Minimalism ที่เปลี่ยนโลก Jony Ive ชายผู้เปลี่ยน iPhone ให้ทำลาย Nokia BlackBerry ในชั่วข้ามคืน

เมื่อคุณหยิบ iPhone ขึ้นมาใช้งาน สัมผัสถึงความโค้งมนที่พอดีมือ การออกแบบที่เรียบง่ายแต่ดูดี คุณกำลังสัมผัสมรดกของชายคนหนึ่ง ที่ได้เข้ามาเปลี่ยนโลกเทคโนโลยีไปตลอดกาล

เขาคนนั้นคือ Jonathan Paul Ive หรือที่คนทั้งโลกเรียกกันติดปากว่า Jony Ive สุดยอดนักออกแบบผู้รังสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กันในชีวิตประจำวัน จนแทบนึกภาพไม่ออกว่าถ้าไม่มีมัน ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในครอบครัวที่อบอวลไปด้วยไอเดียสร้างสรรค์ พ่อของเขาไม่ใช่แค่คุณครูธรรมดา แต่เป็นช่างทำเครื่องเงินฝีมือฉกาจ ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดอย่างถึงที่สุด

ห้องทำงานของพ่อจึงกลายเป็นสนามเด็กเล่นของ Jony ที่ซึ่งพ่อลูกได้ใช้เวลาร่วมกันออกแบบและสร้างสรรค์สิ่งของต่างๆ นี่คือจุดเริ่มต้นที่ปลูกฝังความเป็นนักออกแบบให้กับเขา

เมื่อเข้าสู่ช่วงมัธยมปลาย Jony ก็รู้ตัวชัดเจนแล้วว่าเส้นทางของเขาคือ Industrial Design หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ เขาจึงเข้าเรียนที่ Newcastle Polytechnic ในปี 1985 หนึ่งในสถาบันด้านการออกแบบชั้นนำของอังกฤษ

ยุค 80s ถือเป็นยุคแห่งการออกแบบที่เน้นความฉูดฉาด สีสันจัดจ้าน มุมแหลมคม และรายละเอียดที่ดูจะเกินความจำเป็น แต่ Jony กลับสวนกระแส เขาหลงใหลในปรัชญาของ Dieter Rams นักออกแบบขั้นเทพของแบรนด์ Braun

หลักการ “Less but better” หรือ “น้อยแต่มากด้วยคุณภาพ” ของ Rams ได้กลายเป็นรากฐานความคิดในการออกแบบของ Jony ตั้งแต่แรกเริ่ม เขาเชื่อในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เรียบง่ายและใช้งานได้จริง

บทเรียนสำคัญครั้งแรกเกิดขึ้นในการประกวดออกแบบครั้งหนึ่ง เขาออกแบบโทรศัพท์ที่ดูล้ำเหมือนไมโครโฟนบางๆ แต่มันกลับทำให้คนไม่กล้าใช้ เพราะไม่แน่ใจว่าต้องถือหรือพูดใส่ตรงไหน

นั่นคือครั้งแรกที่ Jony ได้เรียนรู้ว่า ความสวยงามอย่างเดียวไม่พอ ผลิตภัณฑ์ที่ดีต้องเข้าใจได้ในทันทีโดยไม่ต้องคิด นี่คือบทเรียนที่จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต

จากเงินรางวัลที่ได้ Jony มีโอกาสเดินทางไปสหรัฐอเมริกา ที่นั่นเขาได้สัมผัสโลกการออกแบบที่แตกต่างจากอังกฤษโดยสิ้นเชิง ไอเดียใหม่ๆ ได้รับการยอมรับและความคิดสร้างสรรค์ได้รับการตอบแทนอย่างคุ้มค่า เขารู้ในใจทันทีว่า สักวันหนึ่งเขาต้องมาเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้

เมื่อกลับมาลอนดอน Jony เริ่มทำงานที่ Tangerine สตูดิโอออกแบบชื่อดัง จนกระทั่ง Robert Brunner หัวหน้าทีมออกแบบของ Apple ในขณะนั้น ได้ยื่นโอกาสครั้งสำคัญให้

Brunner เสนอให้ Tangerine รับโปรเจกต์ออกแบบผลิตภัณฑ์ต้นแบบ 4 ชิ้นให้ Apple หนึ่งในนั้นคือแท็บเล็ตที่ชื่อว่า “Macintosh Folio” และ Jony ก็คือคนที่ได้รับผิดชอบโปรเจกต์นี้

ถึงวันนำเสนอผลงานที่สำนักงานใหญ่ของ Apple ในขณะที่คนอื่นแค่เอาโมเดลใส่กล่องกระดาษธรรมดาๆ Jony กลับห่อผลงานของเขาอย่างพิถีพิถัน พร้อมแนบภาพสเก็ตช์และเสื้อยืดโลโก้บริษัทไปด้วย

ความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้ สร้างความประทับใจให้ Robert Brunner อย่างมาก และในตอนท้าย เขาได้พูดประโยคที่เปลี่ยนชีวิต Jony ว่า “ประตูที่นี่เปิดให้คุณเสมอ ลองคิดดู”

แม้โปรเจกต์ส่วนใหญ่จะไม่ได้ถูกสร้างเป็นผลิตภัณฑ์จริง แต่มันก็ได้ขีดโชคชะตาให้ Jony ตัดสินใจย้ายไปแคลิฟอร์เนีย และเข้าร่วมกับ Apple ในปี 1992 อย่างเป็นทางการ

ช่วงเวลานั้น Apple เพิ่งแยกทางกับบริษัทออกแบบเดิม และกำลังปลุกปั้นทีมออกแบบภายในของตัวเองขึ้นมา แต่ปัญหาใหญ่ที่รุมเร้าคือผลิตภัณฑ์ของ Apple ขาดเอกภาพโดยสิ้นเชิง

เครื่องพิมพ์ดูไม่เข้ากับคอมพิวเตอร์ จอภาพก็ดูแปลกแยกจากคีย์บอร์ด มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็น 4 บริษัทที่ต่างคนต่างทำ มากกว่าจะเป็นบริษัทเดียวกันที่มีทิศทางชัดเจน สถานการณ์ตอนนั้นมันเละเทะมาก

โครงการแรกของ Jony คือ “Newton Message Pad” รุ่นที่สอง ซึ่งรุ่นแรกนั้นล้มเหลว เพราะถูกเยาะเย้ยเรื่องการรู้จำลายมือที่แย่มากจนกลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ในวงการ

Jony รับความท้าทายนี้ เขาออกแบบฝาพับใหม่ ปากกาสไตลัสที่เด้งออกมาเมื่อกด ทุกอย่างให้ความรู้สึกพรีเมียม แต่เมื่อเปิดตัว แม้จะกวาดรางวัลด้านการออกแบบมามากมาย ผลิตภัณฑ์กลับล้มเหลวในตลาดอยู่ดี

เขารู้สึกผิดหวังและไร้พลัง เพราะในยุคนั้น วัฒนธรรมของ Apple ถูกขับเคลื่อนด้วยฝ่ายวิศวกรรม การออกแบบเป็นแค่สิ่งที่ต้องทำตามข้อจำกัดทางเทคโนโลยี ไม่ใช่การผลักดันให้เกิดนวัตกรรมใหม่

ต่อมากับโปรเจกต์ “20th Anniversary Mac” ที่ควรจะเป็นผลงานชิ้นเอก แต่กลับกลายเป็นหายนะอีกครั้ง Apple ตั้งราคามันสูงถึง 9,000 ดอลลาร์ จนไม่มีใครชายตามอง สุดท้ายต้องลดราคาเหลือแค่ 2,000 ดอลลาร์

ในขณะเดียวกัน บริษัท Apple เองก็กำลังดิ่งลงเหว ยอดขายตกต่ำ Windows 95 กำลังจะเอาชนะ Mac บริษัทกำลังจะหมดเงิน และ CEO ในตอนนั้นก็กำลังจะถูกไล่ออก

Jony รู้สึกว่า Apple ได้สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว เขากำลังจะตัดสินใจลาออกและกลับอังกฤษ แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

Steve Jobs กลับมาแล้ว

วันที่ 7 มกราคม 1997 ในงาน Mac Expo หลังจาก CEO คนเก่าประกาศลาออก Steve Jobs ก็ก้าวขึ้นมาบนเวที เขาไม่ได้พูดอะไรซับซ้อน แต่พูดตรงประเด็นว่า “ปัญหาของที่นี่คืออะไรน่ะเหรอ… มันคือผลิตภัณฑ์! ผลิตภัณฑ์มันห่วยแตก ไม่มีเสน่ห์อะไรเหลืออยู่เลย”

Jony ที่นั่งอยู่หลังห้องและกำลังคิดเรื่องลาออก ถึงกับต้องหยุดชะงัก เมื่อได้ยิน Jobs พูดต่อว่า “เป้าหมายของ Apple ไม่ใช่แค่การทำเงิน แต่คือการทำผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม”

วินาทีนั้นเอง Jony ตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ เขาไม่เคยได้ยินผู้นำคนไหนของ Apple พูดแบบนี้มาก่อน

Jobs ไม่รอช้า เขาลงมือผ่าตัดใหญ่ทันที ลดสายผลิตภัณฑ์จาก 40 เหลือแค่ 4 อย่าง และปิดโครงการที่ล้มเหลวทั้งหมด รวมถึง Newton ซึ่งเป็นผลงานชิ้นแรกๆ ของ Jony ด้วย

แต่แทนที่จะผิดหวัง Jony กลับเห็นแสงสว่างเป็นครั้งแรก เขาเห็นว่าการออกแบบกำลังจะกลายเป็นหัวใจของบริษัท ไม่ใช่วิศวกรรมอีกต่อไป

วันหนึ่ง Jobs เดินเข้ามาในสตูดิโอออกแบบ เขาได้เห็นไอเดียที่กล้าหาญ สดใหม่ และแตกต่างจากทุกสิ่งที่ Apple เคยทำ เขาประทับใจมาก และชี้ไปที่ Jony พร้อมกับพูดว่า “คุณ… คุณคือผู้นำทีมจากนี้ไป”

ช่วงเวลานั้นได้เปลี่ยนทุกอย่าง และ Jony ก็ได้เริ่มทำงานในโปรเจกต์ที่จะพลิกชะตาของ Apple ตลอดกาล นั่นคือ iMac

ก่อนหน้า iMac คอมพิวเตอร์คือกล่องสี่เหลี่ยมสีเบจที่แสนจะน่าเบื่อและซับซ้อน แต่ Jony ได้เปลี่ยนภาพลักษณ์นั้นไปโดยสิ้นเชิง เขาออกแบบคอมพิวเตอร์ที่ดูมีชีวิตชีวาและน่าตื่นเต้น

แทนที่จะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมทื่อๆ iMac กลับมีรูปทรงโค้งมนเป็นธรรมชาติ ตัวเครื่องทำจากพลาสติกโปร่งแสง ทำให้มองเห็นชิ้นส่วนภายในได้เป็นครั้งแรก มันคือการทำลายกำแพงระหว่างผู้ใช้กับเครื่องจักร

ด้านบนของเครื่อง เขายังใส่ที่จับเข้าไป ไม่ใช่เพื่อให้คนหิ้วไปมา แต่เพื่อให้รู้สึกเป็นมิตรและน่าสัมผัส iMac ไม่ใช่แค่การออกแบบที่เจ๋งมาก ๆ แต่มันคือกลยุทธ์ทางธุรกิจที่โคตรเทพ

ภายใน 6 สัปดาห์ Apple ขาย iMac ไปได้กว่า 270,000 เครื่อง และสิ้นปีนั้นยอดขายก็พุ่งกระฉูดไปถึง 800,000 เครื่อง กลายเป็นคอมพิวเตอร์ที่ขายเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Apple

ความสำเร็จของ iMac ทำให้ Apple มีเงินทุนมากพอที่จะสยายปีกไปสู่อุตสาหกรรมอื่น และเป้าหมายต่อไปก็คือวงการเพลงดิจิทัล Steve Jobs ต้องการอุปกรณ์พกพาที่จะมาทำงานคู่กับโปรแกรม iTunes

Jony Ive และทีมงานจึงได้พัฒนานวัตกรรมชิ้นต่อไป นั่นคือ iPod เครื่องเล่น MP3 ที่จะมาปฏิวัติโลก การออกแบบของ iPod นั้นเรียบง่ายและโดดเด่นด้วย Scroll Wheel ที่ช่วยให้เลื่อนหาเพลงนับพันได้อย่างรวดเร็ว

แต่ที่เจ๋งไปกว่านั้นคือ Jony ไม่ได้ออกแบบแค่ตัวเครื่อง เขาออกแบบระบบนิเวศทั้งหมด รวมถึงหูฟังสีขาวอันเป็นเอกลักษณ์ ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ว่าใครก็ตามที่ใส่มัน คือผู้ใช้ iPod เปลี่ยนผู้คนให้กลายเป็นป้ายโฆษณาเดินได้

หลังจากนั้น การปฏิวัติครั้งสำคัญที่สุดก็มาถึง นั่นคือ iPhone ที่เปิดตัวในปี 2007 มันคือผลลัพธ์ของการทดลองนับร้อยครั้ง จนได้มาเป็นสมาร์ทโฟนหน้าจอกระจกสีดำ ที่มีเพียงปุ่มโฮมปุ่มเดียว มันเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมมือถือไปตลอดกาล

ความสำเร็จยังคงดำเนินต่อไปกับ iPad แท็บเล็ตที่ Jobs ใฝ่ฝันมาตลอด Jony และทีมงานได้สร้างสรรค์อุปกรณ์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการอ่านและความบันเทิง ด้วยดีไซน์ Unibody ที่ทำจากอะลูมิเนียมชิ้นเดียว ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ Apple ในเวลาต่อมา

iPad ประสบความสำเร็จยิ่งกว่า iPhone เสียอีก โดยขายได้ 1 ล้านเครื่องในเวลาไม่ถึงเดือน

แต่ Jony ไม่รู้เลยว่า iPad จะเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นสุดท้ายที่เขาได้ทำร่วมกับ Steve Jobs อย่างใกล้ชิด การจากไปของ Jobs ในปี 2011 ไม่ใช่แค่การสูญเสียผู้นำ แต่สำหรับ Jony มันคือการสูญเสียเพื่อนร่วมจิตวิญญาณที่ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กันมากว่าทศวรรษ

แม้จะเจ็บปวดรวดร้าว Jony ยังคงนำทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์สำคัญชิ้นสุดท้ายที่ได้รับอิทธิพลจาก Jobs นั่นคือ Apple Watch อุปกรณ์ที่ไม่ได้เป็นแค่เทคโนโลยี แต่เป็นแฟชั่นและเครื่องมือติดตามสุขภาพส่วนบุคคล

แต่แล้วในปี 2019 หลังจากทำงานให้ Apple มาเกือบ 30 ปี Jony ก็ได้ตัดสินใจลาออกเพื่อไปเปิดสตูดิโอออกแบบของตัวเองในชื่อ LoveFrom เป็นการปิดฉากยุคทองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี

อิทธิพลของ Jony Ive นั้นแผ่ขยายไปไกลเกินกว่า Apple เขาได้กำหนดนิยามใหม่ให้กับการออกแบบผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีทั้งหมด สมาร์ทโฟนหน้าจอสัมผัส, แล็ปท็อปอะลูมิเนียมบางเฉียบ, หรือสมาร์ทวอทช์ ล้วนได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของเขาทั้งสิ้น

หลักการออกแบบของ Jony นั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง เขาเชื่อในการลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป จนเหลือแต่แก่นแท้ที่สำคัญที่สุด เขาเลือกใช้วัสดุเพื่อสื่อความหมาย และออกแบบเพื่อให้มนุษย์ใช้งานได้โดยไม่ต้องพยายาม

เขาไม่ได้ออกแบบแค่ผลิตภัณฑ์เดี่ยวๆ แต่คิดถึงประสบการณ์ทั้งหมดของผู้ใช้ ตั้งแต่การแกะกล่องไปจนถึงการใช้งานในชีวิตประจำวัน

เรื่องราวของ Jony Ive ไม่ใช่แค่เรื่องของผลิตภัณฑ์ที่สวยงาม แต่มันคือการเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อเทคโนโลยี เขาทำให้สิ่งที่เคยเย็นชาและซับซ้อน กลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงง่าย เป็นมิตร และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา

วันนี้ โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ AI ที่ทรงพลังแต่ยังมองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ เราอาจต้องการใครสักคนที่จะมาทำสิ่งเดียวกับที่ Jony Ive เคยทำกับการประมวลผล นั่นคือการทำให้มันมีความเป็นมนุษย์

และด้วยข่าวล่าสุดที่ว่าบริษัทของเขากำลังร่วมมือกับ OpenAI เพื่อพัฒนาอุปกรณ์ AI รุ่นใหม่ เราอาจกำลังจะได้เห็นการปฏิวัติครั้งใหญ่อีกครั้งจากชายคนนี้ก็เป็นได้

เพราะมรดกที่แท้จริงของ Jonathan Ive คือการแสดงให้โลกเห็นว่า การออกแบบที่ดี ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่มันคือเรื่องของการทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น ง่ายขึ้น และมีความหมายมากขึ้นนั่นเอง

References: [en.wikipedia, re-thinkingthefuture, get2growth, playforthoughts, wallpaper]

Geek Story EP378 : Jony Ive ชายผู้เปลี่ยน iPhone ให้ทำลาย Nokia BlackBerry ในชั่วข้ามคืน 

เมื่อคุณหยิบ iPhone ขึ้นมาใช้ สัมผัสความโค้งมนที่ลงตัว การออกแบบที่สะอาดตา คุณกำลังสัมผัสถึงมรดกของคนคนหนึ่งที่เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล เขาคือ Jonathan Paul Ive หรือที่เรียกกันติดปากว่า Jony Ive นักออกแบบผู้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันจนไม่อาจคิดชีวิตโดยปราศจากมันได้

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/yc6fk5b7

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3c7dz57u

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/54faccka

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/UUDPgsG3A_k

Sam Altman x Jony Ive เมื่อ Apple สูญเสีย “หัวใจการออกแบบ” ให้กับ OpenAI

วันที่ 21 พฤษภาคม 2025 วงการเทคโนโลยีได้รับข่าวที่สั่นคลอนไปทั้ง Silicon Valley เมื่อ Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ประกาศข่าวใหญ่ เขาซื้อสตาร์ทอัพ io ของ Johnny Ive ด้วยราคาสูงถึง 6.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งนี่คือการเข้าซื้อกิจการที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ OpenAI

Johnny Ive หรือชื่อเต็ม Sir Jonathan Paul Ive เป็นนักออกแบบที่เจ๋งจนเป็นตำนาน เขาคือคนที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบผลิตภัณฑ์ Apple ที่เราเห็นกันทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น iPhone iPad iPod หรือแม้แต่สำนักงานใหญ่ Apple Park

Steve Jobs เคยเรียกเขาว่า “หัวใจคู่กาย” ซึ่งแสดงให้เห็นความเทพของเขา ตั้งแต่เข้าร่วม Apple ในปี 1992 Ive ได้กลายมาเป็นรองประธานอาวุโสด้านการออกแบบที่เป็นขุนพลคู่ใจ Jobs

เขาเป็นคนสำคัญในการปฏิวัติโลกเทคโนโลยีและทำให้ Apple กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง แต่ในปี 2019 Johnny Ive ได้ตัดสินใจที่จะออกจาก Apple เพื่อก่อตั้งบริษัทของตัวเอง

เขาก่อตั้ง LoveFrom ร่วมกับ Marc Newson นักออกแบบชาวออสเตรเลีย ชื่อบริษัทมาจากคำพูดของ Steve Jobs เกี่ยวกับการสร้างสิ่งต่างๆ ด้วยความรักและใส่ใจ

การออกจาก Apple ของ Ive ทำให้หลายคนสงสัยว่าเขาจะไปทำอะไรต่อ เพราะ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา เขาได้ทุ่มเทให้กับการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนโลก

ตอนแรก Apple ยังคงเป็นลูกค้าของ LoveFrom แต่ในปี 2022 ความสัมพันธ์นี้ก็จบลง Ive จึงหันไปทำงานกับลูกค้ารายอื่น เช่น Ferrari Airbnb และแม้แต่ กษัตริย์ Charles III เขาได้ออกแบบตราประจำพระองค์สำหรับพิธีบรมราชาภิเษก

หลายคนคงอยากรู้ว่าหลังจากสร้างผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนโลกมาแล้ว Johnny Ive จะไปทำอะไรต่อ

ตั้งแต่ปี 2023 Johnny Ive ได้เริ่มโครงการใหม่ เขาร่วมมือกับ Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ในการก่อตั้งสตาร์ทอัพชื่อ io

สตาร์ทอัพนี้มุ่งเน้นการพัฒนาอุปกรณ์ AI สำหรับผู้บริโภค io ไม่ใช่บริษัทธรรมดา แต่เป็นการรวมตัวของทีมงานระดับโลกที่โครตเจ๋ง

ทีมงานประกอบด้วยอดีตพนักงาน Apple จำนวน 55 คน ซึ่งรวมถึง Scott Cannon , Evans Hankey และ Tang Tan คนเหล่านี้คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการรังสรรค์ iPhone iPad และ Apple Watch

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ io ไม่ได้มุ่งเน้นแค่การสร้างอุปกรณ์ AI ธรรมดา พวกเขาต้องการสร้างไลน์ผลิตภัณฑ์ AI ที่จะเปลี่ยนวิธีการใช้เทคโนโลยีของมนุษย์เรา

Sam Altman เคยกล่าวว่าพวกเขากำลังพยายามสร้างสิ่งที่เหมือนในหนัง “Her” ให้เป็นจริง

การทำงานร่วมกันระหว่าง Johnny Ive และ Sam Altman ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทั้งคู่มีวิสัยทัศน์ที่เหมือนกันในเรื่องการนำเทคโนโลยีมาช่วยเหลือมนุษยชาติ

พวกเขาเชื่อว่าอุปกรณ์ AI ในอนาคตจะต้องมีการออกแบบที่ใส่ใจผู้ใช้เป็นหลัก ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่ซับซ้อนและใช้ยากจนผู้คนเข้าไม่ถึง

OpenAI เองก็ไม่ได้หยุดนิ่ง ในช่วงปลายปี 2024 บริษัทได้จ้าง Caitlin “CK” Kalinowski เธอเป็นอดีตหัวหน้าโครงการแว่น AR Orion ของ Meta มาเป็นผู้นำฝ่ายหุ่นยนต์และอุปกรณ์ นอกจากนี้ยังได้ลงทุนใน Physical Intelligence สตาร์ทอัพหุ่นยนต์มูลค่า 2.4 พันล้านดอลลาร์

การเข้าซื้อ io จึงเป็นจุดสำคัญในแผนการที่จะพุ่งสู่โลกของฮาร์ดแวร์ เพราะจนถึงตอนนี้ OpenAI ยังเน้นไปที่ซอฟต์แวร์และบริการ AI เป็นหลัก

แต่การสร้างอุปกรณ์ AI ที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย มีหลายบริษัทที่พยายามมาแล้วแต่ก็ล้มเหลว

Humane AI ที่สร้าง AI Pin อุปกรณ์ AI ที่ติดที่เสื้อผ้า แต่ก็ประสบปัญหา มันมีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่หมดเร็ว ร้อนจัด และใช้งานได้จำกัด ในที่สุด HP ได้ซื้อทรัพย์สินของ Humane AI ในราคา 116 ล้านดอลลาร์และยุติผลิตภัณฑ์ AI Pin

ส่วน Rabbit ที่สร้าง r1 แม้จะขายได้มากกว่า 100,000 เครื่อง แต่ผู้ใช้ก็ยังบ่นว่าฟังก์ชันการใช้งานยังจำกัดเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟน

ความล้มเหลวเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการสร้างอุปกรณ์ AI ที่ดีต้องใช้ทั้งเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งและการออกแบบที่เข้าใจผู้ใช้ ซึ่งเป็นจุดที่ Johnny Ive และ OpenAI มีความได้เปรียบเป็นอย่างมาก

Johnny Ive มีประสบการณ์ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแต่ทำงานได้ดี แต่ยังสวยงามและใช้งานง่าย ในขณะที่ OpenAI มีเทคโนโลยี AI ที่ล้ำหน้าที่สุดในโลกในขณะนี้ การรวมกันของทั้งสองจึงน่าจะสร้างสิ่งที่แตกต่างและเทพกว่าคู่แข่งได้อย่างแน่นอน

ข่าวการเข้าซื้อ io ไม่เพียงแต่สร้างความตื่นเต้น แต่ยังสั่นคลอนตลาดหุ้นด้วย หุ้น Apple ลดฮวบประมาณ 1.8% ในวันที่ข่าวประกาศ ความกังวลของนักลงทุนมีเหตุผลเพราะ Apple กำลังประสบปัญหาในการพัฒนา AI และยังต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจอยู่

พวกเขาต้องพึ่งพา OpenAI ในการให้บริการ AI ผ่าน Apple Intelligence การที่ Johnny Ive ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการออกแบบ Apple ไปร่วมงานกับคู่แข่งทางอ้อม จึงเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง

นักวิเคราะห์ Gil Luria จาก D.A. Davidson ได้ให้ความเห็นไว้ว่า OpenAI ต้องการเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์ของตัวเอง เพื่อไม่ต้องขายผลิตภัณฑ์ผ่าน iOS ของ Apple หรือ Android ของ Google ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกับที่ Meta ทำกับแว่น Quest และ Meta Ray Bans

แต่สำหรับผู้บริโภค การรวมตัวกันในครั้งนี้อาจหมายถึงการได้เห็นอุปกรณ์ AI ที่มีการออกแบบระดับ Apple แต่มาพร้อมกับเทคโนโลยี AI ที่ล้ำหน้า

การเข้าซื้อ io จะเสร็จสิ้นในช่วงหน้าร้อนปี 2025 ผลิตภัณฑ์แรกจากความร่วมมือนี้คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2026

Sam Altman เคยกล่าวว่าต้นแบบอุปกรณ์ที่ Johnny Ive สร้างขึ้นคือ “เทคโนโลยีที่เจ๋งที่สุดที่โลกเคยเห็น”

Johnny Ive จะไม่เข้าร่วม OpenAI ในฐานะพนักงานแต่จะรับผิดชอบด้านการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ทั้งใน OpenAI และ io ในขณะที่ LoveFrom จะยังคงเป็นบริษัทอิสระและรับงานจากลูกค้ารายอื่นต่อไป

ทีมงาน io จำนวน 55 คนจะเข้าร่วม OpenAI และสร้างหน่วยงานฮาร์ดแวร์ใหม่ พวกเขาจะทำงานภายใต้การนำของ Peter Welinder ซึ่งทีมนี้จะทำงานร่วมกับทีม AI ของ OpenAI เพื่อสร้างอุปกรณ์ที่ “เหนือกว่าหน้าจอ” ตามที่ Altman และ Ive เคยกล่าวไว้อย่างมั่นใจ

หลายคนคาดหวังว่าอุปกรณ์เหล่านี้อาจจะเป็นการรวมกันระหว่างสมาร์ทโฟน AR/VR และ AI assistant ในรูปแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน

การเข้าซื้อ io ของ OpenAI ในราคา 6.5 พันล้านดอลลาร์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การซื้อขายธุรกิจธรรมดา แต่เป็นการรวมตัวของสองแรงขับเคลื่อนสำคัญของโลกเทคโนโลยี ความเชี่ยวชาญด้าน AI และทักษะการออกแบบระดับโลกมาบรรจบกัน

Johnny Ive ผู้ที่เคยสร้างปฏิวัติในโลกเทคโนโลยีด้วย iPhone และผลิตภัณฑ์ Apple อื่นๆ ตอนนี้กำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ AI ร่วมกับ OpenAI ที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี AI

การร่วมมือนี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกเทคโนโลยี เหมือนที่ iPhone เคยทำในปี 2007 ที่เปลี่ยนทุกอย่างไปตลอดกาล อุปกรณ์ AI ที่จะเกิดขึ้นจากความร่วมมือนี้อาจจะเปลี่ยนวิธีที่เราใช้เทคโนโลยี มันอาจจะทำให้เราเข้าถึงพลัง AI ได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้นไปอีก

สำหรับ Apple การสูญเสีย Johnny Ive ไปสู่คู่แข่งอาจเป็นความท้าทายใหม่ แต่สำหรับผู้บริโภคและโลกเทคโนโลยี นี่อาจเป็นโอกาสทองที่จะได้เห็นนวัตกรรมใหม่

การรวมตัวของ Johnny Ive และ OpenAI อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการแข่งขันรอบใหม่ ที่จะกำหนดอนาคตของมนุษยชาติในยุค AI นั่นเองครับผม


References: [businesstoday.in, decrypt, bloomberg, axios, reuters, techcrunch, nbcnews, engadget]

Geek Daily EP295 : Sam Altman x Jony Ive เมื่อ Apple สูญเสีย “หัวใจการออกแบบ” ให้กับ OpenAI

วันที่ 21 พฤษภาคม 2025 จะเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี เมื่อข่าวใหญ่ที่สั่นสะเทือนวงการ Silicon Valley ถูกประกาศออกมา Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ได้ประกาศการเข้าซื้อกิจการครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัท ด้วยการซื้อสตาร์ทอัพ io ของ Johnny Ive อดีตนักออกแบบระดับตำนานของ Apple ในราคา 6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/5akts2rt

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/49vt7yz2

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/4jxw8y9t

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/3iCnqKVu8pw