ช่วงต้นปี 2025 วงการเทคโนโลยีกำลังเผชิญกับจุดพีคของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และมีแนวโน้มจะขีดชะตาอุตสาหกรรมในทศวรรษหน้า
บทสนทนาระหว่าง Mark Zuckerberg และ Joe Rogan ใน The Joe Rogan Experience podcast ได้เปิดเผยมุมมองที่หลายคนอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ที่กำลังสั่นคลอนวงการเทคโนโลยี
เราจะอยู่ในโลกที่ Apple ไม่ได้เป็นลูกพี่ใหญ่อีกต่อไปหรือไม่? ทำไม Joe Rogan ถึงหันหลังให้ iPhone? แล้ว Meta Quest ราคาแค่หนึ่งในสิบของ Vision Pro แต่ทำไมถึงเทพกว่า?
Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook ในปี 2004 และปัจจุบันเป็นบิ๊กบอสของ Meta ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นการก่อร่างสร้างตัวของเขาว่าเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ Steve Jobs กำลังรังสรรค์ iPhone รุ่นแรก ซึ่งเปิดตัวในปี 2007
ในขณะที่ Zuckerberg กำลังพัฒนา Facebook ในห้องพักมหาวิทยาลัย Jobs และทีมงานที่ Apple กำลังปลุกปั้นสิ่งที่จะกลายเป็นผลิตภัณฑ์เปลี่ยนโลก ไม่มีใครปฏิเสธว่า iPhone เป็นนวัตกรรมที่เจ๋งมากในยุคนั้น
แต่หลังจากการจากไปของ Jobs ทิศทางของ Apple ได้เปลี่ยนไป พวกเขามุ่งเน้นการหาเงินจากระบบนิเวศมากกว่าการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ที่เคยเป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาของบริษัทพี่ใหญ่แห่ง Silicon Valley
การสนทนาในรายการเริ่มต้นจากการที่ Joe Rogan เปิดเผยว่ากำลังจะเปลี่ยนจาก iPhone ไปใช้ Android ซึ่งสะท้อนปัญหาของระบบนิเวศแบบปิดที่จำกัดการใช้งานผลิตภัณฑ์จากบริษัทอื่น
ถึงแม้หูฟังยี่ห้ออื่นอาจจะเจ๋งกว่า AirPods แต่คุณก็ไม่สามารถใช้มันกับ iPhone ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ข้อจำกัดนี้ทำให้ผู้ใช้รู้สึกเหมือนติดอยู่ในกรงทอง
Zuckerberg วิจารณ์แบบตรงไปตรงมาว่า Apple เก็บค่าธรรมเนียมสูงถึง 41% จากนักพัฒนาแอปพลิเคชัน ส่งผลโดยตรงต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมและทำให้บริษัทเล็กๆ หลายแห่งแทบจะสิ้นไร้ไม้ตอก
ถ้าไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมสูงลิ่วแบบนี้ Meta อาจสร้างรายได้มากกว่าปัจจุบันได้ถึงสองเท่า Zuckerberg ให้ลองคิดดูว่าบริษัทเล็กๆ จะอยู่รอดได้อย่างไร
ตัวอย่างที่ชัดเจนของการเล่นเกมสกปรกคือกรณีของแว่น Meta Ray-Ban ที่พยายามเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Apple Meta ขอใช้โปรโตคอลการเชื่อมต่อแบบเดียวกับที่ Apple ใช้กับ AirPods
แต่ Apple ปฏิเสธด้วยข้ออ้างเรื่องความปลอดภัย ทั้งที่โปรโตคอลที่พวกเขาใช้เองก็เป็นเพียงข้อความธรรมดาไม่ได้มีความปลอดภัยอะไรเป็นพิเศษ
ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา Apple ผลิตสมาร์ทโฟนที่แทบไม่ต่างกันเลย แค่เพิ่มปุ่มนู่นนิดนี่หน่อย แต่โดยรวมแล้วยังคงเป็น iPhone หน้าตาเดิมๆ ทำให้ส่วนแบ่งตลาดลดฮวบ
ขณะที่คู่แข่งอย่าง Google Pixel มีความสามารถด้านกล้องและ AI ที่สุดเทพ ส่วน OnePlus 13 ที่เพิ่งเปิดตัวต้นปี 2025 ก็โครตโหดจนหลายคนคาดว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนแห่งปี
Samsung และบริษัทอื่นๆ ไม่ได้นั่งเฉยๆ พวกเขากำลังสยายปีกและพัฒนาเทคโนโลยีที่เหนือกว่า ขณะที่ Apple ยังคงขายผ้าเอาหน้ารอดด้วยผลิตภัณฑ์คล้ายๆ เดิม
ในด้าน wearable device และเทคโนโลยีเสมือนจริง Apple Vision Pro ราคา 3,500 ดอลลาร์ มีแอปพลิเคชันให้ใช้งานจำกัด ส่วนใหญ่เป็นแอปของ Apple เอง
ขณะที่ Meta Quest 3 ราคาเพียง 300-400 ดอลลาร์ กลับมีฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายและเข้าท่ากว่า เรียกได้ว่าถูกกว่า 10 เท่าแต่ใช้งานได้มากกว่าซะอีก
Zuckerberg ยอมรับตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมว่า Vision Pro มีจอภาพที่คมชัดกว่าสำหรับการดูหนัง แต่มีข้อเสียเยอะมาก ทั้งน้ำหนักมาก ภาพเบลอเมื่อขยับศีรษะ และราคาสูงลิบลิ่ว
การศึกษาล่าสุดพบว่า 84% ของนักเรียนมัธยมปลายในสหรัฐอเมริกาใช้ iPhone โดยเหตุผลหลักไม่ใช่เพราะสมรรถนะของเครื่อง แต่เป็นเพราะแรงกดดันจากเพื่อน
ระบบฟองข้อความสีฟ้า (iPhone) และสีเขียว (Android) ได้สร้างการแบ่งแยกทางสังคมขึ้นมา ทำให้ผู้ที่ไม่ได้ใช้ iPhone รู้สึกเหมือนเป็นเหลือบไรในกลุ่มเพื่อน
ผลสำรวจนี้มาจากการศึกษาในโรงเรียนมัธยมปลายประมาณ 10 แห่งทั่วประเทศ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเมืองใหญ่ แสดงให้เห็นว่าปัญหานี้เป็นเรื่องระดับชาติที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทางสังคมของเยาวชน
หนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือเรื่องความปลอดภัยในการสื่อสาร Zuckerberg อธิบายว่าแม้แต่ WhatsApp และ Signal ที่เข้ารหัสอย่างดี ก็ยังมีความเสี่ยงจากการโจมตีด้วยมัลแวร์ Pegasus
Pegasus เป็นมัลแวร์สุดโหดที่พัฒนาโดย Mossad ใช้แค่เบอร์โทรศัพท์ของเป้าหมาย ก็สามารถเจาะเข้าระบบได้โดยที่คุณไม่ต้องคลิกอะไรเลย
เมื่อติดตั้งแล้ว มันจะควบคุมกล้อง ไมโครโฟน เข้าถึงทุกแอป รวมถึงแอปธนาคาร และเห็นทุกอย่างในมือถือคุณ ทำงานแบบเงียบๆ จนคุณแทบไม่รู้ตัว
การสื่อสารระหว่าง iPhone และ Android ยังคงเป็นจุดอ่อนด้านความปลอดภัย แม้ว่า Apple จะยอมรับโปรโตคอล RCS แล้ว แต่การส่งข้อความระหว่างต่างแพลตฟอร์มก็ยังไม่มีการเข้ารหัสที่ดีพอ
Apple เริ่มตระหนักถึงปัญหาและกำลังจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น iPhone Flip สมาร์ทโฟนพับได้รุ่นแรก และ iPhone 17 Series ที่จะปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหญ่
แต่คำถามคือ พวกเขาปรับตัวทันหรือไม่? ในยุคที่ Samsung และ Google จับมือกันพัฒนาอุปกรณ์สุดล้ำด้วยเทคโนโลยี AI สุดเทพ และบริษัทจีนอย่าง OnePlus ก็กำลังบูมในตลาดสมาร์ทโฟน
Zuckerberg มองว่าบริษัทที่ไม่สร้างนวัตกรรมใหม่ในช่วง 10 ปี จะถูกคู่แข่งแซงหน้าอย่างแน่นอน และ Apple ก็กำลังเดินทางไปสู่จุดนั้น
การสนทนาระหว่าง Zuckerberg และ Rogan ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าวงการเทคโนโลยีกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่เราจะเห็น Apple ตกจากบัลลังก์ผู้นำตลาดเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
การยึดติดกับระบบปิดและการเก็บค่าธรรมเนียมสูงอาจทำให้ Apple เป็นเสือนอนกินที่จะถูกลืมในไม่ช้า ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Google, Samsung และ Meta กำลังร่วมมือกันสร้างนวัตกรรมที่จะเปลี่ยนโลก
ในท้ายที่สุด ผู้ชนะคือผู้บริโภคที่จะได้ใช้เทคโนโลยีที่ดีขึ้น ราคาถูกลง และมีทางเลือกมากขึ้น เพราะฉะนั้นทุกคนต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวงการเทคโนโลยี