Movie Review : Justice League

Featured Video Play Icon

Review

เป็นอีกหนึ่งหนัง Heroes ที่แฟน ๆ รอคอยสำหรับ Justice League  เราอาจจะได้เห็นหนังจากฝั่ง Marvel ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำจากหนังหลาย ๆ เรื่องรวมถึง Avenger ที่เป็นเนื้อเรื่องรวม Heroes รูปแบบเดียวกับ Justice League

เราจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอาย ที่แตกต่างกันระหว่างหนังสองค่ายนี้ ฝั่ง Marvel นั้นจะดูเป็นหนัง mass มากกว่าเจาะเข้าถึงกลุ่มคนที่เยอะกว่า ทำให้สามารถทำรายได้ไปอย่างเป็นกอบเป็นกำในทุก ๆ เรื่องที่ออกมา อย่างล่าสุด กับ Thor: Ragnarok นั้นแม้จะกลายเป็นหนังตลกไปแล้วก็ยังสามารถทำรายได้มหาศาล

แต่โดยส่วนตัวผมชอบฝั่ง DC มากกว่า feeling ที่ได้มันจะ ดาร์ค ๆ ดิบ ๆ มากกว่าโดยเฉพาะ Batman ที่เนื้อเรื่องดูเข้มข้น บีบคั้นหัวใจเรามากกว่า ซึ่งสไตล์ ก็จะออกมาคล้าย ๆ กันสำหรับหนังของ DC แม้จะทำรายได้ไม่มากเท่า หรือ เจาะกลุ่มผู้ชมได้น้อยกว่า แต่โดยส่วนตัวนั้นผมก็ยังชอบสไตล์การทำหนังของทางฝั่ง DC มากกว่า

มากันถึงเรื่อง Justice League นั้นในภาคนี้กำกับโดย Zack Snyder ซึ่งเคยฝากผลงานกันใน Batman v Superman : Dawn of Justice ไปแล้ว ซึ่งไม่น่าแปลกใจว่าโทนของหนังก็จะออกมาสไตล์เดียวกันกับหนัง Justice League แม้ตัว Heroes จะไม่ดังเท่าฝั่ง Marvel แต่เรื่องนี้ก็นำนักแสดงตัวเด่นหลายคน ทั้ง Ben Affleck รวมถึง Gal gadot จากบท Wonder woman ที่ใคร ๆ หลายคนน่าจะหลงสเน่ห์เธอไปกันแล้ว จากหนังภาคเดี่ยวก่อนหน้านี้

อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ Ezra Miller ที่รับบท The Flash ที่เรียกได้ว่าสามารถแย่งซีน ไปได้ค่อนข้างมากกับหนังเรื่องนี้ เพราะเค้ามา style เดียวกับ Tom Holland ที่รับบท spider-main ในหนัง Spiderman : Home Comming  ที่เป็นบทสไตล์เกรียน ซึ่งสร้างสีสันให้กับ Justice League ไปไม่ใช่น้อยเลย

ส่วน Henry Cavill ที่รับบท Superman นั้นก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวังเลยสำหรับแฟนหนังของ DC เพราะค่อนข้างมีบทบาทสำคัญต่อ Justice League เป็นอย่างมาก

สำหรับเนื้อเรื่องคอ่นข้างไม่มีอะไรซับซ้อน ตรงไปตรงมา และสามารถคาดการณ์ตอนจบได้ไม่ยากนัก  แต่ผมมองว่า เคมีการแสดงของเหล่า Heroes ค่อนข้างลงตัว โดยเฉพาะ Batman ที่นำแสดงโดย Ben Affleck นั้นค่อนข้างรับบทบาทได้ดี และการเข้ามาสร้างสีสันของ The Flash นั้นก็ทำให้หนังไม่น่าเบื่อจนเกินไป มีการแทรกมุกตลก อยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่บ่อยจนเว่อร์เกินไปแบบ Thor : Ragnarok

ฉากต่อสู้ในเรื่องนี้ต้องยอมรับว่าทำได้ดีมาก โดยเฉพาะ Wonder Woman นั้น เราจะได้เห็นหลาย ๆ ฉากที่ต่อสู้กับตัวร้ายอย่าง Steppenwolf ได้อย่างสุดมัน  ส่วนนักแสดงที่ผมค่อนข้างผิดหวังกับหนังเรื่องนี้น่าจะเป็น Jason Momoa ที่รับบท Aquaman นั้น ค่อนข้างจะมีบทบาทน้อยกับหนังเรื่องนี้ และไม่เด่นเท่าที่ควร ทั้งที่ความสามารถจริง ๆ นั้นค่อนข้างเยอะอยู่ โดยเฉพาะ ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายนั้น จะเห็นได้ว่า แทบจะไม่จำเป็นต้องมี Aquaman เลยก็ว่าได้

เอาตรง ๆ คือเรื่องนี้อุตส่าห์รวมเหล่า Heroes มาต่อสู้ แต่การที่ตัวร้ายอย่าง Steppenwolf นั้นดูจะอ่อนแอเกินความเป็นจริง ๆ ซึ่งถ้าเทียบกับตัวร้ายของหนัง Marvel นั้นดูจะโหดกว่ากันเยอะ ทำให้ส่วนนี้ดูจะไม่ค่อยมีเหตุผลซักเท่าไหร่ แต่โดยรวมของหนังและ style ของหนังนั้นผมค่อนข้างชอบ ทุกอย่างดูค่อนข้างลงตัว และ ไม่ได้แย่จนเกินไป แม้นักวิจารณ์หลาย ๆ คนจะมองหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยดี แต่ผม อยากให้ไปตัดสินใจด้วยตัวเองมากกว่า เพราะเรื่องนี้มันก็มีทั้งสองกระแส ทั้งชอบและไม่ชอบ อยู่ที่ สไตล์ ของแต่ละคนมากกว่า

 

เก็บตกจากหนัง

  • Superman เก่งเกินไป
  • ได้ดูฉาก action มัน ๆ ของ Wonder woman
  • The Flash ขโมยซีนไปเยอะมากสำหรับเรื่องนี้
  • Ben Affleck นั้นมาสวมต่อบท Batman ต่อจาก Christian Bale ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว

คะแนน

9/10


สรุป
“รวม Heroes ฝั่ง DC ที่แฟน ๆ รอคอย และไม่ผิดหวัง”

Movie Review : Birdman


Review

เนื่องจากเพิ่งได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก Oscar 2015 มาหมาด ๆ สำหรับหนังเรื่องนี้ จึงไม่ควรที่จะพลาดชมเป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวในอีกหลาย ๆ เรื่อง ๆ ของ series oscar 2015 ที่ผมได้พยายามทยอยเก็บในช่วงนี้

สำหรับ Birdman นั้นเป็นผลงานของผู้กำกับ  Alejandro Gonzalez Innaritu ผู้กำกับชาวสเปน ที่เน้นแนวหนัง indy ซะเป็นส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีการกำกับหนังใหญ่ที่ทำเงินได้เท่าไหร่นัก  ซึ่งเรื่องนี้ได้ดารานักแสดงนำชายคือ  Micheal Keaton  ที่หายหน้าหายตากับบทนำไปนานพอสมควรมารับบท Riggan ดารารุ่นใหญ่ผู้ตกอับจากผลงานการแสดงที่โด่งดังจากเรื่อง Birdman ในอดีต ร่วมด้วย Edward Norton ที่รับบท Mike ที่มาร่วมเป็นนักแสดงของ Riggan ในเรื่องนี้ รวมถึงได้นักแสดงดัง ๆ อย่าง Emma Stone , Naomi Watts เข้าร่วมด้วย ทำให้หนังเรื่องนี้ถึงแม้จะเป็นแนวหนังที่ไม่หนังกระแสหลัก แต่ดาราที่เข้าร่วมงานนั้นถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

สำหรับเรื่องเนื้อหาของหนังเรื่องนี้ เป็นหนังที่เสียดสี เรื่องราวของวงการ hollywood ได้เจ็บแสบเลยทีเดียวหนังมีการล้อเลียนตัวพระเอกในเรื่องอย่าง Micheal Keaton ซึ่งเคยโด่งดังจากภาพยนต์ชุุด Batman ใน สองภาคแรก คือ Batman ภาคแรกในปี 1989 รวมถึง Batman Returns ในปี 1992 ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดในการแสดงของ Micheal Keaton ทั้งในชีวิตจริง และที่หนังนำมาเสียดสีในเรื่อง Birdman เรื่องนี้โดยส่วนตัวชอบบทบาทการแสดงของ Edward Norton มาก เป็นตัวที่รับบทเด่นในหนังเรื่องนี้ ซึ่งช่วยส่งให้การแสดงของ Miceal Keaton นั้นโดดเด่นขึ้นมาเลยทีเดียว  เรื่องนี้เป็นหนังที่ถ้ามองดูให้ดี ๆ จะเสียดสีไปหลายอย่างมาก ทั้งเรื่องของ Hollywood การแสดงต่อหน้าผู้ชม แต่พอลงเวทีก็กลายเป็นอีกเรื่องนึงไปเรย รวมถึงมีการเสียดสีสังคม รวมถึง social network ด้วย ตัวพระเอกนั้นไม่สนใจการเปลียนแปลงของโลกปัจจุบันและไม่ทราบถึง impact ของ social network ในปัจจุบันที่มีผลกระทบค่อนข้างสูงต่อดารา หรือ นังแสดงหรือนักกีฬาจำนวนมาก ซึ่งเนื้อเรื่องนั้นพยายามสื่อถึงการหลอนถึงภาพในอดีตที่เค้าโด่งดังจากการเป็น super star ของหนังเรื่อง Birdman ซึ่งเช่นเดียวกับชีวิตจริงของ keaton ที่แทบจะโด่งดังมาก ๆ จากหนังเพียงเรื่องเดียวคือ Birdman และก็ตกต่ำเรื่อย ๆ ทั้งในชีวิตจริงและในหนังเรื่องนี้

ส่วนสำคัญอีกอย่างของหนังเรื่องนี้การถ่ายทำแบบ long take และมีการตัดฉากได้เนียนมาก ซึ่งเมื่อดูในเรื่องนั้นแทบจะดูไม่ออกต้องถือว่าการตัดต่อของหนัง และการถ่ายทำแบบ long take ของหนังเรื่องนี้ทำได้ดีมาก ต้องยกความดีให้ผู้กำกับของหนังเรื่องนี้ ที่ทำออกมาได้สมบูรณ์แบบมาก และคิดว่าเป็นส่วนนึงที่ทำให้หนังเรื่องนี้ได้รับรางวัลภาพยนต์ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นรางวัลใหญ่ที่่สุดของ Oscar 2015 ในปีนี้

สรุปคือหนังเรื่องนี้ได้ให้หลายแง่มุมที่น่าสนใจของวงการ hollywood ซึ่งไม่ค่อยจะมีหนังเรื่องไหนได้ทำกันซึ่งถือว่า ได้สร้างความแปลกใหม่ และได้รสชาติใหม่ของการดูหนังได้อย่างดีเยี่ยม เรื่องนี้อาจจะดูยากนิดนึง แต่ถ้าทำความเข้าใจว่าผู้กำกับต้องการสื่อถึงอะไรนั้น ถือว่าเป็นหนังที่ประทับใจที่สุดเรื่องนึงของผมเลยทีเดียว

เก็บตกจากหนัง

  • หนังเรื่องนี้ต้องอ่านข้อมูลมาบ้างพอสมควรเพื่อให้เข้าใจว่าผู้กำกับต้องการเสียดสีเรื่องอะไรไว้บ้าง
  • ฉาก long take นั้นทำให้ดีมากจนต้องยกนิ้วให้
  • สำหรับ keaton นั้นก็ไม่ถึงกับแสดงได้ดีที่สุด ผมมองว่า edward norton นั้นแสดงได้ดีกว่า ซึ่งไม่แปลกใจว่าทำไมถึงไม่ได้ดารานำชายยอดเยี่ยม แต่เสียดายตัว edward norton ที่น่าจะได้รางดาราสมทบชาย

คะแนน

9.5/10


สรุป
“เหมาะสมกับการเป็นภาพยนต์ยอดเยี่ยมของ Oscar 2015 ทุกประการ”