Apple vs Meta กับแนวคิดที่แตกต่างกันสุดขั้วของโลก Metaverse

เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่น่าสนใจนะครับสำหรับ Apple กับท่าทีล่าสุดที่เป็นข่าวหลุดออกมาเกี่ยวกับแนวคิดของบริษัทกับเทรนด์ใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างโลกเสมือนจริงใน metaverse

ชุดหูฟัง VR และ AR ของ Apple จะไม่ได้มีไว้สำหรับการใช้งานเป็นเวลานาน โดยมีรายงานว่า บริษัท ได้หันเหความสนใจจากวิสัยทัศน์ที่เรียกว่า “metaverse” เพื่อสนับสนุนประสบการณ์ที่สั้นลง

ชุดหูฟังความเป็นจริงเสมือนได้รับการขนานนามว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไปในการประมวลผล โดยจัดการทุกอย่างตั้งแต่เกมและความบันเทิงไปจนถึงการทำงานและการศึกษา 

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีบางแห่งมุ่งหวังให้ผู้ใช้ใช้หูฟังเป็นเวลานานตัวอย่างเช่นแนวคิดของ meta ที่ได้ปล่อยออกมาล่าสุด แต่ทาง Apple กลับมองเทคโนโลยีเหล่านี้ไปในทิศทางตรงกันข้าม

นักวิเคราะห์ที่มีชื่อเสียง Ming-Chi Kuo ได้แนะนำว่าชุดหูฟังจะใช้จอแสดงผล 4K เท่านั้นและกล้องหกถึงแปดตัว อย่างไรก็ตาม บ่งบอกถึงอุปกรณ์ที่มีราคาไม่แพงมาก

แหล่งข่าวของจดหมายข่าว “Power On” ของ Mark Gurman จาก Bloomberg ได้ระบุว่า Apple คิดเกี่ยวกับ metaverse แต่พยายามหลีกเลี่ยง 

“ผมได้รับการบอกเล่าอย่างตรงไปตรงมาว่าแนวคิดของโลกเสมือนจริงที่ผู้ใช้สามารถหลบหนีออกจากโลกดังกล่าวได้ง่าย เช่นเดียววิสัยทัศน์แห่งอนาคตของแพลตฟอร์ม Meta/Facebook นั้นอยู่นอกเหนือขีดจำกัดของ Apple” Gurman กล่าว

แทนที่จะใช้ชุดหูฟังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานตลอดทั้งวัน Apple กลับตั้งใจให้หูฟังนี้ใช้สำหรับช่วงเวลาที่สั้นลง

นั่นทำให้ Apple เตรียมเปิดตัวชุดหูฟังตัวแรกภายในสิ้นปี 2022 แต่มีจำนวนจำกัด เชื่อกันว่ามีกระบังหน้าโค้งพร้อมแผ่นรองแบบ AirPods Max รวมถึงสายที่คล้ายกับการออกแบบของสายแบบสปอร์ต ของ Apple Watch

นอกจากนี้ชุดหูฟังรุ่นใหม่นี้จะใช้วัสดุน้ำหนักเบา มีระบบประมวลผลระดับ M1 สำหรับแอปพลิเคชันระดับไฮเอนด์ และใช้โปรเซสเซอร์สำรองเพื่อจัดการการติดตามเซ็นเซอร์ เซ็นเซอร์เหล่านี้อาจรวมถึงระบบ LiDAR เพื่อติดตามมือของผู้ใช้โดย เพื่อการควบคุมที่แม่นยำยิ่งขึ้นได้

ข่าวลือสำหรับราคาสำหรับอุปกรณ์ตัวใหม่นี้อยู่ระหว่าง 1,000 ถึง 3,000 ดอลลาร์

หากข่าวลือดังกล่าวเป็นจริง มันได้แสดงให้เห็นถึงวิธีการของ Apple ต่อโลก metaverse ที่จะแตกต่างจาก Meta ของคู่แข่งอย่างมาก เมื่อ Meta ได้เปลี่ยนกลยุทธ์ AR และ VR ไปสู่ ​​metaverse แบบเต็มตัวในขณะนี้

แต่ดูเหมือนว่า Apple มุ่งมั่นที่จะหลีกเลี่ยงโลกเสมือนจริงดังกล่าว แม้ว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะ work หรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หาก metaverses ประสบความสำเร็จ Apple อาจพลาดและพบว่าตัวเองสนับสนุนสภาพแวดล้อม VR ให้กับผู้อื่น (meta) ซึ่งอาจจะกลายเป็นแหล่งขุมทรัพย์มหาศาลในอนาคตได้นั่นเองครับผม

References : https://appleinsider.com/articles/22/01/09/apple-doesnt-want-headset-to-become-an-all-day-device-for-users
https://www.engadget.com/apple-no-metaverse-for-vr-headset-182544991.html
https://9to5mac.com/2022/01/09/apple-headset-no-metaverse/

ประวัติ Tim Cook ตอนที่ 10 : Apple’s Best CEO?

ต้องบอกว่า Steve Jobs ถือเป็น CEO ที่ไม่เหมือนใคร ที่เราอาจจะไม่ได้เห็นคนแบบเขาอีกเลยก็ได้ เพราะเขาไม่ได้เป็นแค่เพียง CEO ของ Apple เท่านั้น เขายังเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายดูแลผลิตภัณฑ์ของ Apple เป็นทั้งคนที่ตัดสินใจเรื่องสำคัญทุกอย่างของ Apple แต่ Tim Cook ไม่ใช่คนที่เหมือน Jobs

แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะไม่ทราบ ก็คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการเติบโตของ Apple ในระยะยาวได้อย่างทุกวันนี้ ไม่ใช่ตัวผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นระบบโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นการบริหารซัพพลายเชนที่มีประสิทธิภาพ การกระจายเงินและการตลาด ซึ่งเป็น Cook ที่ได้พิสูจน์ความสามารถของเขาสำหรับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด

แล้วทำไมในสายตานักวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ชื่อดังอย่าง Horace Dediu ถึงมองว่า Cook เป็น CEO ที่ดีที่สุดของ Apple ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา

แม้ความรู้สึกจะดูขัดแย้งกับหลาย ๆ คน ที่เกิดคำถามว่า Cook จะเป็น CEO ที่ดีกว่า Jobs ได้อย่างไร Jobs เป็นผู้สร้างบริษัทตั้งแต่ต้น เขาได้สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ไล่มาตั้งแต่ พีซี เครื่องแรก (Apple II) ไปจนถึง iPod , iPhone , iPad และอีกมากมาย

แต่ Dediu มองว่า Steve Jobs ไม่เคยเป็น CEO จริง ๆ Jobs มักจะพยายามหลีกเลี่ยงงานของ CEO ที่แท้จริง เพราะเขามักจะไปขลุกอยู่ในหน้าที่ของ หัวหน้าฝ่ายดูแลผลิตภัณฑ์เสมอต่างหาก

ในตอนที่ Jobs กลับมาในครั้งที่สองเพื่อมาแก้วิกฤตินั้น เขาได้มือดีอย่าง Cook มาช่วยดูแลงานด้านอื่น ๆ ที่เป็นหน้าที่ของ CEO เพื่อให้เขาสามารถทำสิ่งที่เขารักมากที่สุด นั่นก็คือการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ผ่านผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีออกมาอย่างต่อเนื่องจากเขาได้นั่นเอง

ตัว Tim Cook เองนั้นอาจจะได้รับการสนับสนุนจากเหล่าพนักงานของ Apple ที่อยู่เบื้องหลังเขา แต่ยังมีคำถามใหญ่สำคัญที่หลาย ๆ คนสงสัยอยู่ นั่นก็คือ Apple สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เช่นเดียวกับที่ Jobs เคยทำได้หรือไม่

แต่ในความเป็นจริงถ้าพิจารณาตลอดการทำงานของ Jobs กับ Apple นั้น ในหลาย ๆ ผลิตภัณฑ์ อย่าง Apple II ที่เปิดตัวในปี 1977 Mac เครื่องแรกที่ตามมาหลังจากนั้น 7 ปี iMac เครื่องแรกที่เปิดตัวในปี 1998

หลังจากนั้น 14 ปีต่อมาก็เป็น iPod , Mac OSX ส่วน iPhone เปิดตัวในปี 2007 หลังจาก iPod หกปี ส่วนผลิตภัณฑ์ชิ้นสุดท้ายที่ Jobs สรรค์สร้างขึ้นอย่าง iPad นั้นก็ตามมาหลังจาก iPhone 3 ปี ในปี 2010

ซึ่งเมื่อมาพิจารณาผลิตภัณฑ์ชิ้นเอกแต่ละตัวของ Jobs นั้นจะพบได้ว่า พวกมันไม่ได้ประสบความสำเร็จในวันที่เปิดตัวเลยในทันที แต่มันจะใช้เวลาพอสมควรก่อนที่จะประสบความสำเร็จ iPod ไม่ได้ขายอย่างถล่มทลายทันที แต่เป็นหลังจาก 3 ปีที่ Apple ได้เพิ่ม USB port เข้าไปให้สามารถใช้งานได้ง่ายในระบบปฏิบัติการ Windows

iPhone ก็ไม่ได้สร้างยอดขายแบบถล่มทลายทันทีหลังเปิดตัว จะมาบูมจริง ๆ ก็หลังจากนั้น 3 ปี หลังจากการเปิดตัวครั้งแรกในปี 2007 ซึ่งผลิตภัณฑ์ Apple น้อยมากที่ได้รับความนิยมอย่างทันทีทันใดหลังจากการเปิดตัว

แน่นอนว่า Steve Jobs ได้รับเครดิตสำหรับผลิตภัณฑ์ที่น่าทึ่งเหล่านี้ทันที และมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่สิ่งสำคัญก็คือ ต้องจำไว้ว่าทุกอย่างที่ประสบความสำเร็จมันไม่ง่ายสำหรับเขาเสมอไป เช่นเดียวกัน Cook ก็ต้องเผชิญกับการต่อสู้ที่เหมือนกันหลายอย่าง ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมบางอย่างที่ต้องใช้เวลาพอสมควรตัวอย่างที่เห็นได้ชัดนั่นก็คือ Apple Watch

ต้องบอกว่า Apple Watch ของ Cook นั้นก็กำลังดำเนินการตามรูปแบบที่คล้ายคลึงกันกับผลิตภัณฑ์ของ Jobs การเปิดตัวของ Apple Watch ในยุค Cook นั้น ได้รับการตอบรับด้วยความสงสัย หรือ แม้กระทั่งดูถูกเลยด้วยซ้ำจากสื่อบางราย

แต่อย่างที่เราทราบว่าเพียงแค่ 3 ปีต่อมา Apple Watch กลายเป็น Smartwatch ที่มีส่วนแบ่งมากที่สุดในตลาด และมีขนาดใหญ่กว่าอุตสาหกรรมนาฬิกาสวิสทั้งหมด ซึ่ง Apple คาดว่าจะมียอดขาย Apple Watch กว่า 46 ล้านเครื่องจวบจนถึงปัจจุบัน

Tim Cook กับผลงานของเขาอย่าง Apple Watch
Tim Cook กับผลงานของเขาอย่าง Apple Watch

และมันมีแนวโน้มอย่างมีนัยสำคัญในปีที่ผ่านมาว่า Apple Watch ได้กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ตอบสนองความทะเยอทะยานของ Apple ในด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ด้วยนวัตกรรมทางด้านซอฟต์แวร์เช่น HealthKit และ ResearchKit

ซึ่งทำให้ Apple ได้มีการวางรากฐานที่สำคัญสำหรับ smartwatch ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบและปรับปรุงข้อมูลด้านสุขภาพและการออกกำลังกายของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นอกจากตัว Apple Watch ที่ติดตลาดไปแล้วนั้น Apple ภายใต้การนำของ Tim Cook ยังคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ด้านอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น AirPods ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในตลาดหูฟังไร้สายที่ Apple เข้ามาแย่งชิงตลาดในส่วนนี้ได้อย่างถล่มทลาย

ต้องบอกว่า Cook นั้นเป็นคนที่เห็นคุณค่าของนวัตกรรมในทุกระดับ และเขาก็มีวิสัยทัศน์ที่ดีพอสำหรับการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และมีความสามารถพิเศษในการรับรู้ว่าผลิตภัณฑ์ไหนจะกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีและสามารถทำเงินให้กับ Apple ได้อย่างมหาศาลอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้นั่นเองครับ

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวของ Tim Cook จาก Blog Series ชุดนี้

ต้องบอกว่าจากเรื่องราวของ Tim Cook ใน Blog Series ชุดนี้ เราจะได้เห็นถึงรากฐานความเป็นผู้นำของ Cook ที่ Apple แม้เขาเองจะไม่ได้เป็นนักคิด ศิลปิน ผู้สร้างสรรค์ แบบเดียวกับที่ Steve Jobs เป็น

แต่เราจะเห็นได้ว่าการบริหารของเขาในฐานะ CEO ของ Apple ได้พา Apple ก้าวขึ้นมาอีกระดับ แม้ว่าในตอนที่รับงานนี้ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นงานที่ยาก และแทบจะกล่าวได้ว่ามันเป็นงาน ๆ หนึ่งที่ยากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้

แต่ผ่านมา 8 ปี Cook ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาทำได้ และทำได้ดีด้วย เขาสามารถลบคำสบประหม่าต่าง ๆ รวมถึงจากนักวิจารณ์จากสื่อชื่อดังต่าง ๆ ที่ต่างคิดว่า Apple จะต้องถึงคราล่มสลาย เมื่อ Jobs ได้ลาจากโลกนี้ไป

เราจะเห็นได้ว่า การเป็นผู้นำในระดับโลกนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้นำทางด้านการเมือง หรือ ผู้นำทางด้านธุรกิจ ไม่ว่าคุณจะมีบุคลิก ลักษณะส่วนตัวแบบไหน คุณก็สามารถก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดขององค์กรได้

คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักสร้างสรรค์ นักนวัตกรรม หรือ คุณลักษณะนิสัยแบบก้าวร้าว แข็งกร้าว แบบที่ Jobs เป็น แต่ Cook แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางด้านการบริหารที่แทบจะตรงข้ามกับ Jobs เขาก็สามารถทำได้สำเร็จ

Cook เป็นคนนอบน้อม ถ่อมตัว รับฟังปัญหา ซึ่งแทบจะตรงข้ามกับ Jobs ทุกอย่างเลยก็ว่าได้ แต่เขาก็สามารถประสบความสำเร็จได้ โลกเรามีผู้นำองค์กร หรือ ผู้นำการเมืองในหลากหลายรูปแบบ คุณไม่จำเป็นต้องเหมือนใครแล้วจะประสบความสำเร็จด้วยการกลายเป็นเบอร์หนึ่งขององค์กรของคุณ

เพราะฉะนั้น เรา ทุกคน ไม่ว่าจะมีบุคลิกลัษณะแบบไหน เป็น คนแข็งกร้าว คนที่มีความคิดสร้างสรรค์ คนที่นอบน้อมถ่อมตน หรือ คนที่คิดอะไรแบบละเอียดไตร่ตรองถี่ถ้วนที่ดูเหมือนจะขัดใจหลาย ๆ คน ทุกบุคลิกลักษณะของมนุษย์เรานั้น ไม่ได้เป็นข้อจำกัดแต่อย่างใดในการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในอาชีพได้ มันอยู่ที่ความสามารถ มันสมอง และความเป็นผู้นำ อย่างที่ Tim Cook แสดงให้เราได้เห็นจาก Blog Series ชุดนี้นั่นเองครับผม

References Image : https://www.wsj.com/articles/the-job-after-steve-jobs-tim-cook-and-apple-1393637952

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Death of God *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

ประวัติ Tim Cook ตอนที่ 8 : One More Thing

แม้ผลงานในเรื่องรายได้และการสร้างเติบโตนั้น Cook จะทำได้อย่างยอดเยี่ยม แต่เขาก็อยู่ภายใต้แรงกดดันที่จะต้องรักษาความก้าวหน้าของบริษัทด้วยผลิตภัณฑ์ , นวัตกรรม และบริการใหม่ ๆ ที่ก้าวล้ำนำหน้าคู่แข่งเหมือนในยุค Jobs ที่มีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาตลอดเวลา 

แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในใจ Cook ตั้งแต่เริ่มเข้ามารับตำแหน่ง CEO ในปี 2011 Cook ได้เริ่มการถกเถียงกับเหล่าผู้บริหารในเรื่องผลิตภัณฑ์ในอนาคตของบริษัท ในช่วงต้นปี 2012 ไม่กี่เดือนหลังจากที่ Jobs เสียชีวิต 

Cook และเหล่าผู้บริหารต้องใช้เวลาหยุดคิดว่า Apple จะไปที่จุดไหนในอนาคต รวมถึงสิ่งใดที่จะกระตุ้น Apple ให้มีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมา ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า Apple ตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ทำให้เทคโนโลยีที่เข้าใจยากและไม่สามารถเข้าถึงได้ ซึ่งก็เป็น Jobs ที่ได้สร้างผลิตภัณฑ์ให้เข้าใจและเข้าถึงได้ง่าย ๆ

ต้องบอกว่าเรื่องของสุขภาพเป็นสิ่งที่ Apple ให้ความสนใจเป็นอย่างมากเมื่อเข้าสู่ยุคของ Cook ในปี 2014 บริษัท ได้เปิดตัวแอปสุขภาพรวมถึงแพลตฟอร์มสำหรับนักพัฒนาที่ชื่อว่า HealthKit แนวคิดก็เพื่อให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถสร้างแอปเพื่อสุขภาพที่ทำงานร่วมกับแอปของ Apple ได้

ซึ่งส่วนสำคัญคือความสามารถในการรวบรวมข้อมูลสุขภาพของผู้คน เช่น อัตราการเต้นของหัวใจหรือแม้กระทั่งผลการทดลองเกี่ยวกับสุขภาพ เพื่อสร้างภาพรวมเกี่ยวกับข้อมูลสุขภาพของผู้ใช้ และ Cook ก็ได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลเพื่อทดลองเทคโนโลยีด้านสุขภาพของ Apple ซึ่ง Cook มองว่า Apple Watch จะต้องมีความ professional มากขึ้น และ สามารถใช้งานได้จริง มีความแม่นยำสูง

Apple ได้ทำการเปิดตัว ResearchKit ซึ่งเป็นกรอบสำหรับนักพัฒนาในการสร้างแอปที่รวบรวมข้อมูลผู้ใช้ สำหรับการวิจัยโดยสมัครใจ CareKit เป็นอีกแพลตฟอร์มหนึ่งของ Apple ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้ป่วยและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ResearchKit สำหรับผู้ป่วยและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ResearchKit สำหรับผู้ป่วยและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

และแน่นอนด้วย Trend ด้านสุขภาพที่เกิดขึ้น และ Cook มองเห็นอนาคตในอุตสาหกรรมนี้ โดยมีข้อมูลว่า 70% ขององค์กรด้านการดูแลสุขภาพทั่วโลกต่างตั้งวงเงินในการลงทุนในแอปพลิเคชั่นมือถือ ที่เกี่ยวข้องกับ ผู้บริโภค, เครื่องแต่งตัว, การตรวจสอบสุขภาพระยะไกลและการดูแลเสมือน

บริษัท เทคโนโลยีสำคัญ ๆ จำนวนมากซึ่งรวมถึง Samsung และ Google ได้ให้ความสำคัญกับอุปกรณ์และซอฟต์แวร์สำหรับผู้ใช้ในการติดตามเรื่องสุขภาพของพวกเขา อุปกรณ์สวมใส่ที่ข้อมือ สามารถใช้ในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจในการวัดอื่น ๆ และ Cook ก็หวังว่า Apple Watch จะเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนการดูแลสุขภาพได้เช่นเดียวกัน

ซึ่งหลังจากได้ซุ่มพัฒนา Apple Watch มาถึง 2 ปีนับตั้งแต่เริ่มต้นแนวคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Cook ในปี 2012 ก็ถึงเวลาที่จะต้องเปิดเผยให้สาวก Apple ยลโฉม โดย Cook ได้ทำการเปิดตัว Apple Watch รุ่นแรก ในเดือนกันยายนปี 2014 ซึ่ง Cook ได้กล่าวขนานนาม Apple Watch ว่าเป็น ” Apple Watch เป็นอุปกรณ์ส่วนตัวที่สุดที่ Apple เคยสร้างมา ”

การเปิดตัวของนาฬิกาที่เหล่าสาวกเริ่มส่งเสียงเชียร์ดังสนั่นและเสียงโห่ร้องสนั่นลั่นฮอลล์จัดงาน ที่ฟลินท์เซ็นเตอร์ ซึ่งบรรยากาศเก่าๆ ในสมัยที่ Jobs ยังอยู่นั้นได้กลับมาให้เหล่าสาวก Apple ได้ชื่นใจอีกครั้ง กับนวัตกรรมใหม่ตัวแรกที่ผ่านคิดค้นและพัฒนาโดย CEO คนใหม่ของพวกเขาอย่าง Tim Cook

มีการประโคมข่าวและโฆษณาแสดงความยินดีกับ Apple Watch ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะยิ่งใหญ่เกินกว่าผลิตภัณฑ์ที่ตั้งใจจะเป็นหัวใจสำคัญของการประกาศผลิตภัณฑ์ในเดือนกันยายนอย่าง iPhone 6 และ iPhone 6 plus ที่เป็น iPhone ที่มีหน้าจอขนาดใหญ่รุ่นแรกของ Apple

แต่น่าเสียดายที่แฟน ๆ เหล่าสาวกของ Apple ต้องรอถึงถึงเดือน เมษายนปี 2015 เพื่อจะได้เป็นเจ้าของ Apple Watch เป็นครั้งแรก ซึ่ง Apple ต้องการให้นักพัฒนามีเวลาในการสร้างแอปสำหรับมัน ซึ่งตัว Cook เองต้องการความมั่นใจว่า ลูกค้าจะสามารถดาวน์โหลดแอปที่ชื่นชอบได้ในวันที่รับ Apple Watch นั่นเอง

และในงานเดียวกันนั้น Cook ยังได้แนะนำ Apple Pay บริการชำระเงินมือถือที่ดูเหมือนจะเป็นคู่แข่งกับ Google Wallet Apple Pay ช่วยให้ผู้คนสามารถชำระเงินซื้อสินค้าได้อย่างรวดเร็วที่เคาน์เตอร์ชำระเงินด้วย iPhone และ Apple Watch โดยไม่ต้องเปิดกระเป๋าเงินหรือใช้บัตรเครดิตอีกต่อไป

ต้องยอมรับว่า Cook ทำการการบ้านในเรื่อง Apple Watch มาอย่างดี เน้นไปในเรื่องของสุขภาพอย่างเห็นได้ชัด โดยอัดเซ็นเซอร์ต่าง ๆ เข้าไปมากมายให้กับผู้ใช้ ได้วัดค่าต่าง ๆ ของร่างกายได้ง่ายยิ่งขึ้น จึงกลายเป็นตลาดขนาดใหญ่ตลาดใหม่ของ Apple ซึ่งก็ต้องถือว่า Apple watch นั้นเป็นผลงานชิ้นแรก ของ Tim Cook หลังจากการจากไปของ Steve Jobs ที่สามารถประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ โดยไม่อยู่ใต้เงาของผลิตภัณฑ์ที่ Jobs เป็นผู้สร้างมาอีกต่อไป

แม้หลังจากวางออกจำหน่าย Apple นั้นจะไม่เปิดเผยตัวเลขยอดขายที่ชัดเจนนัก แต่จากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญนั้นพบว่า หลังจากการออกวางจำหน่ายเพียงแค่ 24 ชม. Apple Watch นั้นสามารถทำยอดขายแซงหน้าคู่แข่งไม่ว่าจะเป็น Samsung , Motorola หรือ LG ที่ใช้ Android Wear รวมกันเสียอีก โดยขายไปได้มากกว่า 720,000 เครื่อง ภายใน 24 ชม.แรกเท่านั้น

Apple Watch เอาชนะคู่แข่งสำคัญอย่าง Android Wear ได้อย่างขาดลอย
Apple Watch เอาชนะคู่แข่งสำคัญอย่าง Android Wear ได้อย่างขาดลอย

และเพียงแค่ 4 ปีหลังจากออกรุ่นอัพเดท เพิ่มความสามารถรวมถึง เซ็นเซอร์ใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น เซ็นเซอร์ ตัวใหม่ ซึ่งเรียกว่า Electrocardiogram หรือในศัพท์ทางการแพทย์จริง ๆ ก็คือ การวัด ECG ที่เราใช้ตรวจคลื่นหัวใจเพื่อวัดความผิดปรกติของหัวใจ

ทำให้สุดท้าย Apple Watch ได้กลายมาเป็นผลิตภัณฑ์เรือธงตัวใหม่ที่ไม่น้อยหน้า iPhone ที่มีผู้ใช้งานกว่า 40 ล้านคนทั่วโลก และมียอดขายเพิ่มขึ้น 50% ในไตรมาสต่อไตรมาส Cook ได้สร้างธุรกิจนาฬิกาเพื่อสุขภาพของ Apple ให้ยิ่งใหญ่แซงหน้ามูลค่าตลาดของบริษัท Rolex บริษัทนาฬิกายักษ์ใหญ่ของโลกที่อยู่ในธุรกิจนี้มาอย่างยาวนานได้อย่างขาดลอย

ต้องบอกว่าเป็นการเดินทางมาไกลมาก ๆ ของชายที่ชื่อ Tim Cook ที่ต้องมารับภารกิจอันหนักอึ้งในการสานต่อบริษัท Apple ที่ Steve Jobs ทำไว้อย่างยิ่งใหญ่ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเป็นตัวจริง ที่สามารถยกระดับ Apple ให้สูงขึ้นไปอีก และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดการเติบโตแต่อย่างใด ทั้งเรื่องการบริหาร การปฏิบัติการ การสร้างนวัตกรรม Cook ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขานั้นสามารถทำให้ Apple ประสบความสำเร็จได้ แล้วอนาคตข้างหน้ากับแผนการในอนาคตของเขากับ Apple จะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 9 : Into the Future

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Death of God *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

References : https://www.hodinkee.com/magazine/jony-ive-apple https://www.cnbc.com/2016/05/24/tim-cook-why-the-apple-watch-is-key-in-the-enormous-health-care-market.html https://www.forbes.com/sites/chuckjones/2019/10/07/apples-tim-cook-does-not-get-the-credit-he-deserves/#78c2706e7cdb

ประวัติ Tim Cook ตอนที่ 7 : The Next Chapter

Apple ในยุคของ Tim Cook ผ่านปี 2012 ไปได้อย่างยิ่งใหญ่ เพียงแค่เริ่มปี 2013 มีรายงานผลกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัทที่ 13.06 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยมียอดขาย iPhone และ iPad ที่แข็งแกร่ง แต่หุ้นของ Apple ลดลง 12% เนื่องจากนักลงทุนเริ่มระมัดระวังในการแข่งขันกับ Android และกังวลในเรื่องของแนวโน้มของบริษัทในอนาคตอยู่

Cook ได้เตรียมแผนสำหรับแนวรบใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่ตลาดประเทศจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาด smartphone ที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในโลก ภายใต้การนำของเขา Apple ลงทุนอย่างมากในประเทศจีน ทำการเปิดตัวร้านค้าออนไลน์ใหม่ที่มีความโดดเด่น มีการทำข้อตกลงกับสายการบินจีน และเปิดร้านค้าปลีก Apple Store เพิ่มเติมในประเทศจีน

ซึ่งในตอนนั้น Apple มีร้านค้า Apple Store เพียงแค่สองร้านเท่านั้นที่ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ต้องบอกว่า Cook นั้นโฟกัสตลาดจีนเป็นหลักในแผนการของบริษัทนับตั้งแต่เขาได้เข้ามาดำรงตำแหน่ง CEO ต่อจาก Jobs

และ Deal ที่สำคัญที่สุดที่ Cook สามารถทำได้สำเร็จก็คือ การเซ็นสัญญากับบริษัทเครือข่ายมือถือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีนอย่าง China Mobile ที่มีฐานลูกค้ากว่า 700 ล้านราย ซึ่งสามารถทำข้อตกลงได้ในเดือนธันวาคมปี 2013

และหลังจากนั้น 1 เดือน ทาง China Mobile ก็เริ่มขาย iPhone 5S และ iPhone 5C ซึ่งถือเป็นช่องทางการตลาดที่ใหญ่มหึมาของ Apple ที่มีการเพิ่มเข้ามา ซึ่งต้องบอกว่าแต่เดิมนั้นตลาดในประเทศจีนสามารถทำรายได้เพียงแค่ 2% เท่านั้นให้กับ Apple ในยุคก่อนหน้านี้

ซึ่งหลังจากการก้าวมารับตำแหน่ง CEO ของ Cook นั้น เขาสามารถทำให้ Apple สร้างยอดขายในประเทศจีนได้กว่า 20 พันล้านเหรียญ ซึ่งเติบโตเกินกว่า 600% และทำรายรับรวมได้มากกว่า 12% ของ Apple จากรายได้ทั้งหมด

ส่วนฟากฝั่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทนั้น สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนก็คือ ระบบปฏิบัติการ iOS7 ที่เป็นการอัปเดตครั้งสำคัญ ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมดโดย Jony Ive หลังจากการลาออกของ Scott Forstall

แม้ว่าจุดเริ่มต้นของปี 2013 Cook จะถูกท้าทายอย่างรุนแรงด้วยราคาหุ้นที่ตกลงไปอย่างมาก แต่ช่วงเวลาของการขายในช่วงวันหยุดในช่วงปลายปี ทำให้ Apple มีรายรับสูงถึง 57.6 พันล้านเหรียญ และมีกำไรสุทธิ 13.1 พันล้านเหรียญ โดยสามารถขาย iPhone ไปได้ 51 ล้านเครื่อง iPad อีก 26 ล้านเครื่อง และ Mac อีก 4.8 ล้านเครื่อง ซึ่งเป็นตัวเลขที่เติบโตอย่างน่าประทับใจเมื่อสิ้นสุดปี 2013

เมื่อเข้าสู่ปี 2014 Cook ก็ได้เริ่มนำ Apple เข้าสู่ตลาดใหม่ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน การเปิดตัว iOS 8 ในงาน WWDC มีการปรับปรุงที่สำคัญของระบบปฏิบัติการมือถือของ Apple ซึ่งก็คือ HealthKit ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มตั้นครั้งสำคัญในการนำพา Apple เข้าสู่อุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพที่มีขนาดใหญ่ระดับล้านล้านดอลลาร์ ซึ่ง Cook มองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง

รวมถึงการจัดทีมบริหารใหม่ ด้วยการว่าจ้างผู้บริหารตำแหน่งสำคัญอย่างรองประธานอาวุโสฝ่ายค้าปลีกเพื่อมาแทนที่ John Browett ที่ถูกขับไล่ออกไปพร้อมกับ Forstall

ซึ่งในที่สุด Cook ก็ได้คนที่เขาต้องการ Angela Ahrendts อดีต CEO ของ Burberry ได้กลายมาเป็นผู้หญิงคนแรกในทีมผู้บริหารในยุคของ Tim Cook และต้องบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมอีกครั้งของ Cook ในการจ้าง Ahrendts

Angela Ahrendts ผู้มาปฏิวัติร้านค้าปลีกของ Apple
Angela Ahrendts ผู้มาปฏิวัติร้านค้าปลีกของ Apple

หลังจากได้มาร่วมงานกับ Apple Ahrendts ได้เริ่มรวมธุรกิจค้าปลีกที่เป็นร้านค้า และประสบการณ์ดิจิตอลของลูกค้าเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น และ เปิดตัวภารกิจใหม่ให้กับ Apple Store ทั่วโลก ด้วยการเปลี่ยนให้กลายเป็นชุมชนที่มุ่งเน้นไปที่การสร้างคุณค่าผ่านผลิตภัณฑ์ของ Apple และให้ประสบการณ์ที่ดีขึ้นกับผู้เยี่ยมชมร้านค้าของ Apple ทั่วโลก

ภายใต้การดูแลร้านค้าปลีกทั่วโลกของเธอ เหล่าพนักงานจะไม่ได้รับการว่าจ้างจากประสบการณ์ในเรื่องการขายเป็นหลัก แต่เธอจะเน้นพนักงานที่มีความเอาใจใส่ และมีความเห็นอกเห็นใจลูกค้าเป็นหลัก เธอมุ่งมั่นที่จะทำให้ Apple Store นั้นสามารถเข้าถึงได้ง่าย สำหรับทุกคน

และเพื่อให้บริษัทก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็วที่สุด Cook ก็เป็นผู้นำในการร่วมมือกับบริษัทใหม่ ๆ โดยในเดือน พฤษภาคม ปี 2014 Apple ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการ Beats Music และ Beats Electronics มูลค่ากว่า 3 พันล้านเหรียญ เพื่อมาสร้างรากฐานสำคัญของบริการอย่าง Apple Music นั่นเอง

ส่วนในตลาดองค์กรนั้น Apple ในยุคของ Tim Cook ได้ทำสิ่งที่น่าเหลือเชื่อด้วยการจับมือกับ IBM ที่ถือว่าเป็นคู่แข่งกันมาอย่างยาวนาน แม้ภายหลัง Apple จะเน้นไปที่กลุ่มผู้บริโภคทั่วไปเป็นหลัก และไม่ได้สนใจตลาดลูกค้าในองค์กรเท่าไหร่นักก็ตาม

แต่แน่นอนว่าการร่วมมือกับ IBM ที่สนใจลูกค้ากลุ่มองค์กรธุรกิจเป็นหลัก โดยเฉพาะองค์กรยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่เป็นลูกค้าของ IBM อยู่แล้วทั่วโลกนั้น ถือเป็นก้าวที่สำคัญของ Apple ในการได้พันธมิตรที่เป็นผู้นำในตลาดองค์กร อย่าง IBM มาร่วมสร้าง Solution ที่ใช้อุปกรณ์ของ Apple ในการทำงานร่วมกับองค์กรชั้นนำต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง

และเพียงแค่ 3 ปีหลังจากการจับมือกับ IBM ทำให้เหล่าองค์กรชั้นนำมีแอป iOS ขององค์กรมากกว่า 100 รายการที่ถูกสร้างขึ้นใน 15 อุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร โรงพยาบาล โรงงานการผลิต ไปจนถึง วงการการบินและอวกาศ

ความร่วมมือกันครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของ Cook ในยุคของ BYOD (การนำอุปกรณ์มาใช้เอง) ซึ่งเหล่าพนักงานมักชอบนำอุปกรณ์ของตัวเองมาใช้ในที่ทำงาน แม้ว่า 20 ปีที่แล้ว บริษัทอย่าง Microsoft หรือ Dell จะครองโลกธุรกิจโดยการขายคอมพิวเตอร์จำนวนมากให้กับองค์กรต่าง ๆ แต่เมื่อมาถึงยุคของ BYOD นั้น องค์กรต่าง ๆ ก็ต้องมีการปรับตัว และผู้ที่รองรับแนวโน้มของ BYOD มากที่สุดจะกลายเป็นผู้ชนะ และ Cook กำลังสร้างให้ Apple เป็นผู้นำในการร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจขนาดใหญ่ที่ประสบความสำเร็จเช่นการร่วมมือกับ IBM นั่นเอง

ในส่วนของผลิตภัณฑ์หลักอย่าง iPhone นั้น หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงจากทั้ง iPhone 5 และ iPhone 5S Apple ภายใต้การนำของ Tim Cook ก็ได้ปล่อยผลิตภัณฑ์เรือธงตัวใหม่ที่เป็นโทรศัพท์จอใหญ่เครื่องแรกของ Apple นั่นก็คือ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus

Cook ถึงกับกล่าวว่าเป็นความก้าวครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของ iPhone ในประวัติศาสตร์ เพราะเป็นมือถือที่ได้รับการออกแบบใหม่ พร้อมจอแสดงผล Ratina ซึ่งทำให้มันกลายเป็นผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดอย่างรวดเร็ว สร้างยอดขายได้มากกว่า 10 ล้านเครื่อง เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังการเปิดตัวและที่สำคัญยังเป็นการแนะนำให้โลกได้รู้จักกับ Apple Pay บริการชำระเงินรูปแบบใหม่ของ Apple อีกด้วย

แต่ตำนานบทใหม่ของ Cook ที่ปราศจากร่มเงาของชายที่ชื่อ Steve Jobs อย่างแท้จริง คงจะเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่อย่าง Apple Watch เพราะเป็นผลิตภัณฑ์หลักตัวแรกที่ไม่มีข้อมูลใด ๆ จาก Steve Jobs

Apple Watch ผลิตภัณฑ์แรกที่สร้างสรรค์จากมันสมองของ Cook
Apple Watch ผลิตภัณฑ์แรกที่สร้างสรรค์จากมันสมองของ Cook

ซึ่งต้องบอกว่าเบื้องหลังการสร้าง Apple Watch นั้น เป็นการเริ่มระดมสมองกันคิดหลังจากการจากไปของ Jobs เพียงไม่กี่สัปดาห์ และมันเป็นครั้งแรกที่ Cook ต้องใช้เวลาหยุดคิด เพื่อหาทางเดินของตัวเอง ที่ไม่มีรอยเท้าของ Jobs ให้เดินตามอีกต่อไป มันเป็นการเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ ผ่านมันสมอง และทีมงาน ที่นำโดย Tim Cook

Cook หวังให้ Apple Watch เป็นเหมือนบทต่อไปของ Apple หลังยุค Steve Jobs เขาต้องการให้ Apple สร้างโอกาสที่จะทำตลาดอุปกรณ์เพื่อสุขภาพ ซึ่ง Apple Watch นั้นสามารถตอบโจทย์นี้ได้ทั้งหมด มันเป็นวิธีใหม่ในการสื่อสารจากข้อมือของลูกค้า และอุปกรณ์ด้านสุขภาพ ตลอดจนการครอบคลุมทุกข้อมูลดิจิตอลของการออกกำลังกายแบบครบวงจรผ่านอุปกรณ์ตัวนี้นั่นเอง

แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับตำนานบทใหม่ของ Apple ที่ถูกสร้างสรรค์ ขึ้นโดยมันสมองของ Tim Cook และ ทีมงานยุคผลัดใบของ Apple เขาจะทำได้สำเร็จเหมือนอย่างที่ Jobs เคยสร้าง iPod , iPhone หรือ iPad ให้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ได้หรือไม่ โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 8 : One More Thing

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Death of God *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

References : https://hauteliving.com/2015/04/haute-100-sf-tim-cook-announces-50-percent-employee-discount-for-apple-watch/562389/

สุดยอดนวัตกรรม Apple ปีนี้อยู่ที่ Cardiogram

Electrocardiogram หรือในศัพท์ทางการแพทย์จริง ๆ ก็คือ การวัด ECG ที่เราใช้ตรวจคลื่นหัวใจเพื่อวัดความผิดปรกติของหัวใจ ซึ่งต้องบอกว่า มีผู้คนมากมาย ในโลกนี้ ต้องจบชีวิต ไปอย่างฉับพลัน ด้วยโรคหัวใจ

บางคนต้องเสียหัวหน้าครอบครัว สูญเสียคนที่ตัวเองรัก ไปแบบฉับพลัน จากโรคหัวใจ ซึ่งต้องบอกว่าจากความเปลี่ยนแปลงของโลกเราในยุคปัจจุบัน ทั้งเรื่องรูปแบบการกิน รวมถึง รูปแบบการใช้ชีวิต ทำให้คนในรุ่นใหม่ ๆ มีความเสี่ยงกับเรื่องโรคหัวใจมากยิ่งขึ้น

การที่ apple เข้ามาเจาะในตลาด Healthcare อย่างเต็มตัว รวมถึงการเพิ่มความสามารถในส่วนการวัดค่า ECG ได้  ต้องบอกว่า เป็น Features ที่ปฏิวัติ วงการเลยก็ว่าได้ ให้คนทั่วไปสามารถ คอยมอนิเตอร์ การเปลี่ยนแปลงของคลื่นหัวใจได้ และการทำงานร่วมกับ Apple Watch ก็สามารถทำให้ส่งสัญญาณเตือนให้กับผู้ใช้ได้ โดยหากยิ่งเป็นผู้ป่วยโรคหัวใจอยู่แล้ว ถือว่าเป็นนวัตกรรมที่ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหัวใจได้อย่างมาก

Cardiogram จะอนุญาตให้ผู้ใช้เริ่มบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจของพวกเขาใน Apple Watch เป็นการโหมโรงอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่ WWDC จะเริ่มขึ้นในวันที่ 3 มิถุนายน ปีนี้ ซึ่งเซ็นเซอร์อัตราการเต้นหัวใจของ Apple Watch ข้อมูลที่ได้จะถูกแชร์นาทีต่อนาทีกับ บริษัท ซึ่งหมายความว่าจะรวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้รายอื่นด้วย

งาน WWDC ปีนี้ จะมี Features ใหม่ ๆ จาก Apple Watch ในเรื่องข้อมูลสุขภาพ
งาน WWDC ปีนี้ จะมี Features ใหม่ ๆ จาก Apple Watch ในเรื่องข้อมูลสุขภาพ

คุณสมบัติใหม่ที่ Cardiogram จะเพิ่มขึ้นคือการตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจในเชิงลึก ซึ่งก่อนหน้านี้ในเดือนมกราคมได้เปิดตัว บริการระดับพรีเมี่ยม ที่เปิดตัว Family Mode เพื่อแบ่งปันตัวชี้วัดสุขภาพระหว่างบุคคล และเพิ่มความสามารถในการแบ่งปันข้อมูลให้กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ  

ซึ่งในงาน WWDC ปีนี้นั้น คิดว่า apple คงได้ทำการทดสอบมาอย่างดีแล้วหลังจากการเปิดตัวไปในปีที่ผ่านมา และทีสำคัญ ได้รับการรับรองจาก FDA ของสหรัฐอเมริกา เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย ซึ่งคิดว่า และแน่นอนว่านี่ถือเป็นนวัตกรรมที่สำคัญที่จะทำให้ apple เติบโตไปอีกก้าวอย่างแน่นอน ไม่ได้พึ่งเพียงแค่ผลิตภัณฑ์หลักอย่าง Iphone เหมือนเดิมอีกต่อไป

References : 
https://appleinsider.com/articles/19/05/30/cardiogram-judging-most-exciting-wwdc-keynote-moments-by-monitoring-apple-watch-heart-rates