Movie Review : Burden (เบอร์เดน)

ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานที่เกี่ยวข้องกับกระแสการเหยียดผิว ที่น่าสนใจเลยทีเดียวสำหรับ Burden (เบอร์เดน) หลังกระแสการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชาวผิวสี ใน #BlackLivesMatter กำลังดังกระฉ่อนโลกอยู่ในขณะนี้

ต้องบอกก่อนว่า หนังเรื่องนี้นั้นถ่ายทอดมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริง ที่เกิดขึ้นของ ไมค์ เบอร์เดนที่รับบทโดย (Garrett Hedlund) เด็กกำพร้าที่ถูกเลี้ยงดูโดยกลุ่ม คลูคลักซ์แคลน (KKK) หรือ ลัทธิเหยียดผิวหัวรุนแรง ในช่วงปี 1996 ในรัฐ เซาท์คาโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา

ซึ่งนั่นเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของการเกลียดคนผิวสีมาตั้งแต่เด็กสำหรับ ไมค์ เบอร์เดน จนชีวิตเขามาเปลี่ยนเพราะมาเจอคนรักอย่าง จูดี้ (Andrea Riseborough) ที่เขาหลงรักหัวปักหัวปำ และเป็นเธอนั่นเองที่มาเปลี่ยนแปลงชีวิต และความคิดต่าง ๆ ของ ไมค์ เบอร์เดน ในเรื่องการเหยียดผิวให้กับเขา

ซึ่งสุดท้ายมันทำให้นอกจากเบอร์เดนจะไม่เป็นที่ต้อนรับจากฝั่งของคนผิวขาวหัวรุนแรง ฝั่งของชุมชนคนผิวดำก็ไม่ต้อนรับเขาเช่นกัน ซึ่ง สาธุคุณเคนเนดี (Forest Whitaker) เป็นเพียงคนเดียวที่พยายามช่วยเหลือและเห็นใจเบอร์เดน แม้ว่ามันจะทำให้เขามีปัญหา ถูกคนในสังคมเดียวกันไม่พอใจตามไปด้วยก็ตามที

ซึ่งการดำเนินเรื่องที่ถ่ายทอดมาจากเรื่องจริง ทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งการผูกปม เรื่องความรัก ครอบครัว การเหยียดผิว ทำได้อย่างลงตัวมาก ๆ มันเป็นเรื่องจริงที่เหมาะที่จะมาสร้างเป็นภาพยนต์เป็นอย่างยิ่ง

เพราะความสัมพันธ์มันเกิดการ conflict ระหว่างเรื่องของครอบครัว และ คนรักของเขา และตัว Garrett Hedlund ที่มารับบท ไมค์ เบอร์เดน นั้นทำการแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ๆ ดูสมจริง เหมือนเขาได้เป็นไมค์ เบอร์เดนจริง ๆ (หน้าตัวจริงก็คล้าย ๆ เขาด้วย) แม้หนังจะไม่ได้ถ่ายทอดรายละเอียดของกลุ่ม KKK (คลูคลักซ์แคลน) มากนัก อย่างที่ผมหวังไว้ในตอนแรกก็ตามที

ส่วนบทบาทของ สาธุคุณเคนเนดี ที่รับบท โดย Forest Whitaker นั้นก็ยังคงมาตรฐานการแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย แม้บทของเขานั้นอาจจะดูไม่เข้มข้ม เหมือนหนังเรื่องอื่น ๆ แต่ ก็ถือเป็นนักแสดงยอดฝีมือ ที่ เหมาะกับบทนี้มาก ๆ

โดยรวมแล้วนั้น หนังได้ถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ๆ ปัญหาเรื่องความคิด ทัศนคติ เกี่ยวกับคนผิวสี การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งโดยเฉพาะลัทธิหัวรุนแรงอย่าง KKK แล้วนั้น มันทำให้เรามองเห็นภาพความสะเทือนใจของปัญหานี้ในอดีตได้อย่างดียิ่ง ที่ยังคงต่อเนื่องมาจวบจนถึงยุคปัจจุบัน ที่ปัญหาเหล่านี้ก็ดูเหมือนไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย

ข้อเสียอย่างเดียวของหนังเรื่องนี้ ก็คือ เนื่องจากมันมาจากเรื่องจริง ทำให้ตอนจบของหนัง มันดูธรรมดาไปหน่อย ไม่มีพลิก ไม่มีหักมุมใด ๆ เป็นการจบแบบเรียบ ๆ ซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่ามาจากเรื่องจริง ซึ่งไม่สามารถที่จะพลิกอะไรได้มากมายอยู่แล้ว

แต่ สุดท้าย Burden ก็เป็นหนังที่ผมไม่ผิดหวังเลยจริง ๆ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวการเหยีดสีผิว ที่เป็นปัญหาร้อนแรงในสังคมอเมริกัน ได้อย่างน่าสนใจอีกเรื่องนึงทีเดียว ซึ่งถือว่าเป็นหนังที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งครับ