ประวัติ Michael Bloomberg กับชายที่พร้อมท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจาก Donald Trump

นักการเมืองชาวอเมริกัน Michael Bloomberg  มีชื่อเสียงในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Bloomberg LP ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการข้อมูลทางการเงินชื่อดัง รวมถึงบริษัทสื่อที่ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก

โดย Bloomberg นั้นได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีของนครนิวยอร์กในปี 2001 Buzz Bissinger นักเขียนในสื่อชื่อดังอย่าง Vanity Fair เรียกเขาว่า “เป็นหนึ่งในนายกเทศมนตรีที่น่าสนใจที่สุดในนครนิวยอร์กที่เคยมีมา – ไม่ใช่เพียงเพราะเขาเป็นมหาเศรษฐีคนแรกที่ดำรงตำแหน่ง แต่เป็นเพราะในนิสัยของเขานั่นเองที่ทำให้เขาน่าสนใจเป็นอย่างมาก”

Michael Bloomberg เกิดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1942 เติบโตขึ้นในครอบครัวชนชั้นกลางในพื้นที่เมืองบอสตัน พ่อของเขา (Bill) เป็นผู้ทำบัญชีและแม่ของเขา ( Charlotte ) เป็นหนึ่งในชนกลุ่มน้อยของผู้หญิงอเมริกันในยุคนั้น ที่ยังได้รับปริญญาในระดับมหาวิทยาลัย 

พวกเขาเป็นหนึ่งในครอบครัวชาวยิวที่อาศัยอยู่ในเมืองบอสตัน โดยในช่วงปลายทศวรรษที่ 1940 พ่อแม่ของ Bloomberg ตัดสินใจย้ายที่อยู่อาศัยไปอยู่ใกล้กับที่ทำงานของ Bill ในซอเมอร์วิลล์ใกล้กับเมืองเคมบริดจ์ 

Bloomberg เข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมเมดฟอร์ดและทำผลการเรียนได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้เขาได้มีโอกาสเข้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Johns Hopkins และได้รับปริญญาตรีด้านวิศวกรรมไฟฟ้าในปี 1964 จากนั้นเขาก็ไปเรียนต่อ MBA ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หลังจากจบหลักสูตรการศึกษาที่นั่นเขาได้สมัครเข้าเรียนที่โรงเรียน Candidate School แห่งกองทัพสหรัฐฯในปี 1966 แต่เขาได้ถูกปฏิเสธเนื่องจากสาเหตุว่ามีเท้าที่แบนแบบผิดรูป

Bloomberg จึงมุ่งตรงไปทำงานด้านการเงินที่ Wall Street แทน โดยเข้าร่วมงานกับธนาคารเพื่อการลงทุนซาโลมอนบราเธอร์ ซึ่งถือเป็นผู้ค้าหลักทรัพย์รายใหญ่ รวมถึงดำเนินการในการซื้อขายพันธบัตรในตลาดสหรัฐอเมริการวมถึงตลาดต่างประเทศ 

ในเวลานั้นซาโลมอนบราเธอร์เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของวัฒนธรรมการทำงานที่ประเมินผลงานจากความสามารถของพนักงานโดยแท้จริง ซึ่งหมายความว่า บริษัท บริษัทจะพิจารณาในการรับพนักงาน รวมถึงเลื่อนตำแหน่งจากความสามารถของพนักงาน โดยไม่ได้สนใจสถาบันการศึกษาที่จบมาอย่าง แม้จะเป็น Ivy League เหมือนที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในสมัยนั้นมักจะทำกันแต่อย่างใด 

Micheal Bloomberg สมัยเพิ่งเริ่มเข้าสู่ Wallstreet ใหม่ ๆ
Micheal Bloomberg สมัยเพิ่งเริ่มเข้าสู่ Wallstreet ใหม่ ๆ

งานแรกของ Bloomberg คือพนักงานในห้องซื้อขาย ได้รับเงินเดือนช่วงแรกเพียงแค่ 9,000 ดอลลาร์ เท่านั้น “มันเป็นการเริ่มต้นที่ค่อนข้างต่ำมาก ๆ สำหรับดีกรีปริญญาโทบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่างฮาร์วาร์ด” เขาเขียนไว้ในอัตชีวประวัติของเขาในปี 1997

“เราแทบจะใช้ห้องนิรภัยของธนาคารเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ที่นั่นไม่มีแม้กระทั่งเครื่องปรับอากาศ  ทุกบ่ายเราต้องมานั่งนับเงินดอลลาร์และพันธบัตรที่มีอยู่ ซึ่งมีมูลค่ากว่าพันล้านดอลลาร์เพื่อนำไปใช้กับธนาคารในการเป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อในเช้าวันรุ่งขึ้น”

ในที่สุด Bloomberg ก็ได้ไต่เต้าจนกลายมาเป็นผู้ค้าตราสารหนี้และเป็นหุ้นส่วนของบริษัทได้สำเร็จในปี 1972 และเขาได้แต่งงานกับหญิงชาวอังกฤษ Susan Brown ในปี 1976

Bloomberg ได้กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงของบริษัทโดยสามารถทำกำไรได้เกือบทุกครั้งในตลาด แต่ Bloomberg กลับรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเขาได้รับสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นการลดระดับหน้าที่การงานลง โดยเขาได้รับตำแหน่งให้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของ บริษัท  ในปี 1979

ต้องบอกว่าการค้าขายหลักทรัพย์ทางอิเล็กทรอนิกส์ในขณะนั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และงานดังกล่าวก็ไม่ได้มีชื่อเสียงเท่ากับตำแหน่งก่อน ๆ ของเขาที่ได้รับแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามเนื่องจากการที่ระบบภายในของซาโลมอนบราเธอร์มีข้อบกพร่องมากมาย เขาจึงได้เริ่มทำการออกแบบระบบใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่เขาได้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจกับระบบใหม่นี้

หลังจากนั้นเขาได้ออกจากซาโลมอนบราเธอร์ เพื่อมาเริ่มสร้างธุรกิจ โดยตั้งบริษัท Innovative Market Systems โดยเขามีลูกค้ารายแรกคือ เมอร์ริลลินช์ซึ่งถือเป็น บริษัท ชั้นนำของวอลล์สตรีทในขณะนั้น

ในช่วงเริ่มต้นนั้นเขาทำงานกับทีมงานเพียงสี่คนเท่านั้น โดย Bloomberg ได้ทำการออกแบบ และสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบสแตนด์อโลนที่ช่วยให้ผู้ค้าของเมอร์ริลลินช์ได้รับข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับตลาดตราสารหนี้ ซึ่งหลังจากนั้น บริษัทได้ขยายบริการโดยเริ่มพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ที่แสดงข้อมูลราคาพันธบัตรและราคาหุ้นเพิ่มเติม และยังสามารถทำการคำนวณพันธบัตรรัฐบาลที่มีความซับซ้อนสูงได้อย่างรวดเร็ว

ในปี 1986 ระบบของเขาได้พัฒนาจนกลายมาเป็น Bloomberg LP ซึ่งได้กลายเป็นที่แพร่หลายใน Wall Street บริษัท ได้ทำสัญญากับธนาคารเพื่อการลงทุนและนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่หลายราย

โดย Bloomberg Terminals ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ที่สามารถเข้าถึงราคาตลาดปัจจุบันและอนุญาตให้ผู้ใช้ดำเนินการซื้อขายได้ทันที ซึ่งมีค่าติดตั้งเริ่มต้นที่สูงมาก แถมยังมีค่าบริการรายเดือนที่คิดราคาต่อเทอร์มินัลอีกต่างหาก ซึ่งโมเดลธุรกิจดังกล่าวนั่นเองที่ทำให้กิจการของ Bloomberg นั้นเติบโตอย่างรวดเร็ว 

Bloomberg Terminal เครื่องจักรทำเงินของ Micheal Bloomberg
Bloomberg Terminal เครื่องจักรทำเงินของ Micheal Bloomberg

ด้วยการที่มีลูกค้าใหม่ ๆ จาก บริษัทใน Wall Street มากขึ้นเรื่อย ๆ ที่หันมาใช้เครื่องเทอร์มินัลของ Bloomberg รวมถึงรายได้จากค่าธรรมเนียมผู้ใช้รายเดือนสำหรับแต่ละบริษัทที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 1,500 ดอลลาร์ต่อเดือน ทำให้ Bloomberg ได้กลายมาเป็นมหาเศรษฐีในที่สุด หลังจากนั้นเขาได้เริ่มลงทุนในธุรกิจอื่นๆ โดยใช้บางส่วนของผลกำไรมาลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ โดยในช่วงต้นปี 1990 เขาได้เข้าสู่ธุรกิจสื่อ ที่ให้บริการทั้งสถานีวิทยุ รวมถึงสร้างบริการสำนักข่าว Bloomberg  ชื่อดังอย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบันนั่นเอง

และจากข่าวล่าสุด เขาได้ประกาศลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2020 อย่างเป็นทางการ โดยเขาจะมาในฐานะหนึ่งในผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต เพื่อไปต่อสู้กับประธานาธิบดี Donald Trump ต้องบอกว่าถือเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าสนใจมาก ๆ ของนักธุรกิจเสือเฒ่าทั้ง 2 คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในธุรกิจที่ตัวเองทำ และจะต้องมาห้ำหั่นกันเองอีกครั้งในศึกชิงประธานาธิบดีปี 2020 ที่จะถึงนี้นั่นเองครับ

References : https://www.biography.com/political-figure/michael-bloomberg https://www.britannica.com/biography/Michael-Bloomberg https://en.wikipedia.org/wiki/Michael_Bloomberg