน Twitter ในขณะเดียวกันผู้ใช้บางคนที่มีผู้ติดตามจำนวนมากได้แชร์ข้อมูลว่า coronavirus แพร่กระจายไปสู่มนุษย์เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารจีน ซึ่งรวมถึงเรื่องเกี่ยวกับการเหยียดผิวชาวจีน โดยผู้เชี่ยวชาญกล่าวในตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ได้ชี้ไปที่ต้นกำเนิดของการติดเชื้ออย่างชัดเจนนัก ยังต้องมีการตรวจสอบให้ชัดเจนอีกซักระยะหนึ่ง

ความคิดเห็นเพิ่มเติมจากผู้เขียน

จะเห็นได้ว่าปัญหาเรื่อง Fakenews นั้น มันไม่ได้มีเฉพาะแค่ในประเทศไทยเราอย่างเดียวเท่านั้น เราจะเห็นได้ว่าหากเกิดวิกฤติคราใด เหล่าข้อมูลเท็จก็จะออกมามากมายผ่านเครือข่ายแพลตฟอร์มออนไลน์ยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Facebook , Google หรือ Twitter

ในฝั่งตะวันตกนั้น อาจจะมีระบบการตรวจสอบบ้างอย่างที่กล่าวในบทความนี้ เนื่องจากสามารถใช้ เทคนิคทางด้าน computer algorithm ในการตรวจจับข่าวเท็จเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษอาจจะเป็นสิ่งที่ตรวจสอบได้ง่าย

แต่พอมาเป็นภาษาอื่น ๆ อย่างในภาษาไทยของเรา เราจะสังเกตได้ว่า ระบบแทบจะไม่ได้ตรวจจับข้อมูลเท็จเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องข้อจำกัดของภาษาอย่างนึง ที่แพลตฟอร์มเหล่านี้ไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนข้อมูลภาษาอังกฤษ

ผมก็เป็นอีกหนึ่งคนที่เห็นด้วยมาก ๆ ที่เรื่องของ Fakenews เหล่านี้ แพลตฟอร์มออนไลน์เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น Facebook , Twitter หรือ Google ต้องมีส่วนในการรับผิดชอบกับเรื่องดังกล่าว เพราะพวกเขาเป็นคนรับข้อมูลเข้าระบบ การตรวจสอบต่าง ๆ นั้นจะง่ายกว่า ให้รัฐบาลแต่ละประเทศมาจัดการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยาก และที่สำคัญน่าจะใช้ต้นทุนที่ต่ำกว่าการมาแก้ที่ปลายเหตุมาก ๆ

แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องท้าทายที่สำคัญของแพลตฟอร์มออนไลน์เหล่านี้ ในการสร้างความน่าเชื่อถือของข้อมูล และที่สำคัญก็คือ ด้วยกลไกทางด้านอัลกอริธึม ที่เน้นการสร้าง engagement มากที่สุด ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่ทำให้ข้อมูลเท็จ Fakenews เหล่านี้ ถูกกระจายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว และ ทำให้ผู้คนต่างหันมาเลียนแบบได้ เพราะมันได้มาซึ่ง engagement ที่ดีขึ้นนั่นเอง ซึ่งสุดท้ายมันเป็นการเพิ่มรายได้ที่จะเข้ามาจากแพลตฟอร์มเหล่านี้

มีแนวคิดหนึ่งที่ผมเคยได้อ่านจากเรื่องราวของ Jack Ma ที่จัดการเรื่องนี้ในประเทศจีน หากไม่สามารถกรองข้อมูล input ขาเข้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แพลตฟอร์มก็ควรมีการ Hold โพสต์ใด ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเข้าใจผิด ๆ อย่าง เรื่องทางด้านสาธารณสุข หรือ ข้อมูลสุขภาพ เมื่อมีการแพร่กระจายแบบผิตปรกติเสียก่อน

ข้อมูลเหล่านี้ควรมากจาก Account ที่ มีการ Verified ที่ชัดเจนแล้ว เช่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรื่องดังกล่าวจริง ๆ เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ควรให้คนทั่วไปกระจายข่าวมั่ว ๆ ได้แบบง่าย ๆ ควร Hold ไว้แล้วตรวจสอบก่อน หากเป็นแหล่งที่ยังไม่ได้รับการ Verified ข้อมูลอย่างถูกต้อง เพราะเรื่องเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น Coronavirus อย่างที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ ที่ไม่ควรที่จะมีข้อมูลเท็จปล่อยออกมาจากแพล็ตฟอร์มเหล่านี้ นั่นเองครับ

References : https://www.washingtonpost.com/technology/2020/01/27/facebook-google-twitter-scramble-stop-misinformation-about-coronavirus/ https://www.20minutos.es/noticia/4133023/0/facebook-twitter-y-google-se-unen-a-la-lucha-contra-el-coronavirus-combatiendo-las-fake-news/