ประวัติ Reid Hoffman ผู้ก่อตั้ง Linkedin

ถ้าพูดถึง Linkedin นั้นก็คงจะต้องกล่าวถึง Reid Hoffman ผู้ก่อตั้งชื่อดัง ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่ม Founder Paypal ผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญในวงการดอทคอมของสหรัฐอเมริกาหลังยุคฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000

สำหรับประวัติของ Reid Hoffman นั้นเป็นคนที่ไม่ได้จบมาทางด้าน computer science โดยตรงแต่มีความชอบในเรื่องของ game มาตั้งแต่เด็ก ๆ โดยส่วนตัวนั้นของชอบ game แนว RPG  แต่เนื่องจากการที่ได้มาพบกับ Peter Thiel โดยเป็น classmate ที่ Standford นั้นก็ทำให้ Reid Hoffman หันเหชีวิตเข้ามาสู่การทำงานทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

ได้เจอ peter thiel ทำให้หันเหชีวิตมาสนใจ computer science

ได้เจอ peter thiel ทำให้หันเหชีวิตมาสนใจ computer science

ชีวิตการทำงานของเค้านั้นเริ่มต้นที่ apple computer โดยงานแรกที่เขาได้ทำนั้นเป็นการสร้าง eWorld ซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานทางด้าน software ที่ใช้ทำงานที่เป็น social network แรก ๆ ของ apple ในยุคนั้นแต่ไม่ค่อย boom เท่าไหร่ และสุดท้ายได้ขายไปให้กับ AOL ในที่สุด

หลังจากออกจาก apple นั้นเขาก็ได้สร้าง online dating website ชื่อ socialnet.com ก่อนที่จะมามีปัญหากับผู้ร่วมทุนในภายหลังและได้ออกมา ซึ่งในช่วงนั้นทาง Peter Thiel นั้นได้เริ่มสร้างระบบ Payment Online ที่ชื่อ Confinity และเนื่องจากเขารู้จักกับ Peter Thiel อยู่แล้วนั้นจึงได้รับการชักชวนให้มาทำงานกับ Confinity

ในช่วงนั้นก็ได้มีการแข่งขันกันระหว่าง X.com ที่ถูกสร้างโดย Elon Musk และ Confinity ที่ก่อตั้งโดย Peter Thiel ซึ่งมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง และเป็นช่วงปลายก่อนที่จะเกิดฟองสบู่ดอทคอมแตกในยุคปี 2000 ซึ่งต่อมา Peter Thiel และ Elon Musk ก็ได้ตัดสินใจร่วมมือกันแทนที่จะแข่งกัน และรวมตัวกันใหม่ภายใต้ชื่อ Paypal.com และทำให้ทั้งคู่รอดพ้นยุคฟองสบู่ดอมคอมของสหรัฐอเมริกามาได้อย่างหวุดหวิด

ร่วม x.com ของ elon musk

ร่วม x.com ของ elon musk

Reid Hoffman นั้นถือเป็นหนึ่งในบุคคลที่ถูกขานในวงการเทคโนโลยีสหรัฐว่าเป็นกลุ่ม Paypal Mafia ซึ่งมีบทบาทที่สำคัญหลังจากยุคฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000  ซึ่งหลังจากตัดสินใจขาย Paypal ให้กับ Ebay ในช่วงปี 2002 แล้วนั้น ( มูลค่าประมาณ 1.5 พันล้านเหรียญ) ก็ทำให้เขาได้รับส่วนแบ่งเป็นจำนวนมากพอที่จะมาตั้งบริษัทใหม่ที่ใจเขาต้องการคือ Linkedin

เนื่องจากเป็นคนที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เมื่อทำการสร้าง Linkedin ซึ่งเขาให้สโลแกนของ Linkedin คือ Online social network for Professional ก็ถือได้ว่าเป็นจุดแตกต่างจาก social network อื่น ๆ ในสมัยนั้น โดยเน้นกลุ่มไปที่ลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนทำงานแทน จึงได้รับผลตอบรับจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก และทำให้สามารถขยายกิจการได้อย่างรวดเร็ว

โดยมี รูปแบบการทำรายได้จากสามทางคือ การโฆษณา , Premium Subscribtion และ  Hiring solution for company ซึ่งก็คือรูปแบบการหาเงินจากบริษัทจัดหางานแบบเก่า แต่ linkedin แตกต่างตรงมีส่วนของการเป็น social network ทำให้แตกต่างจาก web หางานแบบเดิม ๆ ที่แข่งขันกันในตลาดอยู่ทำให้ได้ผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มคนทำงานทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน

ถึงจุดอิ่มตัวให้  Jeff Weiner จาก yahoo มาดูแล linkedin ต่อ

ถึงจุดอิ่มตัวให้ Jeff Weiner จาก yahoo มาดูแล linkedin ต่อ

ในช่วงปี 2008 เขาก็ได้ตัดสินใจปล่อยงานบริหารบริษัทให้กับ Jeff Weiner ที่ได้ย้ายมาจาก Yahoo เพื่อเข้ารับตำแหน่ง CEO ต่อจากเขา และ เขาก็เริ่มเข้าไปตั้งบริษัทด้านการลงทุนในบริษัทด้านเทคโนโนยี  คือ GreylockPartner ในปี 2009 เพื่อลงทุนในบริษัทเกิดใหม่เช่นเจริญรอยตามอดีตเพื่อนร่วมงานของเขาที่ paypal อย่าง peter thiel ซึ่งจะทำให้กลุ่ม Paypal Mafia นั้นน่าจะมีบทบาทที่สำคัญกับบริษัทดอมคอมของอเมริการในอนาคตต่อจากนี้ไปนั่นเอง

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol

Mark Zuckerberg The Real Face Behind Facebook

Featured Video Play Icon

ถือว่าเป็น icons ของวงการ startup ทั่วโลกเลยก็ว่าได้สำหรับ Mark Zuckerberg  ผู้ก่อตั้ง facebook ที่มีผู้ใช้งานทั่วโลกกว่า 1,200 ล้านคนในขณะนี้ ซึ่งก็ทำให้เค้าติดอันดับเศรษฐีลำดับต้น ๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกา

สำหรับ mark นั้นเขามีประวัติด้านคอมพิวเตอร์ที่ไม่ธรรมดามาตั้งแต่ตอนเรียน high school โดยเขากับเพื่อนได้ร่วมกันสร้าง software ชื่อ synapse สำหรับจดจำรสนิยมการฟังเพลง mp3 โดยปล่อยให้ download ได้ฟรี ๆ  ซึ่งตอนนั้น มีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง microsoft และ AOL  ได้มาขอซื้อโดยเสนอเงินให้ในหลักล้านเหรียญ แต่เขาก็ไม่ได้ขายแต่อย่างใด ซึ่งเขาได้แจ้งทาง microsoft และ AOL ไปว่า เขาไม่ได้ทำไว้ขาย ทำให้แจกให้ใช้ฟรีเท่านั้น

หลังจากที่ได้เข้าเรียนด้าน computer science ที่ harvard นั้น mark ก็ได้ทำการสร้างเว๊บ facemash.com ขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้งานได้ทำการ vote เปรียบเทียบหน้าของเพื่อนๆ  ที่ mark นั้นได้ไป hack รูปของ facebook ของหอพักแต่ละแห่งเข้ามาเพื่อให้ผู้ใช้งานได้สนุกกันกับการ Votes โดยมีผู้เข้าใช้งานกว่า 22,000 คร้้งและทำให้ server ของ harvard ถึงกับล่มไปเลยทีเดียว  แต่สิ่งที่เขาทำแล้วโดนโจมตีนั้นคือการเอารูปสัตว์มาเปรียบเทียบกับใบหน้าคนด้วย ทำให้ในช่วงนั้น mark โดนประนามไปไม่ใช่น้อยหลังจากนั้น

หลังจาก facemash นั้น mark ก็ค่อนข้างเริ่มมีชื่อเสียง ทั้งด้านบวก และ ด้านลบ โดยชื่อเสียงด้านการทำ software ของเค้านั้นได้ไปถึง ฝาแฝด winklevoss ซึ่งตอนนั้นมี idea ที่จะทำ social network สำหรับมหาลัย harvard ชื่อ harvard connection โดยเน้นการ exclusive สำหรับ user ที่มี email @harvard.edu เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นจุดแตกต่างสำหรับ social network ที่เป็นเจ้าตลาดในขณะนั้นอย่าง myspace.com หรือ friendster.com ที่ไม่เป็น exclusive user ทำให้เราได้ connect กับกลุ่มคนที่เราต้องการในมหาลัยเท่านั้น

หลังจาก mark ตกลงที่จะทำงานร่วมกับฝาแฝด winklevoss เค้าก็ได้มาคุยกับเพื่อสนิทอย่าง Eduardo saverin เพื่อที่จะทำ thefacebook ขึ้นมาแทน โดยใช้เงินทุนจาก Eduardo Saverin เพื่อใช้ในการตั้งต้นเช่า Server ของบริษัท ซึ่งแต่แรกนั้นใช้ domain ชื่อ thefacebook.com

หลังจากปล่อย thefacebook.com ออกให้ใช้งาน มีผู้ร่วมตอบรับอย่างมากมาย ซึ่ง mark นั้นกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในมหาลัยทันที เพราะแทบจะทุกคนใช้ในมหาวิทยาลัย harvard นั้นเป็น user ของ thefacebook หลังจากนั้น mark ก็ทำการขยายไปสู่มหาลัยชั้นนำอีก 9 แห่ง เช่น Stanford , Columbia  ฯลฯ  ซึ่งทำให้ยอดผู้ใช้งานเริ่มสูงขึ้นมาก และนักศึกษาในทุกมหาลัยที่ได้ใช้ facebook นั้น มีการตอบรับอย่างดีเยี่ยม

ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้ mark ต้องทำการ drop จากการเรียนที่ harvard เพื่อมุ่งหน้าสู่ silicon valley อย่างเต็มตัว โดยได้ไปเช่าบ้านอยู่ใกล้มหาลัย stanford เพื่อให้เข้าใกล้แหล่งลงทุนชื่อดังใน silicon valley และทำให้เขาได้พบกับ sean parker ซุปเปอร์สตาร์แห่งวงการ internet ผู้สร้าง napster ซึ่งมีบทบาทที่สำคัญในการเจริญเติบโตของ facebook ในยุคแรก ๆ  ซึ่ง sean ช่วยพา mark ไปติดต่อกับนักลงทุนจำนวนมาก เนื่องจากเขามีสายสัมพันธ์ที่ดีกับนักลงทุนตั้งแต่ทำ napster แล้ว

และในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ eduardo saverin ที่ไม่ได้บินตามมาที่ silicon valley จึงไม่ได้ติดตามสถานการณ์ของ facebook อย่างใกล้ชิด จึงทำให้ mark พยายามที่จะถอด eduardo ออกจากการเป็น co-founder ของ facebook ประจวบกับการได้งบลงทุนก้อนใหญ่จากนักลงทุนใน silicon valley จึงทำให้ mark ไม่ต้องการ eduardo อีกต่อไป

หลังจากการได้เงินทุกก้อนใหญ่เพื่อมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ mark ก็ได้ทำการจ้างพนักงานฝีมือดีจำนวนมากมาร่วมงานและเน้นการพัฒนา features ของ facebook ทั้ง  wall ,  feeds ,  หรือ การ tag image ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมที่สำคัญของ facebook เลยก็ว่าที่ยิ่งทำให้ facebook ยิ่งเติบโตอย่างรวดเร็วและสุดท้ายก็ต้องเปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปได้ใช้งาน และด้วยความที่มี features ที่แตกต่างจาก social networks เดิมอย่าง myspace หรือ friendster นั้นก็ทำให้ facebook เติบโตจนกลายเป็น social network ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลกจนถึงปัจจุบัน

ทั้งเรื่องของฝาแฝด vinklevoss และ eduardo savering นั้น สุดท้ายต้องมาถกเถียงในชั้นศาลว่า mark นั้นได้ขโมย idea จาก ฝาแฝด winklevoss ไปจริง ๆหรือไม่ซึ่งสุดท้ายก็ยอมความกันในที่สุดโดย facebook ยอมจ่ายเงินสูงถึง 31 ล้านเหรียญ เพื่อยุติการฟ้องร้อง ส่วน saverin นั้นก็ได้หุ้นคืนกลับไป โดยมีการเจรจาว่าไม่ให้มีการสัมภาษณ์กับสื่อมวลชนอีกต่อไป และ นำชื่อเขากลับเข้าสู่ facebook.com ในฐานะ co-founder ซึ่งเนื่องจากหลังจากนั้นไม่นาน facebook.com นั้นกลายเป็นบริษัทมูลค่าหลายพันล้านเหรียญไปเป็นทีเ่รียบร้อยแล้วทำให้ Saverin ก็กลายเป็นเศรษฐีไปอีกคนหลังจากบริษัทนำหุ้นออกทำการ IPO ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก

สำหรับ documentary ชุดนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าศึกษาสำหรับการตั้งบริษัท startup ให้ยิ่งใหญ่ได้อย่าง facebook ซึ่งการที่กว่าจะก้าวมาถึงระดับนี้ได้นั้น ก็ต้องผ่านเรื่องราวมากมาย จนกลายเป็นบริษัทที่เติบโตรวดเร็วที่สุด บริษัทหนึ่งในโลกของสหรัฐอเมริกาจวบจนถึงปัจจุบัน

 

Bloomberg Game Changer : How Microsoft Attacked the Beast who created Netscape, Mozilla Firefox & invested Skype

โดยส่วนตัวนั้นเป็นคนชอบดู Documentary ของทางเมืองนอก โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับวงการ IT และ Series หนึ่งที่ชอบติดตามดูเป็นพิเศษคือ Game Change : ของทางฝั่ง Bloomberg ที่ได้สร้าง Documentary ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาที่น่าสนใจในหลาย ๆ ประเด็น

สำหรับตอนที่จะกล่าวใน blog นี้คือ How Microsoft Attacked the Beast who created Netscape, Mozilla Firefox & invested Skype เป็นเรื่องราวในยุคต้นกำเนิดของ Internet ซึ่งเราคงมองภาพไม่ออกในยุคแรก ๆ  ที่ยังไม่มี internet ใช้ ในสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหม่มาก ๆ สำหรับการสร้าง Web Browser มาซัวในยุคปลาย 1990

สำหรับ Browser ตัวแรกของโลกนั้นต้องยกให้กับ Mosaic ที่พัฒนาโดย Lab ของ University of Illinois of Urbana Chanpaign ที่ผู้ที่ได้ว่าเป็นผู้ถือกำเนิดมันก็คือ Marc Andreessen ซึ่งต้องถือเป็นเจ้าพ่อ internet ในยุคแรก ๆ เลยก็ว่าที่ทำให้ internet เป็น Graphic ที่สวยงามให้คนทั่วไปใช้งานได้อย่างง่ายดาย ซึ่งในช่วงนั้นยังเป็นรูปแบบของ text mode อยู่ หลังจากปล่อยให้ Download Free และเป็นที่นิยมอย่างมากแล้วนั้น Marc ก็ถูกนายทุน โดย  Jim Clark ที่ชักชวน Marc ให้มาเปิดบริษัทเพื่อพัฒนา Web Browser เพื่อขายเป็น commercial โดยได้ร่วมตั้ง Netscape ขึ้นมา ต้องถือว่าโชคดีผมก็มีโอกาสได้ใช้ Netscape กับเค้าเหมือนกัน ๆ กันยุคแรก ๆ  ก่อนที่ Microsoft จะใช้ IE ตีตลาดจนไม่เหลือที่ว่างให้ Netscape และก็ได้มีโอกาสได้สร้าง HTML Web ในช่วงแรก ๆ เหมือนกันซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เบนเข็มมาเรียนทางด้าน Computer Engineer

ในช่วงปลาย 1990 นั้น Marc ถือว่าเป็นบุคคลที่โด่งดังมาก เนื่องจากหลังจากสร้าง NetScape และปล่อยออกสู่ตลาดนั้น ก็ได้นำบริษัททำ IPO เพื่อเข้าตลาดหุ้นโดยแทบจะทันที ซึ่งตอนนั้นก็ทำให้ตลาดหุ้นปั่นป่วนอยู่พอสมควร เนื่องจากมูลค่าหุ้นขึ้นไปสูงถึงระดับ 171$  ในช่วงเปิดตัวแรก ๆ  ทำให้บริษัทมีมูลค่าทันทีถึง  2 พันล้านเหรียญในยุคนั้น ซึ่งถือว่ามากพอตัว   และทำให้เค้ากลายเป็นเศรษฐีหนุ่มทันทีจากมูลค่าหุ้น และนักลงทุน ที่ร่วมก็รวย ๆ กันไปตาม ๆ กันจากมูลค่าหุ้นที่พุ่งขึ้นสูงสุดในช่วงดังกล่าว

แต่การเกิดขึ้นของ NetScape นั้นเหมือนเป็นการปลุกยักษ์ให้ตื่น Microsoft ในสมัยนั้นเป็นบริษัทที่มูลค่าแทบจะสูงที่สุดในโลกของ Technology Company ซึ่ง Gate ก็ไม่รอช้า ในช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่ Microsoft ต้องออก OS ใหม่พอดีซึ่งก็คือ Microsoft Windows 95  โดยทาง Microsoft นั้นใช้แผนที่เหนือเมฆ คือนำ Internet Exproler ออกสู่ตลาดโดยแถมมากับระบบปฏิบัติการ Windows 95 เลยแทบจะทันที โดย microsoft นั้นก็ได้พัฒนาตัว IE โดยใช้พื้นฐานมาจาก Mosaic ที่ Marc เป็นคนพัฒนาขึ้นในตอนอยู่  University of illinois of Urbana Chanpaign นั่นเอง ซึ่ง Microsoft นั้นเป็นบริษัทที่ทุนหนาอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหาเรื่องการเงินแต่อย่างใด ในการแถม Browser ไปกับระบบปฏิบัติการ และเป็นยิ่งส่งเสริมให้คนหันมาใช้ ระบบปฏิบัติการ Windows 95 มากยิ่งขึ้นเสียไปอีก ซึ่งเป็นความโหดมากของ microsoft ในการแทบจะ ฆ่า Netscape ออกไปจากตลาด และ เพิ่มยอดขายของ Windows 95 เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยทีเดียว

สุดท้ายก็มีการฟ้องร้องกันหาว่า Microsoft ผูกขาดการตลาดของระบบปฏิบัติการ ทางฝั่ง microsoft นั้นก็ไม่แยแสในเรื่องที่เกิดขึ้นเดินหน้าแถม Browser ต่อไปจนครองส่วนแบ่งแทบจะทั้งหมดของ Browser ในขณะนั้น และ ทำให้ Netscape ต้องถูกขายให้กับ AOL ในภายหลังก่อนจะพัฒนากลายมาเป็น Moziila Firefox อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ส่วนคดีความฟ้องร้องนั้น ถึงแม้สุดท้าย ศาลจะพิพากษาให้ Microsoft เป็นฝ่ายผิด แต่ microsoft ก็ยินยอมจ่ายค่าปรับเพียงร้อยกว่าล้านเหรียญเท่านั้น ซึ่งเปรียบเหมือนในสงครามนี้ microsoft ยอมแพ้ในศาลแต่ ในเชิงธุรกิจนั้น Netscape ได้ตายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง