ผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ของฮ่องกง Samathur Li Kin-kan กำลังฟ้องร้อง บริษัท ที่จัดการบัญชีการลงทุนของเขาให้เกิดความสูญเสียหลายล้านดอลลาร์ซึ่งเป็นคดีที่ศาลชั้นต้นได้เข้ามาตีความว่าใครควรเป็นผู้รับผิดชอบเมื่อมีการนำ AI เข้ามาใช้ในการลงทุน เพิ่มมากขึ้น
จากเรื่องราวของ Bloomberg เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว Li ได้พบกับ Raffaele Costa ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Tyndaris Investments ในเดือนมีนาคม 2017 โดยทาง Costa บอกกับ Li ว่าบริษัทของเขากำลังเปิดตัวกองทุนป้องกันความเสี่ยงโดย AI ที่มีการควบคุมโดยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ชื่อ K1
หลี่แสดงความสนใจในกองทุนดังกล่าว ดังนั้น Costa ได้เริ่มทำการสาธิตให้กับ Li ซึ่งแสดงให้เห็นว่า K1 สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนเป็นตัวเลขสองหลักได้อย่างไร
K1 เริ่มจัดการการลงทุนของ Li ในปลายปี 2017 และเมื่อถึงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา AI เกิดการสูญเสียเงินไปเรื่อย ๆ ซึ่งทำให้เงินทุนของ Li เกิดความสูญเสียมากกว่า 20 ล้านเหรียญ
ทนายความของ Tyndaris ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวโดยยืนยันว่า บริษัท ไม่เคยรับประกันใด ๆ ว่า AI จะทำเงินให้หลี่
จากข้อมูลของBloomberg คดีนี้เป็นตัวอย่างแรกของมนุษย์ที่มีต่อศาลในเรื่องการสูญเสียทางการเงินที่เกิดจากระบบการซื้อขายแบบ AI อย่างไรก็ตามมันอาจจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราเห็นว่าระบบตุลาการนั้นจะเข้ามาข้องเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของ AI ที่เพิ่มขึ้นเป็นดอกเห็ดในปัจจุบัน
คำถามที่ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบเมื่อ AI ทำผิดพลาดนั้น กำลังเป็นปัญหาที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ของอุตสาหกรรมเกือบทุกอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยี ไล่ตั้งแต่การขนส่ง ไปจนถึง การดูแลสุขภาพ แม้กระทั่งในเรื่องของกฏหมายเองก็ตาม AI ก็กำลังเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
ควรเป็นคนที่เขียน Code หรือไม่? หรือจะเป็นคนที่ทำการตลาด AI หรือไม่? หรือผู้ใช้เองที่ควรรับผิดชอบต่อผลที่เกิดขึ้นจากการที่เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่คุณเป็นคนเลือกใช้เอง?
โดยส่วนตัวนั้นเป็นคนชอบดู Documentary ของทางเมืองนอก โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับวงการ IT และ Series หนึ่งที่ชอบติดตามดูเป็นพิเศษคือ Game Change : ของทางฝั่ง Bloombergที่ได้สร้าง Documentary ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา case study ทางธุรกิจ ที่น่าสนใจในหลาย ๆ ประเด็น
สำหรับตอนที่จะกล่าวใน blog นี้คือ How Microsoft Attacked the Beast who created Netscape, Mozilla Firefox & invested Skype เป็นเรื่องราวในยุคต้นกำเนิดของ Internet ซึ่งเราคงมองภาพไม่ออกในยุคแรก ๆ ที่ยังไม่มี internet ใช้ ในสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหม่มาก ๆ สำหรับการสร้าง Web Browser มาซัวในยุคปลาย 1990
สำหรับ Browser ตัวแรกของโลกนั้นต้องยกให้กับ Mosaic ที่พัฒนาโดย Lab ของ University of Illinois of Urbana Chanpaignที่ผู้ที่ได้ว่าเป็นผู้ถือกำเนิดมันก็คือ Marc Andreessenซึ่งต้องถือเป็นเจ้าพ่อ internet ในยุคแรก ๆ เลยก็ว่าที่ทำให้ internet เป็น Graphic ที่สวยงามให้คนทั่วไปใช้งานได้อย่างง่ายดาย
ซึ่งในช่วงนั้นยังเป็นรูปแบบของ text mode อยู่ หลังจากปล่อยให้ Download Free และเป็นที่นิยมอย่างมากแล้วนั้น Marc ก็ถูกนายทุน โดย Jim Clarkที่ชักชวน Marc ให้มาเปิดบริษัทเพื่อพัฒนา Web Browser เพื่อขายเป็น commercial โดยได้ร่วมตั้ง Netscape ขึ้นมา ต้องถือว่าโชคดีผมก็มีโอกาสได้ใช้ Netscape กับเค้าเหมือนกัน ๆ กันยุคแรก ๆ ก่อนที่ Microsoft จะใช้ IE ตีตลาดจนไม่เหลือที่ว่างให้ Netscape และก็ได้มีโอกาสได้สร้าง HTML Web ในช่วงแรก ๆ เหมือนกันซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เบนเข็มมาเรียนทางด้าน Computer Engineer
แต่การเกิดขึ้นของ NetScape นั้นเหมือนเป็นการปลุกยักษ์ให้ตื่น Microsoft ในสมัยนั้นเป็นบริษัทที่มูลค่าแทบจะสูงที่สุดในโลกของ Technology Company ซึ่ง Gate ก็ไม่รอช้า ในช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่ Microsoft ต้องออก OS ใหม่พอดีซึ่งก็คือ Microsoft Windows 95
โดยทาง Microsoft นั้นใช้แผนที่เหนือเมฆ คือนำ Internet Exproler ออกสู่ตลาดโดยแถมมากับระบบปฏิบัติการ Windows 95 เลยแทบจะทันที โดย microsoft นั้นก็ได้พัฒนาตัว IE โดยใช้พื้นฐานมาจาก Mosaic ที่ Marc เป็นคนพัฒนาขึ้นในตอนอยู่ University of illinois of Urbana Chanpaign นั่นเอง
ซึ่ง Microsoft นั้นเป็นบริษัทที่ทุนหนาอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหาเรื่องการเงินแต่อย่างใด ในการแถม Browser ไปกับระบบปฏิบัติการ และเป็นยิ่งส่งเสริมให้คนหันมาใช้ ระบบปฏิบัติการ Windows 95 มากยิ่งขึ้นเสียไปอีก ซึ่งเป็นความโหดมากของ microsoft ในการแทบจะ ฆ่า Netscape ออกไปจากตลาด และ เพิ่มยอดขายของ Windows 95 เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยทีเดียว
สุดท้ายก็มีการฟ้องร้องกันหาว่า Microsoft ผูกขาดการตลาดของระบบปฏิบัติการ ทางฝั่ง microsoft นั้นก็ไม่แยแสในเรื่องที่เกิดขึ้นเดินหน้าแถม Browser ต่อไปจนครองส่วนแบ่งแทบจะทั้งหมดของ Browser ในขณะนั้น
และ ทำให้ Netscape ต้องถูกขายให้กับ AOL ในภายหลังก่อนจะพัฒนากลายมาเป็น Moziila Firefox อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ส่วนคดีความฟ้องร้องนั้น ถึงแม้สุดท้าย ศาลจะพิพากษาให้ Microsoft เป็นฝ่ายผิด แต่ microsoft ก็ยินยอมจ่ายค่าปรับเพียงร้อยกว่าล้านเหรียญเท่านั้น ซึ่งเปรียบเหมือนในสงครามนี้ microsoft ยอมแพ้ในศาลแต่ ในเชิงธุรกิจนั้น Netscape ได้ตายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง