Ryvval กับ Crypto Startup ที่ทำให้คุณสามารถระดมทุนในการต่อสู้คดีของผู้อื่น

บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีรายใหม่วางแผนที่จะวางตัวเป็น “ตลาดหุ้นของการจัดหาเงินทุนเพื่อการดำเนินคดี” โดยอนุญาตให้ชาวอเมริกันเดิมพันคดีแพ่งผ่านการซื้อโทเค็น ซึ่งบริษัทหวังที่จะให้เงินทุนแก่บุคคลที่ไม่สามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้

สตาร์ทอัพที่มีชื่อว่า Ryvval กำลังสร้างโลกแห่งการระดมทุนในการดำเนินคดีเพื่อต่อกรกับระบบศาลของสหรัฐฯ ในลักษณะที่จะเป็นประโยชน์ต่อลูกความและนักลงทุน

กระบวนการระดมทุนในการดำเนินคดีเป็นวิธีสำหรับคนที่มีเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ไม่มีเงินทุนในการฟ้องร้อง และในทางกลับกัน พวกเขาจะได้รับส่วนแบ่งจากการชนะคดีที่อาจเกิดขึ้น

อุตสาหกรรม cypto ที่เฟื่องฟู ได้สร้างการระดมทุนรูปแบบใหม่ในการดำเนินคดีโดยมีการเสนอคดีฟ้องร้องเบื้องต้น (Initial Litigation Offerings – ILO) ซึ่งใช้แนวคิด crypto โดยอนุญาตให้นักลงทุนรายย่อยค้นหาและให้ทุนกับเคสที่เกิดขึ้นต่าง ๆ บนบล็อคเชนได้

โดยมีการเปิดตัวในปลายปี 2020 บนบล็อคเชน Avalanche ซึ่ง ILO แรกอนุญาตให้ นักลงทุนซื้อ “โทเค็นการดำเนินคดี” ในเคสของ Apothio, LLC ซึ่งเป็นบริษัทผู้ปลูกกัญชาในแคลิฟอร์เนียที่ฟ้องมณฑลของตนที่ทำลายพืชผล 500 เอเคอร์ คดีนี้หยุดชะงักไปตั้งแต่ต้นปี 2021 แต่นั่นไม่ได้หยุดนักลงทุนจากการทุ่มเงินมากกว่า 330,000 ดอลลาร์ในคดีซึ่งสูงกว่าเป้าหมายการระดมทุน 250,000 ดอลลาร์

Ryvval ซึ่งก่อตั้งโดยทนายความ Kyle Roche ได้สร้างแนวคิดของ ILO ซึ่ง Roche ได้ทำการสร้างแพลตฟอร์มที่ช่วยให้บุคคลต่างๆ สามารถลงทุนในคดีในศาลของ ILO ได้

ในขณะที่ Roche กล่าวว่า “เป้าหมายของ Ryval คือการเข้าถึงความยุติธรรมในราคาที่ถูกกว่า” และเขาต้องการ “ทำให้ระบบศาลของรัฐบาลกลางสามารถเข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับทุกคน” 

ซึ่งข้อมูลจากเว็บไซต์ของ Ryvval อ้างว่านักลงทุนจะสามารถเข้าถึงระดับการลงทุนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เปิดให้สาธารณชนเข้ามาลงทุน

Roche กล่าวว่า ” นักลงทุนที่ได้รับการรับรองเท่านั้น (เช่น คนรวย นักธุรกิจ และหน่วยงานอื่นๆ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ถือว่ามีสิทธิ์ได้รับการยกเว้นด้านกฎระเบียบ) จะสามารถซื้อขายได้ทันที ในขณะที่คนกลุ่มอื่น ๆ ที่อยากจะลงทุนต้องรอไปอย่างน้อยอีก 1 ปี

น่าสังเกตว่าแพลตฟอร์ม Ryval นั้นยังไม่พร้อมใช้งานจริง แต่ผู้ร่วมก่อตั้งหวังว่าจะสามารถใช้งานได้ภายในสิ้นไตรมาสแรก จนถึงตอนนี้ ปรากฏว่า Apothio , LLC เป็น ILO เพียงเคสเดียวที่มีการซื้อขายต่อสาธารณะ แต่ Roche หวังว่าจะมีอีกห้าถึงสิบแห่งเมื่อถึงเวลาที่แพลตฟอร์มพร้อมและมีการเปิดแบบเต็มตัว

ต้องบอกว่า แนวคิดของ Ryval นั้นน่าสนใจ โอกาสที่นักลงทุนใจดีจะช่วยเหลือผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงเงินทุนที่ใช้ในการฟ้องบริษัทหรือรัฐบาลนั้นเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น แนวคิดในการสร้างสิ่งจูงใจให้สอดคล้องกันระหว่างคนจนกับคนรวยนั้นก็ถือว่าส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่าย

บทสรุป

อ่านข่าวนี้แล้วต้องบอกว่า เป็นอีกหนึ่งสตาร์ทอัพ crypto ที่น่าสนใจมาก ๆ เลยทีเดียว ต้องบอกว่าปัญหาใหญ่ในการสร้างความยุติธรรมให้กับทุก ๆ คน ก็คือเงินทุน ยิ่งการต้องต่อสู้กับอำนาจรัฐ หรือ กลุ่มนายทุนใหญ่ ที่ต้องอาศัยเงินจำนวนมหาศาลในการทำคดีให้ชนะ

มันมีบทเรียนมากมายที่เกิดขึ้น จากความไม่เป็นธรรมเหล่านี้ แม้กระทั่งในประเทศสหรัฐอเมริกาเอง ในสารคดีของ Netflix ก็มีการฉายภาพเรื่องราวเหล่านี้ ว่าเงินทุนมันสำคัญขนาดไหนในการต่อสู้คดี มันสามารถชี้ถูกเป็นผิด หรือ ผิดเป็นถูกได้เลย

การเกิดขึ้นของนวัตกรรมแบบนี้ถือว่าน่าสนใจนะครับ แต่อาจจะเกิดกับพวกคดีแพ่งที่สามารถเรียกร้องส่วนแบ่งได้ก่อน ซึ่งก็ถือเป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้ขัดสนอีกหลาย ๆ คน ที่จะกล้าลุกขึ้นมาทวงความยุติธรรมให้กับตนเองมากยิ่งขึ้นนั่นเองครับผม

References : https://www.unilad.co.uk/technology/tech-startup-wants-to-enable-people-to-bet-on-court-cases-with-crypto/
https://www.vice.com/en/article/v7d7x3/tech-startup-wants-to-gamify-the-us-court-system-using-crypto-tokens
https://futurism.com/crypto-startup-fund-lawsuits

Changpeng Zhao (CZ) จากศูนย์สู่มหาเศรษฐี Crypto ภายในหนึ่งปีกับการก่อตั้ง Binance

นับตั้งแต่มีการเสนอเหรียญ BNB ครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม 2018 BNB โทเค็น ของ Binance ได้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นจากประมาณ 10 เซนต์เป็น 448 ดอลลาร์ ทำให้มีมูลค่าตลาด 74 พันล้านดอลลาร์ Zhao วัย 44 ปี ซึ่งสวมเสื้อฮู้ดสีดำ เหมือนกับที่ Mark Zuckerberg และ Steve Jobs ใส่ ได้กลายเป็นมหาเศรษฐี crypto ระดับแนวหน้า

ผู้ชายที่เอาแต่ใจ เขาได้ขายบ้านของเขาในเซี่ยงไฮ้ในปี 2014 เพื่อซื้อ Bitcoin ทั้งหมดแม้ว่า Zhao จะรวยด้วย crypto แต่เขาไม่มีรถยนต์ เรือยอทช์ หรือนาฬิกาหรูๆ ในทางกลับกัน เขามักจะใช้แล็ปท็อปอย่างฟุ่มเฟือย โดยส่วนใหญ่ที่เขาซื้อคือแล็ปท็อปครั้งละห้าหรือหกเครื่องเพียงเพราะเขา “ทำลายมันอย่างรวดเร็ว”

Zhao เกิดในมณฑลเจียงซูประเทศจีน พ่อแม่ของเขาทั้งคู่เป็นนักการศึกษา พ่อของเขาซึ่งเป็นศาสตราจารย์ ถูกตราหน้าว่าเป็น “ผู้มีปัญญาของชนชั้นนายทุน” และถูกเนรเทศชั่วคราวหลังจากเกิด Zhao ได้ไม่นาน 

ในที่สุดครอบครัวก็อพยพไปแวนคูเวอร์ แคนาดาในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ในช่วงวัยรุ่น Zhao ได้ช่วยค่าใช้จ่ายในครัวเรือน โดยทำงานที่ McDonald’s และทำงานกะข้ามคืนที่ปั๊มน้ำมัน

หลังจากศึกษาวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัย McGill ในเมืองมอนทรีออลแล้ว Zhao ใช้เวลาทั้งในโตเกียวและนิวยอร์ก ในการสร้างระบบสำหรับการจับคู่คำสั่งการค้าในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว

จากนั้นจึงได้ไปทำงานที่ Tradebook ของ Bloomberg ซึ่งเขาได้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับการซื้อขายล่วงหน้า แต่ถึงแม้หลังจากที่นักเขียนโค้ดวัย 27 ปีได้รับการเลื่อนตำแหน่งสามครั้งในเวลาน้อยกว่าสองปีให้คุมทีมในนิวเจอร์ซีย์ ลอนดอน และโตเกียว Zhao ก็เริ่มหมดความอดทน

ดังนั้นในปี 2005 เขาลาออกและย้ายไปเซี่ยงไฮ้เพื่อเริ่มต้นบริษัทระบบการค้าของตนเองชื่อ Fusion Systems

เริ่มต้นกับ Bitcoin

จากนั้นในปี 2013 Zhao ได้เรียนรู้เกี่ยวกับ Bitcoin จาก Bobby Lee ซึ่งเป็น CEO ของ BTC China และนักลงทุนของเขาในเกมโป๊กเกอร์ 

Lee แนะนำให้เขาแปลง 10 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าสินทรัพย์ของเขาเป็น bitcoin โดยบอกว่ามีโอกาสสูงที่มันจะเติบโต 10 เท่า ซึ่งหมายความว่าโดยพื้นฐานแล้วหมายถึงการเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของเขาเป็นสองเท่า

นั่นทำให้เขาสนใจ แต่เนื่องจากไม่มีเนื้อหาด้านการศึกษาเกี่ยวกับ Bitcoin ในตอนนั้น เขาจึงค้นคว้าโดยดาวน์โหลดเอกสารออนไลน์และเข้าไปดูในฟอรัม bitcointalk.org ซึ่งจากภูมิหลังทางเทคโนโลยี เขาเข้าใจแนวคิดนี้ค่อนข้างเร็วและชอบแนวคิดของ Bitcoin เพราะมันไร้พรมแดนและดูแลโดยเครือข่าย

เขาเริ่มเข้าไปร่วมกับโครงการ crypto ที่โดดเด่น เขาเข้าร่วม Blockchain.info ในฐานะสมาชิกคนที่สามของทีมกระเป๋าเงินดิจิตอล 

ในฐานะหัวหน้าฝ่ายพัฒนาเป็นเวลาแปดเดือน เขาทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้เผยแพร่ลัทธิ Bitcoin ที่มีชื่อเสียงเช่น Roger Ver และ Ben Reeves เขายังทำงานที่ OKCoin ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีมาเป็นเกือบหนึ่งปี ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการซื้อขายแบบสปอตระหว่างคำสั่งและสินทรัพย์ดิจิทัล

Zhao ทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้เผยแพร่ลัทธิ Bitcoin ที่มีชื่อเสียงเช่น Roger Ver (CR:Finance Magnates)
Zhao ทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้เผยแพร่ลัทธิ Bitcoin ที่มีชื่อเสียงเช่น Roger Ver (CR:Finance Magnates)

ตลอดเวลานั้น Zhao กำลังคิดที่จะเริ่มต้นสร้างแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลของเขาเอง เขาคิดว่าหากไม่มีการเชื่อมต่อกับสถาบันการเงิน ความเสี่ยงและการเข้ามาแทรกแซงด้านกฎระเบียบที่ Roger Ver อดีตเพื่อนร่วมงานของเขาเตือนเขาจะลดลง

จนกระทั่งปี 2017 ICO บูมและปริมาณการซื้อขายเริ่มทะยานพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาจึงตัดสินใจครั้งสำคัญ เงินทุนจำนวน 15 ล้านดอลลาร์ที่เขาระดมทุนได้จากการขายโทเค็น 200 ล้านดอลลาร์ของ Binance เป็นทุนเริ่มต้นของเขาในการสร้างฝันครั้งใหม่

แพลตฟอร์ม Binance มีเหรียญ BNB ของตัวเอง ซึ่งผู้ใช้สามารถซื้อ ขาย และถือครองได้ ซึ่งวันนี้เป็นสกุลเงินดิจิตอลที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกโดยมีมูลค่าตลาดเกือบ 74 พันล้านดอลลาร์

โดย Binance อนุญาตให้ผู้ใช้แลกเปลี่ยนสกุลเงิน โดยเสนอทางเลือกที่หลากหลายสำหรับสกุลเงินดิจิทัลเพื่อการลงทุน Binance ยังมีกระเป๋าเงินดิจิตอลเข้ารหัสสำหรับผู้ค้า ซึ่งผู้ใช้สามารถจัดเก็บ ส่ง และรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ของพวกเขาได้

Zhao มักจะย้ายที่อยู่เสมอ ไล่มาตั้งแต่ดินแดนอาทิตย์อุทัย และจากนั้นไปยังไต้หวัน และได้มาลงเอยที่ฐานที่มั่นปัจจุบันที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมันหมายถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ปริมาณการซื้อขายของ Binance ไม่ได้ถูกครอบงำโดยจีนอีกต่อไป 

ปี 2020 Binance มีรายรับมากกว่า 800 ล้านเหรียญสหรัฐและมีมูลค่าการซื้อขายรวมถึง 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนเมษายน ปี 2019 Binance ยังได้เข้าซื้อ CoinMarketCap และเปิดตัวบัตรเดบิตสกุลเงินดิจิทัลของตนเอง

Binance กำลังเผชิญกับการตรวจสอบด้านกฎระเบียบ

แม้ว่า Binance จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่กฎระเบียบในจีนนั้นค่อนข้างขัดขวางความก้าวหน้าหลังจากที่รัฐบาลสั่งห้ามการซื้อขายในปี 2017 ซึ่ง Binance ตอบโต้ด้วยการย้ายไปต่างประเทศและขยายไปยังสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม Binance อยู่ภายใต้การตรวจสอบกฎระเบียบที่เข้มงวดเมื่อเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากทางการทั่วโลกพยายามที่จะปราบปรามอุตสาหกรรม crypto ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

ในสหราชอาณาจักร Financial Conduct Authority (FCA) ได้สั่งห้ามหน่วยงานอังกฤษของ Binance ไม่ให้ดำเนินกิจกรรมที่มีการควบคุมใดๆ ซึ่งจากข้อมูลของ FCA นั้น Binance เป็นหนึ่งในบริษัท crypto หลายแห่งที่ถอนใบสมัครออกจากระบบการออกใบอนุญาตชั่วคราวของสหราชอาณาจักรเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการต่อต้านการฟอกเงิน

Financial Conduct Authority (FCA) จากอังกฤษทำการแบน Binance (CR:The Crypto Times)
Financial Conduct Authority (FCA) จากอังกฤษทำการแบน Binance (CR:The Crypto Times)

หน่วยงานกำกับดูแลในญี่ปุ่น แคนาดา และอิตาลี ต่างก็กดดันบริษัทดังกล่าว โดยเตือนว่าบริษัทไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการในประเทศต่างๆ

หลังจากการถูกกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลจากประเทศต่าง ๆ หลายครั้ง Zhao ได้แสดงความตั้งใจที่จะร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลระดับโลกและ “ปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเต็มที่” เพื่อปกป้องผู้ใช้และอุตสาหกรรม crypto

“เราจำเป็นต้องเป็นสถาบันการเงินที่ได้รับใบอนุญาตทุกที่ที่เราดำเนินการ” Zhao กล่าวระหว่างการแถลงข่าวที่จัดขึ้นในเดือนกรกฎาคมเมื่อปีที่ผ่านมา

เขาเสริมว่าหากหน่วยงานกำกับดูแลคาดหวังว่า Binance จะมีสำนักงานใหญ่ Binance จะจัดตั้งสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งจะทำให้พวกเขามีโครงสร้างบริษัทที่สามารถเข้าใจได้ง่าย

แล้ว Binance จะเป็นอย่างไรต่อไป?

ในการให้สัมภาษณ์กับ CNBC Zhao ยังกล่าวอีกว่าเขาเต็มใจที่จะก้าวลงจากตำแหน่ง CEO เนื่องจากบริษัทพยายามที่จะกลายเป็นสถาบันการเงินที่มีการควบคุม

ในขณะที่เขาไม่มีแผนที่จะยกเลิกบทบาทของเขาในทันที เขาเปิดเผยว่า Binance มีแผนในการสืบทอดตำแหน่งของเขาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เรากำลังจะเปลี่ยนเป็นสถาบันการเงินที่มีการควบคุมอย่างเต็มที่ในอนาคต” Zhao กล่าว พร้อมเสริมว่าเขาจะ “เปิดกว้างมาก” ในการหา CEO ทดแทนที่มีประสบการณ์ด้านการกำกับดูแลมากขึ้นในระหว่างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้น

การวางแผนฉุกเฉินของ CEO เริ่มต้นในวันที่ 0 เช่นเดียวกับบทบาทอื่นๆ Zhao รู้สึกว่าซีอีโอไม่ควรอยู่เกินสิบปี เราอาศัยอยู่ในโลกที่มีพลวัต เราต้องการความคิดใหม่ แม้กระทั่งตำแหน่งประธานาธิบดีก็ทำหน้าที่เพียงแค่สี่ปีเท่านั้น

“ผมไม่จำเป็นต้องเป็น CEO และผมจะไม่จากไป ผมจะหาวิธีที่จะช่วยเหลือชุมชนที่อยู่เบื้องหลังรอยสักโลโก้ที่ปลายแขนของผมเสมอ ผมภูมิใจที่ได้เป็นสมาชิกของระบบนิเวศ #binance ให้มันเติบโตต่อไป– Zhao Changpeng ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Binance กล่าวในกระทู้ผ่านทาง Twitter

สำหรับตอนนี้ Binance ตั้งเป้าที่จะตั้งสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคหลายแห่งทั่วโลก และจะขอใบอนุญาตทุกที่ที่มี

ล่าสุด Binance ยังได้ประกาศว่าพวกเขากำลังเริ่มว่าจ้างเพื่อเพิ่มทีมการปฏิบัติตามกฎระเบียบเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับบริษัท 1,600 ถึง 1,700 ตำแหน่ง Zhao เน้นว่าความสำคัญสูงสุดของเขาคือการจ้างผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อบังคับ

Binance ยังเพิ่มการจ้างงานในสิงคโปร์ด้วยตำแหน่งงานว่างมากกว่า 50 ตำแหน่ง ตั้งแต่การพัฒนาธุรกิจ การเงิน และการดำเนินงาน

“เรามีเงินสดเพียงพอ ดังนั้นเราจึงสามารถเติบโตได้ด้วยตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากเรามีผลกำไรและเรามีการเจริญเติบโตที่ดีเพียงพอ” Zhao กล่าว

บทสรุป

จากเรื่องราวของ Binance เราจะเห็นได้ว่า เทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนขนาดใหญ่อย่าง Binance นั่นก็คือการที่ต้องตกอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐของแต่ละประเทศ

ตัวอย่างในประเทศไทยเอง เราก็มีปัญหามากมายกับการควบคุม ตัวอย่างล่าสุดก็คงเป็นเรื่องภาษี ซึ่งมีหลายคนที่ให้ความเห็นว่าจะหนีจากแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนของไทยไปที่ Binance

แต่ถ้าดูจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การหนีออกไปก็ไม่ใช่ทางออกระยะยาวเลยซะทีเดียว เพราะดูเหมือนว่าสุดท้ายทุกแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยน หากคิดจะเติบโตระยะยาวได้ และสามารถสร้างฐานลูกค้าจำนวนมหาศาลได้อีกมากมาย สุดท้ายพวกเขาก็ต้องโค้งคำนับให้กับหน่วยงานด้านกำกับดูแลในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

** ตัวเลขราคา มูลค่าต่าง ๆ อัพเดท ณ วันที่ 07/01/2022 **

References : https://www.forbes.com/sites/jonathanburgos/2021/09/06/crypto-billionaire-changpeng-zhao-to-cease-some-binance-services-in-singapore-amid-regulatory-scrutiny/
https://infomediang.com/changpeng-zhao-binance-founder/
https://en.wikipedia.org/wiki/Changpeng_Zhao
https://vulcanpost.com/757584/zhao-changpeng-binance-ceo-22nd-richest-man-singapore/
https://coinmarketcap.com/currencies/binance-coin/
https://www.forbes.com/sites/pamelaambler/2018/02/07/changpeng-zhao-binance-exchange-crypto-cryptocurrency/

Bitcoin Story ตอนพิเศษ : The Hunt for Satoshi Nakamoto

ยังคงเป็นปริศนามาจนถึงวันนี้สำหรับ Satoshi Nakamoto ผู้ให้เกิดเนิด Bitcoin ว่าเขาผู้นี้คือใครกันแน่ แล้วเค้าสร้าง Bitcoin ใน version แรกด้วยตัวเขาเองเพียงคนเดียวจริงหรือไม่?

ซึ่งใน profile ของ P2P Foundation นั้น Nakamoto อ้างว่าเขาได้พำนักอยู่ที่ประเทศ ญี่ปุ่น โดยเกิดในวันที่ 5 เมษายน 1975  ซึ่งการคาดเดาเกี่ยวกับตัวเขานั้นส่วนใหญ่จะ focus ไปที่เรื่องของ Cryptography และ เรื่องที่เกี่ยวกับ computer science มากกว่าเรื่องเชื้อชาติ ที่หลาย ๆ คนคาดว่าเขาน่าจะอาศัยจริงอยู่ใน อเมริกาและยุโรป มากกว่า

Satoshi Nakamoto นั้น ได้ทำการสร้าง Bitcoin และทำการ design ส่วนของ reference สำหรับการให้คนอื่นมา implement ต่อ  ซึ่งเค้าได้ทำการสร้าง database ตัวแรกของ blockchain รวมถึงได้ทำการแก้ปัญหาสำคัญของ digital currency คือ การแก้ปัญหาในเรื่อง double-spending 

เอกลักษณ์ของ Satoshi Nakamoto

Nakamoto นั้นไม่เคยที่จะเปิดเผยตัวตนของตัวเองสู่โลกภายนอกแม้กระทั่งในการถกเถียงในเรื่องทางเทคนิคของ bitcoin ก็ตาม เขาก็ไม่เคยเปิดเผยตัวตน

ซึ่งใน P2P Foundation นั้น Nakamoto ได้อ้างว่าตัวเองอายุ 37 ปี เป็นเพศชาย และอาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น แต่ผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ คนสันนิษฐานว่าเขาไม่ใช่คนญี่ปุ่น เนื่องจากภาษาอังกฤษที่เค้าใช้สื่อสารนั้นสามารถสื่อสารได้อย่างดีเยี่ยม

ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่าน่าจะเป็นชาวตะวันตกมากกว่า รวมถึงตัว software ของ bitcoin เองนั้น ก็ไม่ได้มีเอกสารอ้างอิงใด ๆ ที่เป็นภาษาญี่ปุ่นเลย

ซึ่งข้อบ่งชี้ที่สำคัญในเรื่องภาษาอังกฤษของเค้านั้นมาจากการใช้คำศัพท์ที่เป็น British English เช่นการใช้วลี “blood hard” ซึ่งเป็นคำที่ใช้ในเครือจักรภพ รวมถึง comment ต่าง ๆ ในตัว sourcecode หรือ forum ต่างๆ  ที่เค้าไปตอบคำถามนั้นใช้คำที่เป็น British English ซึ่งหลายๆ  คนเชื่อว่าเค้าน่าจะมีสัญชาติใดสัญชาติหนึ่งในเครือจักรภพของอังกฤษ

และ Stefan Thomas ซึ่งเป็นหนึ่งในนักพัฒนาซอฟท์แวร์ชาวสวิส ที่อยู่ใน community ของ bitcoin นั้นได้ทำการเก็บข้อมูลในเรื่องของเวลาที่ Nakamoto มา post ความคิดเห็นใน forum มากกว่า 500 ครั้ง ซึ่งผลพบว่า Nakamoto นั้นจะไม่มา post ในช่วงเวลา 5 AM ถึง 11 AM GMT 

ซึ่งเป็นที่คาดหมายว่าน่าจะเป็นช่วงเวลากลางคืนในประเทศที่ Nakamoto อาศัยอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลานอนของ Nakamoto ในช่วงเวลาดังกล่าว จึงไม่เห็นกิจกรรมใด ๆ ของ Nakamoto ในช่วงเวลานี้

เป็นที่คาดเดาว่าเขาน่าจะอาศัยอยู่ในช่วง TimeZone ที่เป็น Region UTC-05:00 หรือ UTC-06:00  ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่เขาน่าจะอยู่ในเขต อเมริกาเหนือ , อเมริกากลาง , แถวทะเลแคริบเบียน หรือ ทวีปอเมริกาใต้ก็เป็นไปได้ แต่ไม่น่าจะใช่ในญี่ปุ่นอย่างแน่นอน

บุคคลที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นตัวจริงของ Satoshi Nakamoto

  1. Nick Szabo

ในปี 2013 blogger ที่ใช้นามว่า Skye Grey ได้ทำการเชื่อมโยง Nick Szabo กับ Bitcoin Whitepaper โดยใช้การวิเคราะห์แบบ stylometric ซึ่ง Szabo เป็นคนหนึ่งที่มีความกระตือรือร้นในเรื่องที่เกี่ยวกับ decentralized currency

เขาได้เผยแพร่บทความเรื่อง “bit gold”  ซึ่งทำให้เค้านั้นถือได้ว่าเป็นปูชนียบุคคลของ bitcoin เลยก็ว่าได้ และเป็นที่รู้กันในวงกว้างอีกอย่างนึงว่า เขาเป็นคนที่ชอบใช้นามแฝง เพื่อปิดบังตัวตนในการให้ความเห็น หรือเขียนบทความต่าง ๆ

Nick szabo
Nick szabo (CR:coincentral.com)

งานวิจัยของ Dominic Frisby นั้นก็มีหลักฐานเชื่อมโยงมากมายระหว่าง Szabo และ Satoshi Nakamoto แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยัน 100% ได้ว่า Satoshi คือ Szabo

โดยเค้าได้ให้ความเห็นไว้ใน RT The Keiser Report  ว่า “มีเพียงชายคนเดียวในโลกนี้ที่ยังมีลมหายใจอยู่ และ มีความรู้เฉพาะเจาะจงในด้านนี้มากที่สุดซึ่งก็น่าจะเป็น Szabo”   

ในขณะที่ Szabo นั้นก็ได้ปฏิเสธ ว่า Satoshi นั้นไม่ใช่เค้าอย่างแน่นอน และเคยชินกับการที่ถูกมองว่าเป็น Satoshi ไปแล้ว รวมถึงสื่อชื่อดังอย่าง New York Times ก็ได้ออกบทความที่กล่าวไว้ว่า “หลักฐานที่น่าเชื่อถือที่สุดในการคาดเดาตัวตนของ Satoshi นั้นชี้ไปที่หนุ่มอเมริกันเชื้อสายฮังกาเรียนที่ชื่อ Nick Szabo

2. Dorian Nakamoto 

ในเดือนมีนาคมปี 2014 บทความนิตยสาร Newsweek ที่เขียนโดย Leah McGrath Goodman ได้เขียนวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของ Dorian Nakamoto หนุ่มอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ใน California

ชายผู้ซึ่งมีชื่อในตอนแรกเกิดว่า “Satoshi Nakamoto” ไม่เพียงเฉพาะแค่ชื่อเค้าเท่านั้น แต่มีอีกหลายหลักฐานที่สามารถเชื่อมโยงไปยัง Dorian Nakamoto ว่าเขาคือผู้สร้าง Bitcoin

Dorian Nakamoto
Dorian Nakamoto (CR:coindesk.com)

โดย Dorian Nakamoto นั้นเริ่มเรียนทางด้านฟิสิกส์ที่ Cal Poly University in Pomona หลังจากนั้นเค้าก็ก้าวไปเป็น System Engineer และได้มีโอกาสทำงานด้าน Software Engineer ในบริษัทด้านเทคโนโลยีและข้อมูลทางด้านการเงิน

โดย Nakamoto นั้นได้ถูกปลดออกถึง 2 ครั้งในช่วงต้นปี 1990 ก่อนที่จะมาฝักใฝ่ด้านเสรีนิยมอย่างชัดเจน โดยเขาได้เริ่มกระตุ้นให้ลูกสาวของเค้าเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง

และยังมีการอ้างอิงคำพูดของ Dorian Nakamoto ส่วนนึงที่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการฝักใฝ่เสรีนิยมอย่างชัดเจนของเค้า คือ เค้ามีแนวคิดที่ให้ลูกสาวทำธุรกิจเพราะ “ไม่อยากให้อยู่ภายใต้เงื้อมมือของรัฐบาล”

และคำสัมภาษณ์ของ Goodman ที่ถาม Nakamoto ถึงเรื่องของ bitcoin นั้น ในระหว่างการสัมภาษณ์ส่วนตัวแบบสั้น ๆ กับ Nakamoto เขาดูเหมือนจะยืนยันตัวตนของเขาในฐานะผู้ก่อตั้ง bitcoin ด้วยการระบุว่า “ผมไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้อีกต่อไป และผมไม่สามารถพูดถึงเรื่องนี้ได้ ตอนนี้มันอยู่ในการดูแลของผู้อื่นแล้ว และผมก็ไม่ได้มีการติดต่อใด ๆ กับทางฝั่ง bitcoin มานานมากแล้ว” 

ซึ่งหลังจากบทความสัมภาษณ์ดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ออกไป ทำให้ได้รับความสนใจจากสื่อต่าง ๆ เป็นอย่างมาก

แต่อย่างไรก็ตามในระหว่างการสัมภาษณ์แบบเต็มรูปแบบนั้น Nakamoto ก็ได้ปฏิเสธความเชื่อมโยงของเขากับผู้ก่อตั้ง bitcoin และเขากล่าวว่าไม่เคยได้ยินเรื่องสกุลเงินดังกล่าวมาก่อน และคำสัมภาษณ์ก่อนหน้าที่หลุดออกไปนั้นเขาอ้างว่าตีความคำถามของ Goodman ผู้สัมภาษณ์ผิดไป

3. Hal Finney 

สำหรับ Hal Finney นั้น เป็นหนึ่งในผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ริเริ่ม bitcoin คนแรก ๆ (ที่นอกเหนือจาก satoshi nakamoto) ซึ่งเขานั้นเป็นผู้ใช้งาน bitcoin และคอยช่วยในการทำ File Bug Report รวมถึงมีส่วนในการปรับปรุงพัฒนาตัว software ที่สร้าง Bitcoin มาตั้งแต่ยุคแรก ๆ  โดยมีข้อสังเกตอยู่อย่างนึงว่า เขาอาศัยอยู่ห่างจาก Dorian Nakamoto (ผู้ต้องสงสัยอีกราย) เพียงไม่กี่ block

อ้างอิงจากนักข่าว Andy Greenberg จาก Forbes ที่ได้ปรึกษาไปยังบริษัท Juola & Associates ที่เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์งานเขียน เพื่อทำการเปรียบเทียบตัวอย่างงานเขียนของ Hal Finney กับ Satoshi Nakamoto

Hal Finney
Hal Finney (CR:cryptoglobe)

ซึ่งผลพบว่ามีความใกล้เคียงกันมากอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งทฤษฎีของ Greenberg นั้นได้วิเคราะห์ไว้ว่า Hal Finney นั้นอาจจะใช้ Satoshi Nakamoto เป็นนามแฝงในงานเขียนของเค้า

และการที่เค้ามีที่อยู่ใกล้เคียงกับ Dorian Nakamoto ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า เขาได้นำอัตลักษณ์ของ Dorian มาบดบังตัวตันที่แท้จริงของเค้าพร้อมกันไปด้วย เพื่อให้เพิ่มความยากในการตามตัวหา Satoshi Nakamoto ตัวจริง

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ Greenberg ได้มีโอกาสพบกับตัวจริงของ Hal Finney  และได้เห็น email ที่เขียนตอบโต้ระหว่าง Hal Finney กับ Satoshi Nakamoto

และ Hal Finney ยังได้แสดง Bitcoin Wallet ของเขารวมถึง transaction ของ bitcoin ยุคแรก ๆ ที่มีการส่งจาก Nakamoto มาให้เขาซึ่งเขายังไม่ได้ส่งกลับคืนให้ Nakamoto ด้วยซ้ำ

รวมถึงได้ฟังคำปฏิเสธของ Hal Finney ว่าเขาไม่ใช่ผู้ก่อตัง bitcoin และไม่ใช่ Satoshi Nakamoto  ก็ทำให้ Greenberg นั้นพอจะสรุปได้ว่าสิ่งที่ Hal Finney ปฏิเสธนั้นน่าจะเป็นเรื่องจริง

4. Craig Steven Wright

มีหลายหลักฐานที่เชื่อมโยงว่า Craig Steven Wright น่าจะเป็น Satoshi Nakamoto ในวันที่ 8 ธันวาคมปี 2005 นิตยสาร Wired ได้ตีพิมพ์กล่าวถึง Craig Steven Wright อดีตนักวิชาการด้านคอมพิวเตอร์ชาวออสเตรเลียว่า “Craig Steven Wright ผู้คิดค้น Bitcoin หรือ จอมหลอกลวงที่อยากให้เชื่อว่าเป็นเขา” 

และในเวลาเดียวกับ สื่อดังอย่าง Gizmodo ก็ได้ตีพิมพ์เรื่องราวที่มีหลักฐานจาก hacker ที่ทำการ hack บัญชี email ของ Craig Steven Wright โดยอ้างว่า Satoshi Nakamoto คือนามแฝงของ Craig Steven Wright

Craig Steven Wright
Craig Steven Wright (CR:truthvoice)

ซึ่งในวันที่ 9 ธันวาคมปี 2005 หลังจากการเผยแพร่ของ Wired เพียงไม่กี่ชั่วโมง บ้านของ Wright ในเมือง Gordon รัฐนิวเซาธ์เวลส์ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 10 นายบุกเข้าตรวจสอบ รวมถึงที่บริษัทของเขาในเมือง Ryde รัฐนิวเซาธ์เวลส์ก็ได้รับการตรวจค้นโดยตำรวจ

ซึ่งทางการตำรวจออสเตรเลียได้ระบุว่าพวกเขาดำเนินการตรวจค้นบ้นของ Wright เนื่องจากเป็นการร้องขอจากสำนักงานสรรพากรของประเทศออสเตรเลีย

ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวกับรายงานข่าวของ Wired ที่เกี่ยวกับ Bitcoin ซึ่งจากรายงานของ Gizmodo นั้นพบว่ามีความเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทด้านภาษีระหว่าง Wright และ ATO (สำนักงานสรรพากรออสเตรเลีย) ซึ่งมีมาหลายปีแล้ว

ในวันที่ 2 พฤษภาคม ปี 2016 Craig Wright ได้ทำการ post บน blog ส่วนตัวของเขา โดยอ้างว่าเขาเป็น Satoshi Nakamoto  ซึ่งบทความสัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซี ในวันเดียวกันนั้น ได้ระบุว่า ทางสำนักข่าวได้เห็น ความเกี่ยวข้องของ transaction แรกในการทำธุรกรรมของ bitcoin กับ message ที่ใช้รหัส private key เดียวกันกับที่ตัว Craig Steven Wright กล่าวอ้างถึง

การกล่าวอ้างของ Wright นั้นได้รับการสนับสนุนจาก Jon Matonis อดีตผู้อำนวยการของ Bitcoin Foundation และ นักพัฒนา Bitcoin อย่าง Gevin Andresen ซึ่งทั้งสองนั้นได้พบกับ Wright และได้เห็นหลักฐานที่ใกล้เคียงกับที่สำนักข่าว BBC นั้นได้เห็น

อย่างไรก็ตาม Peter Todd นักพัฒนา Bitcoin ก็ได้กล่าวถึง blog post ของ Wright ว่า หลักฐานในเรื่องการเข้ารหัสที่ Wright กล่าวอ้างนั้น ไม่น่าจะเป็นหลักฐานที่ proof ได้ว่าเขาคือ Satoshi Nakamoto

ซึ่งทาง Bitcoin Core Project ก็ได้ออกแถลงการณ์ออกมาทาง twitter ไปในแนวทางเดียวกัน โดยกล่าวว่า “ในปัจจุบันนั้นยังไม่มีหลักฐานในเรื่องการเข้ารหัสลับที่ได้มีการเปิดเผยต่อสาธารณะและโดยเฉพาะอย่างยิ่งยังไม่มีหลักฐานใดอ้างไปได้ถึงผู้ที่สร้าง Bitcoin” 

และ Jeff Garzik นักพัฒนาอีกราย ก็ได้ให้ความเห็นไปในทางเดียวกันอีกว่าหลักฐานที่ทาง Wright อ้างถึงนั้น ไม่สามารถพิสูจน์ได้จริงว่าเขาคือ Satoshi Nakamoto รวมถึง Dan Kaminsky นักวิจัยด้านความปลอดภัยทางด้านคอมพิวเตอร์ ได้สรุปการกล่าวอ้างของ Wright ว่า “เป็นการโกหกโดยเจตนา”

ในเดือนมิถุนายมปี 2016 London Review of Books ได้เผยแพร่บทความ โดย Andrew O’Hagan เกี่ยวกับเรื่องราวในหนังสือของเขาที่ชื่อ “The Secret Life:Three True Stories”

ซึ่งทาง O’Hagan ได้ใช้ช่วงเวลาหลายสัปดาห์ในการพูดคุยกับ Wright  ซึ่งรวมถึงการได้อยู่กับ Wright ในช่วงเวลาที่ Wright ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่าง ๆ อีกทั้ง O’Hagan นั้นยังได้มีโอกาสที่จะสัมภาษณ์บางส่วนของครวบครัวของ Wright เพื่อนร่วมงาน และคนอื่น ๆ อีกหลายคนที่เกี่ยวข้องกับการกล่าวอ้างของ Wright ว่าเขาคือ Satoshi Nakamoto

ซึ่งมีข้อสังเกตจาก O’Hagan ที่พบว่ามีบริษัทของแคนาดาที่ชื่อ nTrust ที่อยู่เบื้องหลังการกล่าวอ้างของ Wright ในเดือนพฤษภาคม ปี 2016 

นอกจากนี้ O’Hagan ยังชี้ให้เห็นว่า รหัส Private Key ที่ Wright กล่าวอ้างเป็นหลักฐานนั้น เป็นรหัสที่ไม่ถูกต้อง อันเป็นผลมากจากข้อผูกพันทางกฏหมายที่ทำการตกลงไว้กับอีกบริษัทคือ Seychelles Trust ในการ deal กันก่อนหน้านั้น

5.ความเป็นไปได้อื่น ๆ 

ในปี 2011 บทความใน The New Yorker โดย Joshua Davis ได้อ้างถึงตัวตนของ Nakamoto ที่มีโอกาสเป็นไปได้ โดยกล่าวถึง นักเศรษฐศาสตร์ชาวฟินแลนด์ Dr. Vili Lehdonvirta และ นักศึกษาปริญญาโทด้าน Cryptography ที่ชื่อ Micheal Clear ซึ่งทั้งสองก็ได้ปฏิเสธว่าไม่ใช่ Satoshi Nakamoto

ในเดือน ตุลาคม ปี 2011 นักเขียนแนวสืบสวนสอบสวน จาก Fast Company ที่ชื่อ Adam Penenberg ได้อ้างถึงพยานและหลักฐานว่า Neal King , Vladimir Oksman และ Charles Bry อาจจะเป็นตัวจริงของ Satoshi Nakamoto

ซึ่งมีหลักฐานทางด้านสิทธิบัตรของทั้งสามคนที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin และ domain bitcoin.org นั้นได้ทำการจดหลังจากสิทธิบัตรดังกล่าวประกาศใช้ได้เพียงสามวัน อย่างไรก็ตามทั้งสามก็ปฏิเสธการกล่าวอ้างดังกล่าว

ในเดือน พฤษภาคม ปี 2013  Ted Nelson ได้คาดการณ์ว่า Nakamoto คือนักคณิตศาสตร์ชาวญี่ปุ่นชื่อ Shinichi Mochizuki หลังจากที่บทความของ Ted ได้ตีพิมพ์ไปยังหนังสือพิมพ์ The Age ก็ได้กล่าวอ้างว่าถูกปฏิเสธโดย Mochizuki แต่ก็ไม่มีหลักฐานในการปฏิเสธดังกล่าว

ในปี 2013 บทความใน Vice Listed  ได้กล่าวอ้างถึง Gavin Andresen , Jed McCaleb และ Dustin D.Trammell นักวิจัยทางด้านความปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ ได้ถูกกล่าวอ้างว่าเป็น Satoshi Nakamo และทั้งหมดก็ได้ปฏิเสธการอ้างถึงดังกล่าว

Gavin Andresen
Gavin Andresen (CR:coindesk.com)

ในปี 2013 นักคณิตศาสตร์ชาว อิสราเอลสองคน คือ Dorit Ron และ Adi Shamir ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่าง Nakamoto และ Ross William Ulbricht ซึ่งทั้งสองได้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับ network ของ bitcoin transaction แต่ Ross ก็ปฏิเสธการกล่าวอ้างดังกล่าว

มีอีกแนวคิดหนึ่งที่ตั้งข้อสังเกตว่า Nakamoto นั้นไม่ใช่คนเพียงคนเดียว แต่อาจจะมีเป็นทีมงานมากกว่า ซึ่ง Laszlo Hanyecz อดีตนักพัฒนา Bitcoin ผู้ซึ่งเคย email ไปหา Nakamoto มีข้อสังเกตว่า code ของ bitcoin นั้นดีเกินไปกว่าที่คนเพียงคนเดียวจะเขียนออกมาได้

Elon Musk
Elon Musk (CR:wikipedia)

สุดท้ายคือในปี 2017 บทความ จากอดีตนักศึกษาฝึกงานใน spaceX ได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ของ SpaceX และ CEO ของ Tesla อย่าง Elon Musk เป็น Nakamoto ตัวจริง โดยอาศัยความเชี่ยวชาญทางด้านเทคนิคของ Musk และอดีตที่มีความเกี่ยวข้องกับ Paypal ซึ่งเป็นบริการทางด้านการเงินที่ musk เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง  แต่ก็ได้ Elon Musk ก็ได้ปฏิเสธการกล่าวอ้างดังกล่าว

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : Prologue

References :  en.wikipedia.org , www.financemagnates.com , bitconnect.co , www.azquotes.com , reasonstobitcoin.com , www.economist.com , www.betcoin.ag
https://bitcoinexchangeguide.com/is-bitcoins-satoshi-nakamoto-already-one-of-the-richest-individuals-on-earth/

Bitcoin Story ตอนที่ 10 : The End of the Beginning

ช่วงฤดูร้อนของปี 2014 เป็นจุดสิ้นสุดของการพัฒนาส่วนแรกของ Bitcoin ซึ่งบริษัทที่เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาครั้งแรกของ Bitcoin และนำไปสู่ปรากฏการณ์ระดับโลกนั่นคือ Mt. Gox ได้ล่มสลายไปตามชะตากรรมของ Silk Road และ BitInstant

ความล้มเหลวอย่างมากของ Mt Gox สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อผลประโยชน์สาธารณะและความเชื่อมั่นใน Bitcoin มากกว่าความล้มเหลวอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin ก่อนหน้านี้

สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับ Bitcoin ได้เกิดขึ้นแล้ว และถึงกระนั้น Bitcoin เองก็ยังไม่ตาย

สถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่เริ่มสำรวจเทคโนโลยีตอนนี้เงียบหายไปมากและยังคงเป็นเช่นนั้นมาจนถึงปี 2014 Mt. Gox ทำให้ บริษัทหลายแห่งกังวลใจที่จะเชื่อมโยงตัวเองกับ Bitcoin ในทางใดทางหนึ่ง

แต่ต้องบอกว่าทีมงานเบื้องหลังของพวกเขาไม่ได้หยุดแต่อย่างใด Goldman Sachs และ JPMorgan ไม่เพียงแต่ไม่ยุบกลุ่มทำงาน Bitcoin เท่านั้น แต่มีการสรรหาผู้เชี่ยวชาญใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และธนาคารอื่น ๆ ก็ได้สร้างกลุ่มทำงานเกี่ยวกับ Bitcoin ของตนเองขึ้นมาเช่นเดียวกัน

จากข้อมูลที่รั่วไหลออกมาชี้ให้เห็นว่า บริษัท ยักษ์ใหญ่อื่น ๆ เช่น IBM กำลังสำรวจว่าพวกเขาจะสามารถใช้ประโยชน์จากวิธีการใหม่ในการเก็บบันทึกที่จัดทำโดยบัญชีแยกประเภทแบบกระจายอำนาจของ Bitcoin ซึ่งเป็น blockchain ได้อย่างไร

ฝาแฝด Winklevoss ได้เริ่มสร้าง บริษัท Bitcoin ใหม่อย่างเงียบ ๆ ที่โต๊ะทำงานด้านหลังสำนักงานในแมนฮัตตันของ Winklevoss Capital

เป้าหมายของพวกเขาคือการสร้างการแลกเปลี่ยน Bitcoin รูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากแนวคิดเดิมของ Roger Ver แต่เป็นการผูกมิตรกับกลุ่มทางการเงินขนาดใหญ่อย่าง Goldman และ Citibank แทน

หลังจากทำงานอย่างหนักมาหนึ่งปีพี่น้อง Winklevoss ได้เปิดตัวแพล็ตฟอร์มการแลกเปลี่ยน Bitcoin ใหม่ที่มีนามว่าว่า Gemini

สองพี่น้องกับแพล็ตฟอร์มใหม่ที่มาด้วยแนวคิดใหม่อย่าง Gemini
สองพี่น้องกับแพล็ตฟอร์มใหม่ที่มาด้วยแนวคิดใหม่อย่าง Gemini (CR:Currency.com)

โดย Cameron และ Tyler กล่าวว่าพวกเขาหวังว่าจะเป็นบริษัทแรกที่ได้รับ BitLicense จากหน่วยงานกำกับดูแลของนิวยอร์ก เพื่อให้พวกเขาสามารถเปิดบริการให้กับลูกค้าทั่วประเทศได้

Erik Voorhees กล่าวว่า BitLicense เป็นการทรยศต่อ Bitcoin ทั้งหมด แต่ฝาแฝดต่างก็มีความสุขมากที่ได้เป็นพันธมิตรกับกลุ่มเหล่านี้ เพราะพวกเขาเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ Bitcoin ต้องการเพื่อให้สามารถขยายได้ในอนาคต

บางสิ่งบางอย่างได้เผยให้เห็นชะตากรรมของสาวกรุ่นแรก ๆ ของ Bitcoin ตัวของ Ross Ulbricht ได้รับการช่วยเหลือจากนักลงทุน Bitcoin รุ่นแรก ๆ หลายคนเช่น Roger Ver ผู้ซึ่งเข้ามาช่วยจ่ายเงินในเรื่องการดำเนินคดีทางกฏหมายให้กับเขา

องค์กรที่ Mark, Roger และ Charlie ได้สร้างขึ้น ได้ช่วยให้ Bitcoin เข้าสู่กระแสหลัก คือ Bitcoin Foundation พังทลายลงเมื่อพวกเขาต้องแยกทางกันไปตามทางเดินใหม่ของตนเอง

แทนที่จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในแรงบันดาลใจเชิงอุดมคติของโลก Bitcoin การสลายตัวของ Bitcoin Foundation ได้ปูทางไปสู่ความเป็นมืออาชีพในอุตสาหกรรมมากขึ้น

บริษัท ร่วมทุน Andreessen Horowitz และนักลงทุนรายใหญ่อีกสองสามรายช่วยกันจัดตั้ง Coin Center ในวอชิงตันดีซีเพื่อให้ความรู้และล็อบบี้หน่วยงานกำกับดูแลและผู้ออกกฎหมาย และศูนย์นี้ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองอย่างรวดเร็วในฐานะเสียงของชนชั้นสูงใหม่ใน Bitcoin

Gavin Andresen ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับค่าตอบแทนจาก Bitcoin Foundation ได้ย้ายไปทำงานที่ MIT Media Lab ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการริเริ่มสกุลเงินดิจิทัลของตนเอง

Gavin ยังคงทำงานต่อจากสำนักงานที่บ้านของเขาในภาคกลางของรัฐแมสซาชูเซตส์ นักพัฒนาหลักอีกสามคนเข้าร่วมงานกับสตาร์ทอัพชื่อ Blockstream ซึ่งทำงานเกี่ยวกับแอพพลิเคชั่นเชิงพาณิชย์สำหรับ Bitcoin

แต่ต้องบอกว่าสิ่งที่ทำให้เหล่านายธนาคารหลงใหล Bitcoin นั้นกลับเป็นเทคโนโลยี Blockchain ที่อยู่เบื้องหลังของ Bitcoin ต่างหาก ไม่ใช่ตัวของ Bitcoin เอง

ผู้บริหารจาก Citibank, Santander และ BBVA รวมถึงคนอื่น ๆ กล่าวว่าพวกเขาไม่เห็นขีด จำกัดของศักยภาพของบัญชีแยกประเภทที่กระจายอำนาจซึ่งช่วยให้สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ถูกกว่าและรวดเร็วกว่าทุกประเภทที่มีอยู่ในปัจจุบัน

UBS และ Barclays ตั้งห้องปฏิบัติการ Blockchain โดยเฉพาะในลอนดอนซึ่งพวกเขาได้ทดลองวิธีเชื่อมโยงกับธนาคารอื่น ๆ บนระบบ Blockchain เพื่อทำธุรกรรมขนาดใหญ่ 

โครงการนี้ค่อนข้างเหมือนซอฟต์แวร์ที่ Nasdaq สร้างขึ้นเพื่อบันทึกและดำเนินการซื้อขายหุ้น แต่ตอนนี้มีการพูดถึงการใช้ blockchain ในรูปแบบต่างๆเพื่อจัดการธุรกรรมทางการเงินทุกประเภทในโลก

ในการรวมตัวกับผู้บริหารของ Wall Street ในช่วงฤดูร้อนปี 2015 มีคำกล่าวที่ว่า “คุณควรจะใช้เทคโนโลยีนี้อย่างจริงจังเท่ากับที่ใช้ในการพัฒนาอินเทอร์เน็ตในช่วงต้นทศวรรษ 1990” 

กลุ่ม Wall Street สนใจเทคโนโลยีเบื้องหลัง Bitcoin อย่าง Blockchain
กลุ่ม Wall Street สนใจเทคโนโลยีเบื้องหลัง Bitcoin อย่าง Blockchain

แต่ความคิดที่ว่าแนวคิดของ blockchain ที่แยกออกจาก Bitcoin สกุลเงินเสมือนดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ไร้สาระสำหรับผู้สนับสนุน Bitcoin มาอย่างยาวนาน

กลุ่มคนใน Silicon Valley มองว่า Bitcoin เป็นสิ่งที่ให้แรงจูงใจสำหรับผู้คนใหม่ ๆ ในการรักษา Blockchain และป้องกันการโจมตี ซึ่งหากคิดเหมือนกลุ่ม Wall Street การที่ blockchain ที่ดูแลโดยธนาคารเพียง 20 แห่งนั้นง่ายกว่ามากในการถูกโจมตี

การถกเถียงกันเกี่ยวกับข้อสันนิษฐานนี้ Blockchain ที่ทรงพลังจำเป็นต้องใช้สกุลเงินเสมือนเช่น Bitcoin หรือไม่ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ยังดึงดูดผู้เข้าร่วมจากธนาคารกลางรวมถึง Federal Reserve และ Bank of England ให้มาพินิจพิเคราะห์กับเทคโนโลยีของ Blockchain

รวมถึงความเป็นไปได้ที่เป็นเป้าหมายสูงสุดของพวกเขาที่สกุลเงินต่างๆ ของตนเอง จะถูกสร้างและบันทึกในบัญชีแยกประเภทแบบกระจายอำนาจในท้ายที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาก็ต่างชอบความคิดที่ว่าเงินทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้ในฐานข้อมูลที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ผ่านความมหัศจรรย์ของการเข้ารหัสนั่นเองครับผม

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวของ Bitcoin จาก Blog Series ชุดนี้

จากเรื่องราวของ Bitcoin ใน Series ชุดนี้ ต้องบอกว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่แสดงให้เห็นถึงประวัติความเป็นมาของการก่อกำเนิดขึ้นของเทคโนโลยีการเงินที่กำลังเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญกับโลกเรามากยิ่งขึ้นในยุคปัจจุบัน

ด้วยความซับซ้อนของเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังทำให้เรื่องของ Bitcoin นั้นถูกนำไปใช้ในทางผิด ๆ หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแชร์ลูกโซ่ หรือ การหลอกลวงให้ลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ที่เราได้เห็นผ่านข่าวที่ผ่านมาในอดีต

ซึ่งบทส่งท้ายนั้นเราจะได้เห็นถึงแนวคิดของสองพี่น้อง winklevoss ที่ต้องการให้รูปแบบธุรกิจของพวกเขานั้นผ่านการรับรองจากหน่อยงานภาครัฐมากยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ามันมาจากปัญหาในอดีตจากการล่มสลายของ Mt.Gox แม้จะถูกมองว่าเป็นการทรยศต่อแนวคิดหลักของ Bitcoin ที่ Satoshi Nakamoto ได้ออกแบบขึ้นเพื่อไม่ให้มีตัวกลาง ที่จะกลายเป็นระบบการเงินในอุดมคติ

แต่การพัฒนาของเทคโนโลยีก็ได้เปลี่ยนไปตามยุคสมัย เหล่าธนาคารชั้นนำหรือกลุ่มการเงินใน Wall Street เองก็เริ่มยอมรับเทคโนโลยีเบื้องหลังของ Bitcoin อย่าง Blockchain เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

หรือในไทยเองแพล็ตฟอร์มการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิตอลที่เกิดขึ้นมากมาย ก็เริ่มได้รับการรับรองจากกลต. หรือหน่วยงานของรัฐมากยิ่งขึ้น ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มคนใหม่ ๆ ที่เข้ามาสนใจในการลงทุนมากยิ่งขึ้น นอกจากเพียงแค่เข้ามาเพราะเห็นถึงการพุ่งทะยานของราคาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

แต่ต้องบอกว่าสุดท้าย Bitcoin มันก็ไม่ได้แตกต่างจากการลงทุนรูปแบบอื่นที่โลกเราได้สรรค์สร้างขึ้นมา ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของเทคโนโลยีใหม่ทั้งหมดก็แทบไม่ต่างจากรูปแบบการลงทุนอย่างอื่นที่เคยมีมาในอดีต

มีเพียงชนชั้นนำเล็ก ๆ เพียงไม่ถึง 1% ที่ร่ำรวยจากโลกการเงินแนวคิดใหม่นี้ ในขณะที่ 99 เปอร์เซ็นต์นั้นก็เป็นคนจนเหมือนเคย หรือไม่ก็ล้มละลายไปเลยจาก Case ตัวอย่างของ Mt.Gox

ย้อนกลับไปที่แนวคิดตั้งต้น Bitcoin ได้สัญญาว่าจะกระจายผลประโยชน์ให้กับผู้ใช้ทุกคน แต่ในปัจจุบัน มูลค่าของเศรษฐกิจใน Bitcoin เป็นของคนไม่กี่คนที่ร่ำรวยขึ้นมา

การเกิดขึ้นของเหรียญใหม่ส่วนใหญ่ที่ออกในแต่ละวันถูกรวบรวมโดยกลุ่มเหมืองแร่ขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง ซึ่งถ้ามองว่า Bitcoin คือแนวคิดของโลกการเงินแบบใหม่ แต่ถึงวันนี้มันก็ได้พิสูจน์ในระดับนึงแล้วว่า มันไม่ได้แตกต่างจากโลกการเงินหรือการลงทุนแบบเก่า ๆ ที่เราเคยเห็นกันในอดีตเลยนั่นเองครับผม

–> อ่านตอนพิเศษ : The Hunt for Satoshi Nakamoto

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : Prologue

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

Bitcoin Story ตอนที่ 9 : Blockchain Revolution?

ที่สนามแข่งรถ Formula One ชานเมืองออสตินรัฐเท็กซัส ได้ถูกจัดแสดงในการประชุมสำหรับชุมชน Bitcoin ที่มีอุดมการณ์มากขึ้นในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2014 ซึ่งจัดขึ้นโดย Texas Bitcoin Association

ออสตินเป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการจัดงานเพราะที่นี่ Ross Ulbricht เติบโตขึ้นและก่อตั้ง Silk Road ซึ่งเป็นการทดลองที่แท้จริงที่สุดในอุดมคติของ Bitcoin ในยุคแรก ๆ

ถึงตอนนี้ Ross ได้ถูกจำคุกในบรูคลินรอการพิจารณาคดี และพ่อแม่ของเขาต้องย้ายไปนิวยอร์กเพื่อใกล้ชิดกับเขามากขึ้น แต่ Lyn Ulbrich แม่ของเขากลับไปที่ออสตินเพื่อเข้าร่วมการประชุม

ตอนนี้เธอกำลังระดมทุนเพื่อการแก้ต่างทางกฎหมายให้กับ Ross เธออธิบายว่าตอนที่ Ross ถูกจับ ได้ถูกยึด Bitcoin ไปทั้งหมดและครอบครัวก็ต้องใช้เงินออมเพื่อจ่ายค่าทนายความราคาแพงของเขา

โดยทั่วไปแล้วตลาดที่ Ross สร้างขึ้นนั้นถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ดีทางศีลธรรมซึ่งทำให้ผู้คนสามารถตัดสินใจได้เองว่าพวกเขาต้องการจะอยู่อย่างไรโดยไม่มีการแทรกแซงจากรัฐบาล แทนที่จะทำสิ่งชั่วร้ายอย่างอื่น Silk Road ทำให้โลกนี้ปลอดภัยขึ้นโดยการอนุญาตให้ผู้คนซื้อยาเสพติดได้อย่างปลอดภัยจากที่บ้าน

“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกสแกมเมอร์เปิดโปงลูกค้า Silk Road ทุกคน” ชายหนุ่มคนหนึ่งถามในการประชุม “Ross ทำบางอย่างเพื่อปกป้องลูกค้าหลายพันคนเหล่านั้น”

นอกเหนือจากการปรากฏตัวของ Lyn Ulbricht แล้ว ส่วนที่น่าจดจำที่สุดของการประชุมคือรูปลักษณ์เสมือนจริงของ Charlie Shrem แน่นอนว่าเขาไม่สามารถเดินทางไปเท็กซัสได้ แต่ผู้จัดงานได้ทำการ Skype และฉายฟีดสดของ Charlie จากห้องนอนชั้นใต้ดินโดยมีกีตาร์อยู่ข้างหลังเขา

Charlie สวมเสื้อยืด “BOUGH WITH BITCOINS” สีน้ำตาลที่เขาใส่เมื่อสองเดือนก่อนตอนที่เขาได้พบกับ Nic Cary เพื่อดื่มก่อนที่เขาจะถูกจับกุม

Charlie อยู่ระหว่างการพยายามเจรจาหาข้อยุติกับรัฐบาลเพื่อลดเวลาที่เขาต้องรับโทษ Charlie จะสารภาพผิดในเรื่องของการช่วยเหลือและสนับสนุนการส่งเงินที่ไม่มีใบอนุญาตของ BitInstant และจะยอมรับโทษจำคุกหนึ่งปี

แต่ต้องบอกว่าความหลงใหลที่แพร่หลายมากขึ้นในแวดวงการเงินด้วยแนวคิด Blockchain ที่อยู่ภายใต้เทคโนโลยี Bitcoin นายธนาคารหลายคนเริ่มเข้าใจสิ่งที่ Gavin Andresen พยายามอธิบายในปี 2010

สำหรับธนาคารที่กลัวการโจมตีทางไซเบอร์แนวคิดของเครือข่ายการชำระเงินที่สามารถทำงานต่อไปได้แม้ว่าจะมีผู้เล่นคนเดียวหรือเซิร์ฟเวอร์เพียงชุดเดียวก็ได้รับความสนใจอย่างไม่น่าเชื่อในวงกว้างมากขึ้น

ธนาคารต่างๆได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความพยายามที่เป็นไปได้มากขึ้นในการกระจายอำนาจทางการเงินและดำเนินธุรกิจที่เป็นของธนาคารใหญ่ ๆ บริษัท Crowdfunding เช่น Kickstarter และบริการให้กู้ยืมแบบ peer-to-peer เช่น Lending Club พยายามเชื่อมต่อผู้กู้โดยตรงเพื่อตัดธนาคารออกไป ดูเหมือนว่า blockchain จะนำเสนอทางเลือกที่กระจายอำนาจไปสู่ส่วนพื้นฐานของธุรกิจธนาคารนั่นคือการชำระเงิน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารไม่ได้กลายเป็นมิตรกับการทำงานกับสกุลเงิน Bitcoin อีกต่อไป คณะกรรมการดำเนินงานของ JPMorgan นำโดย Jamie Dimon ได้ตัดสินใจในฤดูใบไม้ผลิปี 2014 ว่าจะไม่ทำงานร่วมกับ บริษัท Bitcoin ใด ๆ

ในงานอีเวนต์ในแคลิฟอร์เนียกับเจ้าพ่อเทคโนโลยี Dimon ได้พูดถึง Bitcoin และความทะเยอทะยานของ Silicon Valley ที่จะเข้าครอบครองธุรกิจของ Wall Street โดย Dimon กล่าวว่า JPMorgan และธนาคารอื่น ๆ จะไม่ลงไปยุ่งเกี่ยวด้วย

มีอยู่ช่วงหนึ่ง JPMorgan ขู่ว่าจะหยุดให้บริการแม้แต่กับธนาคารอื่น ๆ ที่มี บริษัท Bitcoin เป็นลูกค้า เช่น ธนาคารในยุโรปที่ทำงานร่วมกับ Bitstamp ธนาคารอเมริกันอื่น ๆ ได้ปิดบัญชีของบุคคลที่โอนเงินไปยังการแลกเปลี่ยน Bitcoin

แต่ภายในธนาคารเหล่านี้เกือบทุกแห่งมีผู้ที่ชื่นชอบแนวคิดของระบบการเงินแบบกระจายอำนาจเช่น Bitcoin

JPMorgan ได้สร้างกลุ่มที่เรียกว่า Bitcoin Working Group โดยมีสมาชิกประมาณสองโหลจากทั่วทั้งธนาคารและทั่วโลกซึ่งนำโดยหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของธนาคารและกำลังพิจารณาว่าแนวคิดเบื้องหลัง Bitcoin จะถูกควบคุมโดยอุตสาหกรรมการเงินอย่างไร

Jamie Dimon กำลังพิจารณาว่าแนวคิดเบื้องหลัง Bitcoin จะถูกควบคุมโดยอุตสาหกรรมการเงินอย่างไร
Jamie Dimon กำลังพิจารณาว่าแนวคิดเบื้องหลัง Bitcoin จะถูกควบคุมโดยอุตสาหกรรมการเงินอย่างไร

กลุ่ม JPMorgan นี้เริ่มทำงานอย่างลับๆ กับธนาคารรายใหญ่อื่น ๆ ในประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่รู้จักกันในชื่อ The Clearing House จากความพยายามในการทดลองเพื่อสร้าง Blockchain ใหม่ที่จะดำเนินการร่วมกันโดยคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดของ ธนาคารและทำหน้าที่เป็นกระดูกสันหลังของระบบการชำระเงินแบบใหม่ที่อาจเข้ามาแทนที่ Visa, MasterCard และการโอนเงินผ่านธนาคาร

โดย Blockchain ดังกล่าวไม่จำเป็นต้องพึ่งพานักขุดนิรนามที่ขับเคลื่อน Bitcoin แต่สามารถทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีจุดล้มเหลวในเครือข่ายการชำระเงินอีกต่อไป

หากระบบของ Visa ถูกโจมตีร้านค้าทั้งหมดที่ใช้ Visa จะถูกทำให้เสียหาย แต่หากธนาคารแห่งหนึ่งที่ดูแล blockchain ถูกโจมตี ธนาคารอื่น ๆ ทั้งหมดก็สามารถทำให้ blockchain ดำเนินต่อไปได้

สำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจำนวนมากในธนาคาร การใช้ blockchain สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดไม่ใช่การชำระเงินเพียงเล็กน้อย แต่เป็นการชำระเงินจำนวนมากซึ่งรับผิดชอบเงินส่วนใหญ่ที่เคลื่อนย้ายระหว่างธนาคารในแต่ละวัน

ตัวอย่างเช่นในธุรกิจการซื้อขายหุ้น กระบวนการชำระบัญชีและการหักบัญชีที่ยาวนานหมายความว่าเงินและหุ้นทั้งหมดจะถูกแช่แข็งเป็นเวลาสามวัน เมื่อพิจารณาถึงจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องแม้เพียงไม่กี่วันที่เงินอยู่ระหว่างการขนส่งก็มีต้นทุนและความเสี่ยงเป็นอย่างมาก

เป็นผลให้ธนาคารหลายแห่งเริ่มมองหาวิธีที่พวกเขาสามารถใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อทำการโอนเงินจำนวนมากเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย

สำหรับธนาคารหลายแห่ง สิ่งที่เป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดคือความไม่น่าเชื่อถือของ Bitcoin ซึ่งแน่นอนว่าขับเคลื่อนโดยคอมพิวเตอร์ที่เปิดทำงานอยู่ตัวหลายพันเครื่องทั่วโลก

ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถหยุดการสนับสนุน blockchain ได้ทุกเมื่อ สิ่งนี้เพิ่มความปรารถนาที่จะหาวิธีสร้าง Blockchain โดยไม่ขึ้นกับ Bitcoin

Federal Reserve มีทีมงานภายในของตัวเองที่คอยดูว่าจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี blockchain ได้อย่างไรและแม้กระทั่ง Bitcoin เอง

หลายคนในชุมชน Bitcoin เยาะเย้ยแนวคิดที่ว่า Blockchain สามารถแยกออกจากสกุลเงินได้ พวกเขามองว่าการขุดของสกุลเงินเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ใช้มีแรงจูงใจในการเข้าร่วมและขับเคลื่อน Blockchain

เนื่องจาก Blockchain สามารถถูกยึดครองและล้มล้างได้หากผู้โจมตีควบคุมพลังการประมวลผลบนเครือข่ายมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่ง Blockchain มีความปลอดภัยเท่ากับปริมาณพลังงานคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย 

แต่ Blockchain ที่ดำเนินการโดยธนาคารไม่กี่สิบแห่งจะง่ายกว่าการครอบงำเครือข่าย Bitcoin ซึ่งตอนนี้มีอำนาจในการประมวลผลมากกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์รายใหญ่ทั้งหมดที่อยู่ในโลกรวมกัน

การขุด Bitcoin ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสิ่งที่ Martti Malmi และ Gavin Andresen สามารถเข้าร่วมได้ด้วยแล็ปท็อปของพวกเขานั้นอยู่บนเส้นทางสู่การเป็นองค์กรอุตสาหกรรม หนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่คือ 21e6 ซึ่งเป็นโครงการลับที่ก่อตั้งโดย Balaji Srinivasan และได้รับทุนบางส่วนโดย Andreessen Horowitz

Balaji เป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่เห็นว่าเมื่อชิปมีพลังงานสูงมากขึ้นปัจจัยที่กำหนดว่าใครจะได้กำไรจากการขุด Bitcoin คือต้นทุนพลังงานที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเครื่องและการทำให้ชิปเย็นลง ชิปที่เร็ว แต่กินพลังงานและร้อนขึ้นโดยต้องใช้ความเย็นอาจทำให้เสียค่าไฟฟ้ามากกว่าที่ได้รับจาก Bitcoins

เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานทีมของ Balaji ได้ออกแบบระบบที่กักเก็บชิปไว้ในน้ำมันแร่ซึ่งดูดซับความร้อนและลดต้นทุนการทำความเย็น ศูนย์ข้อมูลที่ใช้เครื่องจักร 21e6 ปัจจุบันเป็นแหล่งพลังงานการขุดที่ใหญ่ที่สุดแห่งเดียวในสหรัฐอเมริกา และ 21e6 กำลังทำงานกับชิปรุ่นต่อไปโดยมีชื่อรหัสเช่น Yoda และ Gandalf

ในประเทศจีนชายหนุ่มผู้ประกอบการบางคนที่สามารถเข้าถึงฮาร์ดแวร์ราคาถูกจากโรงงานได้โดยตรง ตระหนักว่าประเทศของพวกเขามีข้อได้เปรียบในการลดต้นทุนด้านพลังงานนั่นคือ “การทุจริต”

การทำเหมือง Bitcoin แห่งหนึ่งใกล้กับกรุงปักกิ่งซึ่งตั้งอยู่ติดกับโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งในทางปฏิบัติแทบไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทพลังงานและเจ้าของคอมพิวเตอร์สำหรับการขุด

ฟาร์มขุดอีกแห่งที่ตั้งขึ้นในมองโกเลียซึ่งมีพลังงานราคาถูกมากมาย การขุดได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศจีนเนื่องจากเป็นช่องทางให้ชาวจีนได้รับ Bitcoins โดยไม่ต้องผ่านการแลกเปลี่ยน Bitcoin ที่มีข้อจำกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ

ที่เหนือกว่าการทำเหมืองอื่น ๆ ทั้งหมดนี้เป็น บริษัท ที่สร้างขึ้นโดยโปรแกรมเมอร์ชาวยูเครนที่ Val Nebesny ผู้ออกแบบชิป ASIC มาหลายรุ่น โดยมีรายงานว่าเขาได้สร้างสถาปัตยกรรมชิปด้วยตัวเองจากตำราเรียน

ในขั้นต้น Val Nebesny และหุ้นส่วนทางธุรกิจของเขา Val Vavilov ได้บรรจุชิปในคอมพิวเตอร์ที่พวกเขาขายให้กับ Bitcoiners อื่น ๆ ภายใต้ชื่อแบรนด์ Bitfury 

แต่เมื่อเวลาผ่านไป Vals ก็เก็บคอมพิวเตอร์ไว้ใช้เองมากขึ้นเรื่อย ๆ และวางไว้ในศูนย์ข้อมูลที่กระจายอยู่ทั่วโลกในสถานที่ที่ให้พลังงานราคาถูกรวมทั้งสาธารณรัฐจอร์เจียและไอซ์แลนด์

การดำเนินการเหล่านี้เป็นการสร้างเม็ดเงินอย่างแท้จริง Val Nebesny ได้รับเงินจากการขุด Bitcoin มากจน เขาแทบจะไม่เปิดเผยว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน แม้ว่าจะมีข่าวลือว่าเขาจะย้ายจากยูเครนไปสเปน และ Bitfury ก็ของพวกเขาก็มีประสิทธิภาพมากจนในไม่ช้าจะเป็นตัวแทนมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของพลังการขุดทั้งหมดในโลก

Bitfury ที่ควบคุมพลังการขุด Bitcoin ส่วนใหญ่ของโลก
Bitfury ที่ควบคุมพลังการขุด Bitcoin ส่วนใหญ่ของโลก (CR:.datacenterknowledge)

สิ่งนี้จะทำให้มันมีอำนาจเหนือการทำงานของเครือข่าย บริษัทสามารถจัดการเพื่อคลายข้อกังวลได้บ้างเมื่อสัญญาว่าสร้างพลังในการขุดไม่เกิน 40 เปอร์เซ็นต์ของกำลังการขุดออนไลน์ทั้งหมด

แน่นอนว่า Bitfury มีความสนใจในการทำเช่นนี้เพราะหากผู้คนสูญเสียศรัทธาในเครือข่าย Bitcoins ที่ถูกขุดโดยบริษัทของพวกเขาจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่าทันที

Roger Ver ซึ่งเพิ่งสามารถสละสัญชาติสหรัฐอเมริกาได้ หลังจากพยายามมาหลายปี และเขาได้กลายเป็นเจ้าของ Blockchain.info  จำนวนกระเป๋าสตางค์ที่บริษัทใหม่ของเขาทะลุ 1 ล้านใบในเดือนมกราคมและในเดือนมีนาคมเพิ่มไปสูงถึง 1.5 ล้านใบ

เห็นได้ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าโครงสร้างที่ระมัดระวังของ Blockchain.info ซึ่งเก็บเฉพาะไฟล์ที่เข้ารหัสไว้สำหรับลูกค้า ซึ่งอนุญาตให้หลีกเลี่ยงกฎข้อบังคับของ บริษัท Bitcoin อื่น ๆ 

Roger ได้รับคำขอร้องจากผู้ร่วมทุนอย่างต่อเนื่องที่ต้องการจ่ายเงินหลายล้านสำหรับสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท ผู้มาใหม่ในโลก Bitcoin พยายามเลียนแบบแบบจำลอง Blockchain.info และสร้างเทคโนโลยีที่ช่วยให้ Bitcoin ทำงานได้ตามที่ตั้งใจไว้เดิมและหลีกหนีกฎระเบียบได้

แต่คนนอกส่วนใหญ่ที่เคยเป็นผู้บุกเบิก Bitcoin ในยุคแรก ๆ ไม่สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกใหม่ได้ Charlie Shrem นั่งอยู่ที่บ้านโดยถูกกักบริเวณในบ้านขณะที่ Mark Karpeles กำลังติดต่อกับอัยการที่ต้องการลงโทษเขาสำหรับบทบาทที่เขาเล่นในความพินาศของ Mt. Gox

ผู้ที่ชื่นชอบ Bitcoin ในยุคแรก ๆ ไม่ได้หายไปไหนหรือหมดใจไปอย่างแน่นอน ฟอรัมออนไลน์ยังคงมีชีวิตชีวาเช่นเคย 

ตอนนี้พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่โดดเดี่ยวซึ่งถูกตัดขาดจากนักลงทุนและเหล่าโปรแกรมเมอร์ขององค์กร Bitcoin ที่เริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงการถูกลอยแพจากการล่มสลายของ Mt.Gox ที่ดูเหมือนจะไม่มีใครมารับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นเลย

ซึ่งมันก็ไม่แตกต่างจากการเคลื่อนไหวประท้วงอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นหลังวิกฤตการเงินของวอลล์สตรีทในปี 2008 ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในตอนแรก และได้หยิบยกประเด็นที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของการอภิปรายในระดับชาติ แต่ก็ถูกแบ่งแยกแตกออกเป็นหลายกลุ่ม และหายไปจากความสนใจของสาธารณชนในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

–> อ่านตอนที่ 10 : The End of the Beginning (ตอนจบ)

Credit แหล่งข้อมูลบทความ